
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ

ประวัติวัด วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง ฯ จ.สกลนคร
ความเป็นมาของวัดป่าบ้านหนองผือ
วัดป่าภูริทัตตถิราวาสหรือวัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นวัดที่สำคัญมากวัดหนึ่งในสายวัดป่ากัมมัฏฐาน ซึ่งถ้าดูตามแผนที่วัดนี้จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดสกลนคร และตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอพรรณานิคม แต่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านหนองผือ เริ่มแรกสถานที่แห่งนี้เป็นป่าพงดงดิบ อันเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์นานาชนิด เป็นต้น มี เสือ หมี อีเก้ง กวาง หมูป่า สัตว์เลื้อยคลาน มีแลนและงูชนิดต่าง ๆ สัตว์ปีกมีนกเกือบทุกชนิด นอกจากนั้นยังชุกชุมไปด้วยเชื้อไข้ป่ามาลาเรียเป็นอันมาก
เมื่อท่านหาที่พักสงฆ์ชั่วคราวได้แล้ว ก็มีพระภิกษุสามเณรเดินธุดงค์สัญจรผ่านไปมาเข้าพักพิงพึ่งพาอาศัยอยู่ไม่ขาดสาย มาภายหลังสถานที่แห่งนี้จึงได้กลายเป็นที่พักสงฆ์และสำนักสงฆ์ถาวรตามลำดับ จนกระทั่งได้พัฒนามาเป็นวัดโดยสมบูรณ์ ตอนแรกให้ชื่อว่า “วัดสันติวนาราม” ต่อมาหลังจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร มรณภาพแล้ว (พ.ศ. ๒๔๙๒) พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโร) วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะมณฑลในเขตนี้ และเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน พระอาจารย์มั่นด้วย ได้เล็งเห็นความสำคัญในสถานที่แห่งนี้อันเป็นสถานที่ที่ท่านพระอาจารย์มั่น เคยพำนักจำพรรษาอยู่เป็นเวลาถึง ๕ ปีติดต่อกัน ท่านจึงดำริให้เปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่เชิดชูบูชาคุณให้สอดคล้องกับนามฉายาของท่านพระอาจารย์มั่น อันเป็นมงคลนามว่า “วัดภูริทัตตถิราวาส” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
วัดนี้ได้ตั้งขึ้นเป็นวัดโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ซึ่งได้รับอนุญาตเอกสารสิทธิ์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๙๖ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ พร้อมกับได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในปีเดียวกันมีเจ้าอาวาสปกครองมาแล้ว ๖ รูป มีรายนามดังต่อไปนี้
๑. พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร พ.ศ. ๒๔๗๘ - ๒๔๘๓
๒. พระใบ (ไม่ทราบฉายา) พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๗
๓. ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร พ.ศ. ๒๔๘๘ - ๒๔๙๒
๔. พระทองคำ ญาโณภาโส พ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๕๐๗
๕.พระจันทา เขมาภิรโต พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๒๑
๖. พระสอน ญาณวีโร พ.ศ. ๒๕๒๕ - ๒๕๓๓
๗. พระอธิการพยุง ชวนปญฺโญ พ.ศ. ๒๕๓๓ – ปัจจุบัน
กิจกรรมทางศาสนาที่สำคัญที่ปฏิบัติมาภายในวัดคือ ถือเอาวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันจัดงานน้อมบูชา แสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณกับท่านพระอาจารย์ ซึ่งป็นวันคล้ายวันมรณภาพของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ใหญ่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ผู้เป็นบูรพาจารย์ หรือบิดาแห่งพระกัมมัฏฐานในยุคปัจจุบันของศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้น้อมรำลึกถึงปฏิปทาข้อวัตร และจริยวัตร ที่ท่านได้ดำเนินมาเป็นแบบอย่างอันดีงามในการประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่าน เพื่อความสงบสุขร่มเย็นและเป็นการสร้างกุศลเพิ่มพูนบารมีธรรมของตนสืบไป
ก่อนมาเป็นวัดป่าบ้านหนองผือ
เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๖ พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ท่านเป็นคนจังหวัดเลยได้เดินธุดงค์หาความสงบวิเวกอยู่แถบบริเวณหุบเขาภูพานแห่งนี้ ต่อมาชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า ท่านพำนักทำความเพียรปฏิบัติธรรมอยู่ที่ถ้ำพระ บ้างหนองสะไน ซึ่งไกลจากบ้านหนองผือประมาณ ๑๕ กิโลเมตร
ขณะที่ท่านพักอยู่ ณ ถ้ำแห่งนี้ ท่านได้ปรุงยาหม้อใหญ่ไว้สำหรับฉันแก้โรคเหน็บชาหมายความว่าท่านปรุงยาแก้โรคเหน็บชา ซึ่งหาตัวยารากไม้หลายชนิดเอาลงไป หมักดองไว้ในไห โดยเอาน้ำเยี่ยววัวดำตัวผู้ที่ต้มสุกแล้วทำเป็นน้ำกระสายหมักดองไว้ เป็นเวลาสักสองอาทิตย์ จึงตักน้ำดองนั้น มาฉันแก้โรคเหน็บชาได้ ตอนนั้นชาวบ้านหนองผือเป็นโรคเหน็บชากันหลายคน และได้ทราบข่าวมาว่ามีพระกัมมัฏฐาน ปรุงยาแก้โรคเหน็บชา แจกให้แก่ญาติโยมเอาไปกิน หายกันหลายคนแล้ว ดังนั้น ชาวบ้านหนองผือจึงพากันไปขอยาจากท่าน
แต่ก่อนที่ท่านจะให้ยาไปกินนั้น ท่านจะให้ธรรมะและสอนธรรมะไปด้วย เป็นต้นว่า ให้ภาวนา “พุทโธ” เพื่อจะให้ละทิ้งจากแนวทางที่ผิด คือ มิจฉาทิฏฐิ มีการถือผิด ถือผี เลี้ยงผีบวงสรวง อ้อนวอน ผีฟ้าผีภูตา ต่าง ๆ เหล่านี้ ให้กลับมาถือไตรสรณคมน์ มี พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อย่างมั่นคง แล้วสมาทานรักษาศีลห้า ศีลอุโบสถในวันขึ้น – แรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และตอนตื่นนอนหรือก่อนนอน ทุกเช้าค่ำ ท่านให้ทำวัตรสวดมนต์ไหว้พระ กราบพระเสียก่อนจึงนอนหรือออกจากห้องนอน ตลอดจนท่านห้ามไม่ให้กินเนื้อดิบ ของที่จะกินที่เป็นเนื้อทุกชนิดต้องทำให้สุกเสียก่อนจึงจะกิน นอกจากนั้นก็ให้งดเว้นมังสะเนื้อสิบอย่าง (พระพุทธเจ้าทรงห้ามบริโภคเนื้อ ๑๐ อย่าง คือ เนื้อมนุษย์ เสือโคร่ง เสือดาว เสือเหลือง ช้าง งู ราชสีห์ สุนัข ม้า หมี) ตามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้นั้นด้วย
เมื่อท่านสอนสิ่งเหล่านี้แล้วจึงให้ยาไปกิน เมื่อญาติโยมชาวบ้านหนองผือนำยานั้นไปกิน โรคเหน็บชาก็หายกันทุกคน จึงทำให้ญาติโยมชาวบ้านหนองผือเกิดความเชื่อถือ ความเลื่อมใสศรัทธาในท่านมาก บางคนก็กลับไปขอยาจากท่านอีกเมื่อยาหมดแล้ว พร้อมทั้งได้มีโอกาสฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านด้วย ไปมากันอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายหน และหลายคณะ จนทำให้ญาติโยมชาวบ้านหนองผือกับพระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร มีความคุ้นเคยสนิทสนมกันและได้ติดต่อกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หลังจากออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ยังได้เดินธุดงค์แสวงหาความสงบวิเวก อยู่ในแถบบริเวณเชิงเขาภูพานแห่งนี้เป็นเวลานาน เมื่อท่านออกจากที่พักสงฆ์ถ้ำพระ บ้านหนองสะไนแล้ว ท่านก็เดินธุดงค์ต่อมายังบ้านหนองผือพักอยู่ที่ป่าซึ่งเป็นที่ดอนใกล้เถียงนาของโยมคนหนึ่ง อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้างหนองผือ ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนักญาติโยมเมื่อทราบว่าพระอาจารย์หลุย เดินทางมาพักปักกลดอยู่ที่นี่ ต่างก็มากราบนมัสการท่านพร้อมถวายจังหันในตอนเช้าด้วยความเคารพศรัทธายิ่ง เนื่องจากมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ท่านจึงพูดคุยสนทนาสอบถามเรื่องสุขทุกข์ต่าง ๆ ด้วยความเมตตาและพูดเรื่องพอให้เป็นที่รื่นเริงใจแก่ญาติโยมที่มานมัสการท่านด้วยพอสมควร
ท่านพักอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลานานหลายเดือน ในขณะที่ท่านพักอยู่ที่นี่ท่านพยายามอบรมสั่งสอนญาติโยม ให้ได้รับรู้เรื่องราวข้อวัตรปฏิบัติต่อพระกัมมัฏฐานหลายอย่างหลายประการ ท่านเริ่มสอนตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียก่อน เป็นต้นว่า การประเคนของพระให้ได้ระยะหัตถบาส (บ่วงมือ คือที่ใกล้ตัว ประมาณศอกหนึ่งในระหว่าง หมายถึงที่สุดด้านหน้าของภิกษุกับสิ่งของหรือของภิกษุผู้รับกับบุคคลผู้ประเคนเป็นต้น) และด้วยความเคารพ การทำกัปปิยะ (กัปปิยะ : ทำให้สมควร ควรแก่สมณะบริโภค หมายถึง การถวายอาหารที่เป็นพืช ผัก ผลไม้ ก่อนประเคนต้องทำให้ขาดจากกันโดยผู้ถวายต้องเด็ด หรือใช้มีดกรีดสิ่งนั้น เพื่อไม่ให้งอกหรือนำไปปลูกได้) ของฉันที่เป็นภูตคาม (ภูตคาม ของเขียว หรือพืชพันธุ์อันเป็นอยู่กับที่) พีชคาม (พีชคาม ของเขียว หรือพืชพันธุ์อันถูกพรากจากที่แล้ว แต่ยังจะเป็นได้อีก) ต่าง ๆ ถวายพระและสอนให้รู้จักประเพณีปฏิบัติอุปัฏฐากต่อพระกัมมัฏฐานที่สัญจรไปมา ตลอดทั้งการสอนให้ท่องคำไหว้พระสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น พร้อมทั้งให้ฝึกนั่งสมาธิภาวนาเดินจงกรมด้วย ทุกขั้นตอนของการสอน ท่านจะแนะนำให้ดูก่อนทุกครั้ง จนทำให้ญาติโยมมีความสนใจในการฝึกอบรมธรรมกับท่านมากที่สุด ญาติโยมมีความเข้าใจและทำได้คล่องแคล่วมากขึ้น
แม้ในการสอนเรื่องอื่น ๆ เช่น การเย็บเสื้อขาวด้วยมืออย่างนี้ท่านก็สอน อันนี้ท่านเย็บเป็นเสื้อสำเร็จรูปแล้วจึงให้นำเอาไปเป็นตัวอย่างแก่ผู้ที่จะฝึกเย็บตาม โดยมากท่านจะให้โยมผู้หญิงที่ชรานำไปเย็บ ผ้าที่ท่านได้มานั้น ได้มาจากผ้าบังสกุลบ้าง ได้จากบ้านที่เขาทำบุญบ้าง สำหรับเสื้อที่ท่านเย็บเองเสร็จแล้ว ท่านจะบริจาคให้คนเฒ่าคนแก่ ที่อัตคัดยากจนที่สุดในหมู่บ้านหนองผือ (ซึ่งสมัยนั้น อยู่ในช่วงสงคราม เมืองไทยขาดแคลนเสื้อผ้ามาก)
ท่านพักอยู่ที่นี่เป็นเวลานานพอสมควร จนมีความสนิทสนมกับชาวบ้านเป็นอย่างมากต่อมาท่านใคร่อยากจะตั้งที่พักสงฆ์ขึ้นสักแห่งหนึ่ง จึงตกลงให้ญาติโยมพาตระเวน ค้นหาสถานที่ที่จะตั้งที่พักสงฆ์ใหม่ ค้นหาดูทั่วทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ และทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน แต่ยังไม่เป็นที่เหมาะสมและถูกใจของท่าน จึงให้ญาติโยมค้นหาอีกทีทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก ในที่สุดก็ได้ที่ที่เหมาะสม ถูกลักษณะและถูกใจท่านด้วย โดยเฉพาะที่ดินตรงนี้(ที่เป็นวัดป่าบ้านหนองผือในปัจจุบันนี้) เดิมเป็นที่ดินโยมชื่อ พ่อออกต้น โพธิ์ศรี และครอบครัว มีศรัทธามอบถวายที่ดินให้เป็นที่พักสงฆ์แด่พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ท่านจึงพาคณะญาติโยมย้ายจากที่เดิม ไปที่จะตั้งสำนักใหม่ เมื่อย้ายไปถึงแล้วจึงพากันสร้างกระต๊อบพร้อมทั้งหอฉันชั่วคราวขึ้น ซึ่งหลังคามุงด้วยหญ้าคาฝาแนบด้วยใบตอง พื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่ ทำเป็นที่พักสงฆ์ชั่วคราวก่อน เสร็จแล้วท่านก็ได้อยู่พักทำความเพียรตามอัธยาศัยของท่าน และอบรมธรรมะสั่งสอนญาติโยมมาเรื่อย ๆ ดังที่ท่านเคยประพฤติปฏิบัติมาจนได้ระยะหนึ่งพรรษา
เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็เดินธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ ออกไปจำพรรษาในที่แห่งอื่นบ้าง บางครั้งท่านก็เข้ามาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านหนองผืออีก ไป ๆ มา ๆ อยู่อย่างนี้ ส่วนมากจะอยู่หมู่บ้านแถบบริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้านหนองผือ เช่น ที่พักสงฆ์ถ้ำพระนาใน ที่พักสงฆ์ถ้ำพระบ้านหนองสะไน ที่ป่าช้าบ้านกลาง ที่ป่าบ้านกุดไห ที่ป่าดอนใกล้บ้านอูนดง ป่าใกล้บ้านห้วยบุ่น และย้อนกลับมาที่สำนักบ้านหนองผือ คราวนี้ท่านพักอยู่เป็นเวลานาน ณ สถานที่แห่งนี้นี่เอง ต่อมาจึงได้กลายเป็นวัดป่าบ้านหนองผือ (วัดภูริทัตตถิราวาส ชื่อที่เรียกเป็นทางการในปัจจุบัน) ซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์สามเณรเดินธุดงค์ เข้าไปหาความสงบวิเวกไม่ขาดสาย
เมื่อชาวบ้านญาติโยมสมัยนั้นเห็นว่า มีพระภิกษุสงฆ์สามเณรไปมา เข้าพักอาศัยไม่ขาดระยะและมากยิ่งขึ้น จึงเกิดมีศรัทธาแรงกล้าพร้อมใจพากันสร้างศาลาถาวรขึ้นหลังหนึ่ง ซึ่งทำด้วยไม้ทั้งหลัง ที่พวกเราท่านทั้งหลายเห็นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของศาลาโรงธรรมหลังใหญ่ ณ วัดป่าบ้านหนองผือในขณะนี้
พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกับชาวบ้านหนองผือเป็นอย่างมาก จนถือได้ว่าท่านเป็นทั้งพ่อแม่และครูบาอาจารย์องค์แรก ที่ได้เข้าไปสั่งสอนชาวบ้านหนองผือให้ได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ อันเกี่ยวกับหลักธรรมและข้อประพฤติปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกับชาวบ้านมาก แม้แต่เด็กสมัยนั้นพอรู้จักจำชื่อได้ก็รู้จักชื่อท่านทุกคน เพราะสมัยนั้นบ้านหนองผือยังเป็นหมู่บ้านห่างไกลความเจริญมากซึ่งมีเทือกเขาภูพานกั้นระหว่างหมู่บ้านกับตัวอำเภอ อาจกล่าวได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอกเลยทีเดียว และเป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่โตนักมีประมาณ ๘๐ หลังคาเรือน เมื่อมีพระภิกษุสามเณรหรือผู้คนต่างถิ่นผ่านเข้าไปพึ่งพาอาศัย ทำความคุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมกับชาวบ้านแล้ว พวกเขาจะให้เกียรติ จำชื่อบุคคลนั้นได้ดี และนับถือบุคคลนั้นด้วย ดังนั้นพระอาจารย์หลุยจึงเป็นชื่อที่ชาวบ้านหนองผือ ให้ความเคารพบูชามากที่สุดรูปหนึ่ง
ท่านพระอาจารย์มั่น มาบ้านหนองผือ ปี พ.ศ. ๒๔๘๘
ส่วนพระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่นรูปหนึ่ง ขณะนั้นท่านยังพักทำความเพียรอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ได้ทราบข่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่นมาถึงเขตจังหวัดสกลนครแล้ว และพักวิเวกอยู่ที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านม่วงไข่ผ้าขาว (ขณะนี้อยู่ในเขตอำเภอพังโคน) เมื่อท่านทราบแน่นอนแล้ว จึงได้ชักชวนพาญาติโยมทายกวัดป่าบ้านหนองผือ ๔ – ๕ คน ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นที่นั่น (เดินทางหนึ่งวันและพักค้างคืนกับท่านสามคืน) ถึงแล้วเข้าไปกราบนมัสการท่านเรียบร้อย จึงได้พูดคุยสนทนากันตามประสาลูกศิษย์กับอาจารย์เสร็จแล้วกราบลาแยกย้ายกันไปหาที่พักตามอัธยาศัย
เมื่อตอนขากลับคณะของพระอาจารย์หลุยได้เข้าไปกราบลาท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งมีตอนหนึ่งที่ท่านได้กล่าวว่า “แถวอื่น ๆ เคยไปหมดแล้ว แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรตรงหุบเขาบริเวณบ้านหนองผือนั้น ยังไม่เคยได้เข้าไป เอาล่ะ ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไป” ท่านพูดคุยสนทนากันพอสมควรแก่เวลา เสร็จแล้วคณะของพระอาจารย์หลุยจึงถือโอกาสกราบลาท่านกลับบ้านหนองผือ เมื่อคณะของพระอาจารย์หลุยกลับบ้านหนองผือแล้ว ภายหลังต่อมาไม่นานก็ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์หลุยกลับบ้านหนองผือแล้ว ภายหลังต่อมาไม่นานก็ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่นเดินธุดงค์ มาพักวิเวกอยู่ที่พักสงฆ์บ้านห้วยแคน ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนครในปัจจุบันนี้ พระอาจารย์หลุย เมื่อได้โอกาสเช่นนี้จึงสั่งให้ โยมพ่อออกพุฒ ซึ่งเป็นทายกวัดมาที่วัดโดยเร็วไว เพื่อมอบหน้าที่ให้ไปกราบอาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งขณะนั้นพักอยู่ที่บ้านห้วยแคนมาบ้านหนองผือโดยรีบด่วน ให้ทันก่อนที่จะเข้าพรรษา
โยมพ่อออกพุฒมาที่วัดป่าบ้านหนองผือรับคำสั่งจากพระอาจารย์หลุย เมื่อเข้าใจแล้วจึงกลับไปชวนนายดอนลูกชายไปเป็นเพื่อเดินทาง เมื่อตระเตรียมสิ่งของที่จำเป็นในการเดินทางเสร็จแล้ว รุ่งเช้าวันใหม่สองคนจึงออกเดินทางด้วยกำลังฝีเท้า เพราะสมัยนั้นยังไม่มีรถราใช้ในการเดินทาง ไปถึงบ้านห้วยแคนเป็นเวลาค่ำมืดพอดี จึงพักนอนค้างคืนที่บ้านห้วยแคนหนึ่งคืน ตอนเช้าจึงเข้าไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นในวัดที่ท่านพักอยู่ และเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่าง ๆ ให้ท่านทราบ แล้วถือโอกาสกราบอาราธนานิมนต์ท่าน ท่านก็รับนิมนต์ว่า จะมา แต่วันนั้นยังมาไม่ได้ เพราะมีของสัมภาระหลายอย่าง แต่คนที่จะช่วยขนของมีน้อย โยมพ่อออกพุฒพร้อมลูกชายจึงกราบลาท่าน รีบกลับบ้านหนองผือมาก่อน เพื่อมาบอกชาวบ้านให้ไปช่วยขนของและส่งคนไปรับท่านด้วย
เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว จึงรีบไปรายงานให้พระอาจารย์หลุยทราบ พระอาจารย์หลุยท่านเป็นผู้คอยแนะนำ วางแนวปฏิบัติให้กับญาติโยมชาวบ้านหนองผืออยู่เบื้องหลัง ท่านได้สั่งให้เกณฑ์โยมคนหนุ่ม ๆ แข็งแรงเพื่อไปขนของ เครื่องใช้ สัมภาระต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับองค์ท่านพระอาจารย์มั่น ตลอดทั้งของใช้อย่างอื่น ๆ ด้วย ในที่สุดก็เกณฑ์บุคคลได้ ดังรายนามที่รวบรวมได้ดังต่อไปนี้
โยมฝ่ายผู้เฒ่า ได้แก่
๑. พ่อออกทิศสร้าง พิมพ์บุตร
๒. พ่อออกพัน เทพิน
๓. พ่อออกสีลา เทพิน
๔. พ่อออกเชียงแสน ชาตะรักษ์
๕. พ่อออกอุ่น จันทะวงษา (ชาวบ้านหนองผือ ผู้ถ่ายทอด และเล่าเรื่องในเหตุการณ์สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมาพักที่วัดป่าบ้านหนองผือเป็นโยมอุปัฏฐากรับใช้สมัยท่านพระอาจารย์มั่น ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)
ฯลฯ
โยมฝ่ายคนหนุ่ม ได้แก่
๑. นายกอง เณธิชัย
๒. นายแก้ว เทพิน
๓. นายสงค์ สีเหลือง
๔. นายนอ เณธิชัย
๕. นายพรหมา โพธิ์ศรี
๖. นายบุญเลิง เทพิน (ชาวบ้านหนองผือ ผู้ถ่ายทอดและเล่าเรื่องในเหตุการณ์สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมาจำพรรษา ปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๔๔) เป็นพระภิกษุ อยู่วัดป่าบ้านหนองผือ)
๗. นายโส เทพิน
เมื่อทุกคนทราบแล้ว จึงจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นในการเดินทางอย่างเรียบร้อย พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็พากันออกเดินทาง ฝ่ายพระอาจารย์หลุย ท่านคงทราบอุปนิสัยของท่านพระอาจารย์มั่นเหมือนกัน คือปกติท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจะไม่พักสำนักวัดป่าที่มีพระสงฆ์กำลังพักอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นพระอาจารย์หลุย จึงให้พระเณรที่พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือทุกรูปออกไปอยู่ข้างนอกหมด หมายความว่าให้ไปอยู่วัดรอบนอก ซึ่งไม่ห่างจากวัดป่าบ้านหนองผือเท่าไรนัก ทำทีให้เป็นสำนักวัดร้าง ไม่มีพระสงฆ์อยู่เสียก่อน ภายหลังจึงค่อยทยอยกันเข้ามาใหม่
สำหรับพวกโยมที่ส่งไปให้เดินทางไปรับท่านพระอาจารย์มั่น เดินทางด้วยฝีเท้าออกจากบ้านหนองผือไป ผ่านบ้านผักคำภูและบ้านลาดกะเฌอ ไปนอนพักค้างคืนที่บ้านนากับแก้ ออก จากบ้านนากับแก้ไปถึงบ้านห้วยแคนเป็นเวลาประมาณ ๔ – ๕ โมงเย็น คณะญาติโยมจึงพากันไปขอพักนอนที่โรงเรียน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักที่พักของท่านพระอาจารย์มั่นมากนัก เมื่อได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว คณะโยมผู้เฒ่า ๔- ๕ คนจึงถือโอกาสไปที่วัด เพื่อกราบนมัสการและอาราธนาท่านด้วย เมื่อท่านรับนิมนต์แล้ว ได้พูดคุยสนทนาพอสมควรแก่เวลา คณะโยมผู้เฒ่าก็กราบลากลับที่พักของตน
พอรุ่งเช้าเมื่อพระออกบิณฑบาต คณะโยมบ้านหนองผือก็ออกจากที่พักของตนไปที่วัด เพื่อรอขนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ท่านจัดเตรียมไว้แล้วไปด้วย เสร็จแล้วจึงพากันออกเดินทางกลับบ้านหนองผือ โดยคณะพวกโยมหนุ่ม ๆ ได้ขนของหนักหน่อยเดินทางล่วงหน้ามาก่อน สำหรับคณะของท่านพระอาจารย์มั่นนั้นค่อย ๆ เดินทางมาทีหลัง เพราะเป็นคณะของคนชรามีพระอุปัฏฐากติดตามท่านอีก ๕ รูป คือ พระอาจารย์มนู พระอาจารย์สอ พระอาจารย์หนู พระอร่าม พระเดือน พร้อมกับโยมผู้เฒ่าที่ไปรับท่านอีก ๔ – ๕ คน เดินทางด้วยฝีเท้ามาเรื่อย ๆ มาพักนอนค้างคืนที่ป่าใกล้บ้านลาดกะเฌอและบ้านกุดน้ำใส
ส่วนพระอาจารย์หลุยได้ทราบข่าวว่า คณะของท่านพระอาจารย์มั่นมาถึงบ้านกุดน้ำใสแล้วได้พักนอนที่นั่นหนึ่งคืน และขณะนี้ท่านกำลังเดินทางมาที่วัดป่าบ้านหนองผือแล้วด้วย พระอาจารย์หลุยจึงชวนญาติโยมรีบเดินทางไปรับท่าน และได้พบคณะของท่านพระอาจารย์มั่นในระหว่างทาง จึงเข้าไปกราบนมัสการและช่วยขนของบางสิ่งบางอย่างที่พอจะช่วยได้ แล้วเดินทางกลับมาพร้อมกับคณะของท่านพระอาจารย์มั่น จนถึงวัดป่าบ้านหนองผือรวมเวลาในการเดินทางประมาณ ๔ คืน ๕ วัน เมื่อมาถึงวัดป่าบ้านหนองผือก็นิมนต์ให้ท่านขึ้นพักอยู่กุฏิหลังหนึ่งที่เห็นว่าถาวรที่สุดในสมัยนั้น อยู่ตรงบริเวณใกล้ ๆ ใต้ต้นไม้พะยอม ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของศาลาหลังใหญ่ในขณะนี้
หลังจากนั้นท่านก็ได้อยู่พักผ่อนทำความเพียรตามอัธยาศัย พร้อมทั้งได้อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรตลอดทั้งญาติโยมมาเรื่อย ๆ พระภิกษุสามเณรก็เริ่มทยอยมากันมากขึ้น จนกระทั่งใกล้จะเข้าพรรษา ท่านจึงได้ย้ายจากกุฏิหลังที่อยู่เดิม ขึ้นไปอยู่ที่ห้องบนศาลาสวดมนต์หลังเก่าซึ่งมองเห็นอยู่ทางทิศตะวันตกของศาลาหลังใหญ่ในขณะนี้ เพื่อให้สะดวกในการต้อนรับพระภิกษุสามเณร ตลอดทั้งญาติโยมที่มากราบนมัสการท่าน เพราะเป็นสถานที่กว้างขวางพอสมควรจนออกพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็มีพระภิกษุสามเณรเข้าไปกราบฟังเทศน์กับท่านบ้างเข้าไปพักฝึกฝนอบรมข้อวัตรปฏิบัติกับท่าน หรือเข้าไปปรึกษาหรือแก้ไขปัญหา ข้อสงสัยในธรรมะต่าง ๆ บ้าง ทั้งนี้มีพระภิกษุระดับชั้นผู้ใหญ่เป็นท่านเจ้าคุณถึงมหาเถระ จนระดับเล็กถึงสามเณรน้อย ตลอดทั้งอุบาสกอุบาสิกา (แต่ยังมีไม่มาก) ทยอยกันเข้ามาทุกสารทิศ
แม้สมัยนั้นบ้านหนองผือยังเป็นที่ทุรกันดารมาก ทางสัญจรไปมาก็ลำบากเพราะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่แอ่งเขา จะเข้าจะออกต้องเดินด้วยกำลังฝีเท้าข้ามภูเขา มิฉะนั้นก็ต้องนั่งเกวียนอ้อมเขาไปออกทางบ้านห้วยบุ่น บ้านนาเลา ทะลุถึงบ้านนาเชือก... โคกกะโหล่ง แล้วโค้งอ้อมไปทางบ้านอุ่มไผ่... บ้านกุดก้อม หรือไปทางบ้านโคกเสาขวัญจนถึงเมืองพรรณานิคมโค้งอ้อมไปโน้น ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังอุตส่าห์พยายามดั้นด้นเดินทางเข้าไปนมัสการท่านโดยไม่เกรงกลัวอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้นในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย พวกเสือ พวกหมี พวกงู และไข้มาลาเรียก็ตามไม่ได้คำนึงถึง เพราะอรรถธรรมกิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่น ผู้ที่เดินทางเข้าไปส่วนมากเป็นพระภิกษุสามเณร บางท่านก็ไปพัก ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน บางท่านก็อยู่จำพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็เที่ยวเดินธุดงค์ต่อไป บางท่านก็อยู่จำพรรษาประจำกับองค์ท่านตลอดจนท่านนิพพานก็มี สร้างกุฏิถวายท่านพระอาจารย์มั่น
พ.ศ. ๒๔๘๙ ญาติโยมชาวบ้านหนองผือ คิดอยากจะสร้างกุฏิถาวรถวายท่านพระอาจารย์มั่นสักหลังหนึ่ง จึงพากันไปขออนุญาตจากท่าน ตอนแรกท่านไม่อนุญาตให้สร้าง ท่านว่า “แค่นี้ก็พออยู่แล้ว” ต่อมาอีกไม่นานญาติโยมก็ไปขอท่านสร้างอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านก็ไม่อนุญาต พอครั้งที่สามท่านจึงอนุญาตให้สร้าง
เมื่อท่านอนุญาตแล้วญาติโยมจึงพากันจัดเตรียมหาเครื่องสัมภาระที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น ไม้เสาก็ได้จากชาวบ้านที่มีศรัทธาบริจาคให้บ้างจนครบ นอกจากนั้นก็จัดหาเครื่องประกอบและอุปกรณ์อย่างอื่น ๆ เช่น ไม้ทำขื่อ แป ตง กระดานฝา และกระดานพื้น ตลอดทั้งไม้กระดานมุงหลังคาจนครบทุกอย่างเช่นกัน ไม้ที่ได้มาเหล่านี้บางส่วน ได้มาจากการที่ญาติโยมพร้อมครูบาอาจารย์พระเณรในวัดช่วยกันจัดหามา ส่วนที่ยังไม่พอจึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะต้องป่าวร้องให้ลูกบ้านช่วยกันจัดหามาจนเพียงพอ จึงลงมือปลูกสร้างได้ เพราะการทำงานทุกอย่างต่อหน้าพระอาจารย์มั่นนั้น จะต้องระมัดระวังคิดให้รอบคอบ อย่าให้งานนั้นยืดเยื้อ ยาวนานหรือสะดุดหยุดลงเสียกลางคัน ให้งานนั้นทำไปเป็นช่วง ๆ และเรียบร้อย จึงจะสมที่ตนเองมีศรัทธาอยากจะสร้างจริง ๆ
เมื่อวันลงมือปลูกสร้างนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นยังได้ไปเดินดูงานเองด้วย บางครั้งท่านก็ตอกตะปูเอง บางครั้งท่านก็แนะให้โยมผู้เป็นช่างทำตามที่ท่านต้องการ เช่น ไม้กระดานมุงหลังคาท่านบอกว่า “อย่าทำเป็นรูปทรงปลายแหลมมันไม่งาม ให้ทำเป็นรูปทรงปลายครึ่งวงกลมมันจึงงาม” (เดิมไม้กระดานมุงหลังคาจะเป็นแผ่น ๆ ที่ผ่าจากท่อนซุง ซึ่งตัดเป็นท่อนยาวขนาดช่วงแขนหนึ่ง แต่ละแผ่นผ่ากว้างประมาณคืบกว่า ๆ ก่อนจะเอาขึ้นมุงหลังคา เขาจะต้องใช้มีดพร้าโต้ที่คมซ่อนปลายข้างหนึ่งเสียก่อน ทำเป็นรูปทรงปลายแหลมก็มี ทำเป็นรูปทรงปลายครึ่งวงกลม แล้วแต่จะชอบแบบไหน แต่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านชอบแบบทรงปลายครึ่งวงกลม จึงสั่งให้โยมทำแบบทรงครึ่งวงกลม)
วันหนึ่งโยมคนงานที่มาทำงาน บางคนนั่งคุยกัน บางคนนอนคุยกันไปด้วย พอท่านพระอาจารย์มั่นเห็น ท่านก็เดินดิ่งเข้าไปที่โยมซึ่งกำลังนั่งนอนคุยกันอยู่นั้น พร้อมพูดขึ้นว่า “โยมเป็นอะไรหรือ? ป่วยไข้ไม่สบายหรือ? ถ้าป่วยก็ขึ้นไปนอนซะที่บ้าน ไม่ต้องมานอนที่นี่” พอโยมกลุ่มนั้นได้ฟังแล้วก็แตกตื่นออกจากกลุ่ม ไปจับงานนั้นบ้างงานนี้บ้าง พอแก้เก้อ ต่อมาไม่มีใครกล้ามานั่งนอนคุยกันอู้งานอย่างนี้อีกเลย จนกระทั่งกุฏิเสร็จขึ้นเป็นหลังเรียบร้อยดังที่พวกเราท่านทั้งหลายเห็นเป็นที่ระลึกอยู่จนทุกวันนี้
กุฏิท่านพระอาจารย์มั่นหลังนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ในคราวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยหินลาด บ้านนาใน และห้วยผึ้ง บ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ต่อมากุฏิหลังนี้ได้จดทะเบียนขึ้นกับกรมศิลปากร เป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒
“ศาลาหลวงปู่มั่น” (หลังปัจจุบันที่ซ่อมแซมแล้ว) เป็นศาลาที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร
ใช้เป็นที่แสดงธรรมแก่พุทธบริษัท ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๕ ปี
และประชุมสงฆ์เพื่อให้โอวาท พร้อมทั้งวางระเบียบกฎเกณฑ์ให้แก่คณะกัมมัฏฐาน
เป็นศาลาอนุสรณ์ควรแก่การระลึกถึงเป็นอย่างยิ่งตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๒
บริเวณวัดป่าบ้านหนองผือ ( กุฏิหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน )
“ศาลาโรงฉันหลวงปู่มั่น” เป็นโรงฉันที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ฉันภัตตาหารรวมกับพระภิกษุสามเณรทุกองค์
เป็นระเบียบข้อหนึ่งที่ท่านได้ให้วัดต่าง ๆ ถือปฏิบัติทั้งนี้เพื่อจะได้แนะนำข้อธุดงค์ ท่านได้ใช้ศาลานี้ฉันภัตตาหารจนถึงวันสุดท้ายที่ท่านไม่สามารถจะเดินมาได้ตลอดเวลา ๕ ปี
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๘ - ๒๔๙๒
กฏิท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๘๙
โดยการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านหนองผือได้น้อมถวายบูชา แด่
พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ใหญ่ มั่น ภูริทัตฺตเถร
ปัจจุบันจดทะเบียนเป็น "โบราณสถาน" กับกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๒
ข้อมูลอ้างอิงจาก : luangpumun.org