
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

ประวัติ วัดสนามใน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
กำเนิด
หลวงพ่อเกิดที่บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่5 กันยายน พ.ศ. 2454 ตรงกับวันอังคารเดือนสิบ ปีกุน ขึ้น 13 ค่ำบิดาของท่านชื่อจีน มารดาชื่อโสม นามสกุลอินทผิว
หลวงพ่อมีนามจริงว่าพันธ์ อินทผิว เหตุที่ท่านเป็นที่รู้จักในนามหลวงพ่อเทียน ก็เนื่องจากท้องถิ่นของท่านนิยมเรียกชื่อกันตามชื่อของลูกคนหัวปี บุตรชายคนแรกของหลวงพ่อชื่อเทียน ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านจึงเรียกท่านว่าพ่อเทียน ภรรยาของท่านชื่อหอม ก็ได้รับการเรียกขานว่าแม่เทียนเช่นเดียวกัน
ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน คนแรกเป็นชายชื่อ สาย คนที่สองเป็นชายชื่อ ปุ้ย คนที่สามเป็นชายชื่อ อุ้น คนที่สี่เป็นหญิงชื่อ หวัน พิมพ์สอน ท่านเองเป็นคนที่ห้า และคนที่หกเป็นชายชื่อ ผัน พี่น้องของท่านที่ยังมีชีวิตอยู่คือพี่สาวคนเดียวของท่านชื่อ หวัน พิมพ์สอน หรือป้าหนอม พี่น้องคนอื่น ๆ ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งสิ้น
ปฐมวัย
หลวงพ่อมีชีวิตในวัยเด็กเช่นเดียวกับเด็กชาวบ้านในท้องถิ่นชนบทห่างไกลความเจริญทั่วไป ตื่นเช้าท่านก็ออกไปช่วยพ่อแม่ทำนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ตกเย็นก็ไล่ต้อนวัวควายกลับบ้าน ท่านเล่าว่าท่านไม่เคยได้มีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียน เนื่องจากในท้องถิ่นของท่านยังไม่มีโรงเรียน ถ้าจะเรียนก็ต้องเดินทางไปเรียนในท้องถิ่นที่เจริญกว่า ในสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก หลวงพ่อจึงไม่สามารถจะเดินทางไปเรียนในโรงเรียนที่อยู่ไกลจากบ้านท่านได้ ท่านเล่าว่าในท้องถิ่นของท่านไม่มีความเจริญทางวัตถุแต่อย่างใด รถไฟ รถยนต์ เครื่องบินหรือแม้แต่จักรยาน ท่านก็ยังไม่เคยเห็น สำหรับเครื่องบินนั้นแม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน
บรรพชาเป็นสามเณร
เมื่อหลวงพ่ออายุได้ราว 10 ขวบ หลวงน้าของท่านซึ่งไปเรียนหนังสือมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ได้มาขอกับบิดามารดาของท่านให้ท่านบวชเป็นเณรคอยรับใช้หลวงน้า เรียกว่าเณรใช้ หลวงน้าของท่านชื่อยาคูผอง นามสกุลจันทร์สุข อุปสมบทเมื่ออายุยังน้อยและครองเพศบรรพชิตมาโดยตลอด หลวงพ่อเล่าว่าทางบ้านเกิดของท่านมีประเพณีรดน้ำพระภิกษุที่บวชมานาน รดครั้งแรกเรียกสมเด็จ รดครั้งที่สองเรียกซา รดครั้งที่สามเรียกยาคู และในพิธีรดน้ำครั้งต่อ ๆ ไปก็เรียกยาคูทั้งสิ้น
ก่อนที่หลวงพ่อจะบรรพชาเป็นสามเณรนั้น หลวงพ่อไปวัดหลวงน้าอยู่เป็นประจำทุกเช้า เย็น วัดที่หลวงน้าจำพรรษาอยู่นั้นชื่อวัดภูหรือวัดบรรพตคีรี อยู่ไม่ห่างจากบ้านหลวงพ่อ ตอนเช้าหลวงพ่อต้องนำอาหารและดอกไม้ไปกราบหลวงน้าแล้วจึงไปนา ตอนเย็นหลังจากตักน้ำที่คลองน้ำแล้วท่านก็จะไปวัด
ขณะที่บวชเป็นเณรอยู่กับหลวงน้า หลวงน้าสอนหลวงพ่อให้ท่องนะโม ตัสสะ ทำวัตรเช้า วัตรเย็น อาราธนาศีล อาราธนาธรรมดูฤกษ์ยาม ทำกรรมฐาน เดินจงกรม หลวงพ่อได้เรียนตัวลาวหรือตัวไทยน้อย และอักษรธรรมซึ่งเขียนบนใบลานกับหลวงน้า สำหรับการเรียนการสอนนี้เป็นแบบปากเปล่า ไม่มีการเขียน ใช้วิธีจดจำ เวลากลางคืนหลังจากเลิกเรียนหนังสือแล้ว หลวงน้าจะพาหลวงพ่อเดินจงกรม หลวงน้าเป็นพระที่ขยันปฏิบัติ บางครั้งท่านก็ลุกขึ้นเดินจงกรมในเวลาดึก ทางเดินจงกรมของหลวงน้ายาวราว 20 วา หลวงพ่อเดินห่างจากหลวงน้า 4-5 วา
สำหรับการฝึกกรรมฐานนั้น หลวงน้าให้หลวงพ่อนั่งขัดสมาธิเพชรหลับตาแล้วภาวนา หายใจเข้าให้ว่า“ พุท” หายใจออกให้ว่า“ โธ” ในเวลานั้นหลวงน้ามีเพื่อนพระภิกษุที่สอนกรรมฐานอยู่หลายรูป หลวงพ่อจำได้ว่าเพื่อนหลวงน้ารูปหนึ่งที่สอนกรรมฐานให้หลวงพ่อชื่ออาจารย์เสา เมื่ออาจารย์เสาเห็นหลวงพ่อภาวนา “พุทโธ” ท่านให้ความเห็นว่า เวลาขึ้นต้นไม้จะขึ้นปลายที่เดียวไม่ได้ ต้องขึ้นตั้งแต่ต้น ๆ ท่านให้นับหนึ่ง สอง สาม หายใจเข้าให้ภาวนาว่า หนึ่ง หายใจออกให้ภาวนาว่า สอง เรื่อยไปจนถึงสิบ เมื่อถึงสิบให้นับย้อนหลังลงมาถึงหนึ่ง แล้วตั้งต้นจากหนึ่งถึงสิบ ทำเช่นนี้เรื่อยไป อาจารย์เสาท่านบอกว่า การภาวนาเช่นนี้ทำให้เกิดความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าถูกของมีคมบาดเป็นแผล ให้ภาวนาตามวิธีการดังกล่าวแล้วเป่าที่แผลเลือดจะหยุดทันที เมื่อไปนอนตามป่าตามดง มีเสือมีผี ให้เสกก้อนหินด้วยการภาวนาดังกล่าว แล้วเอาก้อนกรวดก้อนหินวางเรียงรายไว้รอบตัว จะนอนได้อย่างปลอดภัย เสือและผีจะกลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้
หลวงพ่อเล่าว่าหลวงน้าได้สอนการเพ่งกสิณให้ท่าน โดยให้ใช้เท้าขีดวงกลมให้ห่างจากสายตาราว 1 เมตร เพ่งกสิณลงไปให้เห็นเป็นแสงเวลาเช้าให้จ้องดวงอาทิตย์โดยไม่กะพริบตา จนกระทั่งสายตาสู้แสงพระอาทิตย์ได้ หลวงน้าบอกท่านว่าถ้าทำได้จะเป็นฤษีตาไฟ ถ้าจ้องมองไปที่ใครคนนั้นจะล้มทันที หรือจะทำให้เป็นไฟไหม้ก็ยังได้ นอกจากนี้หลวงน้ายังมีคาถาย่อแผ่นดิน ซึ่งหลวงพ่อเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หลวงน้าของท่านรูปร่างสูงและผิวขาวเหมือนฝรั่ง เวลาติดตามหลวงน้าไปไหน หลวงน้าเดินแต่หลวงพ่อต้องวิ่ง หลวงพ่อจึงมาคิดได้ในภายหลังว่า ที่หลวงน้าบอกว่ามีคาถาย่อแผ่นดินให้หดเข้านั้นเป็นอย่างนี้เอง เวลาเดินหลวงน้าท่านขายาว ท่านก็ก้าวเพียงก้าวเดียว ในขณะที่หลวงพ่อต้องก้าวถึงสามก้าวจึงจะเดินทันท่าน
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้ติดตามหลวงน้าไปอยู่ที่เมืองลาว แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กเมื่อใครพูดถึงบ้าน ท่านก็ร้องไห้คิดถึงบ้าน ในที่สุดก็ต้องเดินทางกลับมาบ้านเกิดของท่าน
หลวงพ่อบวชเป็นสามเณรอยู่กับหลวงน้าเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ได้เรียนมนต์คาถาจากหลวงน้าพอสมควร เนื่องจากขณะที่หลวงน้าไปเรียนมูลกัจจายน์ที่อุบลฯ ท่านได้เรียนเวทมนต์คาถาอาคมของเขมรด้วย เช่น คาถาไส้หนังบังควัน วัวธนูดูหน้าน้อย ซึ่งเป็นอาคมไล่ผี เมื่อหลวงพ่อลาสิกขาบทแล้ว ท่านยังรู้สึกเสียดายช่วงเวลาที่บวชอยู่กับหลวงน้า ด้วยในขณะนั้นท่านอยากมีความรู้ทางไสยศาสตร์ อยากมีหูทิพย์ ตาทิพย์เหาะได้ หายตัวได้ ย่อแผ่นดินได้ มีคาถาอาคม ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกเหมือนกับหลวงน้า ในสมัยนั้นในท้องถิ่นที่หลวงพ่ออาศัยอยู่ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจกันอยู่มาก ลูกผู้ชายต้องมีเวทมนต์ไว้รักษาตัวเองและคุ้มครองรักษาคนในครอบครัวรวมทั้งญาติพี่น้อง หลวงน้าจึงได้เมตตาอบรมสั่งสอนหลวงพ่ออย่างเข้มงวดกวดขัน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์เมื่อสึกออกมาเป็นผู้ครองเรือน
อุปสมบทครั้งแรก
เมื่ออายุครบบวช หลวงพ่อก็ได้มาบวชอยู่กับหลวงน้าอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพระครูวิชิตธรรมาจารย์ เจ้าคณะอำเภอเชียงคานเป็นอุปัชฌาย์ ท่านได้ฝึกวิชาต่าง ๆ กับหลวงน้าต่อไปเช่นเดิม คือฝึกกรรมฐานและเรียนเวทมนต์คาถาต่าง ๆ ท่านเล่าว่าไม่มีวิชาอะไรเพิ่มขึ้น แต่ทำที่สอนไว้ให้เจริญขึ้น นอกจากนั้นก็มีการเดินธุดงค์ ซึ่งเป็นการทำตามประเพณี ยังไม่เข้าใจว่าธุดงค์หมายถึงอะไร การธุดงค์ที่หลวงพ่อทำในขณะนั้นคือ ไปอยู่ตามป่าช้า ตามสวน ใกล้ ๆ บ้านคน หรือตามกระต๊อบปลายนาไม่ห่างจากบ้านคนมากนัก เพื่อให้ออกบิณฑบาตได้โดยไม่ลำบากจนเกินไป
ครองเรือน
หลวงพ่อบวชเป็นพระอยู่ได้ 6 เดือน จึงลาสิกขาบท มารดาของท่านได้จัดการให้ท่านมีครอบครัวเมื่ออายุราว 21 หรือ 22 ปี ภรรยาของท่านชื่อหอม เป็นญาติกับท่าน มารดาของภรรยาท่านเป็นน้องของบิดาของท่าน ซึ่งท่านเรียกว่าแม่อา ทั้งท่านและภรรยาต่างก็เป็นกำพร้าบิดามาตั้งแต่เด็ก
ท่านอยู่กับภรรยามานานยังไม่มีบุตร จึงได้นำบุตรของพี่สาวภรรยาท่านซึ่งแยกทางกับพี่เขยมาเลี้ยง ต่อมาท่านจึงมีบุตรชาย 3 คน ชื่อ เนียม เทียน และเหียม เมื่อมีบุตรคนแรกชื่อเนียม ใคร ๆ จึงเรียกท่านว่า พ่อเนียม ตามประเพณีนิยมของคนในท้องถิ่นนั้นที่เรียกร้องกันตามชื่อลูกคนหัวปี ต่อมาบุตรคนแรกของหลวงพ่อ ที่ชื่อเนียม ถึงแก่กรรม เมื่ออายุได้เพียง 5 ปี ท่านจึงได้รับการเรียกขานตามชื่อลูกคนที่สองตราบเท่าทุกวันนี้ บุตรคนที่สองของท่านถึงแก่กรรมลงก่อนที่ท่านจะมรณภาพราว 2 ปีเศษ
เวทย์มนต์คาถา
หลวงพ่อเล่าว่า ช่วงระยะที่หลวงพ่อครองเพศฆราวาสอยู่นั้น ท่านได้ใช้เวทย์มนต์คาถาที่ร่ำเรียนมาจากหลวงน้าอยู่เนือง ๆ สมัยนั้นยังเชื่อเรื่องผีสางกันอยู่มาก บางครั้ง เพื่อนบ้านก็มาขอให้ท่านไปเป็นหมอมนต์ ไล่ผีให้คนเจ็บไข้ได้ป่วย สำหรับในครอบครัว ท่านก็เป็นผู้คุ้มครองคนในบ้าน และญาติพี่น้อง ที่เข้ามาให้คุ้มครอง ซึ่งเรียกว่ามาเข้าของรักษา
หลวงพ่อเล่าว่าในขณะนั้นท่านก็ยังพอใจคาถาอาคม เวทย์มนต์ต่าง ๆ อยู่ อยากมีฤทธิ์เดช อิทธิปาฏิหาริย์ หายตัว ดำดิน มุดน้ำ เหาะได้เหมือนนก ทั้งนี้เนื่องจากท่านได้รับอิทธิพลจากนิทานใบลานหลายเรื่อง อาทิ การะเกด สินชัย สุริวงศ์ แตงอ่อน ลิ้นทอง เป็นต้น
ท่านได้พยายามแสวงหาวิชาอาคมเรื่อยมา เมื่อเรียนกับหลวงน้าจนหมดสิ้นแล้ว ท่านก็แสวงหาครูบาอาจารย์อื่น ๆ ต่อไป หลังจากหลวงน้ามรณภาพแล้ว ท่านได้ข่าวว่ามีอาจารย์ที่เก่งกว่าหลวงน้าอยู่ที่เมืองลาวชื่อยาคูบุญมาดอนพุง ยาคูท่านนี้เลี้ยงนกยูงไว้ ท่านทำปลอกใส่ขานกยูงแล้วปล่อยไป ฝรั่งเอาปืนมายิงก็ยังยิงไม่ออก หลวงพ่อจึงไปอยู่กับยาคูบุญมาพรรษาหนึ่ง
หลวงพ่อเล่าว่าท่านได้ความรู้หรือจะเรียกว่าความโง่จากยาคูบุญมาหลายเรื่อง อันได้แก่ เวทย์มนต์คาถาอยู่ยงคงกะพันต่าง ๆ ที่หลวงพ่อจำได้คือ “โอม ธุลี ๆ นอกมีแผ่นทองกั้นพร้า หน้าผากกูแกร่งปานหิน ตีนกูแกร่งปานเหล็ก ขนแข้งกูเท่าหนามคา ขนขากูเท่าขนเม่น กูจักเต้นไปร้อยโยชน์พันวา พญามนต์ทั้งหลายจงมาบัง มากั้นตนกู”
เมื่อหลวงพ่อไปปฏิบัติธรรมะจนรู้ธรรมะแล้ว หลวงพ่อจึงเข้าใจว่าคอหลวงพ่อไม่มีแผ่นเหล็กแผ่นทอง หน้าผากหลวงพ่อชนโน่นชนนี้ก็ต้องแตก เท้าหลวงพ่อก็ไม่ได้แข็งเหมือนเหล็ก ถ้าเดินไปตามถนนหนทาง เหยียบขวดเหยียบแก้ว ก็ต้องบาด เหยียบหนามก็ต้องตำ ท่านว่า คนโง่สอนคนฉลาดไม่ได้ คนฉลาดสอนคนฉลาดหรือสอนคนโง่ ให้ฉลาดได้
อุปนิสัยในเรื่องการทำบุญู
หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อเป็นนักแสวงบุญตั้งแต่อายุยังน้อย และได้เป็นผู้นำชาวบ้านทำบุญเสมอมา ในขณะนั้นท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านมีคนเคารพนับถืออยู่มาก ท่านเองอายุอยู่ในราว 27-28 ปี ท่านได้ชักชวนญาติพี่น้องเพื่อนบ้านในการทำบุญ แม้แต่ผู้ที่ได้ทำกรรมหนักถึงขั้นอนันตริยกรรม ท่านก็ได้หาโอกาสให้ได้ร่วมทำบุญด้วย
ท่านเล่าว่าการทำบุญที่บ้านของท่านมีหลายวิธี เช่นมีการแจกข้าวตอนพระจำพรรษา ถึงวันพระชาวบ้านจะนิมนต์พระไปแสดงธรรมที่บ้าน ชาวบ้านจะมาร่วมกันทำบุญที่บ้านนั้น มีการตัดใบตองห่อข้าวต้มมัดทำขนมมาแจกกันกิน คนหนุ่มคนสาวมีหน้าที่ทำขนมจีนแจกกันไปกินที่บ้าน มีการจีบหมากจีบพลู มวนบุหรี่ถวายพระ ซึ่งหลวงพ่อได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่านทำไปเพราะท่านยังไม่รู้ หลังจากปฏิบัติธรรมแล้วท่านจึงเข้าใจว่าการถวายหมากพลูบุหรี่แก่พระ ไม่ใช่เรื่องทำบุญ เป็นเรื่องพอกพูนความชั่วให้พระมีความผิด เรียกว่าเอากิเลสไปให้พระ เราอยากละกิเลส แต่เราไม่รู้จักกิเลส เรานึกว่าทำดี การทำดีนี้ หลวงพ่อพูดว่าคนอื่นว่าดีแต่เราเห็นว่ามันไม่ดี ไม่ต้องทำ คนอื่นว่าผิด แต่เราเห็นว่าดี เราต้องทำหลวงพ่อจึงเลิกถวายหมากพลูบุหรี่พระสงฆ์ พร้อมทั้งห้ามคนในครอบครัวของท่านถวายสิ่งของดังกล่าวแก่พระสงฆ์ด้วย สำหรับครอบครัวคนอื่นนั้นหลวงพ่อไม่ได้ห้าม และท่านมิได้สนใจว่าคนอื่นจะเห็นชอบหรือติฉินแต่อย่างใด
ในช่วงระยะเข้าพรรษาคนเฒ่าคนแก่ต้องไปจำศีลที่วัดในวันพระคนหนุ่มคนสาวบางคนก็ไป บางคนก็ไม่ไป ขึ้นอยู่กับศรัทธา ท่านเล่าว่าท่านเองชอบไปวัดเพราะหลวงน้าสอนไว้
เดือนสิบเอ็ด หลังออกพรรษาแล้ว มีการทอดกฐิน ชาวบ้านเริ่มทำกองกฐินกันตั้งแต่ขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 บ้านไหนจะไปทอดกฐินต้องไปปักหมายไว้ที่วัด เรียกว่าไปจอง วัดที่จะรับกฐินได้ต้องมีโบสถ์ ถ้าไม่มีโบสถ์ต้องทำโบสถ์จำลองขึ้นกลางน้ำเรียกว่า สีมน้ำ (สิม : ภาษาถิ่นอีสานแปลว่าโบสถ์)
นอกจากทำบุญกองกฐินแล้วก็มีทำบุญประจำปี คือทำบุญบั้งไฟในเดือน 5 หรือเดือน 6 หลายบ้านมาร่วมกันทำบุญ เรียกว่าใช้ฎีกา ไปฎีกาเก้าบ้าน สิบบ้าน ยี่สิบบ้าน สามสิบบ้าน ปลุกถามรอบวัด มีทั้งคนหนุ่มคนสาวคนแก่คนเฒ่า ทุกบ้านไปรวมกัน นิมนต์พระมาเทศน์ ซึ่งหลวงพ่อเล่าว่าการเทศน์ดังกล่าวเป็นการอ่านจากใบลานเท่านั้น คนหนุ่มคนสาวเล่นหมอลำกันเป็นที่สนุกสนาน ผู้ชายถามปัญหา ผู้หญิงต้องตอบ ใครตอบไม่ได้ก็แพ้ การร้องหมอลำนี้ใช้แคนเป็นดนตรีประกอบ
บุญประจำปีเช่นนี้ต้องมีทุกหมู่บ้าน ตั้งแต่เดือน 5 เดือน 6 จนถึงเดือน 7 เดือน 8 จวนจะเข้าพรรษาจึงหยุด ที่เรียกว่าบั้งไฟนั้นเขาก็จุดเหมือนจรวดขึ้นไป เวลาจุดเสียงดังเหมือนเสียงเครื่องบิน บั้งไฟที่ใช้จุดทำขึ้นขนาดต่าง ๆ กัน เรียกว่า บั้งไฟมะกอก บั้งไฟห่อหมก บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน เมื่อหลวงพ่อรู้ธรรมะแล้ว ท่านจึงให้เลิกการจุดบั้งไฟนี้ทั้งหมด เพราะหากยิงขึ้นไป แล้วตกใส่บ้านเรือนก็อาจเป็นอันตรายกับชีวิตหรือทรัพย์สินได้ ทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองอีกด้วย
นอกจากนี้ก็มีการทำบุญมหาชาติ การเทศน์มหาชาตินี้ต้องเทศน์ให้จบภายในวันเดียว ถ้าไม่จบ ถือว่าได้บุญไม่มาก
หลวงพ่อได้เล่าถึงการทำบุญอีกแบบหนึ่งคือการทำบุญสังฮอม (สำรวม) ธาตุ ซึ่งถือกันว่าหากทำไม่ถูกไฟจะไหม้บ้าน หลวงพ่อไปทำบุญสังฮอมธาตุที่วัดภู ซึ่งเป็นวัดที่หลวงน้าของท่านเคยจำพรรษาอยู่ ปัจจุบันมีเชื่อว่าวัดบรรพตคีรี ของที่ถวายพระในการทำบุญนี้ได้แก่ ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ผ้าไตร มีเทศน์ไม่ยาวนัก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เทศน์จากหนังสือใบลาน 4 ผูก พระที่นิมนต์มาเทศน์ต้องเป็นพระที่เทศน์เก่ง
อาชีพ
หลังจากลาสิกขาบทแล้วหลวงพ่อได้ยึดอาชีพทำนา ทำสวน และค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งหลวงพ่อได้เริ่มทำมาตั้งแต่สึกจากสามเณรแล้ว ต่อมาหลวงพ่อจึงมีเรือกระแชง 7 ลำ ค้าขายขึ้นล่องระหว่างหนองคายและเชียงคาน การค้าขายได้ผลดีขึ้นเรื่อย ๆ หลวงพ่อเล่าว่าบิดาของท่านชำนาญในการเดินเรือค้าขาย แต่ก็ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็ก
ภายหลังมีการตั้งกรมเกษตรขึ้น และมีการสั่งห้ามขนย้ายสินค้าเกษตรกรรมบางชนิด หลวงพ่อจึงได้ไปค้าขายอยู่ที่เมืองลาว แต่ครอบครัวของท่านยังคงอยู่ในเมืองไทย ท่านได้ทำการค้าฝ้ายมีกำไรงดงาม ได้ขายเรือกระแชงและซื้อเรือกลไฟ ทำการค้าขึ้นล่องตามลำแม่น้ำโขง หลวงพ่อเล่าว่า แม้ท่านจะประสบความสำเร็จในการค้าขายเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่มีความสุข แม้เวลาจะนอนก็มีแต่ทุกข์ คิดถึงแต่เรื่องเงินทอง และสินค้าที่จะซื้อจะขาย
เหตุที่ท่านออกแสวงหาสัจธรรม
หลวงพ่อเล่าว่าก่อนที่ท่านจะออกมาปฏิบัติธรรมจนได้รู้ธรรมะตามวิธีของท่านนั้น ท่านได้ทำกรรมฐานมาพอสมควร แต่กรรมฐานก็ไม่อาจช่วยให้หลวงพ่อหมดทุกข์ได้
ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ก่อนที่หลวงพ่อจะออกมาปฏิบัติธรรมนั้นท่านมีความทุกข์อย่างไร
หลวงพ่อเล่าว่า ครั้งหนึ่งคนที่เมืองลาวมาขอให้ท่านนำกฐินไปทอดที่เมืองลาว ในครั้งนั้นมีการทำกฐินถึง 5 กอง เนื่องจากมีหลายบ้านขอร่วมไปทอดด้วย และในการทำกองกฐินจะต้องมีมหรสพ เช่น หมอลำ ภาพยนตร์ให้คนชม หลวงพ่อได้ตกลงกับภรรยาไว้แล้วว่า การใช้จ่ายต่าง ๆ และการจัดหาอาหารให้แขก ยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยาท่าน ตัวท่านเองจะรับอุโบสถศีลและรับแขกทางไกล
ครั้นเวลาเช้า ภรรยาของท่านมาถามท่านว่า จะต้องจ่ายเงินค่าหมอลำเท่าไร ท่านรู้สึกโกรธมาก ท่านเล่าว่า “ มันหนักจนลุกแทบจะไม่ได้ มันตำเข้าในใจ” แต่ท่านข่มอารมณ์ไว้ มิได้แสดงให้ภรรยาของท่านทราบ กลับตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า เป็นหน้าที่ของภรรยาท่าน แต่ความโกรธนั้นยังอยู่ในใจของท่าน
หลังจากนำกฐินไปถวายที่ฝั่งลาว และกลับมารับประทานข้าวมื้อเย็นพร้อมกับภรรยาและบุตรทั้งสอง ท่านได้กล่าวเปรยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าว่า “คนไม่รู้จักเคารพนับถือก็อย่างนี้แหละ”
ท่านกล่าวซ้ำหลายครั้งจนภรรยาของท่านรู้สึกสะดุดใจ เมื่อภรรยาของท่านพาบุตรทั้งสองไปนอนแล้ว จึงมาถามว่า ท่านโกรธที่ถามเรื่องค่าหมอลำใช่หรือไม่ เมื่อท่านตอบว่าใช่ ภรรยาของท่านจึงพูดว่า สามีภรรยาถามกันเรื่องการจับจ่ายใช้สอยถือว่าผิดด้วยหรือ
หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา ท่านรู้ว่าท่านผิด มีมานะทิฐิอยากจะเอาชนะ
ภรรยาของท่านพูดว่า “เจ้าไม่พอใจละสิ โอ ! ข้อยบ่รู้จักเจ้าไม่พอใจ ก็นั่งหน้าตาดีอยู่นี่นะ โอ ! เจ้าตกนรกแล้ว”
หลวงพ่อท่านเห็นจริงตามคำพูดของภรรยาท่าน คำพูดนี้กระทบใจท่านมาก จนท่านถือว่าภริยาของท่านเป็นครูท่าน มีบุญคุณต่อท่านที่สุด
แต่ก่อนท่านไม่เข้าใจว่า ความโกรธนี้เป็นความทุกข์ หนักเหมือนตกนรก ภรรยาของท่านเองก็ไม่เข้าใจแต่พูดไปตามอารมณ์ “เจ้าตกนรกแล้ว แม้ทำกองกฐินก็บ่ได้บุญดอกเจ้า”
หลวงพ่อท่านเล่าว่าท่านเองก็เข้าใจว่า ท่านคงจะไม่ได้บุญเพราะท่านหนักใจอยู่ทั้งวัน เมื่อภรรยาท่านพูดว่าท่านเช่นนี้ ทำให้ท่านสบายใจขึ้น ออกจากความคิดแบบนั้นได้ แต่ยังไม่รู้จักวิธีที่จะออกจากความคิด ท่านคิดในใจว่า หากท่านยังเอาชนะความทุกข์แบบนี้ไม่ได้ ก็จะไม่เลิกละในการปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อคิดถึงเรื่องนี้อยู่เป็นเวลาหลายปี ท่านพยายามทำการซื้อขายให้น้อยลง ในที่สุดท่านตัดสินใจว่าจะไม่ทำมาหากินอีกต่อไป ท่านจึงได้สะสางบัญชีและเงินที่ตกค้างอยู่กับผู้ที่ค้าขายอยู่กับท่านให้เป็นที่เรียบร้อย
หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อท่านจะทำอะไร ท่านต้องคิดเตรียมไว้นาน ๆ ไม่ใช่ปุบปับทำ กว่าท่านจะจัดการเรื่องเงินทองต่าง ๆ เรียบร้อยก็เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี
ในคราวที่หลวงพ่อกลับจากปากลายหรือล้านช้าง ซึ่งเป็นระยะที่หลวงพ่อจะเลิกทำการค้าขายแล้วนั้น หลวงพ่อได้มาพบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งบวชเป็นพระอยู่ ชื่อพระมหาศรีจันทร์ ได้เปรียญ 5 ประโยค อายุอ่อนกว่าหลวงพ่อราว 2-3 ปี พระมหาศรีจันทร์ได้เคยเดินทางขึ้นล่องระหว่างเชียงคานและหนองคาย กับเรือกลไฟของหลวงพ่อ และได้ธุดงค์ไปตามถ้ำ ตามป่าช้า ท่านอยู่ที่ตำบลพันพร้าว ซึ่งเป็นอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายในปัจจุบัน หลวงพ่อได้เคยอุปัฏฐาก ถวายจังหันถวายเพลแก่ท่าน เมื่อท่านเดินทางขึ้นล่องไปกับเรือกลไฟของหลวงพ่อ
เมื่อได้พบกันที่หนองคายครั้งหลังนี้ หลวงพ่อได้คุยกับพระมหาศรีจันทร์เรื่องการทำกรรมฐาน ตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้า หลวงพ่อได้ถามปัญหาพระมหาศรีจันทร์หลายเรื่อง ในที่สุดพระมหาศรีจันทร์ท่านก็บอกหลวงพ่อว่า เรื่องวิปัสสนากรรมฐานนั้น หากจะถามไปเท่าไรก็ไม่มีวันจบสิ้น ผู้ใดอยากรู้ต้องลงมือปฏิบัติเอง
หลวงพ่อท่านได้ครุ่นคิดเรื่องการปฏิบัติที่พระมหาศรีจันทร์กล่าวกับท่านอยู่เป็นเวลากว่า 3 ปี เวลานั้นท่านยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ยังคงแสวงหาอาจารย์ต่อไป
ตัดสินใจออกไปปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อหลวงพ่ออายุได้ 40 กว่าปี ท่านเลิกทำการค้าขายโดยเด็ดขาด ไม่มีงานการอะไรต้องทำ ท่านจึงเฝ้าแต่ครุ่นคิดไม่หยุดหย่อนว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ตาย ไม่เห็นมีอะไรไปด้วย คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ไม่เห็นมีอะไร มีแต่บาปกับบุญ ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจออกปฏิบัติธรรม เพื่อหาทางพ้นทุกข์ให้ได้
ท่านได้บอกความตั้งใจของท่านกับภรรยา ภรรยาของท่านจึงได้จัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้ท่าน ท่านไม่ได้บอกภรรยาของท่านว่าจะไปอยู่ที่ใด และจะไปนานเท่าไร เพียงแต่บอกว่า หากท่านไม่ตายเสียก่อนก็จะกลับมาอีก
เมื่อหลวงพ่อไปถึงตำบลพันพร้าว อำเภอท่าบ่อ ซึ่งเป็นอำเภอศรีเชียงใหม่ในปัจจุบัน ท่านจึงได้ทราบว่า เพื่อนของท่านคือมหาศรีจันทร์ ที่ท่านตั้งใจจะมาศึกษาธรรมะด้วยนั้น ไปจำพรรษาอยู่ที่หลวงพระบาง มีแต่หลวงพ่อวันทอง ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นปลัดอำเภอ ปลดเกษียณแล้วจึงมาบวชเป็นพระ มีพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งชื่ออาจารย์ปาน เป็นผู้สอบอารมณ์ปฏิบัติให้หลวงพ่อ อาจารย์ปานผู้นี้ท่านเป็นชาวลาว อยู่ที่สุวรรณเขต ได้ไปเรียนวิธีติงนิ่ง* และวิธีพองยุบมาจากพม่า
(ติงนิ่ง : การเจริญสติโดยวิธีการเคลื่อนไหว ประกอบคำบริกรรม ติง-นิ่ง เมื่อเคลื่อนมือให้บริกรรม “ติง” เมื่อหยุดให้บริกรรม “นิ่ง” และให้รู้ว่าเคลื่อนไหว หรือ นิ่ง ซึ่งแตกต่างจากวิธีที่หลวงพ่อทำ คือ เมื่อเคลื่อนมืออยู่หรือหยุดอยู่ก็ให้รู้สึกเท่านั้น ไม่มีการแยกแยะว่าเคลื่อนไหวอยู่หรือหยุดอยู่ หรือ ฯลฯ)
เมื่อหลวงพ่อมาถึง หลวงพ่อได้จ้างคนญวนซึ่งมาจากเวียงจันทน์ให้ปลูกกุฏิให้ โดยรื้อยุ้งข้าวมาปลูก ให้ทำกุฏิทำส้วมให้เรียบร้อย
หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเป็นคนพยศ เสื้อผ้าที่จะนุ่งจะใส่ต้องรีดให้เรียบ ถ้าไม่รีด ท่านก็ไม่อยากนุ่งอยากใส่ ท่านจึงได้ว่าจ้างคนให้มาช่วยซักรีดเสื้อผ้า ทำอาหาร ส่งปิ่นโต โดยหลวงพ่อจ่ายเงินให้เดือนละ 300 บาท
แต่ในที่สุดทางสำนักที่หลวงพ่อไปปฏิบัติไม่ยินยอม ด้วยเหตุผลว่า การว่าจ้างคนมาทำงานให้ระหว่างปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้คนอื่นอาจคิดไปว่า ถ้าใครไม่มีเงินก็ไม่สามารถมาปฏิบัติได้ จึงเสนอให้หลวงพ่อมอบเงินให้กับส่วนกลางเพื่อใช้เป็นค่าอาหารสำหรับพระเณรและญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมด้วย
หลวงพ่อท่านก็ยอมตามนั้น แต่ท่านขอให้มีคนซักรีดเสื้อผ้า และขอให้ส่งโอวัลตินกับขนมให้ทุกเช้า ทางสำนักก็ยินยอมตามความประสงค์ของท่าน
ผู้ที่ร่วมปฏิบัติธรรม
ในคราวที่หลวงพ่อไปปฏิบัติธรรมนั้น มีผู้ร่วมปฏิบัติ 30 กว่าคน เป็นพระ 23 รูป โยม 5 คน เป็นผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 3 คน ผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 19 ปี อีก 2 คนอายุ 20 ปี
พระสงฆ์ที่มาปฏิบัติในครั้งนี้ล้วนบวชมาแล้วหลายพรรษา อย่างน้อยที่สุด 2 พรรษา บางรูปบวชมาแล้ว 5 พรรษา บางรูป 8 พรรษา บางรูป 12 พรรษา 15 พรรษาก็มี
หลวงพ่อเล่าว่ามีพระรูปหนึ่ง เป็นพระครูมาจากอำเภอท่าบ่อ ตีตะปูอยู่เรื่อย กุฏิที่เขาสร้างไปแล้ว ท่านก็ไปรื้อไปซ่อมตีตะปูดังโป๊ก ๆ หลวงพ่อท่านก็ได้แต่คิดว่า เมื่อไรจึงจะแล้วเสร็จสักที
โยมที่มาปฏิบัติธรรมอีกคนหนึ่งคือ นายฮ้อย * พ่อมุก ซึ่งมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อและเป็นผู้ให้ความรู้กับหลวงพ่อในเรื่องการทำมาหากิน จนถึงขนาดที่ท่านพูดว่า ทำให้ท่านสามารถทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวได้
(นายฮ้อย หรือ นายร้อย ในภาษาถิ่นอีสานใช้เรียกผู้ที่เป็นพ่อค้า)
หลวงพ่อเล่าว่า นายฮ้อยพ่อมุกชอบมาชวนท่านคุยในขณะที่ปฏิบัติ ภายหลังเมื่อท่านเห็นนายฮ้อยพ่อมุกเดินมาหา ท่านก็รีบเอาผ้าโพกศีรษะแล้วไปเดินจงกรมกลางแดด บริเวณนั้นเป็นท้องนาไม่มีร่มไม้ หลวงพ่อได้จ้างคนญวนยกท้องร่องให้ และทำถนนกลางท้องนา
หลวงพ่อทำเช่นนี้หลายครั้ง นายฮ้อยพ่อมุกจึงคิดว่าหลวงพ่อเกลียด แต่ความจริงแล้วหลวงพ่อไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ท่านเห็นว่า เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วก็ควรจะปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ควรเสียเวลาไปกับการคุยเล่น หรือทำสิ่งอื่นซึ่งไม่เกิดประโยชน์กับการปฏิบัติ
เหตุการณ์หลังจากที่หลวงพ่อรู้ธรรมะ
หลังจากที่หลวงพ่อรู้ธรรมะแล้ว หลวงพ่อยังอยู่ที่วัดรังสีมุกดาราม จนกระทั่งออกพรรษาแล้ว ท่านจึงเดินทางกลับบ้านของท่านที่ตำบลบ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อกลับไปถึงบ้าน ภรรยาของท่านกำลังไม่สบายมาก ล้มป่วยมาตลอด 3 เดือน นับตั้งแต่หลวงพ่อจากบ้านไปปฏิบัติธรรม เมื่อหลวงพ่อจากบ้านไปนั้น ไม่มีใครทราบว่าท่านไปไหน เมื่อน้องชายของท่าน ไปถามกับภรรยาของท่าน และไม่ได้คำตอบว่าท่านเดินทางไปที่ใด น้องชายของท่านจึงเข้าใจผิด คิดระแวงว่า ภรรยาของท่านฆ่าท่านเพราะต้องการมรดก ซึ่งทำให้ภรรยาของท่านเสียใจมาก
ในขณะนั้นภรรยาของท่านยังลุกไม่ได้ แต่ท่านก็ได้บอกกับภรรยาของท่านว่า ความตายเป็นของธรรมดา และท่านได้บอกให้ภรรยาปฏิบัติธรรมตามวิธีที่ท่านได้ปฏิบัติจนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดทันที ภรรยาของท่านมีความเคารพท่านอยู่แล้ว จึงเชื่อฟัง และลงมือปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ
หลวงพ่อเล่าว่า พี่สาวของท่านที่ชื่อ หวัน พิมพ์สอน หรือที่ท่านเรียกว่าป้าหนอม เป็นอีกผู้หนึ่งที่ท่านต้องการให้ปฏิบัติธรรมมากที่สุด ป้าหนอมตกลงจะปฏิบัติ แต่พี่เขยของท่าน คือลุงหนอมไม่ยินยอม หลวงพ่อท่านจึงบอกกับลุงหนอมว่า จะยกที่นาซึ่งเป็นของบิดาท่าน ให้กับลุงหนอม และจะให้ป้าหนอมมาอยู่กับท่าน ทำให้ลุงหนอมโกรธมาก คิดว่าหลวงพ่อดูถูก
หลวงพ่อต้องขอให้ภรรยาของท่านชี้แจงให้ลุงหนอมเข้าใจ ในเวลานั้นบังเอิญบุตรชายของลุงหนอม หรือที่หลวงพ่อเรียกว่าบักหนอม ซึ่งป่วยอยู่สิ้นชีวิตลง หลวงพ่อท่านไม่ยอมไปช่วยงานศพหลาน ท่านให้เหตุผลว่าคนตายแล้วย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะไปช่วย ช่วยไม่ได้ ทำให้ลุงหนอมโกรธท่านมากยิ่งขึ้น
ญาติพี่น้องก็พากันแปลกใจและคิดว่าท่านบ้า แต่ก่อนนี้ท่านเคยคุ้มครองช่วยเหลือญาติพี่น้อง แต่มาบัดนี้ท่านกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หลานตายทั้งคนยังไม่มา ทุกคนจึงพากันโกรธหลวงพ่อกันไปหมด ใครมาตามให้ท่านไปเผาศพหลานชาย ท่านก็ไม่ยอมไป ลุงหนอมนั้นโกรธท่านมาก แต่ไม่แสดงออก
เมื่อเผาศพลูกชายเรียบร้อยแล้ว ลุงหนอมก็มาหาท่าน ซักถามเรื่องวิธีปฏิบัติธรรม อันที่จริงหลวงพ่อท่านได้สอนวิธีปฏิบัติให้ป้าหนอมแล้ว แต่ลุงหนอมต้องการจะทราบจากหลวงพ่อเอง
หลังจากที่ลุงหนอมมาหาหลวงพ่อได้ไม่นาน ลุงหนอมก็เป็นโรคตาเจ็บ ลืมตาไม่ได้ ลุงหนอมได้มาขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเต็มใจช่วย และได้บอกกับลุงหนอมว่า คนเป็นท่านช่วยได้ แต่คนตายท่านช่วยไม่ได้
หลวงพ่อพาลุงหนอมไปรักษาตาที่จังหวัดหนองคาย ครั้นเมื่อหายเป็นปกติแล้ว ลุงหนอมซึ่งเคยสนิทสนมชอบพอกับหลวงพ่อมาก่อนก็กลับมารักใคร่สนิทสนมกับหลวงพ่อเหมือนเดิม ไม่ว่าหลวงพ่อจะพูดอะไรลุงหนอมก็ไม่เคยขัด นอกจากนั้นยังกระตือรือร้นที่จะลงมือปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อแนะนำ ถึงกับบอกกับป้าหนอมผู้เป็นภรรยาว่า “ แม่หนอม เจ้าไม่ต้องทำ ข้อยทำก่อน”
ลุงหนอมปฏิบัติต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 เดือน ก็ได้รู้รูป-นาม และเมื่อปฏิบัติได้ 3 เดือน ก็ได้เห็นความคิด ต่อจากนั้นป้าหนอมก็มาปฏิบัติธรรมโดยหลวงพ่อไม่ได้ชักชวนแต่อย่างใด
หลวงพ่อท่านเล่าว่าท่านฝึกภรรยาของท่านอย่างเข้มงวดกวดขัน แม้จะมีการเปิดอบรมปฏิบัติธรรมไป 2-3 รุ่นแล้ว แต่ภรรยาของท่านก็ยังคงต้องปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ไม่มีการหยุดหรือเลิกรา จะหยุดได้บ้าง แต่ก็น้อยที่สุด
ท่านเล่าให้ฟังด้วยอารมณ์ขันว่า “คนนี้หยุดไม่ได้ ต้องใช้อำนาจบังคับ เป็นราชาธิปไตย” ท่านถือว่าภรรยาของท่านมีอุปการคุณต่อท่านมากที่สุด เนื่องจากคำพูดของภรรยาที่ว่า ความโกรธทำให้ท่านตกนรกแล้ว นั้น เป็นเหตุให้ท่านตัดสินใจแสวงหาสัจธรรม
ในเวลานั้นป้าหนอมพี่สาวของท่านได้รู้รูป-นาม หลังจากปฏิบัติธรรมได้ 1 เดือน 18 วัน อีกทั้งได้รู้ความคิดด้วย จึงมีคนมาปฏิบัติกันมากขึ้น หลวงพ่อจึงเริ่มก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมขึ้น โดยสร้างกุฏิขึ้น 13 หลัง หลังคามุงสังกะสี หลวงพ่อได้ขอความร่วมมือจากเจ้าของโรงเลื่อยเชียงคาน ซึ่งหลวงพ่อเคยให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน เมื่อครั้งที่ท่านยังทำการค้าขายอยู่ รถโรงเลื่อยต้องขนไม้บุกเข้าไปส่งที่ ๆ ดินซึ่งหลวงพ่อเตรียมไว้ เจ้าของโรงเลื่อยถามหลวงพ่อว่าจะเอาไม้ไปทำอะไร หลวงพ่อตอบว่าเอาไปสร้างสำนักวิปัสสนา เจ้าของโรงเลื่อยก็ถามว่า วิปัสสนาเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป
หลวงพ่อใช้เวลาก่อสร้างกุฏิสิบกว่าวันจึงแล้วเสร็จ พร้อมที่จะเปิดการอบรมวิปัสสนา ก่อนการเปิดอบรม หลวงพ่อท่านได้ไปขอพบท่านเจ้าคณะจังหวัดเลย สีหนาทภิกขุ กราบเรียนว่าท่านมีอุดมการณ์ต้องการจะฟื้นฟูหลักพระพุทธศาสนา ท่านเจ้าคณะจังหวัดได้ถามท่านว่าจะทำอย่างไร ท่านกราบเรียนว่าจะเปิดอบรมวิปัสสนา ท่านเจ้าคณะจังหวัดเห็นชอบด้วย และได้เขียนหนังสือเป็นทางการถึงเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย
หลวงพ่อขอเป็นผู้นำหนังสือดังกล่าวไปถวายเจ้าคณะจังหวัดด้วยตนเอง แม้ว่าท่านเจ้าคณะจังหวัดเลยจะทักท้วงว่าการเดินทางลำบาก ถนนยังเป็นลูกรัง ขรุขระกันดารมาก และในขณะนั้น หลวงพ่อก็ได้ขายเรือกลไฟและเรือกระแชงทั้งหมด ที่ท่านมีอยู่ไปแล้ว ที่หลวงพระบาง ก่อนที่ท่านจะออกปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อเดินทางด้วยรถยนต์มาที่จังหวัดอุดรธานี ค้างแรมกับเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ซึ่งท่านเคยจักชอบพออยู่ 1 แล้วจึงเดินทางต่อไปจังหวัดหนองคาย เพื่อกราบเรียนเจ้าคณะจังหวัดหนองคายเรื่องการเปิดสำนักวิปัสสนา หลวงพ่อได้เดินทางไปพบพระสงฆ์หลายรูปที่ท่านรู้จัก เพื่อขอความร่วมมือร่วมใจจากท่านเหล่านั้น ในการเปิดอบรมวิปัสสนา อาทิ กลุ่มของพระมหาไพฑูรย์ ที่ อ.ท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ซึ่งหลวงพ่อก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยชอบการทำบุญ เข้าวัดฟังธรรม มาตั้งแต่ยังหนุ่ม
ท่านได้ข้ามไปเมืองลาว เพื่อพบท่านอาจารย์ปาน และได้ซื้อเครื่องขยายเสียงติดเรือกลไฟ โฆษณาสำนักวิปัสสนามาตลอดริมแม่น้ำโขง มาจนถึงบ้านของท่าน ท่านเล่าว่าในเวลานั้นยังไม่มีใครรู้จักคำว่าวิปัสสนา
เมื่อหลวงพ่อกลับมาถึงบ้าน ท่านได้เปิดอบรมขึ้นเป็นเวลาสิบกว่าวัน ท่านเล่าว่าท่านเสียสละเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ ท่านเตรียมข้าวปลาอาหารไว้รับรองผู้มาปฏิบัติด้วยทุนทรัพย์ของท่าน และท่านคำนวณว่า เงินทองที่ท่านมีอยู่ จะสามารถใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร สำหรับผู้มาปฏิบัติได้เป็นเวลา 3 ปี
ในการจัดอบรมครั้งแรก มีผู้เข้าอบรมทั้งหมดประมาณ 30-40 คน มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เจ้าคณะจังหวัดเลย และเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ได้เดินทางมาร่วมในการอบรมด้วย เมื่อท่านทั้งสองเดินทางกลับไปแล้ว หลวงพ่อก็เป็นผู้สอนการปฏิบัติ มีผู้รู้ธรรมเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อเล่าว่า คนที่ไม่เห็นชอบด้วยก็มี แต่ท่านไม่สนใจ ท่านคิดว่าเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา ท่านไม่หวั่นไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครทั้งหมด ท่านพูดให้ฟังถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของท่านว่า
“โอ้โฮ.....อันตราย หลวงพ่อสู้จริง ไม่ใช่สู้น้อย เรียกว่าลมพัดใบไม้หักไปทั้งหมด แต่หลวงพ่อไม่หัก ทุกคนกลัวทั้งนั้น เพราะหลวงพ่อมีกำลังอยู่แล้ว”
ในช่วงเวลานั้น ท่านยังไม่คิดจะบวชเป็นพระ ด้วยท่านเมตตา ต้องการให้ญาติพี่น้องของท่านได้รูปธรรมมากที่สุด หากท่านบวชเป็นพระแล้วก็ต้องลือว่าตัดขาดจากญาติพี่น้อง ไม่อาจใช้อำนาจบังคับผู้ใด ให้มาปฏิบัติธรรมตามความประสงค์ของท่านได้ ท่านเล่าว่าท่านวางแผนให้ญาติพี่น้องมาปฏิบัติธรรมโดยใช้มรดกเป็นเครื่องต่อรอง
หลังจากที่หลวงพ่อบรรลุธรรมและเป็นฆราวาสอยู่เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือนนั้น ท่านได้เปิดสำนักอบรมวิปัสสนาที่บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน 2 สำนักและที่บ้านนาบอนอีก 2-3 สำนัก แต่ละสำนักต่างก็ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เจ้าคณะอำเภอเชียงคานก็ได้ให้การสนับสนุนหลวงพ่อเป็นอย่างดี
ภรรยาของท่านปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลา 2 ปีกว่าก็ถึงที่สุดของทุกข์ หลวงพ่อเล่าว่าขณะนั้นภรรยาของท่านกำลังเก็บผักอยู่ในสวนครัวเพื่อจะมาต้มรับประทานในตอนกลางวัน เก็บได้ไม่เท่าใดก็พูดขึ้นมาว่า
“โอ๊ย ! ข้อยเป็นหยังหวา...”
หลวงพ่อท่านถามว่า เป็นอย่างไร
ภรรยาของท่านก็ตอบท่านว่า “หมดตัวแล้ว มันจืดหมด จับแขนดูสิ”
หลวงพ่อจึงบอกกับภรรยาของท่านว่า “เอ้า ! อย่าไปดูอย่างนั้น ทำสบาย ๆ อย่าไปยุ่ง”
ภรรยาของท่านบอกท่านว่า “มันหดเข้าไปหมดตัว เหมือนเนื้อถูกเกลือ”
หลวงพ่อจับตัวภรรยาของท่าน ภรรยาของท่านก็บอกว่า สบายแล้ว
ท่านจึงบอกว่า “อย่าไปยุ่งมัน ความทุกข์มันมีที่ตัวเราเอง”.
ภรรยาของท่านได้บอกท่านว่า สบายแล้ว
เมื่อภรรยาของท่านได้รู้ธรรมจนถึงที่สุดของทุกข์แล้ว หลวงพ่อจึงปรึกษากับญาติมิตรว่า ท่านจะละเพศฆราวาส ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่ประการใด หลวงพ่อจึงได้ให้ลูกของท่านเข้ารับการอบรมวิปัสสนาก่อนที่ตัวท่านเองจะบวชเป็นบรรพชิต
ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมในช่วงเวลา 2 ปี 8 เดือน ที่หลวงพ่อเป็นฆราวาสอยู่นั้น มีผู้ที่รูปธรรมเห็นธรรมเป็นจำนวนเท่าใด ท่านตอบว่าที่รู้รูป-นาม นั้นมาเล่าให้ท่านฟังเป็นจำนวนมาก แต่เรื่องหมดเนื้อหมดตัวนั้น น้อยคนที่จะพูด ใน 100 คน จะมีสัก 20-30 คนที่พูดให้ท่านฟัง
อุปสมบทครั้งที่สอง
หลวงพ่อบวชเป็นพระครั้งที่สองเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2503 ที่วัดศรีคุณเมือง ตำบลบ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีพระ วิชิตธรรมาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการชุนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสุบรรณ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุได้ 48 ปี
เมื่อบวชเป็นพระแล้ว หลวงพ่อก็ได้ทำหน้าที่ของท่าน คือสอนธรรมะให้ทั้งพระสงฆ์และญาติโยม ท่านเล่าว่าท่านสอนไปทุกที่ ไม่จำกัดว่าอยู่ในวัดหรือกุฏิ แม้แต่คนเดินอยู่บนถนน ถ้าถามท่าน ๆ ก็แนะนำให้ หรือบางครั้ง ท่านก็ยังเคยเป็นผู้ถามนำขึ้นก่อนก็มี ท่านมักจะถามผู้ที่ได้พบปะสนทนากับท่านว่า เขาผู้นั้นมีความทุกข์เดือดร้อนอะไรบ้าง ถือศาสนาพุทธมากี่ปีแล้ว และความทุกข์ลดน้อยลงไปบ้างหรือไม่ หรือยังคงมีความทุกข์อยู่ตามเดิม เพราะหากยังมีความทุกข์อยู่ตามเดิม แสดงว่ายังไม่เข้าใจหลักพุทธศาสนา เพียงเข้าใจหลักศีลธรรม ศาสนาศีลธรรม ไม่ใช่เป็นพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาสอนให้คนมีปัญญา กำจัดเหตุแห่งทุกข์ลงได้
หลวงพ่อสอนธรรมะแก่พระสงฆ์และญาติโยมอยู่ที่บ้านเกิดของท่านราวปีกว่า ท่านจึงย้ายเข้ามาอยู่ในอำเภอเชียงคาน ขณะนั้น หลวงพ่อตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ที่อำเภอเชียงคาน 2 แห่ง คือที่วัดสันติวนาราม และที่วัดโพนชัย นอกจากนั้น หลวงพ่อยังได้ข้ามไปเปิดสำนักอบรมวิปัสสนาที่เมืองลาวอีกแห่งหนึ่งด้วย
ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
หลังจากที่หลวงพ่อเปิดอบรมวิปัสสนาอยู่ระยะหนึ่ง ก็เริ่มมีผู้กล่าวหาว่าหลวงพ่อเป็นคอมมิวนิสต์ เนื่องจากคำสั่งสอนของหลวงพ่อชัดแย้งกับสิ่งที่คนเหล่านั้นประพฤติปฏิบัติอยู่ หลวงพ่อท่านสอนให้เลิกละธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว มิได้เกื้อกูลต่อการสร้างบุญสร้างกุศลแต่อย่างใด เช่นการฆ่าวัวฆ่าควาย หรือการเลี้ยงสุรา เครื่องดองของเมา การเล่นการพนันในงานบุญ
ท่านกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวไม่ใช่บุญ แต่เป็นบาป ผู้ที่ไม่เข้าใจ จึงกล่าวหาว่า ท่านลบล้างขนบธรรมเนียมประเพณี
หลวงพ่อเล่าว่า บางคนไม่เข้าใจเรื่องการทำบุญ คนประเภทนั้นเมื่อไม่รู้จักบุญ ก็ย่อมเอาบุญไม่ได้ หรือทำบุญ แต่อาจกลายเป็นบาปไปได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อญาติโยมมีศรัทธาช่วยกันสร้างโบสถ์หรือกุฏิขึ้น ความรู้สึกศรัทธา ยินดีในสิ่งที่ทำนั้น ทำให้ใจเป็นสุข นับว่าเป็นบุญ แต่เมื่อลงมือสร้างไปได้สักระยะหนึ่ง มีเรื่องทะเลาะวิวาทบาดหมางใจกัน ก็กลับกลายเป็นบาปไปแล้ว เราจึงได้บุญในขณะที่เราดีใจ แต่ในขณะที่โกรธขึ้นมาความดีใจหรือบุญนั้นก็หมดไป
หลวงพ่อเปรียบเทียบให้ฟังว่า สมมุติเราปลูกบ้านหลังหนึ่ง สวยงามถูกใจเราทุกอย่าง เราขนของเข้าไปอยู่สักระยะหนึ่ง แล้ววันหนึ่ง เราก็เอาน้ำมันก๊าดสักปี๊บหนึ่งเทราดบนพื้นแล้วจุดไฟเผาบ้านหลังนั้น ไม้ขีดก้านเดียวนั้นก็เผาบ้านหลังใหญ่นั้นได้ทั้งหลัง จะ
ใช้เป็นที่คุ้มแดดคุ้มฝนต่อไปอีกไม่ได้ การทำบุญก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ทำเราดีใจ แต่เมื่อโกรธขึ้นมาครั้งเดียว บุญที่ทำหมดแล้ว ดังนั้น การทำบุญ กับการรักษาบุญนั้นไว้ จึงเปรียบเทียบได้กับการปลูกบ้านและการรักษาบ้าน การรักษาบ้านให้มีสภาพดีอยู่เสมอนั้น ต้องใช้เวลานาน จึงนับว่าเป็นภาระผูกพันมากกว่าการปลูกบ้าน ดังนั้นเมื่อทำบุญแล้วก็ต้องรักษาบุญนั้นไว้ให้ได้
หลวงพ่อท่านเล่าว่า ท่านสอนเช่นนี้ คนมีปัญญาฟังแล้วเข้าใจ แต่คนไม่มีปัญญา ฟังแล้วไม่เข้าใจ คนฟังธรรมะของท่านมี 3 ประเภท
ประเภทที่หนึ่ง ฟังแล้วเข้าใจ ส่งเสริมสนับสนุนท่าน ช่วยท่าน
ประเภทที่สอง ฟังแล้วกลายเป็นฝ่ายตรงข้าม หาวิธีกลั่นแกล้ง ขัดขวาง
ประเภทที่สาม ฟังแล้วก็แล้วไป ไม่มีความสนใจแต่ประการใด
พวกนี้ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของหลวงพ่อ ก็สงสัยว่า หลวงพ่อคงจะเป็นคอมมิวนิสต์ และได้เงินมาจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เอาเครื่องบินมาสอบสวนหลวงพ่อ ติดตามหลวงพ่อ และไปสอบถามตามบ้านต่าง ๆ ชาวบ้านแถบนั้น ซึ่งมีทั้งผู้ที่ปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ และทั้งผู้ที่มิได้ปฏิบัติธรรม ต่างก็ให้การตามความเป็นจริงว่า หลวงพ่อท่านไปปฏิบัติธรรมตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส เมื่อกลับมาบ้านแล้วท่านก็สอนธรรมะอยู่ราว 2 ปีเศษจึงได้บวชเป็นพระ และไว้สอนธรรมะเรื่อยมา แต่คำสอนของท่านนั้นแรงขึ้นกว่าเดิม เช่น ท่านชอบพูดว่า คนไม่รู้จักบุญ เอาบุญไม่เป็น คนไม่รู้จักบาป จะหลีกบาปไม่ได้ เมื่อครั้งท่านเป็นฆราวาสก็เป็นผู้ที่ทำบุญทำกุศลอยู่เป็นนิจ
เจ้าหน้าที่ได้สอบถามไปทั่ว ๆ ทั้งคนหนุ่มคนสาวคนเฒ่าคนแก่ ต่างก็ให้การเป็นเสียงเดียวกันหมด
หลวงพ่อท่านไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ในเรื่องที่ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ท่านยังคงยืนหยัดสั่งสอนธรรมะตามแนวของท่านเรื่อยไป ท่านกล่าวว่าเมื่อเราทำดี คนอื่นว่าชั่วก็เป็นเรื่องของเขา ในทำนองเดียวกันเมื่อเราทำชั่ว แต่เขาชมว่าเราทำดี เราก็ไม่ได้ดีไปตามปากเขาเช่นกัน เรื่องคำพูดจึงเป็นเพียงเรื่องสมมุติ
หลวงพ่อพยายามสอนให้คนที่ไม่เข้าใจ ได้มาเข้าใจว่า บุญนั้นคือความพอดี เหมือนกับเมื่อเราจะปลูกบ้าน เราต้องรู้เรื่องฐานราก ต้องรู้ว่าเสาเข็มขนาดไหน จะรับน้ำหนักได้เพียงใด ต้องรู้ว่าจะต้องใช้ไม้ขนาดเท่าไร ถ้าจะใช้ไม้ยาว 2 เมตร แต่ตัดมา 2 เมตรครึ่ง ที่เหลือก็เสียประโยชน์ ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่าไม่รู้จักความพอดี ถ้าเรา พอดี ใครพูดอะไรมาก็ย่อมรู้ แต่ถ้าใครมาชมเราแล้วเราดีใจ หรือใครมาตำหนิเรา เราก็เสียใจ แสดงว่าเรายังไม่พอดี จะเรียกว่ามีบุญไม่ได้เพราะยังเอียงซ้ายเอียงขวาอยู่ หวั่นไหวไปกับคำพูดซึ่งเป็นเรื่องสมมุติ เราต้องอยู่ด้วยความพอดีหรือความปกติ บุญคือปกติ ศีลคือปกติ บุญคือพอดี ศีลคือพอดี ถ้าไม่พอดี ไม่ปกติ ก็แสดงว่ายังไม่มีบุญ ยังไม่มีศีล
ท่านเล่าว่า การที่ท่านพูดเช่นนี้ พวกที่ไม่เข้าใจก็ว่าท่านพูดรุนแรง ธรรมะสูงเกินไป แต่หลวงพ่อก็ยังคงยืนยันคำสอนของท่านเช่นนี้ ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ได้ไปขอสอบสวนเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะอำเภอ แต่ท่านทั้งสองก็ได้ยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ว่า หลวงพ่อไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เพียงแต่คนฟังธรรมะของท่านไม่เข้าใจ
หลวงพ่อเล่าว่าเจ้าคณะอำเภอ ได้เอาจดหมายที่มีผู้บอกให้ท่านขับไล่หลวงพ่อ ให้หลวงพ่อดู สิบกว่าฉบับ ทั้งเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะอำเภอต่างสนับสนุนให้หลวงพ่อปฏิบัติหน้าที่สอนธรรมะของท่านต่อไป และในเมื่อชาวบ้านต่างให้การตามความเป็นจริง เรื่องที่ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์จึงค่อย ๆเงียบลงและเลิกราไปในที่สุด
ผีผานกเค้า
พรรษาที่ 4 หลวงพ่อไปจำพรรษาที่ตำบลผานกเค้า จังหวัดเลยได้พบสามเณร 2 รูปชื่อ เณรสมัคร และเณรรอด หลวงพ่อได้เณรทั้งสองมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อมีข้าวสุกที่บิณฑบาตเหลือจากฉัน หลวงพ่อก็ให้เณรเอาไปตากแห้งแล้ว.เอาไปขาย ได้เงินมากให้เอาไปให้พ่อแม่ของเณร หลวงพ่อบังคับให้เณรทั้งสองรูปเดินจงกรม เณรก็มีความเพียรในการปฏิบัติ จึงได้รู้ธรรมะขึ้น หลวงพ่อพาเณรทั้งสองไปดูผานกเค้า ในสมัยนั้นเป็นที่ร่ำลือกันว่า ผีผานกเค้านั้นมีอิทธิฤทธิ์มาก รถที่ผ่านผานกเค้าต้องเอาไก่ย่างและสุราไปเซ่นสรวง จึงจะเดินทางโดยปลอดภัย
โยมแม่ของเณรก็เกรงกลัวผีผานกเค้า หลวงพ่อท่านจึงให้เณรบอกกับโยมแม่ของเณรว่า ผีตาปู้ ผีผานกเค้ากลัวเณร ต้องกราบเณร โยมแม่ของเณรก็ยิ่งโกรธหนักขึ้น ต่อมาหลวงพ่อจึงพาเณรทั้งสองหนีมาอยู่ในตัวจังหวัดเลย โยมแม่ของเณรตามหาไม่พบ จึงไปกราบเรียนถามกับเจ้าคณะอำเภอ ได้ความจากเจ้าคณะอำเภอว่า เณรไปอยู่กับหลวงพ่อเทียนที่ในเมือง ถ้าจะไปหาลูกชายต้องปฏิบัติธรรมก่อน โยมแม่ของเณรจึงได้ปฏิบัติธรรมและรู้ธรรมะขึ้น จึงได้เลิกความเชื่องมงายเรื่องผีผานกเค้า
หลวงพ่อท่านจึงได้พูดให้ชาวบ้านที่ผานกเค้าฟังว่า
“ผีผานกเค้ามันจะไปศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร เอาไก่ย่างเอาอะไรให้กิน ก็กินไม่เป็น ผีมันโง่ขนาดนี้แล้ว แต่คนยิ่งโง่กว่าผีอีก สุนัขยังไม่เคยกลัวผี มืดค่ำแล้วมันก็ยังเข้าไปในป่าช้า ป่าเหวได้ แต่คนกลับกลัวผี จิตใจคนจึงแย่กว่าสุนัข”
หลวงพ่อเล่าว่า บางคนฟังแล้วก็ได้สติ เลิกเชื่อถืองมงาย แต่บางคนฟังแล้วกลับโกรธ หลวงพ่อท่านให้เณรพาเด็กคนหนึ่งไปรับประทานของที่คนเอามาเซ่นผีผานกเค้า เณรและเด็กจัดการกับอาหารที่เซ่นผีผานกเค้าเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้น ความงมงายเกี่ยวกับผีผานกเค้าจึงลดน้อยลง รถ 10 คันจะนำของไปเช่นสรวงผีผานกเค้าไม่เกิน 3 คัน
ปัจฉิมวัย
นับเป็นเวลากว่า 30 ปีที่หลวงพ่อได้มานะบากบั่น อบรมสั่งสอนธรรมะ แก่เพื่อนมนุษย์ โดยมิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยากและอุปสรรคใด ๆ ปฏิปทาข้อนี้ของท่าน ย่อมเป็นที่ซาบซึ้งใจแก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี
หลวงพ่อเริ่มมีอาการอาพาธด้วยโรคมะเร็งมาตั้งแต่ต้นปี 2525 โดยก่อนมีอาการอาพาธปวดท้องอยู่เนือง ๆ
ในระหว่างที่ท่านโปรดลูกศิษย์ที่ประเทศสิงคโปร์ครั้งแรก เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 นั้น ท่านมีอาพาธปวดท้องอย่างรุนแรง จนถึงกับต้องลงนอนเหยียดยาวกับพื้นทันทีที่ท่านกลับเข้ามาในที่พัก หลังจากที่ท่านเดินจงกรมบนถนนหน้าบ้านพัก ท่านจำเป็นของเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ ถึงกระนั้น ท่านก็ยังคงเมตตาสั่งสอนชาวสิงคโปร์ผู้สนใจในการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด
และในคราวที่ท่านรับนิมนต์ไปโปรดลูกศิษย์ชาวสิงคโปร์ครั้งที่สองเมื่อเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น อาการของโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ปรากฏขึ้นอย่างเฉียบพลัน ท่านจำเป็นต้องเดินทางกลับเพื่อเข้ารับการผ่าตัดโดยทันทีตามคำแนะนำของคณะแพทย์ชาวสิงคโปร์
หลวงพ่อได้รับการผ่าตัดครั้งแรกที่โรงพยาบาลศิริราช หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ท่านจึงได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลสมิติเวช จากการผ่าตัดครั้งที่สองนี้ แพทย์พบว่าโรคมะเร็งได้ลุกลามไปมากแล้ว แม้กระนั้นหลวงพ่อท่านก็มิได้เคยแสดงให้เห็นถึงทุกขเวทนาแต่อย่างใด
เมื่อต้นปี 2529 ท่านจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอีกครั้ง เนื่องจากแพทย์ตรวจพบว่ามีโรคมะเร็งเกิดขึ้นอีกที่ลำไส้ หลังจากนั้นท่านก็ยังคงได้รับการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอ จากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลสมิติเวช
แม้ว่าท่านจะอาพาธด้วยโรคที่มีความรุนแรงถึงชีวิต และก่อให้เกิดวิบากของสังขาร ซึ่งดูเหมือนว่าจะหนักหนาเกินกว่าจะกล่าว สำหรับคนทั่วไป แต่หลวงพ่อยังคงดำเนินชีวิตของท่านด้วยความปกติ ปกติทั้งกายและใจ ท่านยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้ได้รูปธรรมมากที่สุดเท่าที่ท่านสามารถจะทำได้ การเผยแพร่ธรรมะในระยะหลังนี้จึงเป็นไปอย่างกว้างขวาง
แม้ว่าในช่วงปีสุดท้ายนี้สุขภาพของหลวงพ่อจะทรุดโทรมลงอย่างน่าเป็นห่วง แต่ท่านก็ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจของท่านในการปรับปรุงเกาะพุทธธรรม ทับมิ่งขวัญให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ที่จะก่อประโยชน์สูงสุด ให้แก่ผู้ปฏิบัติ
พรรษาสุดท้าย ท่านจึงไปจำพรรษาอยู่ที่ทับมิ่งขวัญ จังหวัดเลย แม้ว่าท่านจำเป็นต้องเดินทางมากรุงเทพฯ ถึงเดือนละ 2-3 ครั้งเพื่อรับการตรวจรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ท่านสู้ทนตรากตรำด้วยเมตตาธรรม หวังจะสร้างเกาะพุทธธรรม ให้เป็นที่ผลิตผู้รู้ธรรมะ ออกไปอบรมสั่งสอนเพื่อนมนุษย์ ท่านเคยพูดว่า ต่อไปภายหน้า เกาะพุทธธรรมนี้จะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ไม่แพ้ที่ใด
ปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 หลวงพ่ออาพาธด้วยโรคนิวมอเนีย ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเลย และกลางเดือนสิงหาคม ขณะที่เดินทางกลับจากจังหวัดเลย หลวงพ่อถูกฝน ต่อมามีไข้สูงและอ่อนเพลียลง แพทย์ตรวจพบว่า หลวงพ่ออาพาธด้วยโรคปอดบวม จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะเดียวกันอาการของโรคมะเร็งได้กำเริบหนักขึ้น สุขภาพของหลวงพ่อทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เป็นที่วิตกห่วงใยแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ แม้จะทราบดีว่าสภาวะจิตของท่านนั้นอยู่เหนือวิบากทั้งปวงของสังขารแล้วก็ตามที
วันหนึ่งศิษย์ที่เฝ้ารักษาพยาบาลได้กราบเรียนถามท่านว่า
“หลวงพ่อมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ไม่มีทุกข์ ใช่ไหม ขอรับ”
ท่านยิ้มและตอบว่า “ใช่”
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2531 หลวงพ่อออกจากโรงพยาบาล และกลับมาพำนักที่วัดสนามใน
วันที่ 6 กันยายน ท่านปรารภว่าจะกลับไปจังหวัดเลย บรรดาศิษย์ได้กราบเรียนทักท้วงว่า หากท่านเดินทางไปจังหวัดเลยในขณะนั้น ท่านก็จะต้องเดินทางกลับมากรุงเทพฯ อีกในวันที่ 13 กันยายน เพื่อรับการตรวจร่างกายตามที่แพทย์นัด แต่หลวงพ่อกล่าวว่าท่านจะไม่กลับมาอีก
และในวันที่ 7 กันยายน หลวงพ่อได้มอบหมายให้พระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นผู้พยาบาลท่าน ติดต่อให้ศิษย์ที่ใกล้ชิด จองตั๋วเครื่องบินไปจังหวัดเลยเที่ยวบินวันที่ 9 กันยายน โดยก่อนให้จองตั๋วเที่ยวไปเท่านั้น เพราะท่านจะไม่กลับมาอีก ทั้งนี้ท่านกำชับมิให้บอกผู้ใด
ต่อมาเมื่อญาติโยมและบรรดาศิษย์ได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อจะเดินทางกลับจังหวัดเลย ต่างพากันทราบเรียนขอร้องมิให้ท่านเดินทางไปจังหวัดเลย ท่านกล่าวว่า
“โรครักษาได้ แต่ชีวิตรักษาไม่ได้”
วันที่ 9 กันยายน หลวงพ่อเดินทางกลับจังหวัดเลย โดยมีศิษย์ที่เป็นพระภิกษุและที่เป็นฆราวาสกลุ่มหนึ่งเดินทางไปส่งท่าน ในขณะนั้นอาการของหลวงพ่อทรุดหนัก จนเป็นที่น่าวิตกว่า ร่างกายของท่านอาจจะไม่สามารถทนต่อความกระทบกระเทือนจากการเดินทางได้
เมื่อเดินทางถึงทับมิ่งขวัญ จังหวัดเลย หลวงพ่อปฏิเสธที่จะฉันยาทุกชนิด แม้ว่าหลวงพ่อจะมีวิบากของสังขารหนักหนาปานใด ท่านก็ยังเมตตาแสดงธรรมโปรดญาติโยมและศิษย์ที่มาเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2531 เวลา 18.15 น. หลวงพ่อได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ศาลามุงแฝกของเกาะพุทธธรรม ทับมิ่งขวัญ สถานที่ปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต
สถานที่ที่หลวงพ่อจำพรรษาตามลำดับเวลา
พรรษาที่ 1 พ.ศ. 2503 |
วัดบรรพตคีรี หรือนาย่าหนอม บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย |
พรรษาที่ 2-3 พ.ศ. 2504-2505 |
เมืองลาว |
พรรษาที่ 4 พ.ศ. 2506 |
ผานกเค้า พบพระอาจารย์มหาบัวทอง พุทธโฆสโก |
พรรษาที่ 5 พ.ศ. 2507 |
วัดโนนสวรรค์ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย |
พรรษาที่ 6 พ.ศ. 2508 |
วัดบรรพตคีรี |
พรรษาที่ 7-11 พ.ศ. 2509-2513 |
ป่าพุทธยาน จังหวัดเลย |
|
เริ่มก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรม ณ สถานที่แห่งนี้ ปัจจุบันป่าพุทธยานเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยครู จังหวัดเลย และป่าพุทธยานได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านกำเนิดเพชร อำเภอเมือง จังหวัดเลย |
|
พบพระอาจารย์บุญธรรม ปลายปี พ.ศ. 2509 |
|
พบพระอาจารย์ทอง อาภากโร และพระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ พ.ศ. 2510 |
พรรษาที่12-14 พ.ศ. 2514-2516 |
วัดโมกขวนาราม ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในขณะนั้นหลวงพ่อกำลังแสวงหาสถานที่สำหรับเผยแพร่ธรรมอยู่ บังเอิญมีกุฏิว่างอยู่หลังหนึ่ง ชาวบ้านหัวทุ่งและคำไฮ จึงได้ถวายกุฏิหลังนั้นให้หลวงพ่อจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่หา ระยะนี้เองที่ธรรมะและวิธีปฏิบัติของหลวงพ่อเริ่มแพร่หลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น |
พรรษาที่ 15 พ.ศ. 2517 |
เวียงจันทน์ ประเทศลาว |
พรรษาที่ 16-17 พ.ศ. 2518-2519 |
วัดชลประทาน อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีญาติโยมนิมนต์หลวงพ่อมาจำพรรษาที่วัดสนามใน* ตำบลชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ซึ่งในขณะนั้นเป็นวัดร้าง หลวงพ่อเริ่มมาดูสถานที่ หักร้างถางพง ปลูกกุฏิตอนปลายปี พ.ศ. 2519 และท่านได้มอบหมายให้พระอาจารย์ทองล้วน อธิปญฺโญ มาอยู่ก่อนที่ท่านจะมา |
พรรษาที่ 18-19 พ.ศ. 2520-2521 |
วัดสนามใน |
พรรษาที่ 20 พ.ศ. 2522 |
วัดสวนแก้ว อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี |
พรรษาที่ 21-23 พ.ศ. 2523-2525 |
วัดสนามใน |
พ.ศ. 2525 หลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปเผยแพร่ธรรมะที่ประเทศสิงคโปร์ 2 ครั้ง และในปีนี้เองที่ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร | |
พรรษาที่ 24 พ.ศ. 2526 |
วัดโมกขวนาราม |
ต้นปี 2526 หลวงพ่อได้ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมทับมิ่งขวัญ* ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย | |
พรรษาที่ 25-28 พ.ศ. 2527-2530 |
วัดสนามใน |
|
ต้นปี 2529 หลวงพ่อเริ่มปรับปรุงเกาะพุทธธรรม ซึ่งอยู่ถัดจากทับมิ่งขวัญ ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม |
พรรษาที่ 29 พ.ศ. 2531 |
สำนักทับมิ่งขวัญ |
|
หลวงพ่อตัดสินใจจำพรรษา ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้าย ณ สถานที่นี้ เพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดของท่านในการอบรมสั่งสอนธรรมะแก่ศิษยานุศิษย์และ ควบคุมดูแลการปรับปรุงเกาะพุทธธรรม เพื่อให้เป็นสถานที่ผลิตผู้รู้ธรรม ออกไปสั่งสอนธรรมะแก่บุคคลทั่วไปสืบไป |
* วัดสนามใน แต่เดิมเป็นวัดร้าง ขณะที่หลวงพ่อจำพรรษาและสอนปฏิบัติธรรมที่วัดชลประทาน ได้มีญาติโยมกลุ่มหนึ่งนิมนต์หลวงพ่อให้มาพัฒนาวัดร้างนี้ เพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป็นที่สงบสงัดห่างไกลจากชุมชน ขณะนั้นวัดร้างแห่งนี้และบริเวณโดยรอบยังเป็นป่าทึบและดงหวาย มีงูพิษชุกชุม เมื่อหักร้างถางพงแล้วจึงพบกองอิฐเป็นหย่อม และเสาโบสถ์ แสดงให้เห็นว่า เคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์และศาลามาก่อน หลวงพ่อได้มาช่วยก่อสร้างกุฏิ ซึ่งต่อมาเป็นที่พำนักของท่านเจ้าอาวาส ด้วยตัวของท่านเอง
* ทับมิ่งขวัญ ก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นปี พ.ศ. 2526 โดยศิษย์กลุ่มหนึ่งได้มาซื้อที่ดินราว 3 ไร่เศษ ตามดำริของหลวงพ่อ และได้ปลูกสร้างเรือนไม้หลังย่อม ๆ ไว้เป็นที่ปฏิบัติธรรม
ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com