ประวัติ หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร - วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม - webpra

หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร

ประวัติ วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม

หลวงปู่พระมหาบุญมี สิริธโร

ชาติกำเนิด และชีวิตปฐมวัย

หลวงปู่พระมหาบุญมี สิริธโร เดิมชื่อบุญมี สมภาค เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ตรงกับวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปี 11 คือปีจอ เป็นบุตรโทนของนางหนุก สมภาค และนายทำมา สมภาค ที่บ้านขี้เหล็ก ตำบลรังแร้ง อำเภอ อุทุมพรพิสัย จังหวัด ศรีสะเกษ

เมื่อครั้งเป็นเด็กจะทีนิสัยรักความสงบและมีความใฝ่ใจในพระพุทธศาสนาอย่างมาก จนมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านเลี้ยงควายอยู่กลางทุ่งนาร่วมกับเด็กๆในหมู่บ้านเดียวกัน ท่านได้พบภาพพระพุทธรูปในกระดาษแผ่นหนึ่งเข้า ก็เกิดความสนใจมากเป็นพิเศษจึงได้เก็บกระดาษแผ่นนั้นซ่อนเอาไว้ พอมีเวลาว่างท่านก็จะเอามานั่งดูจนเกิดปิติ จึงเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นพระพุทธรูป โดยมีเด็กเลี้ยงควายพากันนั่งดู และก็ปั้นบ่อยๆ มีความสวยงามด้วย เมื่อมีมากขึ้นหลวงปู่จึงได้แจกและแบ่งปันให้เพื่อนๆเอาไป ตอนนั้นหลวงปู่บอกว่ามีอายุประมาณ 8-9 ปีเห็นจะได้

พออายุได้ประมาณ 10-12 ปี ท่านก็ได้เริ่มเรียนหนังสือกับหลวงน้า ซึ่งบวชพระอยู่ที่วัดใกล้บ้าน ท่านช่วยโยมมารดาทำนาและช่วยงานบ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านของเด็กผู้หญิงก็ตาม ท่านทำทุกอย่าง นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถกว่าเด็กทั่วๆไป และที่สำคัญก็คือมีนิสัยชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้านไม่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ว่าจะเป็นงานหนักงานเบา ถ้าพอจะช่วยเหลือได้ท่านจะรีบช่วยทันที โดยไม่ต้องให้คนอื่นขอร้อง และชอบถามคำถามเกี่ยวกับธรรมะอยู่เสมอ เช่นเห็นคนตายก็จะถามว่าคนไม่ตายไม่ได้หรือ คนไม่ป่วยไม่ได้หรือ อย่างนี้เป็นต้น

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา

หลังจากที่หลวงปู่ พระมหาบุญมี สิริธโร เรียนจบชั้นประถมปีที่ 2 แล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาช่วยโยมมารดาทำนาและงานบ้าน เลี้ยงควาย จนอายุได้ 17 ปี จึงได้มาบวชเป็นสามเณรอยู่กับหลวงน้า คือพระอาจารย์สิงห์(ไม่ใช่พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน) ผู้เป็นน้องชายของมารดา โดยบวชในฝ่ายของมหานิกาย หรือที่เรียกว่าวัดบ้าน บวชได้ 1 พรรษา พอจวนจะเข้าพรรษาทื่ 2 ซึ่งเหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือน โยมมารดาก็ขอร้องให้สึกออกมาช่วยทำงานบ้าน เพราะสุขภาพไม่ดี ท่านจึงต้องสึกออกมาช่วยโยมมารดาทำงานและได้สมัครเป็นคนขนหินทำทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา-สุรินทร์

เมื่อหลวงปู่อายุย่าง 18-20 ปี โยมมารดาจะขอผู้หญิงให้ตั้งหลายครั้ง แต่ท่านปฏิเสธทุกครั้งไม่ยอมมีครอบครัว เพราะดูคนทั้งหลายแล้วมีความทุกข์ วิตกกังวลแทบทั้งสิ้น ยากที่จะทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วได้ ท่านระลึกอยู่ว่า บวชจึงจะมีสุขหนอ การมีชีวิตอยู่อย่างฆราวาสนี้มีแต่ทุกข์ วิตก กังวล ไม่สิ้นสุด มีแต่ความรุ่มร้อน เหมือนฝุ่นละอองมาจากทิศต่างๆ มีเต็มอากาศไม่รู้ว่าจะหนีไปทิศใดได้ มีแต่จะคลุกเคล้าละอองพิษลงสู่ใจ ใจก็มีแต่ความเศร้าหมอง เพราะท่านเห็นโทษของกามคุณ ถ้าผู้ใดเสพกามารมณ์อยู่เสมือนบริโภคเหล็กเผาไฟแดงๆอยู่ จิตของท่านจึงระลึกน้อมไปถึงการอุปสมบท

ท่านจึงเอาความดำริในใจนี้เล่าสู่มารดาฟังว่าท่านอยากบวช โยมมารดาของท่านจึงได้อนุโมทนาและอนุญาตให้บรรพชาอุปสมบทได้ จนถึงอายุ21ปี จึงขออนุญาตโยมมารดาบวชเป็นพระฝ่ายมหานิกาย โดยมีพระอาจารย์สิงห์ เป็นภาระรับไปดำเนินการให้ทุกอย่าง

ด้วยจิตใจที่ฝักใฝ่ในเรื่องของการศึกษาในธรรม ท่านจึงมีความปรารถนาที่จะเรียนด้านปริยัติธรรม แต่เนื่องจากการศึกษาธรรมะในสมัยนั้นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือวัดเลียบ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์ กนตสีโล เคยพำนักมาก่อน แต่เนื่องจากท่านเป็นพระฝ่ายมหานิกาย จึงค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะวัดเลียบเป็นวัดธรรมยุต ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์สิงห์ซึ่งเป็นหลวงน้าของท่านจึงได้นำไปฝาก ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก เจ้าอาวาสวัดเลียบ ท่านเจ้าคุณบอกว่าจะต้องญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต พอได้ฟังดังนั้นหลวงปู่ก็ดีใจเป็นอันมาก ในการบวชใหม่ครั้งนี้ มีพระศาสนดิลกเป็นอุปัชฌาย์ พระมหาสว่าง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า สิริธโร อุปสมบทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2474 เวลา 10.00 น. ณ.วัดเลียบ ต.ในเมือง จ.อุบลราชธานี

หลังจากที่ได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็ได้ตั้งใจเล่าเรียนข้อวัตรปฏิบัติ จนเป็นที่เล่าลือว่าท่านเก่งมาก เพียงเวลาไม่นานท่านก็สอบนักธรรม ตรี โท เอกได้ และในปี พ.ศ. 2478 ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดบูรพา อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เป็นวัดที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พำนักอยู่สมัยปฏิบัติธรรมเริ่มแรก

จากนั้นในปี พ.ศ.2479 ก็ได้เดินทางเข้าไปศึกษาหาความรู้ในกรุงเทพมหานคร จำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน อยู่ไม่นานก็สอบได้เปรียญ 3 ประโยค มีความแตกฉานพระปริยัติมาก

หลังจากที่หลวงปู่ได้อุปสมบท 2 พรรษา โยมมารดาได้ถึงแก่กรรม ในระหว่างนั้นจิตวิตกกังวลไปต่าง ท่านได้พิจารณาเห็น อนิจจัง ต่อมาท่านอยากจะออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเดินทางกลับมายังภาคอีสาน แล้วตั้งหน้าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

พ.ศ.2490-2494

จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ. มุกดาหาร ซึ่งเป็นวัคที่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่มหาบัว เคยจำพรรษา พำนักปฏิบัติธรรมมาก่อน

พ.ศ.2495-2500

จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านม่วง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

พ.ศ.2501-2503

จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองบัว อ.พังโคน จ.สกลนคร

พ.ศ.2504-2505

จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเหล่า อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

พ.ศ.2506-2508

จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านท่าสำราญ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย

พ.ศ.2509-2519

จำพรรษาอยู่ที่วัดในเขตจังหวัดเลยหลายวัด เช่นวัดบ้านหมากแข้ง

พ.ศ.2520-2530

จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

พ.ศ.2531-2532

จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีโพธ์ทอง อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด

พ.ศ.2533

จำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์

พ.ศ.2534-2535

จำพรรษาที่วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม

หลวงปู่บุญมี สิริธโร เป็นพระสุปฏิปันโนที่เผยแพร่ธรรมด้วยการปฏิบัติ อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสด้วยการทำจริง ทำตาม ปฏิบัติตาม มากกว่าการอบรม บรรยาย เทศน์ หรือแสดงธรรม

แต่ในวาระวันสำคัญของพระพุทธศาสนาหรือการได้รับอาราธนา หลวงปู่จะเมตตาแสดงธรรมเทศนาโปรด ซึ่งมักใช้ภาษาอีสาน และมีผญาภาษิตของภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเปรียบเทียบให้ญาติโยมได้แปลความ ตีความ วิเคราะห์พินิจพิจารณานัยแห่งความหมายธรรมะ ซึ่งใกล้ตัวและใกล้วิถีชีวิตการดำรงอยู่ เป็นเนื้อแนวเดียวกันกับวัฒนธรรมการผลิตของชุมชน ดังที่จะได้ยกมาเป็นตัวอย่างพอสังเขปดังนี้

หลวงปู่บุญมีได้เทศนาอบรมในวันเข้าพรรษาครั้งหนึ่งว่า

การปฏิบัติเหมือนการทำนา มีคราด มีไถ มีการเก็บหญ้า กว่าสิได้หว่านข้าว หว่านแล้วกว่าสิงอก มันกะขึ้นของมันเอง บ่ได้บังคับนี่ฉันใด หัวใจของคนก็คือกัน สงบราบคาบแล้วมันกะสิเกิดเอง เกิดแล้วจังค่อยพิจารณามัน พิจารณาให้มันแตก คันบ่แตก กะให้คาโตเอง ไปศึกษาเอาเองบ่ได้ มันเกิดของมันเอง เมื่อมันเกิดเองเฮาต้องแก้เอง ให้ตัวเองแก้เอง ถ้าแก้ถึกแล้ว มันกะบ่มีที่ไป กะเป็นสุขคือความบ่เป็นหยัง เป็นทุกข์คือบ่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง กะไปอยู่ความสุขเป็นอารมณ์ของวิปัสนาคิดกะบ่แล้ว วิปัสนาเป็นการขุดฮาก สมถะเป็นการชำระ ผู้หลงหรือฮู้กะอยู่โตเดียวกัน ฮู้เรื่องการปฏิบัติบ่แม่น ฮู้ย่อนการศึกษา จั่งให้มีสติ ฮู้กะให้ฮู้ถึงใจ ฮู้ถึงตน ถึงตัวการอบรมสติ คันบ่ศึกษามันกะบ่แล้ว โตเฮาแก้โตเฮามันจั่งแก้ได้ แก้ให้มันถึงที่สุด มันกะสิแล้วนั้นแหละ มันเป็นปัจจัตตังทั้งหมด สันทิฏฐิโก เห็นด้วยตัวเอง ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ วิปัสสนาสันทิฏฐิโก นอกจากความฮู้ความเห็นเป็นบ่ได้ ทุกข์เกิดความอยาก อยากกะอยากดี อยู่ทางโลกมีแต่ความทุกข์กับความอยาก สองอย่างนี่มันได้รับกัน ศาสนากะอาศัยมรรคอาศัยทางโลก เข้าพรรษาอยู่ในไตรมาส ๓ เดือน นับตั้งแต่มื้อนี้เป็นต้นไป ถึงกลางเดือนสิบเอ็ด บ่จำเป็นบ่ให้นอนบ่อนอื่น บ่ให้ไปแจ้งนอกวัด สังเกตุเบิ่งวัดมีฮั้วล้อมเป็นเขต ถ้ามีความจำเป็นมีพ่อมีแม่เจ็บป่วยอนุญาติให้ไปดูแลรักษาได้ การอื่นไปบ่ได้ ไปกะด้วยสัตตาหะ ได้ ๖ มื้อ มื้อที่ ๗ ให้มาถึงวัด มื้อนี้คือมื้อที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง เป็นมื้อที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมจักรอนัตตาเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ก่อนแสดงพระธรรมจักรกับอริยสัจ ๔ ให้มีการอธิฐานตาม ความสามารถของเจ้าของในธุดงควัตร ๑๓ ข้อเอาข้อใดข้อหนึ่ง คันสิเอาทั้งเหมิด คือสิบ่ได้ เฮ็ดหยังให้เฮ็ดอีหลี อย่าเฮ็ดเล่นๆ คันเฮ็ดเล่าบ่เป็นหยัง บ่มีสติสตังมันกะบ่อยากได้อีหยัง เลยพากันรักษาวินัย ธุดงค์เป็นวินัย ธรรมะรักษาใจ บำเพ็ญภาวนาให้ธรรมเกิดขึ้น ผู้ใดสิอธิฐานหยังกะให้อธิฐานเอา บิณฑบาตฉันเป็นวัตร ฉันเถื่อเดียว ฉันบ่อนนั่งเดียวห่อแนวกินใส่บาตร อย่าเอาแต่ถุงพลาสติกใส่บาตร ให้ใช้ใบตองห่อ แม่ออกกะต้องอธิฐานใส่บาตร หรือรักษาใจของตนให้มีสติสตัง อันนี้รักษาไว้ปฏิบัติเผื่อหยัง เมื่อนั่งภาวนาให้เป็นผู้มีสติ อย่าให้มันขาด ธรรมะจั่งสิเจริญขึ้น ซาดว่าเฮ็ดซื่อๆ บ่มีสติธรรมะมันบ่เกิด เกิดขึ้นมันบ่ดี แนวดีมันบ่ได้ มันบ่เกิดให้ ถ้าสิดีได้นอกจากความมีสติ

หลวงปู่สอนให้ศึกษาจากเบื้องต่ำสุดเริ่มจาก ศีลคืออะไร ทุกศาสนาก็มีศีล มีสอนอะไรเราศึกษาหมด เมื่อยังประพฤติตามที่พระองค์สอนหมดหรือยังจุดประสงค์ที่ศึกษาเรื่องศีล

สรุป ศีลคืออะไร

สมาธิ ก็สอนทุกๆ ศาสนา ผิดแผกแตกต่างอยู่บ้างที่วิธีการ จุดประสงค์คือการที่ต้องการให้จิตใจเป็นปกติ ในเมื่อมีผัสสะอะไรเกิดขึ้น เมื่อศีลเป็นปกติ สมาธิก็จะไม่ถูกรบกวน แต่จิตเป็นสิ่งที่ชอบโลดแล่นไปมา ตามอายตนะกระทบผัสสะ เกิดเป็นรูปเป็นนาม ก็เกิดชอบไม่ชอบรูปนั้นขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นทุกข์ ทั้งสองอย่างนั้นแหละ ทั้งกุศลและอกุศล

สติ จึงจำเป็นต้องมีสติ พัฒนาให้มีกำลังเพียงพอที่จะไปทำหน้าที่ควบคุมจิต จิตเป็นสิ่งที่จะต้องถูกควบคุมด้วยสติ

ถ้าใช้สติยึดมั่นถือมั่น ดื่มด่ำลงสู่ขณิกสมาธิ-อุปจารสมาธิ และเข้าสู่แดนของปฐมฌาน คือจิตเข้าสู่ความสงบยิ่งในนามอัปนาสมาธิ พักชั่วขณะหนึ่ง ถอนความรู้สึกมาอยู่ที่อุปจารสมาธิ เพื่อสร้างสัมปชัญญะความรู้สึกตัว ให้มีควบคู่กับสติ ให้เป็นอันเดียวกัน

สัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัวเกาะกุมอยู่กับสติที่กำลังควบคุมจิตอยู่ จะต้องเลือกดูพระกรรมฐาน ๔๐ ห้อง ต้องทดสอบจนแน่ใจว่าถูกจริตแต่ละห้อง ถ้าทำปุ๊ปก็สว่าง สงบ ก้าวหน้า แสดงว่าถูกจริตกับกองกรรมฐานนั้นๆ ยังมีสิ่งที่จะต้องศึกษาอีกมาก เช่น ไม่ใช่ไปอ่านเอา ฟังเอา ต้องเกิดจากการปฏิบัติเอา และนี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะเป็นวิปัสนากรรมฐาน โดยต้องศึกษาเรื่อง

๑. ศีล สมาธิ ปัญญา

๒ ศึกษาเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ ให้ฝึกเข้าจนมีสมรรถภาพ มีพลังของสติโดยรู้ด้วยอารมณ์ของเจตสิก ว่ามีกำลังเพิ่มขึ้น เป็นสติที่จะอำนวยความสะดวก ในการจะเข้าปฐมฌาน

๓ ต้องศึกษาพุทธประวัติ และคำสั่งสอน ให้รู้ซึ้งถึงความยากลำบาก กว่าจะได้เป็นสมณโคดมพระพุทธเจ้า

๔ ต้องศึกษา มรรค ๘

ทั้งหมดนี้เป็นธรรมที่เป็นทางที่จะต้องเดินเข้าไปสู่ผลเท่านั้น ผลก็จะต้องได้จากการปฏิบัติ ที่จะต้องเอาชีวิตเข้าแลก ท่านว่าอย่าไปเสียดายมันเลยชีวิตนั้น เดี๋ยวก็ตายทิ้งไปเปล่าๆ วางความตายเสียอย่าไปเสียดายความมีอยู่เลย มันหลอกให้เราทุกข์ทั้งนั้น เกิดซ้ำๆซากๆไม่หยุดหย่อนให้ผ่อนคลายเลย นี่เป็นทาง (ชี้ไปที่หัวใจ) ทั้งหมดนี้เป็นการย่นย่อคำสอนให้สั้นที่สุด

หลวงปู่พระมหาบุญมี สิริธโร

สำหรับผญา ปริศนาธรรม และ ภาษิตคำสอนที่หลวงปู่อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และจริตลีลา ในการอบรมธรรมของหลวงปู่เป็นต้นว่า

๐๐๐ หลงมันใหญ่ที่สุด

๐๐๐ ทุกสิ่งทุกอย่างอาศัยสติทั้งหมด

๐๐๐ อีลุมปุมเป้า สามเปาเก้าขอด สุดยอดพระคาถา บารมีงุมไว้ แก้บ่ได้ เมือบ้านอ่านสาร

๐๐๐ กกอีตู่เตี้ยต้นต่ำใบดก ฮากบ่ทันฝังแน่น ซ่างมาจีจูมดอก ฮากบ่ทันหยั่งพื้น ซ่างมาปี้นป่งใบ

๐๐๐ อัศจรรย์ใจกุ้งพุงบ่มีซ่างมาเลี้ยงลูกใหญ่ ไส้บ่มีอยู่ท้องซ่างมาได้ใหญ่มา

๐๐๐ แก้วบ่ขัดสามปีเป็นหินแฮ่ พี่น้องบ่แหว่สามปีเป็นอื่น

๐๐๐ ชีวิตน้อยนักหนา พึงฮู้ว่าลมหายใจ ชีวิตยังเป็นไป ลมหายใจชีพจร

๐๐๐ แม่น้ำท่อฮวยงัว บ่มีผู้ใด๋ เฮ็ดขัวข้ามได้ เว้นไว้แต่ผู้ฮู้เหตุผล

๐๐๐ ผักหมเหี่ยนริมทางอย่าสิฟ้าวเหยียบย่ำ บัดมันทอดยอดขึ้นยังสิได้ก่ายเดิน

๐๐๐ กินมำๆ บ่คลำเบิ่งท้อง

๐๐๐ สี่คนหาม สามคนแห่ คนหนึ่งนั่งแคร่ สองคนพาไป

๐๐๐ ดีหรือชั่วเป็นของประจำตัว

๐๐๐ เป็นใหญ๋แล้ว เป็นน้อยบ่เป็น

๐๐๐ สกุณาเป็นเสียงฮ้อง ปฐพีเป็นหม่องเล่น แม่นทีเป็นหม่องอยู่

๐๐๐ ขวาแข็งแรงกว่า ขวาแข็งแรงที่สุด ปทักขิณา ปทักขิ

๐๐๐ มีตาให้ดู มีหูให้ฟัง

๐๐๐ ฟานกินหมากขามป้อม ช่างมาคาคอมั่ง มั่งบ่ขี่สามมื้อกระต่ายตาย กระต่ายตายแล้วเห็นอ้มผัดเน่านำ

๐๐๐ เกิดมาหยัง เกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี หนีให้พ้นทุกข์

๐๐๐ การปฏิบัติให้มันฮู้ จั่งแบ่งเวลา ให้มันมีเช้า-สาย-บ่าย-เย็น ให้มันมีกิน มีนอน มีเฮ็ด มีทำ เฮ็ดกิจส่วนตัวแล้วกะมาเฮ็ดกิจส่วนรวม

๐๐๐ ใจประสงค์สร้างกลางดงกะว่าท่ง ใจขี้คร้านกลางบ้านกะว่าดง

๐๐๐ มุดน้ำอย่าสิเฮ็ดก้นฟู จกฮูอย่าสิเฮ็ดแขนซั่นๆ..

หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร เป็นพระสุปฏิปันโน บุตรของกองทัพธรรม พระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น

สานุศิษย์คาดว่าหลวงปู่บุญมี ไม่ได้พบหรือได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยตรง

แต่การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ของ หลวงปู่บุญมีอยู่สำนักเดียวกับหลวงปู่เสาร์คือวัดเลียบ และไปพำนักอยู่วัดบูรพาสำนักเก่าดั้งเดิมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตเถระ นั่นเองด้วยบริบทและสภาวธรรมของสำนักวัดเลียบ วัดบูรพาราม และทราบประวัติของพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสองขณะที่ศึกษาปริยัติอยู่วัดนี้ ซึ่งเป็นแบบอย่างของการแสวงหาโมกขธรรม เกิดแรงบันดาลใจและมองเห็นลู่ทางธรรมที่เหนือกว่าการศึกษาปริยัติ จึงเป็นสิ่งที่หลวงปู่ฝังใจตลอดเวลา เมื่อไปศึกษาปริยัติธรรมที่เมืองกรุงวัดปทุมวนารามก็ได้รับทราบเรื่องราวที่ บูรพาจารย์และพระป่ามาพำนักที่นี่ หลวงปู่จึงทิ้งป่าคอนกรีตออกปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์ ตามรอยพระพุทธองค์และบูรพาจารย์ทั้งสอง โดยมีสหธรรมมิกที่เคยปรนนิบัติรับใช้บูรพาจารย์ที่ธุดงค์ร่วมกันถ่ายทอดคำ สั่งสอนมรรควิธีของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่จึงถือว่าบูรพาจารย์ทั้งสองเป็นพระอาจารย์ และมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับกลุ่มกองทัพธรรมสายนี้ที่สุด ดังจะเห็นได้ว่าหลวงปู่เป็นที่เคารพนับถือของพระสุปฏิปันโน ทั้งรุ่นศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น และรุ่นหลานศิษย์เป็นอันมาก นับตั้งแต่หลวงปู่มหาบัว ญานสัมปันโน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงพ่อเมือง หลวงพ่ออุ่นวัดป่าแก้ว พระอาจารย์อินทร์ถวาย

ดังจะเห็นได้จากงานพระราชทานเพลิงศพที่เป็นวาระการชุมนุมของคณะศิษยานุศิษย์สายหลวงปู่มั่นมากที่สุดครั้งหนึ่ง และในงานรำลึกบูชาพระเถราจารย์ฝ่ายปฏิบัติธรรมศิษย์หลวงปู่มั่น ณ วัดโพธิสมพรอุดรธานี ประวัติและรูปของหลวงปู่ก็ได้รับการเผยแพร่ในงานนิทรรศการครั้งนี้ด้วย

หลวงปู่เริ่มอาพาธหนักในช่วงเดือน พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ในระหว่างที่พักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีโพธิทอง สาเหตุเกิดจากการหกล้มในขณะเดินเข้าห้องน้ำแล้วเกิดอาการเข่าอ่อน หลังจากนั้นท่านเกิดอาพาธเดินไม่ได้ คณะศิษย์จึงได้พยายามช่วยกันรักษาพยาบาลอาการอาพาธของท่าน แต่ยังไม่ดีขึ้น ในที่สุดผู้ใหญ่สัญชัยและกำนันเซ็งจึงได้นิมนต์ท่านไปรักษาแผนโบราณที่ อำเภอสตึก พร้อมกับรักษาที่ ร.พ. ศิริราชด้วย จนอาการดีขึ้นภายหลังจากนั้น คณะศิษย์จากจังหวัดมหาสารคามได้พากันอาราธนานิมนต์ท่านให้มาจำพรรษาที่วัด ป่าเลิง และท่านก็ได้มาจำพรรษาที่วัดป่าเลิงเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓

ครั้นต่อมาในปี ๒๕๓๔ หลวงปู่ก็เกิดอาพาธขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คณะศิษย์จึงได้นำตัวท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ ขอนแก่น และตั้งแต่นั้นมาอาการอาพาธของหลวงปู่ก็มีแต่ทรงกับทรุดมาตลอดตามลำดับดังนี้

เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์

ครั้งที่ ๑ วันจันทร์ที่ ๒๕ พ.ย. ๒๕๓๔ ออกจาก รพ. เมื่อ ๒ ธ.ค. ๒๕๓๔

ครั้งที่ ๒ วันพุธที่ ๒๕ ธ.ค. ๒๕๓๔ออกจาก รพ เมื่อ ๑๐ ม.ค. ๒๕๓๕

ครั้งที่ ๓ วันศุกร์ที่ ๒๗ มี.ค. ๒๕๓๕ และในเช้าวันที่ ๒๘ มี.ค. ๒๕๓๕ ท่านก็ได้อนุญาตให้ นายแพทย์วันชัย วัฒนศัพท์ ทำการผ่าตัดใส่สายยาง ทางหลอดลม

หลังจากนั้นอาการอาพาธของหลวงปู่ก็ทรุดหนักมาเรื่อยๆ จนในที่สุดหลวงปู่ก็ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันที่ ๒๐ เม ย ๒๕๓๕ เวลา ๑๐.๑๐ น. ตรงกับวันจันทร์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก สิริรวมอายุได้ ๘๑ ปี ๖ เดือน ๖ วัน

เหลือเพียงภาพลักษณ์แห่งความเป็นพระภิกษุ ที่เยือกเย็น เบิกบาน เมตตาหาที่ประมาณมิได้ สันโดษ เรียบง่าย และเป็นแบบอย่างแห่งมรรควิธี ไปสู่ความหลุดพ้น ที่พุทธศาสนิกชนจะต้องปฏิบัติตาม

ขออำนาจบารมีธรรมของหลวงปู่ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาจงแผ่เมตตาบารมี ให้พุทธบริษัทได้เกิดธรรมจักษุ พบแก่นพุทธธรรม เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ของสรรพสัตว์ทั้งพิภพด้วยเทอญ

 

ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com

 

Top