หลวงพ่อเขมธัมโม
ประวัติ วัดป่าสันติธรรม ประเทศอังกฤษ
เมื่อตอนที่ผมได้เดินทางไปเยือนประเทศอังกฤษ มีโอกาสไปเยี่ยมชมวัดไทยใกล้กรุงลอนดอน 2 วัด คือ วัดพุทธปทีป กับ วัดป่าสันติธรรม... กลับมาหลายเดือนแล้วยังไม่ได้เขียนถึงเลย วันนี้ได้ฤกษ์ดีแล้ว จึงขอนำเสนอเสียที
ขอเริ่มที่ วัดป่าสันติธรรม ก่อน วัดนี้มีชื่อและที่ตั้งดังนี้ The Forest Hermitage Lower Fulbrook nr Sherbourne Warwick CV 35 8 AS England
วัดนี้เป็นวัดที่ลูกศิษย์ "หลวงพ่อชา" วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ไปจัดตั้งขึ้น คือ หลวงพ่อเขมธัมโม ซึ่งเป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด
โดยปกติ หลวงพ่อเขมธัมโม จะไม่อยากพูดถึงประวัติความเป็นมาของตัวท่านเองมากนัก แม้แต่ชื่อเดิมของท่าน โดยท่านให้เหตุผลว่า ตอนนี้ท่านเป็น "พุทธบุตร" โดยแท้แล้ว มีนามฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า "เขมธัมโม" ขอให้รู้จักท่านในชื่อนี้ก็แล้วกัน ลูกศิษย์และผู้ที่เคยไปกราบไหว้ท่านจึงรู้จักท่านในชื่อ "หลวงพ่อเขมธัมโม" ตลอดมา
ตามประวัติโดยสังเขปของท่าน ทราบเพียงสั้นๆว่า ท่านเกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2487 ทางตอนใต้ของอังกฤษ เข้ารับการศึกษาตามเกณฑ์บังคับ พอถึงอายุ 17 ปีได้เข้าศึกษาต่อด้านการแสดงที่โรงเรียน Central School of Speech & Drama ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนการแสดงที่ดีที่สุดของประเทศนี้
2 ปีต่อมา ท่านได้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งศูนย์การแสดง Drama Centre London ในกรุงลอนดอน โดยใช้เวลาตรงนั้น 1 ปี ก่อนที่จะออกจากกลุ่มเพื่อไปตั้งกิจการบริษัทโรงภาพยนตร์ของตัวเอง
ต่อมาในฤดูใบไม้ผลิ ปี พ.ศ.2508 ท่านได้ออกเดินทางตระเวนทั่วสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 4 เดือน และใน ปี พ.ศ.2509 ท่านได้เข้าร่วมทำงานในบริษัท National Theatre Company อยู่กับบริษัทนี้เป็นเวลา 3 ปีครึ่ง ในช่วงนั้นท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนเกิดความสนใจมาก จึงหันมานับถือศาสนาพุทธ และได้ตัดสินใจที่จะมาเมืองไทย เพื่อบำเพ็ญภาวนาในทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มตัว จึงได้ขายบ้านหลังหนึ่งที่เคยซื้อไว้ในอังกฤษ
หลวงพ่อเขมธัมโม เล่าว่า ความประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้เพื่อเป็นการแสวงบุญโดยแท้จริง การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลครั้งนั้นได้ผ่านหลายประเทศอาทิ อิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย
สำหรับที่อินเดีย ท่านได้ใช้เวลา 2 เดือนในการเดินทางแสวงบุญไปยังสังเวชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนา จากนั้นจึงได้เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทย เมื่อราวต้นเดือนธันวาคม ปีพ.ศ.2514 แล้วได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมหาธาตุฯ ในกรุงเทพฯ ต่อมาในช่วงปีใหม่พ.ศ.2515 ท่านจึงได้ไปยัง จ.อุบลราชธานี
หลวงพ่อเขมธัมโม มีความเคารพศรัทธาเลื่อมใสในหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง มากเป็นพิเศษ เพราะได้ยินชื่อเสียง เกียรติคุณของหลวงพ่อชา มาตั้งแต่ยังอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยท่านได้เขียนบันทึกเป็นหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง ชื่อ "รำพึงถึงความหลังกับพระอาจารย์ชา" โดยสรุปได้ว่า
เมื่อตอนที่ท่านกำลังจะเดินทางมาบวชในประเทศไทย ซึ่งช่วงนั้น หลวงพ่อชา ยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนัก แต่ได้มีพระรูปหนึ่งซึ่งขณะนั้น กำลังพักอยู่ที่วัดไทยในกรุงลอนดอน ได้รู้จักหลวงพ่อชา มาก่อนแล้ว พระรูปนั้นได้แนะนำว่าท่านว่า เมื่อมาถึงเมืองไทยควรจะไปหาหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ให้ได้
ต่อมาเมื่อท่านได้มาถึงเมืองไทยแล้ว และได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กทม. ปรากฏว่าพระภิกษุที่ท่านได้รู้จักในกรุงลอนดอนรูปนั้นก็ได้มาถึงเมืองไทยเช่นกัน และได้อยู่ควบคุมดูแลการบวชเณรของท่านด้วย
พระภิกษุรูปนั้นได้คะยั้นคะยอที่จะพาท่านไปกราบ หลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง ก่อนที่ท่านจะออกเดินทาง ท่านได้ออกไปยืนบนถนนอันวุ่นวายคับคั่งของกรุงเทพฯ เมื่อมองออกไปไกลก็ได้แลเห็นเพื่อนสนิทเก่าแก่คนหนึ่งซึ่งท่านเคารพเชื่อถือในความคิดเห็นตัดสินของเพื่อนท่านผู้นั้นมาก ตอนนี้ท่านผู้นั้นได้บวชเป็น พระสงฆ์ครองผ้าเหลือง มาแล้วเป็นเวลานานพอสมควร
และจากการได้เยี่ยมเยือนวัดมาหลายแห่ง พระสงฆ์รูปนี้ได้บอกท่านอย่างมั่นอกมั่นใจว่า สถานที่ดีที่สุดสำหรับ การบวชและฝึกอบรมเป็นพระภิกษุนั้นก็คือกับพระอาจารย์ชา วัดหนองป่าพง
ดังนั้นในวันขึ้นปีใหม่ หลวงพ่อเขมธัมโม กับพระสงฆ์ไทยจากลอนดอนก็ได้เดินทางไปยังจ.อุบลราชธานี และได้เข้าไปกราบนมัสการ หลวงพ่อชา ณ วัดหนองป่าพงเป็นครั้งแรก
หลวงพ่อเขมธัมโม บันทึกถึงตอนนี้ว่า "...หลวงพ่อชา เดินลงบันไดมา ท่านนั่งขัดสมาธิบนม้านั่ง ยกสูงทำด้วยไม้แข็ง อยู่ต่อหน้าเราพร้อมกับจิบน้ำชาจากแก้วไปด้วย ขณะกำลังคุยกับเรา ท่าทางท่านดูเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยิ้มแย้มร่าเริง เราได้พยายามสื่อสารอย่างเต็มที่กับท่าน โดยมีพระไทยซึ่งไม่สู้จะคล่องภาษา (อังกฤษ) นักช่วยเป็นล่าม...."
หลวงพ่อเขมธัมโม บันทึกต่อไปอีกว่า...เมื่อหลวงพ่อชาตอบรับท่านเป็นศิษย์แล้ว ท่านก็ได้เริ่มใช้ชีวิตภายใต้ การชี้นำของหลวงพ่อชา ซึ่งมิใช่เป็น ชีวิตบนแปลงดอกกุหลาบโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียว
ปัญหาทั้งหมดเกิดจากตัวของท่านเองทั้งสิ้น แต่นั่นมักจะเป็นสิ่งที่คนเรามักจะมองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อเขมธัมโม ก็ได้อยู่กับหลวงพ่อชาด้วยดีตลอดมา เพราะเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น จนเกิดความซาบซึ้งใจในหลายสิ่งหลายอย่างของความเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
หลวงพ่อเขมธัมโม ได้เขียนบันทึกอย่างเปิดใจตอนหนึ่งว่า "...เมื่อหลายปีผ่านไป อาตมาก็หันมานิยมชมชื่น ในตัวหลวงพ่อชามาก อาตมาได้เรียนรู้และซึมทราบจากท่านมากขึ้นทุกทีทุกที ความรักของอาตมา ที่มีต่อหลวงพ่อชานั้นเกิดขึ้นช้าๆ ทว่ามันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ..."
พระป่าชาวอังกฤษ กล่าวว่า การใช้ชีวิต อยู่กับหลวงพ่อชานั้นก็มิใช่ง่ายเสมอไป บางอย่างดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เอาทีเดียว ท่านยังจำได้ดีถึงความอึดอัดใจที่ทำอะไรผิดๆ นับครั้งไม่ถ้วน และต่อหน้าผู้คนด้วย
การกระทำทุกอย่างนั้นมีวิธีการของมันอยู่ และมีมาก ทีเดียวที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ในพระวินัย แต่บางอย่างนั้นก็เป็นของตัวหลวงพ่อเอง ในขณะที่หลวงพ่อสามารถที่จะบอกกับอาตมา ได้เสมอว่าอะไร ผิดแต่ท่าน ก็จะไม่บอกอาตมาเสมอไปว่าอะไรถูก ปล่อยให้ท่านเข้าใจเอาเอง
หลวงพ่อเขมธัมโม กล่าวว่า ในเวลาต่อท่านก็เข้าใจว่า อะไรถูกอะไร ผิดพร้อมกับยกย่องว่า หลวงพ่อชา มีลักษณะพิเศษเฉพาะตน ในการสั่งสอนอบรม ลูกศิษย์ได้เป็นอย่างดีเลิศ ทำให้เข้าใจในหลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างง่าย
พระป่าชาวอังกฤษ กล่าวถึงวิธีการทำสมาธิตาม แบบที่หลวงพ่อชา ส่งเสริมให้ปฏิบัตินั้น มักจะไม่รวมเอาการแผ่เมตตาเข้าไว้ด้วย แต่ก็ยังไม่เคยพบ ผู้ใดที่มีความเมตตา กรุณามากเท่ากับ หลวงพ่อชา มาก่อนเลย หลวงพ่อชาได้ดูแล ลูกศิษย์ทุกคนด้วย ความรักอันบริสุทธิ์ ตลอดเวลา แม้บางครั้งท่านจะดุด่าว่ากล่าวบ้างก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิด มาจากความห่วงใย อยากให้ลูกศิษย์ได้รับความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง มากกว่า ลูกศิษย์ที่เข้าใจในเจตนาอันดี นี้ต่างมีแต่ความปลาบปลื้มใจ ในตัวของหลวงพ่อมาก
หลวงพ่อชาชอบเดินเล่นรอบๆ วัดในตอนเช้า หลังจากออกบิณฑบาต ขณะที่พระรูปอื่นๆ ซึ่งออกไปบิณฑบาตไกลๆ เพิ่งจะกลับมา และมีการตระเตรียมอาหาร
บางครั้งหลวงพ่อชาจะเดินตามลำพัง และมักจะกวักมือเรียกใครสักคนให้เดินไปกับท่าน เพื่อสนทนาธรรมไปในตัว
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเขมธัมโม กำลังมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับคำสอน หลวงพ่อชาก็จะพาท่านไปเดินด้วย 2-3วัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ การได้อยู่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อชาเป็นส่วนตัวนี้ ทำให้หลวงพ่อเขมธัมโมมีความยินดีมาก
วันหนึ่ง มีกิ่งไม้หนักขวางทางอยู่ หลวงพ่อชาได้ยกไม้ท่อนนั้นขึ้น พร้อมกับบอกให้หลวงพ่อเขมธัมโม ยกอีกข้างหนึ่ง แล้วถามว่า "หนักไหมล่ะนี่ ?" และเมื่อได้เหวี่ยงท่อนไม้นั้นเข้าไปในป่าแล้วก็ถามอีกว่า "ตอนนี้ล่ะเป็นไง หนักไหม ?"
หลวงพ่อชาจะสอนลูกศิษย์ให้เห็นธรรมะในสิ่งที่พบเห็นใกล้ตัว ให้รู้จัก "การปล่อยวาง" ถ้าทำได้ก็จะเบาตัว (เหมือนกิเลสตัณหา)
การฝึกปฏิบัติกับหลวงพ่อชานั้น ทำให้กฎระเบียบพิธีการและรูปแบบของชีวิตนักบวชในวัด มิใช่เป็นเพียงประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาอย่างไม่มีจุดหมายเหมือนในวัดอื่นๆ การสอนของหลวงพ่อชาทุกอย่างเป็น "วิธีการอันแยบยล" ในการสร้างทัศนคติแห่งการรู้แจ้งเห็นจริง
หลวงพ่อเขมธัมโม บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า "เราคือพระภิกษุผู้ซึ่งมิใช่อยู่เพื่อแสวงหาลาภสักการะ หรือชื่อเสียง มิใช่เพื่อความก้าวหน้าทางโลก เราเป็นพระภิกษุที่ต้องเผชิญกับกิเลส และสิ่งที่เป็นอิทธิพลทำลายหัวใจและจิตใจของ มองเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วทิ้งมันไป เพื่อบรรลุถึงความสงบอันจริงแท้แน่นอน คือความสุขแห่งพระนิพพาน"
ครั้งหนึ่งเพื่อนของหลวงพ่อเขมธัมโมได้พูดถึงความประทับใจที่มีต่อหลวงพ่อชาว่า ท่านเหมือนกับกบตัวใหญ่ ที่มีความสุขที่นั่งอยู่บนใบบัว เรามักจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับชีวิต ความเป็นอยู่เป็นเรื่องที่ถูกเมินเฉย เพราะพุทธศาสนาจะพูดเกี่ยวกับความทุกข์และแนวโน้มทางลบของใจ การวิเคราะห์จิตและสังขาร รวมทั้งคำนิยามต่างๆ ที่เข้าใจยาก
แต่สำหรับหลวงพ่อชาแล้ว มิได้เป็นเช่นนั้น หลวงพ่อจะแผ่ความสุขให้กับทุกคน ดึงดูดผู้คนเข้าหาท่าน และอยากจะอยู่กับท่าน แล้วท่านก็จะอบรมสั่งสอนธรรมแบบง่ายๆ โดยไม่ทำให้ผู้ฟังเบื่อหน่ายกับการเทศน์แบบแห้งแล้งที่มีแต่คำบาลียาวๆ แต่ท่านจะนั่งคุยกับผู้คนอย่างสนุกสนาน หัวเราะพูดเล่น และเมื่อมีจังหวะท่านก็จะสอดแทรกธรรมะที่เป็นประโยชน์ต่อ ชีวิตให้กับพวกเขา หลวงพ่อชาจะอบรมสั่งสอนชาวบ้านอย่างนี้ตลอดทั้งวัน หลังจากฉันอาหาร จนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืน ในขณะที่ผู้คนพากันมากราบไหว้ท่านอย่างต่อเนื่อง กลุ่มหนึ่งไปกลุ่มหนึ่งมาเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา หลวงพ่อมีความอดทนในเรื่องนี้มาก และไม่เคยเบื่อหน่ายเลย
หลวงพ่อเขมธัมโม ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างจากหลวงพ่อชา ที่ท่านได้หยิบยกเอาสภาพสิ่งแวดล้อมที่พบเห็นใกล้ตัวมา เป็นตัวอย่างในการสอนธรรมะ
ปีพ.ศ.2520 หลวงพ่อเขมธัมโม ได้นิมนต์ หลวงพ่อชา เดินทางไปประเทศอังกฤษเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยได้ที่เมืองแฮมป์สเตด อันเป็นสถานที่หลวงพ่อเขมธัมโมได้พบกับสัจจธรรมแห่งพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังได้พาหลวงพ่อไปทางตอนใต้ของอังกฤษ เพื่อเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ ของหลวงพ่อเขมธัมโมด้วย นับเป็นเวลาที่หลวงพ่อเขมธัมโมได้ใกล้ชิดกับหลวงพ่อชามากที่สุด และนานที่สุด
หลวงพ่อชาได้เดินทางกลับเมืองไทย แต่หลวงพ่อเขมธัมโม ยังอยู่ต่อในอังกฤษต่อไป ทั้ง 2 ไม่ได้พบกันเป็นเวลานานถึง 9 ปีครึ่ง แล้วก็มีข่าวว่าหลวงพ่อชาอาพาธหนัก หลวงพ่อเขมธัมโมจึงรีบเดินทางมาเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกราบเยี่ยมพระอาจารย์ของท่าน ช่วงนั้นหลวงพ่อชามีอาการที่ช่วยตัวเองไม่ได้เลย
หลวงพ่อเขมธัมโมต้องเดินทางมาเมืองไทยทุกปี เพื่อกราบเยี่ยม หลวงพ่อชา หลวงพ่อชากล่าวว่า...นี่เป็นกรรมของ ท่านและไม่มี ความจำเป็น ที่จะต้องทำอะไรกับมัน ท่านต้องอยู่กับเตียง และเก้าอี้ตลอดเวลา ต้องอาศัยผู้อื่นให้ทำทุกอย่าง เกี่ยวกับร่างกาย ของท่านเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ก่อนที่ท่านจะมรณภาพไป
หลวงพ่อเขมธัมโม บันทึกไว้ในตอนท้ายว่า..."เราไม่อาจทราบได้ว่า ในช่วงเวลานั้น (หลวงพ่อชา) ท่านทำอะไรบ้าง หรือทำไมมันจึงต้อง เป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่ท่านได้มีเวลาให้กับตนเอง บางทีท่านอาจจะ ได้สำเร็จในกิจภาระ ของตัวท่านเองแล้ว เราไม่มีทางรู้ได้เลย แต่อาตมาก็หวังว่าท่านได้จบชีวิตลงเมื่อสำเร็จเป็น พระอรหันต์ แล้ว..."
หลวงพ่อเขมธัมโม ได้พูดถึงตัวเองว่า...ในชีวิตของท่าน นับว่าโชคดี ที่ได้รู้จักกับบุคคลที่เด่นด้วยคุณค่าหลายท่าน โดยมี หลวงพ่อชา เป็นผู้ที่ดีเด่นที่สุด ชื่นชอบในตัวท่านมาก เคารพและรักท่าน อีกทั้งรู้สึกสำนึกในบุญคุณเสมอ ที่โชคดีได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน
เมื่อข่าวว่า หลวงพ่อชา ได้มรณภาพแล้ว ความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของหลวงพ่อเขมธัมโมก็คือ ความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพยายามทำตัวให้มีคุณค่ามากขึ้น เพื่อ หลวงพ่อชา และสามารถดำเนินภารกิจสืบทอดสิ่งที่ หลวงพ่อชา ท่านได้มอบให้กับลูกศิษย์ทุกคน
หนึ่งสัปดาห์หลังจากการมรณภาพของ หลวงพ่อชา หลวงพ่อเขมธัมโมก็ได้เดินทางมาถึงเมืองไทย และตรงไปยัง วัดหนองป่าพง ทันที เพื่อแสดงความคารวะแด่สรีระของ หลวงพ่อชา พระอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวง สำหรับ หลวงพ่อเขมธัมโม ลูกศิษย์ชาวอังกฤษที่ได้มีโอกาสบวชเรียนเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอังกฤษ
ภารกิจของ "หลวงพ่อเขมธัมโม" ในประเทศอังกฤษมีอะไรบ้าง เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะนำมา เล่าสู่กันฟังต่อ
หลวงพ่อเขมธัมโม ต้องเดินทางมาเมืองไทยทุกปี เพื่อกราบเยี่ยม หลวงพ่อชา ครั้งหนึ่งหลวงพ่อชาได้กล่าวกับหลวงพ่อเขมฯว่า... นี่เป็นกรรมของท่าน และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรกับมัน
หลวงพ่อชาต้องอยู่กับเตียงและเก้าอี้ตลอดเวลา ต้องอาศัย ผู้อื่นให้ทำทุกอย่าง เกี่ยวกับร่างกายของท่านเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ก่อนที่หลวงพ่อชาจะมรณภาพเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2535 ณ วัดหนองป่าพง สิริรวมอายุ 74 ปี พรรษา 52 ขณะดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ "พระโพธิญาณเถร"
หลวงพ่อเขมธัมโม บันทึกไว้ในตอนท้ายว่า..."เราไม่อาจทราบได้ว่า ในช่วงเวลานั้น (หลวงพ่อชา) ท่านทำอะไรบ้าง หรือทำไมมันจึง ต้องเป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่ท่านได้มีเวลาให้กับตนเอง บางทีท่านอาจจะได้สำเร็จในภารกิจ ของตัวท่านเองแล้ว เราไม่มีทางรู้ได้เลย แต่อาตมาก็หวังว่าท่านได้จบชีวิตลงเมื่อสำเร็จเป็น พระอรหันต์ แล้ว..."
หลวงพ่อเขมธัมโม ได้พูดถึงตัวเองว่า... ในชีวิตของท่านนับว่าโชคดีที่ได้รู้จักกับบุคคลที่เด่นด้วยคุณค่าหลายท่าน โดยมี หลวงพ่อชา เป็นผู้ที่ดีเด่นที่สุดในชีวิตของท่าน ท่านชื่นชอบในตัวหลวงพ่อชามาก เคารพและรักหลวงพ่อชา อย่างสุดชีวิตและจิตใจ อีกทั้งยังรู้สึกสำนึก ในบุญคุณเสมอที่โชคดีได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ท่าน ในฐานะเป็น "พุทธบุตร" ที่ท่านได้เลือกทางเดินเองแล้ว และนี่คือ...เส้นทางเดินของชีวิตที่ประเสริฐสุด
เมื่อทราบข่าวว่า หลวงพ่อชา ได้มรณภาพแล้ว ความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของหลวงพ่อเขมฯก็คือ ความตั้งใจ แน่วแน่ที่จะพยายามทำตัวให้มีคุณค่ามากขึ้น เพื่อ หลวงพ่อชา และสืบทอดภารกิจที่ หลวงพ่อชา ได้มอบให้กับท่านและลูกศิษย์ทุกคน
หนึ่งสัปดาห์หลังจากการมรณภาพของ หลวงพ่อชา หลวงพ่อเขมฯก็ได้เดินทางมาถึงเมืองไทย และตรงไปยัง วัดหนองป่าพง ทันที เพื่อแสดงความเคารพแด่สรีระของ หลวงพ่อชา พระอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวง สำหรับ หลวงพ่อเขมธัมโม ลูกศิษย์ชาวอังกฤษที่ได้มีโอกาสบวชเรียนเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศอังกฤษ
ภารกิจสำคัญของ "หลวงพ่อเขมธัมโม" ในประเทศอังกฤษคือการจัดตั้งวัดในทางพระพุทธศาสนาขึ้นใน เมืองวอริค เป็นรูปแบบของ "วัดป่า" ตามแบบของ หลวงพ่อชา เมื่อปี พ.ศ.2530โดยตั้งชื่อว่า "วัดป่าสันติธรรม" (Santidhamma Forest Hermitage) ดำเนินการเผยแพร่หลักธรรม คำสอน ในทางพระพุทธศาสนาแก่ชาวอังกฤษโดยเฉพาะ รวมทั้งชาวต่างชาติอื่นๆ ที่สนใจ ทั้งนี้ หลวงพ่อเขมฯ จะสอนวิธีนั่งสมาธิแบบง่ายๆ และแนะแนวทางการแก้ปัญหาชีวิตประจำวันด้วย หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง โดยสรุปว่าเป็นการแก้ปัญหาตรงจุดที่สุด
การทำงานของ หลวงพ่อเขมธัมโม ได้รับการสนับสนุนจากชาวไทยที่ไปทำงานในอังกฤษ รวมทั้งบรรดานักเรียนนักศึกษาไทยต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างกว้างขวาง ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบัน วัดป่าสันติธรรม ได้เติบโตขยายตัวออกไปมาก มีพระภิกษุพำนักอยู่ที่วัดนี้รวมทั้งหมด 4 รูป ซึ่งล้วนเป็นชาวอังกฤษทั้งสิ้น
เมื่อวันที่ผู้เขียนไปเยี่ยมชมวัดนี้ก็ได้พบกับ พระภิกษุหนุ่มชาวอังกฤษ หน้าตาดีมาก 3 รูป ท่านนั่งรอ หลวงพ่อเขมธัมโม เพื่อฉันภัตตาหารเพล ด้วยอาการที่วางนิ่งเฉยมาก สำรวมอย่างที่สุด ได้กราบเรียนถามท่านอะไร ท่านก็ตอบสั้นๆ แต่เพียงว่า ให้รอถาม หลวงพ่อเขมธัมโม และที่สำคัญคือท่านพูดภาษาไทยไม่ได้เลย เพราะท่านเกิดที่อังกฤษ ไม่เคยมาเมืองไทยเลย จึงพูดแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น และพูดน้อยมาก การเรียนหนังสือธรรมะก็เรียนฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษ
สำหรับ การฉันภัตตาหารเพลของหลวงพ่อเขมฯและพระลูกศิษย์ทั้ง 3 รูป เป็นการ ฉันรวมในบาตร ด้วยอาหารมังสวิรัติ และ ฉันเพียงมื้อเดียวใน 1 วัน
ภารกิจอันยิ่งใหญ่อีกด้านหนึ่งของหลวงพ่อเขมฯ คือการจัดตั้ง สำนักงานใหญ่ขององคุลีมาล ซึ่งเป็นองค์กรการสอนพุทธศาสนา ในเรือนจำ และจัดอบรมการปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนา สำหรับอนุศาสนาจารย์ด้วย
ที่ วัดป่าสันติธรรม มีการอบรมสมาธิสำหรับผู้ที่สนใจทุกๆ วันจันทร์และวันศุกร์ รวมทั้งจัดงานทำบุญใน วันสำคัญต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนการแนะนำพระพุทธศาสนาให้แก่กลุ่มนักเรียน และองค์กรต่างๆ ที่มาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธ
นับเป็นความวิริยะอุตสาหะอย่างสูงของหลวงพ่อเขมฯ ที่ท่านได้เพียรพยายามเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่เพื่อน ร่วมชาติของท่านเอง เพื่อให้เขาเหล่าได้พ้นทุกข์ และประสบแสงสว่างแห่งชีวิต ประสบปัญญาแห่งธรรมะโดยแท้จริง สมควรที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยในเมืองไทยจะได้มีส่วนช่วยเหลือ หลวงพ่อเขมธัมโม ท่านบ้าง เมื่อมีโอกาส
หลวงพ่อเขม ได้ก่อตั้ง วัดป่าสันติธรรม ขึ้นเมื่อปีค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) โดยได้รับการสนับสนุน จากพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวอังกฤษอย่างกว้างขวาง
ผมได้มีโอกาสไปกราบไหว้ท่านเมื่อ หลายเดือนก่อน มาเมื่อเร็วๆ นี้ ทางวัดได้ส่งข่าวมาให้ผมทราบเพิ่มเติมว่า
ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมา วัดป่าสันติธรรม ได้เติบโต ขยายตัวมาก จนกระทั่งปัจจุบันมี พระภิกษุ พำนักอยู่ที่วัดรวมทั้งหมด 4 รูป นอกจากนี้ วัดป่าสันติธรรม ยังเป็นที่ตั้งของ สำนักงานใหญ่ขององคุลิมาล (องค์กรการสอน พุทธศาสนาในเรือนจำ) ซึ่งจัดอบรม ปฏิบัติงานด้านศาสนาสำหรับอนุศาสนาจารย์ด้วย
ที่ วัดป่าสันติธรรม มีการ อบรมสมาธิสำหรับผู้ที่สนใจทุกๆ วันจันทร์และวันศุกร์ รวมทั้งจัดงาน ทำบุญในวันสำคัญต่างๆ ทางพุทธศาสนา และแนะนำพระพุทธศาสนาให้แก่กลุ่มนักเรียนและองค์กรต่างๆ ที่มาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
หลวงพ่อเขม กล่าวว่า เนื่องจาก คณะสงฆ์ได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทางวัดจึงไม่สามารถที่จะรองรับ การขยายตัว ดังกล่าวได้อีกต่อไป เนื่องจากมีที่พำนักอาศัย และที่เก็บของจำกัด ทั้งยังไม่มีห้องพัก รับรอง พระอาคันตุกะ (พระสงฆ์ที่มาเยี่ยมเยือน) นอกจากนี้ ยังขาดที่ปฏิบัติธรรมสำหรับผู้หญิง ทำให้ไม่สามารถรับบวชแม่ชีได้ การรองรับผู้มาเก็บตัวเพื่อปฏิบัติธรรมที่วัดก็ทำได้ไม่เต็มที่
หลวงพ่อเขม กล่าวว่า ในละแวกวัดป่าสันติธรรม มีบ้าน วู้ด คอทเทจ (Wood Cottage) อยู่หลังหนึ่งซึ่ง เป็นสถานที่เหมาะ มากที่สุดสำหรับรองรับการขยายตัวของวัดป่าสันติธรรม ด้วยอาณาเขต ที่ใกล้เคียงกัน ทั้งความเก่าแก่และรูปแบบ อาคารก่อสร้าง ก็คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ ยังตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ มณฑลวอริคที่สงบ ห่างไกลจากถนน และความวุ่นวายอึกทึก เจ้าของ วู้ด คอทเทจ คนปัจจุบันได้ปรับปรุง สถานที่จนมีสภาพที่ดีเยี่ยม พร้อมที่จะรองรับการขยายตัว ของวัดป่าสันติธรรมได้ทันที
เจ้าของบ้านประกาศจะขายบ้านหลังนี้ และเห็นว่า ทางวัดป่าสันติธรรม สนใจ จึงยังไม่ติดป้ายประกาศขาย โดยจะเปิดโอกาสให้ทางวัดจัดหาเงินมาซื้อภายในเวลา 3 เดือน ในราคา 425,000 ปอนด์ (1 ปอนด์ เท่ากับเงินไทยประมาณ 66 บาท) เมื่อเปรียบเทียบกับ ราคาบ้านและที่ดินประเภทเดียวกันในพื้นที่นี้ ราคาดังกล่าวนับว่าไม่แพงเกินไป อีกประการหนึ่ง การก่อสร้างอาคาร สถานที่ในพื้นที่ชนบทของมณฑล วอริคทำได้ยากมาก เนื่องจากมีระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดกวดขันในเรื่องนี้ ผู้คนจึงนิยมหาซื้ออาคารสถานที่ซึ่งมีอยู่แล้ว จะสะดวกกว่า
คริส เอคเคิลส์ กรรมการสมาคมพุทธธรรม ลูกศิษย์หลวงพ่อเขม จึงได้กล่าวเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคปัจจัยให้ได้ครบ 100,000 ปอนด์ เพื่อเป็นเงินดาวน์ สำหรับการผ่อนซื้อ วู้ดคอทเทจ ส่วนหนี้ที่เหลืออีก 325,000 ปอนด์ จะใช้วิธีผ่อนชำระกับทางธนาคาร โดยอาศัยผู้ให้บริจาคเป็นรายเดือน จนกว่าจะสามารถ หาปัจจัยก้อนใหญ่มาชำระหนี้ทั้งหมดได้
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถช่วยบริจาคเท่าที่จะให้ได้ ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม หรือจะให้กู้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ยก็ได้ โดยทางวัดจะใช้คืนภายในเวลา 5 ปี
ทางวัดมีจุดมุ่งหมายที่จะชำระหนี้ให้ได้มากที่สุดภายในเวลา 5 ปี จากนั้นจะค่อยๆ ผ่อนชำระที่เหลือ (ซึ่งคงไม่มากนัก) ให้กับทาง ธนาคารโดยอาศัยปัจจัยรายได้ตามปกติต่อไป
ท่านที่ประสงค์จะร่วมทำบุญครั้งนี้ กรุณาโทรศัพท์ถึง แมทธิว ริชาร์ดส หมายเลข 0-1926-624-564 การทำบุญกับ วัดป่าสันติธรรม ครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้ท่านมีส่วนช่วยปลูกฝัง พระพุทธศาสนาให้ยืนยงคงอยู่ต่อไป ในประเทศอังกฤษ ทางวัดขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีจิตใจเป็นกุศล พร้อมที่จะร่วมมือกัน สร้างความมั่นคงให้กับคณะสงฆ์ ณ วัดป่าใจกลางประเทศอังกฤษนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน
การติดต่อกับ ทางวัดป่าสันติธรรม ติดต่อได้ที่ The Forest Hermitage (Watpah Santidhamma) Lower Fulb rook, near Sherbourne Warwichshire CV35 8AS United Kingdom Tel&Fax 01926624385
หรือส่ง E-mail ถึง หลวงพ่อเขม ได้ที่ prakhem@foresthermitage.org.uk
สำหรับ Website ของ วัดป่าสันติธรรม คือ www.foresthermitage.org.uk เชิญเปิดดูได้ มีรายละเอียด ที่น่าสนใจมาก...หรือจะสอบถามมาที่ผมก็ได้
ข้อมูลอ้างอิงจาก : www.dharma-gateway.com