หลวงปู่แว่น ธนปาโล ( พระครูภาวนาทัศนวิสุทธิ )
ประวัติ วัดถ้ำพระสบาย จ.ลำปาง
๏ นามเดิม
แว่น ทุมกิจจะ เป็นบุตรของนายวันดี และนางคำไพ ทุมกิจจะ
๏ เกิด
วันเสาร์ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ตรงกับแรม ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ ณ บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
๏ บรรพชา
เมื่ออายุ ๑๘ ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ณ วัดศรีรัตนาราม บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นได้พบกับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร (เป็นญาติลูกผู้พี่ผู้น้องใกล้ชิดท่าน) ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงสนใจการปฏิบัติสมาธิภาวนาทางสายพระธุดงค์กัมมัฏฐาน
๏ อุปสมบท
อุปสมบทสายธรรมยุต เมื่ออายุ ๒๑ ปี ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โดยมี พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระสารภาณมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ เคยรับการศึกษาอบรมธรรมกับ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ที่วัดป่าคลองกุ้ง ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ก่อนที่จะเข้ามาเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น
ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส บ้านคำสะอาด ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร อยู่ ๖ ปี แล้วจึงได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำพระสบาย ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง จนกระทั่งได้มรณภาพลง
๏ สมณศักดิ์
เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูภาวนาทัศนวิสุทธิ
๏ การมรณภาพ
วันอังคารที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ สิริอายุรวม ๘๘ ปี ๘ เดือน ๒๑ วัน พรรษา ๖๘
๏ อาจาริยธรรม
ในพรรษาที่ ๑๒ ของหลวงปู่แว่น ธนปาโล นั้น พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก ได้ชวนหลวงปู่ไปกราบนมัสการศพ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถระ ที่วัดบูรพา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี หลวงปู่แว่นได้มีโอกาสกราบนมัสการ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ซึ่งท่านมีความเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว เมื่อได้กราบไหว้องค์จริงและเห็นจริยาวัตรอันงดงาม ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดจิตสุดใจ จึงได้กราบถวายตัวเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่นในครั้งนั้น
หลวงปู่ได้รับความเมตตากรุณาจากท่านพระอาจารย์มั่น ด้วยการที่ท่านรินน้ำร้อนแล้วยื่นให้หลวงปู่ฉัน โดยใช้ถ้วยของท่านพระอาจารย์มั่นนั่นเอง ด้วยความเคารพครูบาอาจารย์ หลวงปู่รู้สึกว่าเป็นการไม่สมควรที่จะใช้ถ้วยน้ำร้อนใบเดียวกันท่านพระ อาจารย์มั่น ท่านจึงลังเลอิดเอื้อน ถือถ้วยน้ำร้อนไว้เฉยๆ พร้อมทั้งมองหาถ้วยใบอื่นมาเปลี่ยน ท่านพระอาจารย์มั่นเห็นอาการลังเลของศิษย์ จึงกล่าวกำชับให้ฉันอีกและให้ฉันให้หมด หลวงปู่จึงจำเป็นต้องฉัน เพราะไม่อยากขัดความเมตตาจากครูบาอาจารย์
๏ โอวาทธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น
ต่อจากนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเทศน์เชิงเปรียบเทียบให้หลวงปู่แว่นฟังว่า
“มีชายคนหนึ่งชำนาญในการตกเบ็ด เอากบน้อยไปเกี่ยวเบ็ดเป็นเหยื่อตกปลา เมื่อหย่อนเบ็ดลงในน้ำ กบก็ตีน้ำอยู่ไปมา ปลาเห็นเข้าก็ฮุบกบเป็นอาหาร ยังคงเหลือหนังกบติดอยู่กับเบ็ด ชายคนนั้นจึงนำเอาสิ่งที่พบเห็นไปเป็นอุบายเจริญภาวนา จนเห็นร่างกายตนชัดเจน”
ท่านพระอาจารย์มั่นย้ำต่อไปว่า “การดูตัวเองจนเห็นชัด ดีกว่าไปพิจารณาคนอื่น เห็นคนอื่นมีแต่น่าตำหนิทั้งหมด สู้ดูตัวเองไมได้เน๊าะ”
พอท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์เสร็จ ท่านก็ลุกขึ้นเดินลงจากกุฏิไปท่าน้ำเพื่อลงเรือข้ามฟาก หลวงปู่เดินตามไปพร้อมกับกำหนดดูอิริยาบถท่านพระอาจารย์มั่นไปด้วย และคิดในใจว่า “ท่านพระอาจารย์มั่นช่างมีจิตใจที่มั่นคงสมชื่อจริงๆ” เมื่อไปถึงท่าน้ำ ท่านพูดว่า “ท่านลงเรือลำนี้ ผมจะลงลำนั้น” คือชี้ให้ลงเรือคนละลำกัน หลวงปู่ยืนนิ่งอยู่เพราะตั้งใจจะขอลงเรือลำเดียวกันกับท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งท่านได้พูดย้ำคำพูดเดิมอีกถึง ๒ ครั้ง หลวงปู่จึงลงเรือคนละลำกับท่านพระอาจารย์มั่น พระเณรที่ติดตามมาต่างก็ลงเรือจนเต็มทั้งสองลำแล้วข้ามฝั่งไป
จากอุบายธรรมที่ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์สอนหลวงปู่นั้น แสดงว่าท่านกำหนดรู้ถึงการปฏิบัติภาวนาของหลวงปู่เมื่อครั้งอยู่ที่จังหวัด ปราจีนบุรี (คือหลวงปู่ได้พิจารณาซากศพก่อนเผา เกิดนิมิตศพโยมเป็นร่างกายของหลวงปู่ขึ้นมาแทน จนปรากฏเห็นไตรลักษณ์ชัดเจน ซึ่งท่านพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก จนรู้สึกถึงความจริงในอัตภาพร่างกายคนเราได้) หลวงปู่จึงได้นำไปเป็นอุบายในการกำหนดพิจารณาธาตุขันธ์ร่างกายเป็นอารมณ์ ตามจริตของหลวงปู่เอง
การนำอุบายจากท่านพระอาจารย์มั่นไปกำหนดการภาวนา นับว่าเป็นประโยชน์มหาศาลแก่หลวงปู่ โดยถือเป็นทางดำเนินที่เข้ามรรคผลได้อย่างดียิ่ง การปฏิบัติภาวนาของหลวงปู่ในระยะต่อมาได้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว กำลังสติ กำลังปัญญา มีความแจ่มใสมากขึ้นโดยลำดับ จนสามารถเอาตัวรอดได้ สมความตั้งใจของท่านที่มุ่งปฏิบัติชอบตามครูบาอาจารย์ เจริญรอยตามเยี่ยงพระอริยสาวกทั้งหลาย
ในงานศพท่านพระอาจารย์เสาร์ มีหลายสิ่งที่หลวงปู่รู้สึกประทับใจในวิธีการของท่านพระอาจารย์มั่น และนำมาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังบ่อยๆ มีอยู่คืนหนึ่ง พวกชาวบ้านได้พากันหามเสื่อไปจนถึงกุฏิที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ ท่านพระอาจารย์มั่นถามว่า “จะเอาไปทำอะไร” ชาวบ้านตอบว่า จะเอาไปปูนั่งเพื่อฝึกหัดร้องสรภัญญะ เพื่อจะไปร้องแข่งในงานศพท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่นได้เรียกประชุมสงฆ์ เมื่อคณะสงฆ์มาพร้อมจึงพูดขึ้นว่า “สรภัญญะนี้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์ท่านไม่ได้สอน ผมก็ไม่ได้สอน ใครเป็นผู้สอนหือ ?”
ความจริงท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็รู้ว่าใครเป็นคนสอน แต่ท่านไม่ออกชื่อ ทั้งๆ ที่ผู้สอนก็นั่งอยู่ใกล้ๆ (คงจะหมายถึงหลวงปู่แว่นเองก็ได้ เพราะท่านเคยเป็นครูสอนสรภัญญะในพรรษาที่ ๖ เมื่อครั้งไปพำนักจำพรรษาที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา) ตั้งแต่คืนนั้น ไม่มีใครกล้าฝึกร้องสรภัญญะอีกเลย แต่เอาเวลาส่วนใหญ่ไปปฏิบัติสมาธิภาวนา ต่างคนต่างปฏิบัติ ดูจิตดูใจของตนเอง
เกี่ยวกับข้อปฏิบัติของท่านพระอาจารย์มั่นอีกเรื่องหนึ่ง ในงานศพท่านพระอาจารย์เสาร์ คือเขานิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่นไปชักบังสุกุลศพท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่นเดินไปที่ศพท่านพระอาจารย์เสาร์ กราบลง แล้วเดินกลับ ไม่ยอมชักบังสุกุล
เมื่อออกพรรษาที่ ๑๓ แล้ว หลวงปู่ออกเดินทางจากวัดโนนนิเวศน์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ธุดงค์ไปยังจังหวัดสกลนครบ้านเกิด แล้วเข้ากราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น พอท่านเห็นก็ถามขึ้นว่า “ท่านแว่น ท่านภาวนาอย่างไร” หลวงปู่กราบนมัสการว่า “กระผมพิจารณาดูกาย จนกระทั่งจิตพลิกเห็นความสว่างไสวแล้วเข้าสู่ตัวรู้นั้น”
ท่านพระอาจารย์มั่นจึงให้อธิบายอีกครั้งว่า “การที่ท่านแว่นพิจารณากายจนจิตพลิกไปสู่ความรู้ แล้วก็เข้าไปอยู่ในความรู้นั้น จะเป็นการทำให้ท่านติดอยู่ในความสุขอยู่อย่างนั้น ครั้นออกจากความรู้เข้ามาในกาย มันก็ทุกข์ๆ สุขๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด” หลวงปู่กราบเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่นว่า “หลวงปู่ ทำอย่างไรจึงได้คุณงามความดี” ท่านพระอาจารย์มั่นตอบว่า “แต่ก่อนผมก็ยังเดือดร้อนอยู่ ภาวนาปักจิตลงในกายทั้งวันทั้งคืนไม่ถอน มันจึงระเบิดออกให้เห็น ตั้งแต่นั้นความรู้เกิดขึ้นไม่รู้จักหมด”
หลังจากได้รับอุบายธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่นในครั้งนั้นแล้ว หลวงปู่รู้สึกอิ่มเอิบในความเมตตาจากท่านพระอาจารย์มั่นเป็นอย่างมาก มีกำลังใจในการค้นหาสัจธรรมด้วยใจเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดเพื่อรับการฝึกอบรมจากท่านพระ อาจารย์มั่นให้มากขึ้น จึงกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นว่า “กระผมจะขอนิสัย” (หมายความว่า ขออยู่รับใช้ใกล้ชิดเพื่อให้ครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำอบรมบ่มนิสัยให้)
ท่านพระอาจารย์มั่นตอบว่า “ท่านแว่นพรรษา ๑๓ ก็พ้นนิสัยแล้ว”
หลวงปูจึงกราบเรียนถวาย “พรรษาตามพระวินัยผมก็รู้จัก แต่ผมไม่ต้องการ ผมต้องการนิสัยของท่านพระอาจารย์มั่นที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ในโลกนี้อีก”
ท่านพระอาจารย์มั่นจึงให้นิสัย แล้วหลวงปู่ก็เร่งความเพียรมากขึ้น เมื่อมีสิ่งใดติดขัด ก็เข้าเรียนถามท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องข้อนั้นๆ การปฏิบัติบังเกิดผลดี จิตปลอดโปร่ง มีกำลังสมาธิเพิ่มขึ้น ล่วงมาจนใกล้จะเข้าพรรษา หลวงปู่จึงกราบลาท่านพระอาจารย์มั่น เดินทางไปจำพรรษาที่อำเภอพรรณานิคม
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๒ หลวงปู่ได้รับข่าวการมรณภาพของท่านพระอาจารย์มั่น หลวงปู่คิดจะเดินทางไปเคารพศพของท่านพระอาจารย์มั่นที่จังหวัดสกลนคร บังเอิญหลวงปู่สิมได้แวะมาเยี่ยมหลวงปู่ในช่วงนั้น ได้กล่าวทัดทานไว้ โดยให้ข้อคิดว่า “ท่านพระอาจารย์มั่นของเรา ท่านมิได้ปรารถนาให้เดินทางไปเคารพศพท่าน แต่ท่านพระอาจารย์มั่นประสงค์ให้ลูกศิษย์ลูกหาตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ รักษาจิตใจให้มั่นคง” หลวงปู่แว่นจึงไม่ได้เดินทางไปยังวัดป่าสุทธาวาส แต่มุ่งมั่นในการปฏิบัติภาวนาเพื่อค้นหาสัจธรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไป ตามแนวทางที่ได้รับการอบรมธรรมมาจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ
๏ หลวงปู่แว่น พระผู้มีกาย วาจา ใจบริสุทธิ์
หลวงปู่แว่น ธนปาโล แห่งวัดถ้ำพระสบาย ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นพระวิปัสนาจารย์ ที่เป็นที่เคารพนับถือของผู้ปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน
ท่านเป็นเป็นศิษย์อาวุโสองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ผู้เขียน (อ.ปฐม นิคมานนท์) ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่แว่นหลายครั้ง ทั้งที่ กทม. และที่วัดถ้ำพระสบาย แทบทุกครั้งท่านจะทักผู้เขียนเสมอว่า “เมื่อไรจะบวช”
ใจจริงผู้เขียนก็ปรารถนาที่จะบวช และมอบกายถวายชีวิตเพื่อตามรอยองค์พระศาสดา แต่ก็ยังหาโอกาสนั้นไม่ได้ เพราะหลงโลกมาเป็นเวลานาน การจะถอดจะถอนจากโลกที่เราสร้างไม่ใช่ทำได้ง่าย จึงกราบเรียนหลวงปู่ไปว่า “ผมอยากจะบวช แต่ยังมีเมียมีลูกจะต้องดูแล”
หลวงปู่ตอบว่า “เอาเมียมาบวชด้วย”
ผมก็ตอบว่า “ทำไม่ได้ครับ ลูกยังเรียนหนังสืออยู่”
หลวงปู่ก็รุกว่า “เอาลูกมาบวชเณรด้วยก็ได้”
ผู้เขียนก็จนแต้ม ได้แต่หัวเราะแก้เก้อไป
ผู้เขียนถูกรุกด้วยคำถามข้างต้นอยู่เสมอ ซึ่งแสดงว่าในน้ำจิตน้ำใจของหลวงปู่ ท่านมีศรัทธายิ่งต่อการบวชเป็นพระภิกษุ ท่านปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด ระมัดระวังทุกอิริยาบถ ผู้มีโอกาสได้กราบไหว้และใกล้ชิดหลวงปู่ ย่อมรู้ว่าท่านเป็นพระดีองค์หนึ่งในปัจจุบัน
พระดีจะมีพลังดึงดูดให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าหา เข้าใกล้ ด้วยความซาบซึ้งใจ กราบแล้วก็ยังไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ
คุณดำรงค์ ภู่ระย้า นักเขียนธรรมแห่งนิตยสารโลกทิพย์ได้เขียนถึงหลวงปู่แว่นว่า “หลายครั้งแล้วที่ผู้เขียนเดินทางไปกราบพระดีที่ควรกราบไหว้แห่งจังหวัด ลำปาง เมื่อไปพบท่านเป็นครั้งแรก แม้ท่านจะเป็นพระที่พูดน้อย ชนิดที่ถามคำแล้วก็ตอบคำ แต่ทว่าในส่วนลึกของจิตใจนั้นเกิดความศรัทธาในปฏิปทาของท่านเป็นอย่างมาก
ตลอดเวลาในการนั่งสนทนากับท่าน ท่านจะนั่งตัวตรงนิ่งด้วยอาการสำรวม อย่างหาที่ติไม่ได้เลย ไม่ว่าญาติโยมนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม กิริยาจะสำรวมอย่างนี้ตลอด”
อีกตอนหนึ่งผู้เขียนคนเดียวกัน ก็สรุปถึงคุณลักษณะของหลวงปู่แว่น โดยรวมว่า
“…จึงจะเห็นได้ว่า ท่านพระอาจารย์แว่น ธนปาโล มีกายบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”
ท่านเป็นพระอริยะเจ้าที่มีกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ องค์หนึ่งในยุคปัจจุบัน ในยุคที่พระดีค่อนข้างที่จะหายากอย่างยิ่ง
หลวงปู่แว่น ใช้ชีวิตเป็นพระภิกษุยาวนานต่อเนื่องกันถึง ๖๘ ปี ท่านผ่านการธุดงค์มาอย่างโชกโชน และน่าจะยึดถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติอย่างไม่น่าเคลือบแคลงสงสัยใดๆ เลย
ท่านเป็นพระที่เรากราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ ไม่สงสัยเคลือบแคลงใดๆ ทั้งสิ้น
๏ นิสัยใฝ่ธรรมตามโยมมารดา
ในชีวิตเยาว์วัย เด็กชายแว่นมักจะตามมารดาไปยังที่ต่างๆ เสมอ เรียกว่าติดแม่อย่างมาก จากการติดแม่นี้เอง ทำให้หลวงปู่ได้นิสัยใฝ่ธรรมมาตั้งแต่เล็กๆ โดยเฉพาะวันโกนวันพระ เด็กชายแว่นจะมีโอกาสไปวัด คุ้นเคยกับวัด คุ้นเคยกับพระสงฆ์องค์เจ้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ท่านจึงมีศรัทธาต่อการออกบวช พอได้รับการโน้มน้าวจิตใจ ก็คิดอยากจะบวชตามพระเณรที่ท่านได้เคยเห็นมา
๏ ตัวตนไม่ใช่ของเรา
สมัยหลวงปู่เข้าสู่วัยรุ่น ท่านเคยล้อเลียนให้โยมมารดาตกอกตกใจเหมือนกัน หลวงปู่เล่าว่า วันหนึ่งโยมมารดากลับจากไปฟังเทศน์กรรมฐานจากวัด ก็เอาคำพระมาสอนลูกว่า “ตัวตนไม่ใช่ของตน” หลวงปู่กำลังถือมีดโต้อยู่พอดี นึกสนุกคว้ามีดโต้จะฟันลงที่โยมมารดา เพื่อจะลองคำพูดที่ว่า “ตัวตนไม่ใช่ของเรา”
โยมมารดาตกใจนึกว่าจะฟันจริงๆ ร้องลั่นว่า “อย่า มึงอย่ามาฟันกู”
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ต่างหัวเราะขบขันกันที่เห็นหลวงปู่ล้อโยมมารดาคราวนั้น
หลวงปู่ได้พูดถึงเรื่องนี้ภายหลังว่า “พอมาบวชแล้วถึงได้รู้จักคำสอนในตัวเรา กว่าจะอ่านจิตใจออก” พร้อมทั้งลากเสียงสูงตามเอกลักษณ์ของหลวงปู่ว่า “พุทโธ้ ! มันไม่ใช่ของง่ายเลย”
หมายความว่าการที่จะเข้าใจในเรื่องตัวเรา-ของเรา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
๏ ผู้เป็นสหชาติกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
ในหนังสือที่ระลึกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จผูกพัทธสีมาวัดถ้ำพระสบาย เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้บันทึกในเชิงเปรียบเทียบไว้ว่า “ในครั้งพุทธกาล พระอานนท์เป็นพุทธอนุชา ผู้เป็นสหชาติเกื้อกูลพระพุทธองค์ ในกึ่งพุทธกาลนี้ พุทธสาวกผู้สัมมาปฏิบัติเช่นหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ก็มีหลวงปู่แว่น ธนปาโล ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน”
หลวงปู่สิม เป็นพระวิปัสนาจารย์ ที่เป็นที่เคารพรักและศรัทธาของเหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ปฏิบัติธรรม แห่งวัดถ้ำผาปล่อง ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้มรณภาพลงเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ สิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี ๙ เดือน ๑๙ วัน อายุพรรษา ๖๓ พรรษา
หลวงปู่สิมกับหลวงปู่แว่น เป็นญาติใกล้ชิดกันในตระกูล โยมบิดาของหลวงปู่สิม เป็นพี่ชายแท้ๆ ของโยมมารดาของหลวงปู่แว่น จึงถือว่าหลวงปู่สิมเป็นญาติผู้พี่ และหลวงปู่แว่นเป็นญาติผู้น้อง ที่สำคัญก็คือท่านทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกัน สนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก และอุปถัมภ์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด
หลวงปู่แว่นเล่าให้ฟังว่า สมัยยังหนุ่ม หลวงปู่ทั้งสองมักเที่ยวในหมู่บ้านต่างๆ ด้วยกันตามประสาคนหนุ่ม ก่อนบวช หลวงปู่สิมนั้นเป็นหมอลำ ส่วนหลวงปู่แว่นนั้นเป็นหมอแคนคู่กันไป ความสนิทสนมของหลวงปู่ทั้งสอง จึงมีความลึกซึ้งแนบแน่นเป็นอย่างมาก หลวงปู่สิมบวชเป็นพระก่อน และเมื่อสมัยหลวงปู่แว่นจะออกบวช หลวงปู่สิมได้ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล และก็ได้เกื้อกูลกันมาต่อเนื่อง ในระหว่างครองเพศบรรพชิตจนปัจฉิมวัย
นอกจากนี้แล้ว ทั้งสององค์ยังมีญาติผู้หลานที่เป็นพระอริยเจ้าชื่อดังแห่งเมืองลำปาง อีกองค์หนึ่งคือ หลวงปู่หลวง กตปุญโญ แห่งวัดป่าสำราญนิวาส ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง นี้คือความใกล้ชิดของหลวงปู่ทั้ง ๓ องค์
๏ บรรพชาเป็นสามเณร
หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๘ ปี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ วัดศรีรัตนาราม บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์
๏ ติดตามหลวงปู่สิม
หลังจากที่หลวงปู่แว่นได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว พระภิกษุสิม ญาติผู้พี่ซึ่งบวชเป็นพระธรรมยุติ และฝึกปฏิบัติอยู่กับหลวงปูมั่น ได้เดินทางกลับบ้านเพื่อเกณฑ์ทหารเพราะอายุครบ ๒๐ ปี
หลวงปู่แว่นเล่าถึงหลวงปู่สิมในสมัยนั้นว่า “เมื่อเห็นจริยาวัตรอันงดงามทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่งยืนเดินของพระภิกษุสิม จึงนำความมาเล่าให้พี่ชายฟังว่า เห็นครูบาสิมน่าเลื่อมใส จะขอออกกรรมฐานด้วย”
พี่ชายจึงบอกว่า “ดีหละเณรถ้าจะออกกรรมฐาน เราจะหามุ้งกลดให้” สามเณรแว่นได้ลาโยมบิดามารดา ออกธุดงค์เมื่อหลวงปู่สิมไม่ถูกเกณฑ์ทหาร และท่านได้พาสามเณรแว่นไปขอนแก่น ระหว่างทางได้พักที่ป่าช้า อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร พระภิกษุสิมได้ทำเพิงพัก ส่วนสามเณรแว่นนอนบนพื้นดิน โดยหักไม้มาแทนที่หมอนและที่นอน
เวลากลางคืนพระภิกษุสิมได้สอนสามเณรแว่นให้ภาวนาและเดินจงกรมตามแบบหลวงปู่มั่น
หลวงปู่เล่าว่า “ถูกพระภิกษุสิมตีหลังเสียหลายที เวลากราบพระ เพราะเวลากราบพระท่านกราบหลังโก่ง ดูไม่งดงาม ท่านต้องไปฝึกกราบจนถูกต้องแล้ว จึงมากราบพร้อมกับพระภิกษุสิม” นอกจากนั้นพระภิกษุสิมยังสอนวิธีการครองผ้า และข้อวัตรต่างๆ ตามสมควร
เรื่องที่หลวงปู่แว่นชอบชวนคนบวชนั้น ครั้งหนึ่งท่านมาเทศน์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ พอเทศน์จบ คนเขาให้ท่านเป่าหัวให้ ท่านก็ว่า “นี่เป่าให้ได้บวชนะ”
หลวงปู่หลวง กตปุญโญ-หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม-หลวงปู่แว่น ธนปาโล
ข้อมูลอ้างอิงจาก : dhammajak.net