ประวัติ หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ - วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) บ้านป่ากุง ต.ศรีสมเด็จ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด - webpra
- ทำเนียบพระเครื่อง
- หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ
- ประวัติ
หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ
ประวัติ วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) บ้านป่ากุง ต.ศรีสมเด็จ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ
วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง)
บ้านป่ากุง ต.ศรีสมเด็จ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
๏ พระครูปลัดทองอินทร์ กตปุญโญ
ปี พ.ศ.๒๕๕๖ สิริอายุ ๗๕ ปี พรรษา ๕๕
๏ มงคลนาม
ทองอินทร์ แสวงผล
๏ ชาติกาล
วันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๑ เดือน ๕ ปีขาล
๏ สถานที่เกิด
บ้านหนองแดง ต.ขอนแก่น อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด
๏ โยมบิดา-มารดา
นายนิน-นางอ่อน แสวงผล
๏ พี่น้อง
ท่านเป็นบุตรคนแรก ในจำนวนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๑๐ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๕ คน มีผู้เสียชีวิตแล้วเป็นชาย ๑ คน หญิง ๒ คน นอกจากนี้มีผู้หญิงบวชเป็นชีตลอดชีวิต คือ ชีสุดใจ แสวงผล (เสียชีวิตในเพศนักบวช) ส่วนผู้ชายที่บวชเป็นพระตลอดชีวิต คือ หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ
“พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่” : พระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
๏ ชีวิตในเพศฆราวาส
เมื่อหลวงพ่อทองอินทร์ ท่านยังเล็กอยู่นั้นได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นประถมปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดบ้านหนองแดง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบ้านศรีสมเด็จ แต่เดิมบ้านศรีสมเด็จมีชื่อว่าบ้านหนอง เพราะว่ามีหนองน้ำอยู่ตรงกลางระว่างบ้านหนองแดงกับบ้านหัวหนอง ต่อมาโยมบิดา-มารดาได้พาครอบครัวย้ายไปอยู่ใกล้กับป่ากุง ซึ่งต่อมาเป็นวัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) สมัยที่ท่านยังเด็กท่านเคยนำวัวควายไปเลี้ยงที่บริเวณป่ากุงเสมอๆ ป่ากุงนี้แต่เดิมรกร้างเป็นป่าเก่า มีโบสถ์เก่าแก่ร้างอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งทางร้อยเอ็ดเรียกกันว่ากู่ พอถึงวันสงกรานต์จะมีผู้คนพากันไปสรงน้ำพระพุทธรูปที่ป่ากุงนั้น หรือบางทีก็ไปทำพิธีบวงสรวงสังเวยกันที่ในโบสถ์หรือในกู่ร้างนั้น
ต่อมา หลวงปู่ศรี มหาวีโร หรือที่บรรดาสานุศิษย์ได้ยกนามว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่” หรือ “หลวงปู่ใหญ่” ได้ธุดงค์มาจากสกลนครเพื่อไปบ้านขามป้อม ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่ใหญ่ จากคำเล่าลือของบรรดาญาติโยมชาวบ้านที่ได้มีโอกาสไปฟังเทศน์ฟังธรรมของหลวงปู่ใหญ่ ต่างก็พากันเอามาเล่าต่อๆ กันว่า หลวงปู่ใหญ่มีคำสอนที่ลึกซึ้งเข้าถึงความจริงของชีวิตแปลกกว่าที่เคยฟังกันมา และยังได้อบรมให้ชาวบ้านญาติโยมให้ได้รู้จักวิธีการนั่งสมาธิภาวนา จนเกิดความร่มเย็นเป็นสุขอันมีผลอยู่ภายในใจเป็นอันมาก ดังนั้น ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านก็ได้พากันไปนมัสการและฟังธรรมของหลวงปู่ใหญ่จนได้ยินได้ฟังตามตามคำเล่าลือ และเกิดความซาบซึ้งในธรรม จึงพร้อมใจกันอาราธนานิมนต์หลวงปู่ใหญ่ให้มาพำนักจำพรรษาและบูรณะวัดป่ากุงร้างนั้น เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจแก่ชาวบ้านป่ากุง ขณะนั้นหลวงปู่ใหญ่บวชได้ประมาณ ๙-๑๐ พรรษา
๏ ชีวิตสมณเพศ
ครั้นเมื่ออายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ หลังจากจับฉลากคัดเลือกไม่ติดเกณฑ์ทหาร และก็ยังไม่มีครอบครัว ท่านจึงได้เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๒ เวลา ๑๒.๐๐ น. ณ พัทธสีมาวัดประชาบำรุง (วัดป่าพูนไพบูลย์) ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม โดยมี พระโพธิญาณมุนี (หลวงปู่เหลา จุนโท) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระมหาสวาสดิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระมหาทองใส เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “กตปุญโญ” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีบุญอันได้กระทำแล้ว, ผู้ทำบุญไว้แล้วแต่ปางก่อน”
สาเหตุที่บวชเนื่องด้วยโยมมารดาป่วยหนักรักษามานานแล้ว รู้ตัวเองว่าคงไม่หายแน่นอน ได้สั่งเอาไว้ว่า หากคัดเลือกทหารแล้วไม่ถูก ให้บวชให้แม่ และอีกอย่างธรรมเนียมของคนในท้องถิ่นนั้นได้ถือเป็นประเพณีมานานแล้ว หากลูกชายมีอายุครบ ๒๐-๒๑ ปี แล้วก่อนจะมีครอบครัว ต้องบวชเสียก่อน คิดแล้วก็คือบวชตามประเพณี เมื่อบวชแล้วจึงค่อยได้ยินจากพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ว่า บวชมีหลายอย่าง คือ “บวชเล่น บวชลองหรือคำว่าบวชทดลองดู บวชตามครองประเพณี บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกเฮอา บวชค้าขาย บวชตายเป็นเปรต” นำไปคิดอยู่ ๓ พรรษาว่า เราจะเอาบวชแบบไหน เลยตัดสินใจเอาบวชหนีสงสาร นับแต่นั้นเป็นต้นมาได้ตัดสินใจมอบกายถวายชีวิตอุทิศแด่พระพุทธศาสนา ประกอบกับได้ฟังเทศน์อยู่เนืองนิจจากพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ จึงตั้งใจประกอบความเพียร และตั้งใจท่องพระปาฏิโมกข์จบในขณะเข้าพรรษาที่ ๒
แต่ในคราวแรกที่บวชเข้ามา ๑๕ วัน พระอาจารย์สุด ธมฺมกาโม ได้ให้ขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์ทั้งที่เรียนยังไม่จบ ตอนบวชพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ออกธุดงค์ยังไม่กลับ แต่กลับมาเมื่อจวนจะเข้าพรรษา และมาคัดเลือกพระได้ ๑๐ รูป รวมทั้งหลวงพ่อทองอินทร์ก็ได้ไปด้วย พักค้างคืนที่วัดบึงพลาญชัย ๑ คืน เพื่อรอรถโดยสาร ออกเดินทางเช้าถึงเย็นพอดี จำพรรษาแรกคือวัดป่าสามัคคีธรรม บ้านขามเฒ่า ต.ขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม ปีนั้นมีพระจำพรรษา ๑๐ รูป ไม่มีสามเณร คณะญาติโยมดีใจมากๆ เพราะไม่เคยมีพระจำพรรษามากอย่างนี้เลย
เริ่มเข้าพรรษา พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็ได้ประชุมเกี่ยวกับเรื่องระเบียบ เพราะมีพระมากมีปัญหามาก เกี่ยวกับเรื่องแจกของ ยกตัวอย่างเรื่องครั้งพระพุทธกาลขึ้นมาเบื้องต้นเรื่อง เรื่องแรกภัตตุทเทศก์คือพระผู้แจกของ เรื่องที่สองพระอุปัฏฐาก เรื่องพระอุปัฏฐากนี้ คณะสงฆ์จัดให้หลวงพ่อทองอินทร์เป็นผู้อุปัฏฐากพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ตลอดมาเป็นเวลา ๒ พรรษาเต็ม อยู่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านขามเฒ่า ๔ พรรษา วัดหัวดง บ้านน้อยหนองเค็ม ๖ พรรษา แต่ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ ไม่ได้จำพรรษาอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ ในพรรษานั้นๆ เลยตั้งสัจจะสมาทานธุดงควัตรไม่นอนตลอดพรรษา ได้กำลังใจมาก
ปกติแล้วช่วงที่จำพรรษาอยู่ทางนครพนม ครั้นออกพรรษาแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่จะพาจาริกแสวงหาความสงบวิเวก (หรือคำว่า “ธุดงค์” ซึ่งนิยมใช้ในปัจจุบัน) บางปีก็ไปทาง วัดป่าหนองแซง หรือวัดราษฎรสงเคราะห์ บ้านหนองแซง ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี (วัดหลวงปู่บัว สิริปุณโณ) ออกจากบ้านหนองแซงขึ้นภูเก้า ที่นั่นแห้งแล้งกันดารมากๆ สิ่งแวดล้อมจำพวกสัตว์ป่าก็มีมาก เช่น ช้างป่า ช้างบ้าน มีมากอยู่ใกล้ๆ กับที่พัก ที่พักก็มีลักษณะเป็นร้านเล็กๆ พื้นปูด้วยฟากไม้ไผ้ บางวันลงจากถ้ำไปหิ้วเอาน้ำคนเดียวเพื่อไว้สำหรับใช้ในตอนเช้า ซึ่งมักจะต้องได้ทำความสะอาดบ่อน้ำใหม่อยู่เสมอ เพราะช้างไปเล่นจนน้ำขุ่น
ในช่วงฤดูแล้งของปีนั้น ไปด้วยกัน ๓ รูป พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ พระอาจารย์พุทธา หลวงพ่อทองอินทร์ ต่อมาพระอาจารย์พุทธาทนไม่ไหวเลยกลับวัดป่าหนองแซง คงเหลืออยู่เพียง ๒ รูป พอเข้าใกล้ฤดูฝน พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่จึงพาลงจากภูเก้า เดินด้วยเท้าไป อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ก็ให้เร่งทำความเพียร ปีนั้นรู้สึกว่าได้กำลังใจเยอะ นั่งอยู่ ๘ คืน เฉพาะกลางคืนมีความสุขสงบดี อยู่นั้นนานหน่อยจวนจะเข้าพรรษา พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็จะพากลับไปที่วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด โยมก็ไม่มีติดตาม ปัจจัยก็ไม่มีพอ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ปรารภอยู่สองวันนั้นเอง มีโยมนำลูกมอบให้ทั้งที่มีลูกชายคนเดียว และออกจากโรงเรียนวันนั้น เมื่อมีโยมติดตามแล้วแต่ไม่มีค่ารถ ต่อมาวันสองวันเท่านั้น มีโยมมานิมนต์ให้ไปที่บ้าน เพื่อจะทำบุญบ้านและตักบาตรเนื่องด้วยมีเหตุสัตว์ป่าเข้าหมู่บ้าน วันหนึ่งเป็นไก่ป่า วันหนึ่งเป็นอีเก้ง บางคนข้าวแดงเวลานึ่งข้าว หากข้าวแดงเขาถือกันว่ามีเหตุไม่ดี อีกประการสัตว์ป่าเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านเขาถือกันนักหนาว่าทั้งหมู่บ้านจะมีเหตุเดือดร้อน เขาเลยพากันทำบุญเบิกบ้าน คนที่นึ่งข้าวมาก็ไม่สบายใจ ทำบุญที่บ้านของตนอีก เรื่องเดือดร้อนของชาวบ้านก็สงบลงไป จึงได้เข้าใจว่าธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติไม่ให้ทุกข์ยาก ดังนั้น การเดินทางกลับร้อยเอ็ดจึงไม่ติดขัดทั้งโยมติดตามและปัจจัย
ไม่นานวัน พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็พากลับร้อยเอ็ดโดยทางรถยนต์ประจำทาง เพราะมีผู้ถือปัจจัยให้สะดวกในการขึ้นรถ ครั้นต่อมาเด็กคนนั้นไม่ได้กลับบ้านสักทีก็เลยบวชเป็นเณร แต่พอมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านโยมพ่อของเณรก็เสียชีวิตเสียแล้ว เหลืออยู่แต่โยมแม่และพี่สาว มีพี่สาวอยู่ ๔ คน คนหนึ่งก็ได้มาบวชเป็นชี พร้อมชีสิน ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าชี วัดป่าขวัญเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด สามเณรชื่อ สุริโย บัวผาย ชีชื่อ สมร บัวผาย บ้านหินร่อง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ต่อมาโยมแม่ของเณรก็ได้บวชเป็นชีด้วยประจำอยู่วัดป่ากุง เมื่ออายุมากเข้าก็ขอลาไปอยู่บ้านเกิด และเสียชีวิตในเพศนักบวช ส่วนเณรบวชอยู่ได้ ๖ พรรษาหมดบุญวาสนาก็ลาสึกออกไป
ก่อนวันจะเข้าพรรษาพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พาไปที่เดิมอีก คือ วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านขามเฒ่า จำพรรษาอยู่นั่น ๔ พรรษา พอออกพรรษาปีที่ ๔ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็พาออกวิเวกไปทางบ้านแจ้ง อ.นาแก จ.นครพนม ห่างจากอำเภอออกไปไกล มีถ้ำเยอะ มีถ้ำพระ ถ้ำตาฮด ถ้ำพระเวส พอดีที่ถ้ำตาฮดมีพระจำอยู่มากพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่เลยให้หลวงพ่อทองอินทร์ไปอยู่ถ้ำพระเวส ซึ่งเป็นการไปอยู่เพียงลำพังเป็นครั้งแรกในชีวิตนักบวช ท่านเกิดความกลัวมาก แต่อยู่ถึงคืนที่ ๓ ก็หายกลัว ไปหายกลัวตายอยู่ที่ถ้ำพระเวสนั้นเอง ตอนเช้าตีห้าลงไปจากถ้ำเพื่อไปคอยพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่เข้าสู่หมู่บ้านบิณฑบาต ออกนอกบ้านแล้วแยกจากหมู่คณะขึ้นถ้ำพระเวสเพียงองค์เดียว ที่ถ้ำนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ขี้เกียจภาวนาน้ำไม่ไหล ดีที่ทำให้พระขยันใกล้จะเข้าพรรษา พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็พากลับวัดขามเฒ่า จ.นครพนม เช่นเดิม
โยมจากวัดป่าหัวดง บ้านน้อยหนองเค็ม มาขอพระไปจำพรรษา พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็จัดให้พระไป ๔ รูป มีพระอาจารย์สีลา (อาจนิยม) เป็นหัวหน้า และหลวงพ่อทองอินทร์ก็ไปด้วย ระหว่างพรรษาท่านได้เร่งประกอบความเพียรมากโดยเฉพาะเรื่องอดอาหาร แต่ปีที่ ๒ ที่วัดป่าหัวดง พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ไปจำพรรษาอยู่ด้วย ในปีนั้นการประกอบความเพียรก็ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกพรรษาปี พ.ศ.๒๕๐๗ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็พามาเยี่ยมทางวัดป่ากุง ดูการก่อสร้าง ผู้คนเยอะพร้อมดูหมู่คณะพระเณรมั่วสุมต่างๆ นาๆ เลยยุ่งใจ
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง)
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ
๏ จำพรรษา ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อจะเข้าพรรษาปี พ.ศ.๒๕๐๘ จึงกราบปรึกษาขออนุญาตพ่อแม่ครูอาจารย์ปู่ใหญ่ไปจำพรรษาทางวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เพราะเมื่อก่อนได้ทราบประวัติและปฏิปทาของ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน หรือบรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ยกนามว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัว” ซึ่งเป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มีวิริยะอุตสาหะ ปรารภความเพียรสม่ำเสมอ ไม่ท้อถอย มีข้อวัตรปฏิบัติดี ยึดมั่นในธรรมอันประเสริฐ มีอัธยาศัยไมตรีไม่ขึ้นลง
เมื่อกราบลาพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่เรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปอุดรธานี ลงรถยนต์แล้วเข้าไปบ้านหนองตาไก้ เพราะมีคนรู้จักกันที่บ้านหนองตาไก้ พักอยู่ที่นั่นคืนหนึ่ง แล้วให้โยมที่หนองตาไก้ไปส่งที่วัดป่าบ้านตาด จากหนองตาไก้เดินทางเข้าบ้านตาด ข้ามบ้านไปจึงถึง วัดป่าบ้านตาด (วัดป่าเกสรศีลคุณ) ครั้นพอเข้าเขตสถานที่จิตใจเปลี่ยนแปลงไปมาก ท่านพ่อแม่ครูอาจารย์บุญมี ปริปุณฺโณ (ปัจจุบันพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านนาคูณ ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี) ฝากตัวและขอปวารณาตัวให้ท่านแนะนำสั่งสอนตักเตือน รวมทั้งขอทราบพิธีการเข้าหากราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัว แบบไหนท่านรับเอาไว้ให้อยู่ด้วย เพราะเมื่อก่อนกุฏิจำกัด รับพระเณรจำกัด ขณะนั้นหลวงพ่อทองอินทร์มีจิตที่ยึดมั่นเปี่ยมด้วยศรัทธา จึงได้ตั้งใจไว้ว่าหากพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวปฏิเสธว่าไม่มีกุฏิ ตัวเองจะขอปักกลดใต้ต้นไม้ เพื่อขออยู่ศึกษา ท่านพระอาจารย์บุญมีก็บอกว่าไม่มีพิธีอะไร เข้าหาท่านอยู่ที่ตัวเราว่าจะตั้งใจอยู่จริงแค่ไหน
ตกเย็นหลังทำกิจวัตรเสร็จ คือ ปัดกวาดบริเวณวัด ถูศาลา หาบน้ำเสร็จ เตรียมน้ำสรงไว้ที่กุฏิพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัว พระทั้งหมดก็แยกย้ายไปสรงน้ำ (หรือคำว่า อาบน้ำ) ปกติตอนอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ที่ร้อยเอ็ด ก็สรงน้ำท่านเสร็จก่อนจึงจะไปทำกิจส่วนตัว คิดว่าจะทำแบบอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ แต่แล้วกลับเป็นตรงกันข้าม ท่านไม่ให้ไปยุ่ง ส่วนหลวงพ่อทองอินทร์เองก็มีเจตนาอยากจะช่วยบ้าง เพราะครั้งหนึ่งในกลางพรรษาตอนที่อยู่วัดป่าหัวดง จ.นครพนม นายวันดี ตั้งตรงจิตร ได้อาราธนานิมนต์พระอาจารย์มหาบัวไปเทศน์ที่วัดอรัญในตัวเมืองนครพนม ท่านออกไปสรงน้ำที่วัดป่าหัวดง หลวงพ่อทองอินทร์ได้จัดเตรียมสถานที่สรงน้ำ และปฏิบัติปกติธรรมดาเหมือนกับที่ได้ปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ แต่เมื่ออยู่ภายในวัดป่าบ้านตาด การปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวเป็นอีกอย่าง แปลว่า ถูกเทศน์ (ตำหนิ) ในวันวันแรกเลย
หลวงพ่อทองอินทร์จึงคิดภายใจว่า ความจริงเราโง่เองเพราะพระเก่าที่อยู่ประจำไม่มีอยู่ในบริเวณนั้น แทนที่จะเฉลียวใจว่าท่านคงจะสรงน้ำเองรูปเดียวเป็นประจำมา แต่เราจะถือเอาแบบเดิม อย่างน้อยที่สุดจะได้บิดผ้าตากผ้าให้ท่านบ้าง เพื่อเป็นข้อวัตร คือในหลักพระวินัยในคำว่า อาจาริยวัตร จะมิให้ขาด ตรงนี้แหละที่ทำให้ถูกเทศน์ (ตำหนิ) ในวันแรกที่เข้าไปอยู่ในวัดป่าบ้านตาด คำแรกที่พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวได้บอกว่า “จะสรงเอง” แต่หลวงพ่อทองอินทร์ก็ยังไม่หนี คำสองท่านถามว่า “มาจากไหน” ก็ตอบท่านว่า “มาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ศรี จ.ร้อยเอ็ด” อนิจจัง อนิจจา เท่านั้นแหละพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวสั่งให้ไปที่ศาลาประชุมด่วน หลวงพ่อทองอินทร์จึงคิดในใจว่าจะถูกไล่หรือยังไง ยิ่งไปอยู่ใหม่ๆ ยังไม่มีที่พักยังทำผิดอีก ก็กลับไปที่ศาลาบอกพระเก่าว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวสั่งมีประชุมเย็นนี้
เมื่อพระมาลงประชุมพร้อม และฉันน้ำร้อนเสร็จหมดทุกรูปแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวก็ลงมา พระสงฆ์ทั้งหมดกราบพร้อมกัน พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวก็ฉันน้ำร้อน ๑ แก้ว เป็นน้ำโกโก้ร้อน และล้างปากแล้วหยิบหมากมาอม หลวงพ่อทองอินทร์ได้เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวเช่นนั้นแล้วก็เริ่มสบายใจ จากนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวก็เอ่ยถามว่า “ท่านนี้ชื่ออะไรมาจากไหน” ต่อหน้าคณะสงฆ์ กราบเรียนไปตามตรง เป็นอันว่าได้รับอนุญาตให้พักหลังพระประธานในบริเวณที่ศาลานั้นเอง ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์จึงได้มีกุฏิอยู่ หลังจากนั้นมาก็เริ่มเข้าใจในระเบียบข้อวัตรประจำวัน ในระหว่างพรรษาส่วนมากก็อดอาหาร เร่งประกอบความเพียร บางระยะก็นั่งติดต่อกัน ๓ คืน ถึงกับตูดพอง (ก้นพอง) ตอนอดอาหารพระที่นั้นเอาใจใส่ดูแลกันดีมาก พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวเน้นเรื่องออกวิเวกมาก ท่านเทศน์ตอนใกล้ออกพรรษา หลวงพ่อทองอินทร์ยังฝังใจและไม่ลืมเลยว่า
“ตอนที่ท่านเคยอยู่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น พอออกพรรษาแล้วเตรียมตัวออกวิเวกคนเดียว ตั้งใจทำความเพียร บางทีเดินทางจะไปชนเอากับล้อเกวียนก็มี เพราะความสำรวมมาก ฟังดูซิการทำความเพียรไม่เหมือนพระทุกวันนี้ พระทุกวันนี้มีแต่พระแห้งลงโครง (อีแร้งรุมกินซากสัตว์ตาย) หุ้มอยู่หุ้มกินเฉยๆ (รุมอยู่รุมกินเฉยๆ) มีแต่พระกัมมัฏฐานเหลือบาตร (ฉันแล้วข้าวเหลือบาตรมาก) กัมมัฏฐานคำเข่าใหญ่ (คำข้าวใหญ่) กัมมัฏฐานตาตี่ (ชอบหลับ) กัมมัฏฐานหมอนกิ่ว (นอนมากจนหมอนแบน) ได้สองอย่าง ได้กินกับได้นอน...”
พอได้ฟังเทศน์ครั้งนั้นแล้วก็มีแต่อยากจะออกวิเวกอย่างคำที่พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวเทศน์ ครั้นพอเสร็จงานกฐินแล้ว ก็เตรียมตัวขอกราบลาท่านและหมู่คณะออกวิเวกต่อไป พ่อแม่ครูอาจารย์มหาบัวได้เน้นย้ำเรื่องออกวิเวก ต้องตั้งใจทำความเพียรอย่างเดียว ห้ามสร้างโน้นสร้างนี้ ห้ามติดต่อบุคคล พร้อมทั้งเมตตาเขียนหนังสือให้หลวงพ่อทองอินทร์ไปหาโยมอุปัฏฐากวัดที่เมืองอุดรธานี คือ ท่านอัยการคูณ ในขณะนั้น หลังจากนั้นหลวงพ่อทองอินทร์ก็มุ่งหน้าสู่ภูเวียงที่เคยอยู่วิเวกกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ บำเพ็ญความเพียรอยู่นั้นเพียงลำพังเพราะไม่มีพระในตอนนั้น
ครั้นพอตกเดือนมีนาคม พระอาจารย์บุญตาได้พาพระเณรเข้าไปวิเวกในนั้น พระอาจารย์บุญตาบอกว่า “ท่านชอบอยู่รูปเดียวต้องถ้ำมโหฬารได้กำลังใจแน่ แต่ว่าตรงนั้นผีดุมาก” วันหนึ่งได้โอกาสดีจึงขอกราบลาพระอาจารย์บุญตาไป อีกสาเหตุก็คือคนขึ้นมามากแถว อ.ภูเวียง พระเณรและญาติโยมตามท่านก็เยอะ เลยไม่สงบ ไปถึงถ้ำมโหฬาร กิ่ง อ.หนองหิน จ.เลย เย็นมากแล้วมีหลวงพ่อรูปหนึ่งอยู่ที่นั่นชื่อ หลวงตานา ถามข่าวเรื่องสถานที่แล้วก็เข้าปักกลดหน้าถ้ำ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไร ทำความเพียรจิตใจสงบดี ใกล้สงกรานต์ผู้คนเข้าออกบ่อย หลวงตานาแนะนำว่า “ที่สงบกว่านี้มีถ้ำผาหวาย ห่างจากนี้ไปประมาณ ๒๐ กิโลเมตร เดินด้วยเท้า หากหลงทางไปถามทาง โยมเขาก็ไม่อยากจะบอกเพราะเขาขี้เกียจหามพระลงจากถ้ำ เพราะส่วนใหญ่พระไปวิเวกถ้ำผาหวายวันสองวันก็ป่วย วันสองวันก็ตาย โยมเขาว่าอย่างนั้น สอบถามดูประวัติพระที่ไปวิเวกถ้ำนั้นชอบป่วยๆ ตายๆ ดูเจตนาไม่คอยบริสุทธิ์ดี” จากคำบอกเล่าของหลวงตานา สิ่งต่างๆ มิได้เป็นอุปสรรคสำหรับหลวงพ่อทองอินทร์ ท่านก็พยายามไปจนถึงและอยู่ปฏิบัติ ๒ เดือนกว่า ได้กำลังใจดี
ต่อมามามีพระเข้าไปถ้ำผาหวายบอกว่า “มีถ้ำดีกว่านี้อีกและสงบมาก นอนไม่ได้เลย พระบอกว่าอย่างนั้น” เมื่อได้ทราบเช่นนั้นแล้วหลวงพ่อทองอินทร์ก็อยากไปเพื่อประกอบความเพียร ไม่ได้คิดอย่างอื่นและเห็นว่าถ้ำอยู่ลึกเข้าไปในดง เรื่องรถและถนนหนทางไม่ต้องไปถามหา ถ้ำนั้นชื่อว่า ถ้ำดินดำ อ.วังสะพุง จ.เลย ครั้นก่อนจะเข้าหน้าฝนต้องแสวงหาพ่อแม่ครูอาจารย์และสถานที่จำพรรษา ตอนนั้นได้ยินแต่ชื่อ พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย และพระอาจารย์ถวิล อยู่ทางจันทบุรี จึงทดลองไปทางจันทบุรี วัดเนินดินแดง วัดยางระหงส์ ท่านพระอาจารย์ถวิลอยู่วัดเนินดินแดง ส่วนลูกศิษย์คือ ท่านพระอาจารย์สมชายอยู่เขาสุกิม แต่ละแห่งก็อยู่ไม่นาน
หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร
หลวงปู่ศรีจันทร์ วณฺณาโภ
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
หลวงพ่อสีทน สีลธโน
๏ น้อมนำข้อวัตรปฏิบัติของพ่อแม่ครูอาจารย์มาเป็นแบบอย่างอยู่เสมอ
ตกลงในปี พ.ศ.๒๕๐๙ หลวงพ่อทองอินทร์ก็ได้อยู่วัดเขาตานก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ซึ่งมี ท่านพระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร เป็นหัวหน้า สำหรับท่านพระอาจารย์บุญจันทร์ ภายหลังไปอยู่ที่วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ เมื่อออกพรรษาเสร็จงานกฐินแล้วก็กลับมาถ้ำมโหฬารอีกครั้ง เพราะถ้ำมโหฬารธุดงค์ยังไม่ทั่ว พอกลับมาก็มีพระเณรประจำอยู่ ๒ รูป เป็นคนที่หนองหินนั้นเอง ก็เลยอยู่ด้วยกัน และได้พากันไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ต่างๆ หลายรูป เช่น หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร, หลวงปู่คำดี ปภาโส, หลวงปู่ศรีจันทร์ วณฺณาโภ, หลวงปู่ท่อน ญาณธโร และหลวงพ่อสีทน สีลธโน เป็นต้น ได้น้อมนำข้อวัตรปฏิบัติของพ่อแม่ครูอาจารย์เหล่านี้มาเป็นแบบอย่างอยู่เสมอมา เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษา ไปกราบคารวะมิได้ขาด (หรือคำว่า ขอกราบทำวัตรก่อนเข้าพรรษา) ดั่งที่ได้ปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้
เมื่อถึงเดือนเมษายน ผู้คนขึ้นไปกราบและชมถ้ำมโหฬารเยอะไม่สงบ จึงถือโอกาสไปเยี่ยมวัดป่าหัวดง บ้านน้อยหนองเค็ม อ.เมือง จ.นครพนม ฯลฯ ความจริงทุกๆ ปีเมื่อออกพรรษาแล้วตอนอยู่นครพนมนั้น มีโยมผู้ชายที่ชอบออกธุดงค์แสวงวิเวกตามพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ด้วย และสุดท้ายก็ได้บวชแทบทุกคน เช่นคนแรกคือ พระอาจารย์กอง, พระอาจารย์ไตร, พระอาจารย์ไมล์, พระอาจารย์เลา, พระอาจารย์หวา, พระอาจารย์เสมอ อุตฺตโร (เจ้าอาวาสวัดขามเฒ่าองค์ปัจจุบันนี้) และก็มีออกบวชอยู่เสมอมาถึงทุกวันนี้ โยมผู้ชายผู้ออกบวชเหล่านี้ส่วนมากชอบขโมยไปทำให้แม่ออก (ภรรยา) ร้องไห้แทบทั้งนั้น ถือเอาวิธีการเดินตามทางของพระพุทธเจ้า ถือว่าถ้าจะขออนุญาตจากโยมภรรยาก่อนเป็นไม่ได้ออกบวชแน่นอน เพราะใครจะปล่อยให้คนรับใช้หนีไปออกบวชได้ง่ายๆ โดยเฉพาะโยมผู้หญิงบ้านขามเฒ่าแล้ว ร้องไห้ตั้งหลายปีกว่าจะทำใจได้
๏ ไปจำพรรษาอยู่ทางใต้
วันหนึ่งได้ข่าวว่า พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พำนักจำพรรษาอยู่ทางใต้ หลวงพ่อทองอินทร์จึงตั้งใจที่จะไปทางใต้ พอดีมีงานฉลองพระธุตังคเจดีย์ที่วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งมี พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พำนักจำพรรษาอยู่ที่นั้น จัดงานฉลองใหญ่โต มีพ่อแม่ครูอาจารย์ไปเยอะ ความจริงก็ไม่ชอบงานใหญ่ๆ แต่ในจิตเจตนาอยากจะไปฟังเทศน์เท่านั้น เพราะมีเทศน์ตลอดคืนจนรุ่งเช้า พ่อแม่ครูอาจารย์สลับเปลี่ยนกันเทศน์ตลอด เสร็จงานแล้วจึงธุดงค์ไปทางใต้เพียงรูปเดียว คิดว่าทุกๆ อย่างอยู่ที่ปาก มุ่งหน้าสู่วัดที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พำนักอยู่เป็นจุดแรก ถึงภูเก็ตเช้ามืด รอให้สว่างจึงค่อยถามหาวัด มีคนแนะนำบอกทางแล้วก็เดินทาง ไปถึงวัด พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่เทสก์กลับอีสานแล้ว มีพระรองอยู่ประจำคือ หลวงพ่อพระครูสถิตบุณญรัตน์ พอเข้าไปถึงวัดแล้ววางบริขารไว้ที่ควร เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามไถ่ให้ความเมตตาเป็นอย่างมาก เหตุเพราะว่าสมัยนั้นพระกัมมัฏฐานจะลงไปปักษ์ใต้ยากมาก ถามไถ่ไปๆ มาๆ หมดแล้ว คำสุดท้ายฉันหรือยัง ตอบท่านว่ายัง เพราะจวนจะ ๑๑ โมงแล้ว ท่านก็สั่งให้โยมวัดจัดถวาย
พักอยู่นั้นไม่นานเท่าไหร่ ได้ข่าวว่าพระมีอายุพรรษามากมาจากอีสาน ก็มีพ่อแม่ครูอาจารย์ที่อยู่ใต้ คือ พระอาจารย์คำพอง ติสฺโส ระยะนั้นวัดที่ท่านอยู่คือ วัดสถานีโคกกลอย ใกล้จะเข้าพรรษาแล้วก็เลยเข้าไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ ขอปวารณาตัวให้ท่านแนะนำสั่งสอนตักเตือน ท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา
ปี พ.ศ.๒๕๑๐ จำพรรษาที่วัดสถานีโคกกลอย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ซึ่งมี พ่อแม่ครูอาจารย์คำพอง ติสฺโสเป็นประธานจำพรรษาในปีนั้น
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
หลวงพ่อคำพอง ติสฺโส
“หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ” วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง)
๏ กลับไปจำพรรษาอยู่ทางอีสาน
ปี พ.ศ.๒๕๑๑ ขึ้นมาถึงภาคอีสานก็เข้าไปเยี่ยมวัดเดิม คือ วัดถ้ำกวาง จ.ขอนแก่น พักอยู่ไม่นานก็มีท่านพระอาจารย์ทองมาเดินทางมาจากถ้ำผาปู่ ญาติโยมก็นิมนต์ขอให้อยู่จำพรรษา
ปี พ.ศ.๒๕๑๒ จำพรรษาที่วัดถ้ำมโหฬารกิ่ง อ.หนองหิน จ.เลย มีพระจำพรรษาอยู่ ๒ รูป สามเณร ๑ รูป
ปี พ.ศ.๒๕๑๓ จำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง ในระหว่างพรรษาท่านพระอาจารย์ทองมาก็พาอยู่เนสัชชิก คือไม่นอนในวันพระตลอดทั้งวัน ทั้งพระและเณร พร้อมญาติโยมผู้ไปถือศีล ๘ ได้ความอดทนดีได้สติดีมาก ครั้นพอออกพรรษาแล้วได้ออกธุดงค์อยู่ในเขตภูเวียงป่าใหญ่ ดงใหญ่มาก
ปี พ.ศ.๒๕๑๔ โยมทางวัดถ้ำมโหฬารก็ตามไปขอร้องให้กลับไปจำพรรษาอีก พออายุพรรษามากขึ้นถึง ๑๐ กว่าพรรษาแล้ว พระเณรและคณะญาติโยมมาขออยู่ด้วยหลายปีก็มากขึ้นเป็นลำดับ
ปี พ.ศ.๒๕๑๕ ได้จำพรรษาที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ครั้นออกพรรษาแล้วเสร็จงานกฐินก็กลับวัดถ้ำมโหฬารเช่นเดิม อยู่วัดถ้ำมโหฬารไปถึงปี พ.ศ.๒๕๒๐
๏ วิสัชชนาข้อธรรมถวาย “ในหลวง”
ปี พ.ศ.๒๕๒๑ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่สั่งไปประชุมที่วัดใหญ่ (วัดป่ากุง) ข้อสำคัญในที่ประชุมพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ได้ปรารภว่า มีพระมาจากทางกรุงเทพฯ อยากได้พระในสายของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ไปจำพรรษาที่ทางใต้ คือ ที่โต๊ะโม๊ะ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ในชื่อเต็มว่า นิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ ด้วยเหตุประชาชนชาวอีสานไปอยู่ที่นิคม ไม่มีที่พึ่งทางใจ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเยี่ยมประชาชน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระราชโอรส พระราชธิดาทุกพระองค์ ประชาชนก็กราบทูลขอพระสงฆ์เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจและได้มีโอกาสทำบุญ โดยอยากได้พระป่าที่อดทนได้ดี
ด้วยเหตุนั้นเองพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ จึงได้ประชุมหาผู้ที่จะไปตามที่พระผู้ใหญ่มาขอ ที่ประชุมก็ได้จัดให้หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ เป็นหัวหน้า ผู้ที่ติดตามไปให้เลือกเอาพระสงฆ์ ๔ รูป สามเณร ๑ รูป คือ พระอาจารย์บุญสิทธิ์ (นวล) อคฺควณฺโณ ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดทุ่งพุทธาราม อ.สวี จ.ชุมพร, พระอาจารย์ทองคำ (ปัจจุบันไม่ทราบข่าว), พระอาจารย์สุบรรณ (ปัจจุบันลาสิกขาแล้ว) ในระหว่างพรรษามีข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ จะเสด็จทุกอย่างค่อยดีขึ้น ถึงวันเสด็จก่อนเวลามีเจ้าหน้าที่เข้าไปจัดสถานที่รับเสด็จและแนะวิธี ถึงเวลาก็เสด็จวัดตามหมายกำหนดการ ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วก็เข้าถึงบริเวณปะรำพิธี คือ เต็นท์เป็นศาลา มีเต็นท์แค่ ๒ หลังเท่านั้นคับแคบมาก เสด็จจริงเป็น ๓ พระองค์ องค์ที่ ๓ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเข้าไปถึงก็ทรงกราบพระประธาน กราบพระสงฆ์ แล้วถวายของ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีรูปเหรียญของหลวงปู่แหวน ๑ ถุง ก่อนถวายเอ่ยคำแรกว่า “ดิฉันมีรูปเหมือนของครูบาอาจารย์เพื่อแจกแก่ประชาชน ท่านจะรับหรือเปล่า”
“รับ” หลวงพ่อทองอินทร์ตอบ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ทรงถามว่า “บนเขามีพระอยู่หรือเปล่า”
“มี” หลวงพ่อทองอินทร์ตอบ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ทรงถามต่อไปอีกว่า “ท่านอยู่ไง”
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อยากจะขึ้นไปดู เจ้าหน้าที่รายงานว่า “ไกลและขึ้นลำบาก” เลยโดยงดเสด็จ
สิ่งไม่คาดคิดและไม่ได้นึกก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงตรัสถามข้อธรรมะว่า “ยกตัวอย่างกำหนดพระพุทธรูปมาบริกรรมจัดเป็นนิมิตหรือไม่”
“ไม่เรียกว่านิมิต” หลวงพ่อทองอินทร์ตอบไปแบบไม่ได้กำหนดจิตเลย
ทรงตรัสถามต่อไปอีกว่า “แบบไหนเรียกว่านิมิต”
“จิตรวมเป็นสมาธิแล้วเห็นเป็นรูปขึ้นมา” หลวงพ่อทองอินทร์ตอบ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงตรัสอีกว่า “ต้องเรียกว่านิมิต”
“เพราะไม่เข้าใจคำถาม จึงตอบผิด ถ้าเข้าใจคำถามเป็นคำนิมิตในสมาธิ แต่พิจารณาแล้วเป็นคำนิมิตสำหรับบริกรรมก็จัดว่านิมิตได้” หลวงพ่อทองอินทร์ตอบ
ต่อมาภายหลังเมื่อมีโอกาส ได้นำเอามากราบพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ซึ่งพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ท่านก็หัวเราะหึๆ และตอบว่า “ของตอบยากอยู่”
พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่” : พระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
“หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ” วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง)
๏ จำพรรษา ณ อินโดนีเซีย-ออสเตรเลีย
ปี พ.ศ.๒๕๒๒ หลังจากวันมาฆบูชาเสร็จ จัดเตรียมเครื่องอัฐบริขารเพื่อไปออกธุดงค์แสวงวิเวกที่ จ.เชียงราย ด้วยเหตุว่าเจ้าหน้าที่องค์การทหารผ่านศึกมาขอพระกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ไว้ จึงมีมติให้หลวงพ่อทองอินทร์ และพระอาจารย์โฮม ปญฺญาพโล พร้อมพระที่ติดตามไป ๖-๗ รูป พาพวกญาติโยมไปพัฒนาอยู่ตลอดหน้าแล้ง จวนเข้าพรรษา พระอาจารย์มานะ อตุโล มาอยู่แทน ในปีเดียวกันก็มีการเปิดวัดสาขาใหม่ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ขึ้นอีก ๑ แห่ง (วัดป่าโป่งถืบ บ้านโป่งถืบ ต.เวียง) ที่ อ.ฝาง ให้ พระอาจารย์หนู ไปอยู่ก่อน
ปี พ.ศ.๒๕๒๒-๒๕๒๓ กลับไปจำพรรษาวัดถ้ำมโหฬารเช่นเคย
ปี พ.ศ.๒๕๒๔-๒๕๒๘ มีพิธีมอบวัดอีกที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา (วัดเขาไทรสายัณห์ บ้านโปร่งประทุน ต.ปากช่อง) ประชุมหาผู้ที่จะอยู่เป็นหัวหน้าไม่มี ที่ประชุมคณะสงฆ์เสนอให้หลวงพ่อทองอินทร์เป็นหัวหน้าพาหมู่คณะอยู่ที่วัดเขาไทรสายัณห์ ปีแรกเดินบิณฑบาตถึงสถานีรถไฟเข้าในตลาด ขากลับออกเดินทางถนนใหญ่เดินขึ้นวัด ไม่ได้สบายเหมือนทุกวันนี้ อยู่ที่นั่นซ่อมแซมเสนาสนะ ทำรั้วล้อมวัด อยู่นาน ๒ พรรษา ถึงปี พ.ศ.๒๕๒๖พระอาจารย์มณี ธมฺมรํสี ไปอยู่แทนจนกระทั่งถึงปัจจุบัน (ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๔ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พาไปกราบที่สำคัญในประเทศอินเดีย) จากนั้นได้กลับมาประจำที่วัดถ้ำมโหฬารอีก ถึงปี พ.ศ.๒๕๒๙
ปี พ.ศ.๒๕๓๐ หมู่คณะพระมาจากประเทศอินโดนีเซียกราบนิมนต์ให้ไปเยี่ยม จึงเดินทางไปพร้อมด้วยพระอาจารย์มานะ อตุโล และจำพรรษาที่วัดพุทธเมตตา เมืองเมนแตง กรุงจาการ์ตา ณ ที่แห่งนี้ หลวงพ่อทองอินทร์ได้เปิดการบิณฑบาตเป็นรูปแรก พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ก็เดินทางไปส่งด้วยในครั้งนั้น ใกล้จะเข้าพรรษาปี พ.ศ.๒๕๓๑ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ชอบอากาศที่เมืองปุนจักมาก ประกอบด้วย อิบูยันติ มีความเคารพเลื่อมใสพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่มาก เลยขออาราธนานิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่จำพรรษา พร้อมพระอาจารย์มานะ อตุโล ที่ไร่ชาของอิบูยันติ ส่วนหลวงพ่อทองอินทร์ก็กลับมาจำพรรษาที่วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) แทนพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ ครั้นออกพรรษาแล้ว ก่อนจะกลับทางออสเตรเลียได้นิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่เอาไว้นานแล้ว ดังนั้น จึงได้ไปประเทศออสเตรเลีย กลับประเทศไทยในปี พ.ศ.๒๕๓๑
๏ ดูแลการก่อสร้าง “พระมหาเจดีย์ชัยมงคล”
ปี พ.ศ.๒๕๓๒ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่กลับมาแล้ว หลวงพ่อทองอินทร์ก็กลับคืนมาอยู่ประจำที่วัดถ้ำมโหฬารอีกครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๓๖ ที่ประชุมคณะสงฆ์มีมิติให้มาช่วยดูแลการก่อสร้าง “พระมหาเจดีย์ชัยมงคล” วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม (วัดผาน้ำย้อย) จ.ร้อยเอ็ด อยู่ได้ ๖ พรรษา
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณวนอุทยานผาน้ำย้อย บนเทือกเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม (วัดผาน้ำย้อย) บ้านโคกกลาง ต.ผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ห่างจากตัวเมืองร้อยเอ็ดไปประมาณ ๘๐ กิโลเมตร มีลักษณะเป็นพระมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน เป็นการผสมผสานกันระหว่างศิลปกรรมของพระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม ออกแบบโดยกรมศิลปากร มีสีขาว ตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง ๘ ทิศ สร้างบนเนื้อที่ ๑๐๑ ไร่ กว้าง ๑๐๑ เมตร ยาว ๑๐๑ เมตร สูง ๑๐๑ เมตร รวมยอดทองคำแล้วมีความสูง ๑๐๙ เมตร ใช้ทองคำหนัก ๔,๗๕๐ บาทหรือประมาณ ๖๐ กิโลกรัม ภายในองค์พระมหาเจดีย์ตกแต่งอย่างงดงามวิจิตรเหมือนวิมานแดนสวรรค์ ใช้งบประมาณก่อสร้างจนแล้วเสร็จมากกว่า ๓,๐๐๐ ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดยพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ “หลวงปู่ศรี มหาวีโร” ซึ่งองค์ท่านเป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ปี พ.ศ.๒๕๓๗ มีญาติโยมศรัทธาต้องการถวายวัดแก่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ที่เมืองฮ่องกง หลวงพ่อทองอินทร์จึงได้เดินทางไปเมืองฮ่องกงพร้อมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ คณะสงฆ์ และญาติโยมจำนวนมาก พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ท่านได้ตกลงให้ พระอาจารย์มานะ อตุโล และพระอาจารย์สมปอง ธมฺมาลโยอยู่จำพรรษาโปรดญาติโยมชาวไทยในฮ่องกง ปัจจุบันเป็นวัดสาขาใช้ชื่อว่า วัดพุทธธรรมาราม (Wat Buddhadhamaram Limited) โดยมี พระอาจารย์มนูญ อคฺคปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาส
ปี พ.ศ.๒๕๔๒ มหาวิทยาลัยสารคาม ได้ก่อสร้างมหาวิทยาลัยใหม่ ที่ดินเยอะประกอบกับมีวัดเก่าแก่อยู่ในเขตมหาวิทยาลัยสารคาม ชื่อ วัดกู่แก้ว ซึ่งมีตระกูลคณะอธิการบดี โดยการนำของ ดร.พิศมัย ศรีอำไพ พร้อมทั้งคณาจารย์ และคณะศรัทธาชาวบ้านประสงค์อยากให้มีพระสงฆ์มาประจำ พอได้แนะนำสั่งสอนพุทธบริษัท พร้อมจะได้แนะนำนักศึกษาให้รู้แนวทางดำรงชีวิตประจำวัน เพื่อความผาสุกและร่มเย็นเมื่อจบการศึกษาออกไปประกอบอาชีพในทางที่ถูกที่ควร หลวงพ่อทองอินทร์ก็ได้เมตตามาจำพรรษาโปรดญาติโยมให้
ปี พ.ศ.๒๕๔๓ วันมาฆบูชา มีการประชุมที่เขาใหญ่ ประมาณหลักกิโลเมตรที่ ๑๓ สวนวาสนา ข้อสำคัญในที่ประชุมก็คือ โยมชัช-โยมวาสนา ธาระวานิช มีความประสงค์อยากให้มีพระสงฆ์มาประจำสวนวาสนาแห่งนี้ หลวงพ่อทองอินทร์ก็ได้มาจำพรรษาอยู่ที่สวนวาสนา เขาใหญ่ ติดต่อกันมานับแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๓-๒๕๔๖
๏ ดูแลการก่อสร้าง “เจดีย์หินทรายวัดป่ากุง”
ปี พ.ศ.๒๕๔๗-๒๕๔๘ หลวงพ่อทองอินทร์มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) และช่วยดูแลการก่อสร้าง เจดีย์หินทรายวัดป่ากุง (บรมพุทโธเมืองไทย) ใช้เวลาก่อสร้าง ๒ ปีกว่า (พ.ศ.๒๕๔๗-๒๕๔๙)
เจดีย์หินทรายวัดป่ากุง อันยิ่งใหญ่และตระการตา ซึ่งก่อสร้างโดยจำลองแบบมาจากพระมหาเจดีย์โบโรบูดูร์ หรือบุโรพุทโธ หรือบรมพุทโธ (borobodur) พุทธสถานสิ่งมหัศจรรย์สำคัญอันเป็นมรดกโลก (World Heritage) ใจกลางเกาะชวาของประเทศอินโดนีเซีย และผสมผสานกับความเป็นไทยด้วย ตั้งอยู่ภายใน วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) บ้านป่ากุง ต.ศรีสมเด็จ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด สถานที่จำพรรษาช่วงสุดท้ายของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่ “หลวงปู่ศรี มหาวีโร” พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี และเป็นวัดที่องค์ท่านได้มาละสังขารด้วย สำหรับที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจนั้นเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่องค์หลวงปู่ศรีได้ไปอยู่จำพรรษา ณ เสนาสนะป่า บนหลังเขาเมืองปุณจะ ประเทศอินโดนีเซีย ในพรรษาที่ ๔๓ ปี พ.ศ.๒๕๓๑ ซึ่งองค์ท่านประทับใจเป็นอย่างมาก
เจดีย์หินทราย ดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๗ ด้วยความร่วมแรงร่วมใจจากคณะสงฆ์วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) และวัดสาขา ตลอดจนคณะศิษยานุศิษย์ ผู้เลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงปู่ศรี ได้พร้อมใจกันสละกำลังกายและกำลังทรัพย์ ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ถวายเป็นการบูชาคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ตลอดจนเทิดทูนคุณงามความดีที่องค์หลวงปู่ศรีได้ประพฤติปฏิบัติ ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จถวายเป็นอนุสรณ์ครบรอบ ๙๐ ปี ๖๐ พรรษา ของพระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร) เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙
ปี พ.ศ.๒๕๔๙ หลวงพ่อทองอินทร์ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดรัตนประทีปวิหาร เมืองอดีเลส ประเทศออสเตรเลีย
๏ สร้าง “วัดป่าพัฒนาจิตกตปุญโญ”
ปี พ.ศ.๒๕๕๒ โยมสินชัยได้ถวายที่ดินและเสนาสนะแก่หลวงพ่อทองอินทร์ที่ ต.บึงงาม อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะเพิ่มเติม แล้วตั้งชื่อว่า วัดป่าพัฒนาจิตกตปุญโญ
“พระมหาเจดีย์ชัยมงคล” ณ วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม
(วัดผาน้ำย้อย) บ้านโคกกลาง ต.ผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด
“เจดีย์หินทราย” ณ วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) จ.ร้อยเอ็ด
(ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : คุณเอ ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน)
กุฏิของ “หลวงพ่อทองอินทร์ กตปุญโญ” ณ วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง)
ซึ่งเป็นกุฏิเจ้าอาวาสที่ดูโปร่งสบายตา งดงามอย่างเรียบง่าย
(ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : คุณหมอนิด กิจจา ทวีกุลกิจ)
:: รวบรวมและคัดลอกเนื้อหามาจาก ::
เว็บไซต์วัดป่ากุง http://www.watpakung.org
แหล่งที่มา นำมาจากเว็บธรรมจักร www.dhammajak.net
Top