หลวงพ่อกรัก ( พระอุปัชฌาย์กรัก )
ประวัติวัด วัดอัมพวัน จังหวัดลพบุรี
วัดอัมพวัน
วัดอัมพวันสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกาย พื้นที่วัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรีทางด้านทิศเหนือ และแวดล้อมด้วยหมู่บ้านชาวมอญมาแต่อดีต ชาวมอญบางขันหมากนี้ สันนิษฐานว่าเป็นชาวมอญที่สืบเชื้อสายกันมา ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สืบเนื่องจากที่ชาวมอญจากเมืองมอญอพยพตามสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้ามา หลังประกาศเอกราช ณ เมืองแครง โดยมีพระมหาเถรคันฉ่องเป็นผู้ช่วยเหลือ ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้ปูนบำเหน็จแก่ขุนนางและพระสงฆ์มอญขนานใหญ่ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนมอญบางขันหมาก จังหวัดลพบุรีนั้น น่าจะเห็นเด่นชัดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่สร้างพระราชวังพระนารายณ์ราชนิเวศน์ที่ลพบุรี คงได้เกณฑ์ชาวมอญส่วนหนึ่งมาก่อเตาเผาอิฐสร้างพระราชวัง และอาราธนาพระสงฆ์มอญมาด้วย และยังสร้างวัด “ตองปุ” ให้พระสงฆ์มอญจำพรรษา ทำหน้าที่สวดพระปริตทำน้ำมนต์ ตามอย่างธรรมเนียมมอญที่มีมาแต่สมัยพระนเรศวร
อาจารย์ภูธร ภูมธน เชื่อว่าชาวมอญที่อพยพเข้ามา ตั้งบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดลพบุรีนั้น น่าจะเป็นมอญที่อพยพมาจากชุมชนมอญอื่นอีกทอดหนึ่ง เชื่อว่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ มาจากทางใต้คือ บ้านบางระกำ และจากทิศตะวันตกคือ บ้าน โพธิ์ข้าวผอก ตำบลบางมัน อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เพราะมีชาวมอญที่บ้านบางขันหมากหลายคนระบุเช่นนั้น และชุมชนมอญทั้งสองแห่งนี้ล้วนอยู่ไม่ไกลจากบ้านบางขันหมาก สามารถติดต่อกันได้โดยสะดวกผ่านทางแม่น้ำลพบุรี
นักวิจัยอีกท่านหนึ่งคือ ดร.จารุวรรณ เบญจาทิกุล เชื่อว่า ชาวมอญที่อพยพมาตั้งบ้านเรือนในจังหวัดลพบุรี เป็นมอญที่อพยพมาจากจังหวัดปทุมธานี สมุทรปราการ อยุธยา และสิงห์บุรี ตอนแรกจะตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณท่าดินเหนียว ซึ่งอยู่ในตำบลโพธิ์เก้าต้น ต่อมาจึงได้ย้ายมาตั้งบ้านเรือนบริเวณบ้านบางคู้ หรือตำบลบางขันหมากในปัจจุบัน
แต่ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ชาวมอญลพบุรีส่วนหนึ่ง สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญตั้งแต่สมัยอยุธยาดังกล่าว รวมกับชาวมอญที่อพยพขึ้นไปจากเมืองสามโคก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีหลักฐานปรากฏ กล่าวคือมีการติดต่อค้าขายโยงใยในระบบ เครือญาติสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบันหลายครอบครัว สำหรับประวัติวัดอัมพวันนั้น คนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้านเล่าว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศักราช ๒๔๑๕ ได้รับพระราชทานวิสุง คามสีมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๒๐ ตามตำนานกล่าว กันว่ากรมช้างในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ได้ให้ควาญช้างนำช้าง ไปเลี้ยงยังป่าละเมาะใกล้คลองตาสา หรือวัดกลาง ในปัจจุบัน
ต่อมาปรากฏว่ามีช้างเชือกหนึ่งล้มลง กรมช้างได้นำหนังช้างเชือกนั้นมาฟั่นเป็นเชือกขายได้เงินประมาณ ๓๐ ตำลึง และนำเงินนั้นมาซื้อที่สวนมะม่วงของชาวบ้านย่านนั้น จากนั้นได้ชักชวนชาวบ้านพร้อมใจกันสร้างวัดขึ้นให้ชื่อว่า “วัดอัมพวัน” ซึ่งแปลว่า ป่ามะม่วง นั่นเอง
นอกจากชื่อวัดอัมพวันแล้ว ยังมีชาวบ้านเรียกขานชื่อวัดไปต่าง ๆ กันอีกหลายชื่อ ได้แก่ “วัดค้างคาว” ด้วยเหตุที่สมัย ก่อนนั้นในเขตวัดอัมพวันมีค้างคาวแม่ไก่มาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีทหารและชาวบ้านมาลอบยิงไปทำอาหารอยู่เนือง ๆ หลวงปู่ทอกรัก อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวันทราบเรื่อง เกิดความเมตตาสงสารฝูงค้างคาวเหล่านั้น มีเรื่องเล่ากันว่า หลวงปู่ทอกรักได้ลงมาจากกุฏิเอามือตบลงบนต้นโพธิ์หน้าพระอุโบสถ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงค้างคาว เสมือนเป็นการแผ่เมตตาจิตคุ้มครองภยันตรายแก่ฝูงค้างคาว และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครสามารถทำอันตรายฝูงค้างคาวดังกล่าวอีกเลย แม้แต่ปืนก็ยิงไม่ออก เรื่องนี้จึงกลายเป็นตำนานที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงความเมตตากรุณา ความเป็นผู้มีวิชาอาคมด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย ส่วนเรื่องราวที่แท้จริงเป็นประการใดนั้นไม่มีผู้ยืนยัน แต่คาดว่าสถานที่บริเวณนั้นคงต้องมีฝูงค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้คนสัญจรผ่านไปมาจึงขนานนามวัดแห่งนี้ตามสภาพที่พบเห็นเด่นชัดว่า “วัดค้างคาว”
“วัดสุด” ก็เป็นอีกชื่อหนึ่งที่หมายถึงวัดอัมพวัน ด้วยเหตุที่ชุมชนมอญบางขันหมากมีชาวมอญอาศัยกันอยู่อย่างหนา แน่น ประกอบกับชาวมอญเป็นผู้ที่มีจิตเป็นกุศลยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า นิยมสร้างวัดไว้ในบวรพุทธศาสนา และใช้เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของบุตรหลานชาวมอญบางขันหมากจึงได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้น ในชุมชนถึง ๔ แห่งด้วยกัน คือ วัดโพธิ์ระหัต วัดกลาง วัดอัพวัน และวัดราษฎร์ศรัทธาธรรม ซึ่งวัดอัมพวันอยู่ใต้สุดของตำบลบางขันหมากใต้ ติดกับตำบลพรหมมาสตร์ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกวัดอัมพวันตามสำเนียงมอญว่า “เภี่ยฮะโม” ส่วนในภาษา ไทยเรียกว่า “วัดสุด” ตามภูมิประเทศนั่นเอง
“วัดสุสาน” เคยถูกใช้เรียกวัดอัมพวันอยู่ในสมัยหนึ่ง ด้วยเหตุที่ในยุคหนึ่งวัดอัมพวันปลูกสร้างกุฏิสงฆ์แยกออกเป็น ๒ หลังอย่างชัดเจน เพราะอยู่ห่างไกลกันมีป่ารกทึบคั่นกลาง จึงดูเหมือนแยกกันเป็น ๒ วัด คือ วัดนอก (ริมแม่น้ำลพบุรี) และ วัดใน (อยู่ลึกเข้ามาจากริมแม่น้ำติดป่าช้า) เนื่องจากสมัยนั้น วัดอัมพวันปกครองโดยหลวงปู่ทอกรัก เจ้าอาวาส และยังมี อาจารย์แจะ ซึ่งมีพรรษาใกล้เคียงกับหลวงปู่ทอกรัก วิสัยของอาจารย์แจะท่านชอบสันโดษ จึงปลีกวิเวกไปปลูกกุฏิอยู่ข้างป่าช้า ต่อมาภายหลังมีพระสงฆ์ย้ายไปอยู่กับท่านเพิ่มขึ้น ในบรรดาพระสงฆ์ที่ไปอยู่กับอาจารย์แจะนั้น มีรูปหนึ่งที่ขึ้นชื่อ เรื่องเมตตามหานิยม คือ พระอาจารย์สว่าง อมโร กิตติศัพท์เลื่องลือในหมู่ชาวบ้าน มีลูกศิษย์ลูกหานับถือมากมาย ชาวบ้านจึงแยกเรียกชื่อวัดอัมพวันออกเป็น ๒ วัด เพื่อความสะดวกในการเรียก ส่วนในการปกครองอย่างเป็นทางการนั้นยังคงมีเพียงวัดเดียว
ต่อมาทั้งพระอาจารย์แจะ และ หลวงปู่ทอกรัก ได้มรณภาพลง พระอาจารย์สว่าง อมโร ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน แผ้วถางปลูกสิ่งก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ เชื่อมกันระหว่างหมู่กุฏิสงฆ์ทั้ง ๒ คณะ จนรวมเป็นหมู่เสนาสนะสงฆ์ รวมกันเป็นวัดเดียวอย่างชัดเจน
ลำดับเจ้าอาวาสที่ปกครองวัดมีดังนี้ คือ
๑. พระอาจารย์เชียง ชนูปถัมภ์
๒. พระอาจารย์ทอโหนด ไม่ทราบปีเริ่ม - พ.ศ. ๒๔๔๕
๓. พระอุปัชฌาย์ทอกรัก สุวณฺณสาโร (ท่อทอง) พ.ศ. ๒๔๔๕-๒๔๘๕
๔. พระครูอมรสมณคุณ (สว่าง หมอบอก) พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๕๒๐
๕. พระครูอมรสมณคุณ (สมควร รุมรามัญ) พ.ศ. ๒๕๒๐ - ปัจจุบัน
สถานที่ตั้ง
บ้านบางขันหมากใต้ ตำบลอัมพวัน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
วัดในบริเวณใกล้เคียง
วัดทองแท่งนิสยาราม วัดสิงห์ทอง วัดโพธิ์ระหัต วัดกลาง วัดราษฎร์ศรัทธาทำ วัดหนองแก้ว
ข้อมูลอ้างอิงจาก : p.moohin.com