ประวัติ หลวงพ่อทอง พุทธสุวัณโณ - วัดดอนสะท้อน จ.นครศรีธรรมราช - webpra

หลวงพ่อทอง พุทธสุวัณโณ

ประวัติ วัดดอนสะท้อน จ.นครศรีธรรมราช

หลวงพ่อทอง พุทธสุวัณโณ

ข้อมูลประวัติ

                เกิด                      ประมาณปี พ.ศ.2415

                อุปสมบท               -

                มรณภาพ               วันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2495

                รวมสิริอายุ             ประมาณ 80 ปี


เด็กชายทอง  เกิดในครอบครัวชาวนาฐานะพอปานกลาง  การศึกษาเบื้องต้นเหมือนเด็กชนบททั่วไป  ที่ต้องไปเสาะแสวงหาความรู้ที่วัดต่างๆเด็กชายทองก็เช่นเดียวกัน  ย่างเข้าวัยหนุ่มหลังจากเสร็จฤดูทำนาแล้ว  ได้ชวนเพื่อนไปร่ำเรียนวิชาเพื่อเอาไว้ป้องกันตัว  ตามลักษณะนิสัยของหนุ่มๆสมัยนั้น  และเต็มใจบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาที่วัดอินทคีรี  หมู่ที่ ๗ ตำบลพรหมโลก  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก  และอุปสมบทที่วัดนี้ได้รับฉายาว่า “พุทฺธสุวณฺโณ” แปลว่า “ผู้มีผิวพรรณดีดั่งพระพุทธเจ้า”  โดยอยู่จำพรรษาอยู่ประมาณ ๒ พรรษา  หลังจากนั้นได้ขออนุญาตอาจารย์เพื่อจาริกออกหาความรู้เพิ่มเติม  จึงมาเรียนอยู่ที่วัดพระบรมธาตุอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ๒ พรรษา  แล้วเดินทางไปยังจังหวัดพัทลุงเพื่อหาสำนักเรียนต่อไป  ที่พัทลุงหลวงพ่อได้มาฝากตัวกับพระอาจารย์จันทร์ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ที่ดังขณะนั้น  อยู่พำนักและศึกษาวิชากับท่านพอสมควร  พระอาจารย์จันทร์จึงฝากหลวงพ่อให้เป็นศิษย์เรียนวิชาต่อกับพระอาจารย์ทอง (ครูทองเฒ่า) วัดเขาอ้อ  ซึ่งเป็นเพื่อนสหธรรมิกของพระอาจารย์จันทร์

              ที่วัดเขาอ้อหรือสำนักเขาอ้อ  อันเป็นสำนักเรียนที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งจังหวัดพัทลุง  หลวงพ่อได้สหธรรมิกที่แก่พรรษากว่า คือ หลวงพ่อเอียด อริยวํโส วัดคงคาวงศ์ (พระอาจารย์ของขุนพันธรักษ์ราชเดช)  และเป็นสหธรรมิกที่รู้ใจกันมากที่สุด  เห็นได้จากระยะหลังจากหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดดอนสะท้อน  ก็เดินทางไปมาหาสู่กับหลวงพ่อเอียดอยู่เป็นนิตย์  และได้ทดสอบวิชาที่เรียนมาด้วยกันบ่อยๆ

                หลังจากที่หลวงพ่อเล่าเรียนวิชาจากสำนักเขาอ้อจนแตกฉานแล้ว  ตั้งใจเดินทางออกธุดงค์ขึ้นไปภาคกลาง  โดยเดินทางตามทางรถไฟมาเรื่อย  จนมาถึงจังหวัดหลังสวน (ปัจจุบันคืออำเภอหลังสวน)  หลวงพ่ออยู่จำที่วัดดอนชัยประมาณ ๒ พรรษา  ระหว่างนี้ได้รู้จักและแลกเปลี่ยนวิชาที่ร่ำเรียนมากับเพื่อนสหธรรมิกหลายรูป  เช่น หลวงพ่อพัน วัดในเขา, หลวงพ่อจีต วัดถ้ำเขาพลู, หลวงพ่อพลอย วัดเชิงคีรี เป็นต้น

                จากนั้นหลวงพ่อออกเดินทางมาถึงอำเภอสวี  ได้แวะพักจำที่วัดพระธาตุสวี  จึงออกเดินทางต่อมายังวัดดอนสะท้อน  ระหว่างที่พักจำอยู่ที่นี่หลวงพ่อได้สงเคราะห์ชาวบ้านแถบนี้เป็นอันมาก  ด้วยพุทธคุณที่ท่านได้ร่ำเรียนมาทุกครั้งไป  จนชาวบ้านนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนสะท้อน  นับต่อจากหลวงพ่อพันซึ่งท่านได้ไปสร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า “วัดหน้าเมรุ”  ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก (ปัจจุบันยังมีหลักฐานหลงเหลืออยู่)

                ระหว่างที่หลวงพ่ออยู่ที่นี่  ด้วยสติปัญญาและพุทธคุณที่หลวงพ่อมีอยู่  ได้ทำนุบำรุงวัดให้เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง  สร้างศาสนสถานหลายอย่างและยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน  ทั้งเป็นกำลังหลักในการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุสวี  รวมทั้งตั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา(ประชาบาล)ขึ้นครั้งแรกที่นี่  เข้าใจว่าหลวงพ่อคงมีเจตนาที่ดีและความเมตตาแก่เด็กชนบทที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาเท่าที่ควร  และเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนที่ ๖ ของจังหวัดชุมพร (ป.ชพ.๖)  ปัจจุบันได้ทำการรื้อถอนเรียบร้อยแล้ว

              ด้วยอำนาจพุทธคุณ  หลวงพ่อเป็นที่รู้จักในฐานะเกจิอาจารย์สายใต้  ได้รับนิมนต์เข้าร่วมปลุกเสกหลายจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานครก็หลายครั้ง  จนเป็นสุดยอดเกจิอาจารย์ ๑๐๘ แห่งแผ่นดินสยาม  มีศิษยานุศิษย์จำนวนมากหลายฐานะหลายอาชีพ

              หลวงพ่อท่านมรณภาพลงที่วัดดอนสะท้อน  เมื่อตอนสายของวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๕  ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๔  รวมสิริอายุ ๗๘ ปี  ในงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อได้มีญาติโยมศิษยานุศิษย์มาร่วมอย่างล้นหลาม  เสร็จงานแล้วต่างก็แย่งกันเก็บอัฏฐิ(กระดูก)หลวงพ่อเพื่อนำไปบูชาและระลึกถึง  รวมทั้งให้ช่างปั้นปูนฝีมือดีจากบ้านทุ่งคาใช้นามศิลปินว่า “ก.ทุ่งคา”  ปั้นรูปเหมือนหลวงพ่อเพื่อไว้กราบไหว้สักการะ  ตอนนี้รูปปั้นเหมือนหลวงพ่อประดิษฐานอยู่บนมณฑปตรีมุข  ที่สร้างถวายโดยหลวงพ่อแช่มเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน  และจัดงานรำลึกหลวงพ่อทุกวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๔ ของท

            เหรียญห้อยคอ  เป็นหนึ่งในบรรดาเครื่องรางของขลังที่ชายชาตรีส่วนมากต้องมีไว้กับตัว  จะด้วยมีไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองตัวเอง  ด้วยอำนาจพุทธคุณของเหรียญนั้นๆ  ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าแคล้วคลาดปลอดภัย  หรือมีสะสมไว้เพราะความชอบ  ผู้ชายส่วนมากจะนิยมชมชอบพระเครื่อง  บ้างก็ชอบเพราะความสวยงามในการออกแบบ  ชอบในความเป็นของเก่าน่าสะสม  หรือชอบเพราะตนเองมีความเคารพศรัทธาในพระเกจิท่านนั้นๆ  จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่  สรุปว่าสำหรับคนที่ชอบพระเครื่องแล้ว  ถึงไม่มีไว้ในครอบครองก็ขอให้ได้ชมสักครั้ง  เท่านี้ก็อิ่มตาอิ่มใจกันแล้ว  สำหรับเหรียญของหลวงพ่อทองนั้น  ได้เป็นที่รู้จักไม่เฉพาะแต่นักสะสมพระเครื่องในภาคใต้เท่านั้น  แต่เป็นที่ติดตามเสาะหาของเซียนพระเครื่องทั่วประเทศด้วย 


พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา

                พุทธคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นทาง  เมตตามหานิยม

 

ข้อมูลอ้างอิงจาก : p.moohin.com

Top