หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
ประวัติ วัดถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก ตำบลผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก ตำบลผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
นามเดิม เดิมบิดามารดาตั้งชื่อว่า “วอ” ภายหลังเข้าโรงเรียน ท่านมีนิสัยช่างซักช่างถามเหมือน ครูบา จึงถูกเรียกว่า “บา” ในช่วงวัยหนุ่มท่านนับถือศาสนาคริสต์ ลุงของท่านจึงเรียกชื่อว่า “เซนต์หลุย” ท่านจึงมีชื่อเรียกใหม่ว่า “หลุย” ตั้งแต่นั้นมา เมื่ออายุ ๗ ขวบ บิดาได้ถึงแก่กรรม ท่านเกิดความสังเวช จึงมักปลีกตัวไปดูสายน้ำ แม่น้ำ เลยหลังบ้านแล้วเปรียบชีวิตมนุษย์ดุจกระแสน้ำ ไปแล้วไม่ไหลคืน นับเป็นการเริ่มต้นความคิดทางธรรม ภาวนาโดยอาศัยน้ำเป็นอารมณ์ กระทั่งอายุ ๙ ขวบ จิตตภวังค์เกิดนิมิตมีแสงสว่าง มีสันคล้ายสีรุ้ง และในใจก็รู้สึกว่าต่อไปจะต้องบวชและบวชเป็นพระกัมมัฏฐาน ทั้งที่ขณะนั้นยังเด็กไม่รู้จักกัมมัฏฐานมาก่อน ก่อนอุปสมบทนั้นท่านได้ทำงานเป็นเสมียนกับพี่เขยที่เป็นสมุห์บัญชีสรรพากร อำเภอเชียงคาน เมือเป็นเด็กหนุ่มคะนองอยู่ที่เชียงคาน ได้เข้าโบสถ์นับถือศาสนาคริสต์ เพราะชอบสวดมนต์ และอำเภอเชียงคานนี้อยู่ติดกับแม่น้ำโขง มีการติดต่อกับฝรั่งทางฝั่งลาวมาก ท่านจึงได้รับการฝึกหัดให้รู้จักการเสิร์ฟอาหาร การคลุกคลีอยู่กับการจัดอาหารเลี้ยงบ่อยๆนี้ ทำให้ท่านได้เห็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมาย บังเกิดความสังเวชสลดใจ จึงออกจากศาสนาคริสต์ ท่านนับถือศาสนาคริสต์อยู่ ๕ ปี
เกิด วันอังคารที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ เวลารุ่งอรุณจวนสว่าง ตรงกับวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู ณ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย
โยมบิดา คำผ่อย วรบุตร (ลูกชายเจ้าเมืองแก่นท้าว แขวงไชยบุรี ประเทศลาว)
โยมมารดา กวย วรบุตร (เจ้าแม่นางกวย ธิดาของผู้มีฐานะเขตเมืองเลย)
อุปสมบท ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ณ อำเภอแซงบาดาล จังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างพรรษาแรกที่ธวัชบุรี ท่านได้พยายามศึกษาพระธรรมวินัยทั้งปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม
ญัตติเป็นพระธรรมยุติกนิกาย ภายหลังได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์บุญ ปญฺญาวุโธ เกิดความเลื่อมใสจึงขอถวายตัวเป็นศิษย์ ภายหลังท่านพระอาจารย์บุญได้แนะนำว่าหากไม่ได้รับการเกณฑ์ทหารแล้วให้ญัตติ เป็นธรรมยุต ท่านจึงขอญัตติจตุตถกรรมใหม่เป็นพระธรรมยุตที่วัดศรีสะอาด อำเภอเมือง จังหวัดเลย ต่อมาท่านได้พบกับพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และจำพรราอยู่กับท่านที่วัดพระพุทธบาทบัวบก ในพรรษานี้การภาวนาของหลวงปู่จิตรวมแล้วเกิดอาการสะดุ้ง พระอาจารย์บุญจึงให้ญัตติจตุตถกรรมใหม่ เพราะสงสัยว่าการญัตติครั้งที่แล้วคงจะไม่ถูกต้องนัก เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๑๓.๐๘ น. โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูสังฆวุฒิกร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญ ปญฺญาวุโธ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ณ วัดโพธิสมภรณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี ท่านจึงบวช ๓ ครั้งคือ ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ พ.ศ. ๒๔๖๗ และ พ.ศ. ๒๔๖๘ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร เป้นผู้มักน้อย สันโดษ ประหยัด มัธยัสถ์ที่สุด ท่านเป็นผู้ละเอียดลออมาก ท่านพบใครท่านจะบันทึกถึงประวัติและโวหารธรรมที่ได้ฟังมาทุกองค์ ท่านจึงเป็นนักจดบันทึก เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติและธรรมะของบูรพาจารย์และกองทัพธรรมทั้งมวล ส่วนใหญ่ท่านจะเปลี่ยนที่จำพรรษาไม่ซ้ำปี เช่น วัดพระบาทบัวบก ถ้ำบ้านโพนงาม – หนองสะใน วัดป่าสุทธาวาส วัดป่าหนองผือ วัดป่าแก้วชุมพล เขาสวนกวาง ถ้ำผาบิ้ง ฯลฯ และระหว่างออกพรรษาท่านมักจะพาลูกศิษย์ไปกราบเยี่ยมนมัสการพระเถราจารย์ ผู้ใหญ่ตามที่ต่างๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ชามา เป็นต้น
มรณภาพ วันจันทร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลา ๐๐.๔๓ น. ณ โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สิริรวมอายุได้ ๘๘ ปี ๑๐ เดือน ๑๔ วัน
กัมมัฏฐานหัวเย็น
โดย
หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
๑๘ กันยายน ๒๕๒๐
นี้นะ การนับถือพระพุทธศานานะ ต้องเกิดอัศจรรย์ในดวงจิตอย่างใดอย่างหนึ่งเชียว จึงจะเลื่อมใสในศาสนาได้ทีเดียวนะ เกิดอัศจรรย์ในพุทโธ ในศีลอย่างใดอย่างหนึ่งเทียว ถึงจะเดินหน้า ก้าวหน้า ก้าวหน้าทีเดียว นับถือคุณพระรัตนตรัยทีเดียว
ยกตัวอย่างนะ อาตมานะ นั่น ไม่เคยนะ ไม่เคยได้ยินเสียงเสือร้อง ไปอยู่แห่งหนึ่ง ร้องนะไอ้ตัวเล็กก็ร้องนะ ไอ้ตัวใหญ่ก็ร้องนะ นั่น แล้วทีนี้ ความกลัวของอาตมานะ ขนาดไหนนะ เมื่อมันร้องมาทีแรกนะ อ้าว...มันขวัญเสียนะ กลัวตายนะ กลัวเสือจะมาคาบเอาไปกินนะ แล้วทีนี้อาตมาก็ ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกัน นึกถึงองค์พระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกัน หนัก ๆ ๆ ๆ ไปนะ เหงื่อออกนะ หนักไป หนักไป ไคค้าว (ไคค้าว = เหงื่อกาฬ คือเหงื่อแตกด้วยความตกใจกลัว เป็นเหงื่อเม็ดโตๆ ยางตาย ก็ว่า) ออกกนะ ยางตายออกนะ แล้วทีนี้ ตัดสินใจว่า อ้าว...พระพุทธเจ้าท่านสังแล้ว ความกลัวมาถึงแล้ว ขนพองสยองเกล้ามาถึงแล้ว ถึงระลึกถึงตถาคต ความกลัวหายไปนะ ในตอนนี้เองนะ อาตมานะ นั่น ไหนๆ ก็จะต้องตายในคราวนี้แล้ว มันตรงมาเสียแล้วนี่ เลี่ยงไม่ได้เชียวนะ ใครไปบอกมันให้มากินเรานะ นั่น มันตรงมาซะแล้วนั่น หยุด หยุด มันตรงมาซะแล้วนะนั่น
อาตมานะ ภาวนาเชื่อในตอนนี้เข้าไป ภาวนาร่ำๆ เข้าไปๆ อ้าว จิตลงสู่ภวังค์ อ้าว ทีนี้ทหารรักษาตัวอาตมานะ แหม ทหารองครักษ์เสียด้วยน่ะ เป็นชั้นๆ ชั้นๆ ชั้นๆ ทีเดียวนะ อาตมามาเห็นปาฏิหาริย์ ในตอนนี้นะ เกิดความมั่นคงในทางศาสนาตลอดมา ในระหว่างนั้น ๑๖ พรรษานะ เกิดอัศจรรย์นะ นั่น
นี้แหละ ฉันใดก็ดี ขอให้ภาวนา พุทโธ พุทโธ นะ ให้เกิดอัศจรรย์อย่างใดอย่างหนึ่งเทียวนั่น บอกเหตุบอกผล เฉพาะตัวของเราเห็นอัศจรรย์แล้ว นั่น ความรู้สึกความฉลาดก้าวหน้าไปเรื่อยๆเชียว ไม่ถอยทีเดียวนั่น หากคนไหนไม่เห็นอัศจรรย์ของศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ถอยทีเดียวนั่น ถอย ถอยหน้า ถอยหลัง เพราะไม่พยานในดวงจิตนะ วางรากฐานในดวงจิตไม่ได้นะ
นี้ขอให้สนใจภาวนาให้มากทีเดียว อย่างที่ว่านะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เรื่อยๆ เรื่อยๆเรื่อยๆ เข้าไป จะรู้จักในดวงจิตทีเดียว มโนภาพที่เกิดขึ้นนะ ความสงบจะเกิดขึ้นหนึ่ง รัศมีของจิตหนึ่ง นั่น อำนาจจิตหนึ่ง นั่น สำคัญทีเดียว มโนภาพนะ นั่นสมกับท่านเจ้าคุณลี ท่านว่ามโนภาพ สำหรับ พุทโธ นะ มันมีปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าปรมาณูร้อยลูกนะ นั่น ที่เขาทิ้งกัน ที่เขาแข่งขันประหารชีวิตกันในทุกวันนี้น่ะ นั่น สำคัญเชียว นั่น ให้พึ่ง พุทโธ ให้มากทีเดียว ให้เห็นอานิสงส์เชียวนะ อาตมาน่ะ ไม่เห็นอานิสงส์ในคราวนั้น จะบวชตลอดชีวิต อยู่ตลอดมาถึงขณะนี้ได้อย่างไร ต้องเห็นเสียก่อน เห็นปาฏิหาริย์เสียก่อนนะ ทุกองค์ไป พระกัมมัฏฐานนะ ต้องเห็นปาฏิหาริย์นะ ทุกองค์ ทุกองค์นะ
แต่ว่า ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นครั้งก่อนนะ ครั้งก่อน รุ่นๆ ท่านอาจารย์เทสก์ รุ่นท่านอาจารย์ฝั้น นี่ ใจเด็ดเหลือเกินนั้น ท่านมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ นับว่า หัวเย็น (หัวเย็น = เกือบตาย) มานะ รอดตายมานะ นี่ พวกนี้ใจป้ำ ป้ำเหลือเกินนะ ไม่เหมือนกัมมัฏฐานทุกวันนี้ ทุกวันนี้กัมมัฏฐานขุนนาง เป็นยังไงขุนนาง หรูหรามากเหลือเกิน ขุนนางหมายความว่ายังไง เดินธุดงค์ขึ้นรถแล้ว นั่น เดินธุดงค์ขึ้นเรือบินแล้ว นั่น แต่ก่อนนะ ไม่ได้ทีเดียว แบกกลดขึ้นภูเขา ลงภูเขา แหมเหนื่อยมาเหลือเกินนะ แต่ก่อนนะ อาหารการกินก็ไม่สมบูรณ์เหมือนทุกวันนี้นะ กินพริกกินเกลือไปแล้วมื้อแล้ววันไป หิวมาก หิวมากเทียวเวลาเย็นนะ นั่น เดี๋ยวนี้อะไร ป้อนอาหารใหญ่โตหรูหรามากเลี้ยงกิเลสนะ มันจะมีความรู้ความฉลาดอะไรได้นะ แล้วขึ้นเรือบินด้วย แล้วขึ้นรถขึ้นราด้วย
กัมมัฏฐานขุนนางทุกวันนี้นะ “ลาภเกิดก่อนธรรม” ลาภมันเกิดก่อนนะ เมื่อเกิดก่อนซะแล้วมันยกจิตไม่ขึ้นทีเดียว นั่น มันหันไปทุกอย่างเชียว นานาจิตตัง ขณะจิตนะ ของโยดาวจรเจ้านะ ผู้ที่ยังไม่ถึงมรรคถึงผลนะ นั่น แต่ก่อนนั้นน่ะ ธรรมเกิดก่อน ธรรมเกิดก่อนใครๆก็รู้แล้ว หนังสือมุตโตทัย ท่านอาจารย์ท่านแต่งนะ ระหว่างที่เจ้าชายสิทธัตถราชกุมารทรมานพระองค์อยู่ในแคว้นมคธ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ในครั้งนั้น ไม่เห็นลาภก็เกิดขึ้นนะ พระองค์ทรมานนะ ต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค อ้าว...เกิดธรรมขึ้นในดวงใจแล้ว ลาภจึงเกิดขึ้นทีหลังนะ ลาภเกิดขึ้นทีละหลังนะ
อันนี้นะ ลาภมันเกิดขึ้นก่อน มันถ่วงหัวทุบหาง มันยกจิตไม่ขึ้นนะ นั่น มันติดลาภติดยศอยู่ เหตุนั้น ให้พากันภาวนา ให้ยิ่ง ให้ยิ่งทีเดียว เทวทูต ๒ ชนิดนะ เดี๋ยวนี้น่ะ จังหวัดพระนครนะ นั่นเทวทูต ๒ ชนิดหมายความยังไง อ้าวหนังสือพิมพ์ว่า พรมแดนพวกทหารตำรวจตายมากนะเข้มแข็งมากทีเดียว ไหน เขมรก็เอื้อมมือมา ไหน พม่าก็เอื้อมมือมา ไหน คอมมิวนิสต์เกิดในเมืองไทยอีกซะด้วยนะ นั่น นี้ทีเดียวชนิดหนึ่ง อีกชนิดหนึ่ง อ้าว...ทั่วไปทุกจังหวัดนะ โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมนะ นั่นไม่มีหิริโอตตัปปะ นั่น ทุกวันนี้นะ ก็ปล้นกัน นั้น อะไร จี้กันในที่เปิดเผยซะด้วยนะ ไม่อายนะ ไม่มีหิริโอตตัปปะ นะ นี้ในตอนหนึ่ง แล้วอีกประการหนึ่ง ธรรมเป็นธรรมชาตินะ ที่พระพุทธเจ้าสอนมา ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ
เหตุนั้น อันตรายชีวิตของเรา มีมากมายถึงขนาดนั้นนะ เราควรหนักควรหนา อย่าประมาทนะ รีบเร่ง เร่งทำความเพียรนะ หาที่พึ่งนะ หาที่พึ่งใหญ่โตเชียว เป็นวิหารธรรม ในดวงจิตทีเดียวบอกแล้ว นั่น เทวทูตบอกนะ บอกคอมมิวนิสต์แล้ว บอกโจรผู้ร้ายแล้ว แล้วก็บอก ชาติปิทุกฺขา, ชราปิ ทุกฺขา, มรณมฺปิ ทุกข์ แล้วบอกเราแล้ว นี่แหละฉันใดก็ดี เรารู้จักว่าเกิดวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น เดือนนั้นอายุเท่านั้นนะ แต่การตายของเรา รู้ได้หรือเปล่าว่า วันไหน เดือนไหน ปีไหน จะตายด้วยโรคอันใดนะ และป่าช้าของเราอยู่ที่ไหนนะ ทราบหรือเปล่าล่ะ ทราบได้หรือเปล่าล่ะ นี่แหละ ขอให้เร่ง เร่งทำความเพียรนะ และอีกประการหนึ่ง ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นของที่ไม่เนิ่นช้านะ เร็วที่สุด เร็วที่สุดทีเดียว เป็นของที่ไม่เนิ่นช้าทีเดียว อย่าให้จิตเป็นอนาถะ มีที่พึ่งนะพุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นของใหญ่นะ พระองค์ก็พูดแล้วว่า หากความกลัวมาถึงแล้ว ขนพองสยองเกล้ามาถึงแล้ว พึงระลึกถึงตถาคต ความกลัวหายไป ในตอนนี้หมายความยังไง แม้...องค์สมเด็จพระผ้มีพระภาคจิตถึงอมตธรรมแล้ว พระองค์ไม่กลัวตายนะ นั่น หากว่าคนไหนถึงพระองค์คนนั้นจิตมั่นคง นั่น จิตมี วิหารธรรม นั่น จิตปลื้มอกปลื้มใจ ว่าเรามีชีวิตอยู่ในโลกนะ หากว่าเราตายไปอนิจจังไม่เที่ยงของชีวิตนะ นั่น เราก็จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์สิ มันเป็นอย่างนั้นละ
ทั้งงูทั้งเงี้ยว อย่าไปกลัวเชียว ทั้งที่เป็นจริงบ้าง ไม่ใช่บ้าง ตัวอย่างนางมัทรีไปหาผลไม้กลางป่าหิมพานต์ ในดงในดอนใหญ่โตนะ นั่น ในวันนั้น พระเวสสันดรนะจะบริจาคโอรสธิดานะนั่น แล้วก็พระอินทร์ก็มา ใครก็มา ทำเป็นราชสีห์บ้าง เป็นเสือบ้าง กั้นทางนางมัทรี เช่นนี้ สมัยเราจะมีไหม มีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว และอย่างหนึ่ง ท่านอาจารย์ท่านพูดให้ฟัง โยคาวจรเจ้าทั้งหลายบางองค์เคยถูกเหมือนกัน เดินจงกรมอยู่นั่นนะ เดินไปเดินมาอยู่นั้น อ้าว...เสือตัวหนึ่งมา มาอยู่ต่อหน้าทางเดินจงกรมนะ แหม แสดงกิริยาอย่างนั้นอย่างนี้ ยืดไปยืดมา คล้ายจะของขบพระองค์นั้นนะ นั่น ท่านอาจารย์มั่น ท่านเล่าให้ฟังว่าพระกลัวมาก จนอ้าวก็จิตได้ เดินไปเดินมา ไอ้เสือตัวนั้นน่ะ นิ่งอยู่ซะนะ พระองค์นั้นเดินจงกรมไป อ้าว...ส่งจิตไป เยี่ยมผูหญิงแป๊บเดียว เสือคราง ฮือๆๆๆ เชียวนะ หากว่าจิตของเธอเข้ามาภายในจิต เงียบเชียว เสือน่ะ
นี้แหละ ท่านอาจารย์มั่น เล่าให้อาตมาฟัง อันนี้ละ เป็นเทพเจ้าแน่เชียว หากว่าเป็นเสือจริงแล้ว คงเอาไปกินแล้ว คงเอาพวกพระไปกินแล้ว ก็เพราะยังไง เพราะเทพ เทพจะทดลอง นั่นเพราะเสือกับพระนี่ ท่านอาจารย์มั่นท่านว่ากินบ่อยๆนะ ครั้งพุทธกาลนั้น คาบพระไปกิน พระทั้งหลายน่ะ คาบเอาพระไปนะ ร้องอยู่นะ ร้องอยู่ในปากเสือนะ พระน่ะเข้าช่วยไม่ได้ เพราะเสือมันเป็นสัตว์ที่ดุร้ายนะ แล้วให้โอวาทว่า ท่านนะ พิจารณานะ เข้าไปไม่แล้ว ก็ให้พิจารณา และพระน่ะพิจารณาแล้วสำเร็จอรหันต์นะ เมื่อสำเร็จอรหันต์แล้ว ไอ้เสือมันจะวางหรือเปล่า ก็กิน ท่านอาจารย์มั่นว่า ไม่ได้ เสือกับพระนี่นะ ในถิ่นนั้นน่ะ เสือกินพระหลายองค์นะ ในครั้งสุดท้ายนี่รู้สึกว่า ให้โอวาทกันได้ ให้สำเร็จอรหันต์ในปากเสือได้นะ
ข้อสำคัญนะ ให้ภาวนา ภาวนานี้นะ จะกั้นเสือไม่ได้ กั้นเสือไม่ได้ พระก็เป็นมนุษย์นี่ นั่นเป็นมนุษย์อยู่นี่ มนุษย์น่ะเป็นอาหารของเสือนะ นั้น ยกตัวอย่างประเทศลาว ประเทศลาวนะ นั่น อาตมาไป ระวังเต็มที่เชียว กับท่านอาจารย์ชอบ นะ ก็เพราะอย่างไร เสือมันดุร้าย เมืองลาวนะ ประเทศลาวนะ ฟากโขงนั่นละนะ เสือมันเคยกินแกวนี่บ่อยๆนะ เขายิงตัวไหน หัวแกรก (เสือหัวแกรก = เสือซึ่งขนที่หัวขึ้นเป็นรอยด่าง หางสั้น เป็นพันธุ์เสือที่ดุร้าย ชอบกินคน) ทุกทีทุกทีเชียวนะ มันเคยได้กินคนมาแล้วนั่น เหตุนั้น เสือแถบฝั่งลาวนะ กั้นไม่ได้ เสือฝั่งไทยนั้น เขาบอกว่ามันไม่กินคน ไม่หิวจริงๆไม่กิน เขาพูดอย่างนั้น นายพรานป่า อาตมาได้รับความกล้าหาญ จากพวกนายพรานป่านะ เขาเตือนนะ ในประเทศลาว ไม่ได้ กลัวนักเชียว มันเคยกินแกวแน่ะ เนื้อหนังของมนุษย์ มันเอร็ดอร่อยนะ มันเคยได้กินแล้ว เมื่อเห็นคนนะ ไม่ว่าพระ ไม่ว่าคฤหัสถ์นะ เอา เอาเหมือนกัน เพราะเป็นอาหารของมันทุกชนิด กินได้ทั้งนั้น
ไอ้งู ไอ้งู นี้น่ะ มีท่านอาจารย์ชอบ มีอยู่ พบเหมือนกัน เวลาท่านไปบิณฑบาตนะ กลับมาเห็นงูขวางทาง อ้าว...เป็นเรื่องอะไรนะ ท่านก็หยุดพิจารณา เอ๊ะ...นั่นเจ้าสถานที่ทีเดียว หากเป็นเช่นนั้น ขอให้เธอไป อ้าว...งูก็เลื้อยไป แล้วท่านก็ขึ้นไปบนภูเขานะ มีอยู่นั้น แล้วอาตมาจะพูดให้ฟังนะ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านนิพพานนะ ฝาก ฝากศาสนาไว้กับพระอินทร์นะ ไว้กับพญานาคนะ พญายักษ์ไม่เห็นกล่าว พญาครุฑไม่เห็นกล่าว ไอ้พวกนี้ดุร้าย เห็นจะไม่ฝาก ฝากไว้กับสองชนิดนี้ทีเดียว
ปรากฏอยู่ หมู่เพื่อนนะ หัวเย็น (หัวเย็น = เกือบตาย) มาหลายครั้งเทียว พวกเทพ พวกอะไร ช่วย ช่วยเหลือนะ อย่าง ท่านพระอาจารย์ขาวนะ รอดตายแล้ว นั่น อาพาธอยู่เต็มที่แล้วที่จังหวัดหนองคาย ท่านอาจารย์จวนเอาไปในคราวนั้นนะ เอาไปภูทอกนะ นั่น ภูวัวนะ นั่น ท่านบอกว่า แหม! เกือบตายเทียว อ้าว! พวกเทพ วี(วี = พัด,โบก) เข้า วีเข้า อ้าว มันถึงจิตทีเดียว อ้าว ปาฏิหาริย์ของเทพนะ มัน เข้าถึงจิต มันเย็นเข้าถึงจิต ได้รับความสบายนะ นั่นท่านอาจารย์ขาวท่านเล่าให้ฟัง
เหตุนั้น อย่าประมาทเชียว นี่ ให้นึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้ทำอัตตัตถปรมัตถประโยชน์ ในดวงใจ ในชีวิตของเรานะ นั่น และธรรมของพระพุทธเจ้าเป็น นิยยานิกธรรม นะ ไม่เฉพาะแต่บรรพชิตนะ คฤหัสถ์ก็สำเร็จได้นะ นั่น ให้ตั้งอกตั้งใจ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
ข้อมูลอ้างอิงจาก : dhammasavana.or.th