ประวัติ หลวงปู่ทิม อิสริโก - วัดละหารไร่ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง - webpra

หลวงปู่ทิม อิสริโก

ประวัติ วัดละหารไร่ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่
ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

หลวงปู่ทิม เกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ 2 ตำบลละหาร อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง นามเดิมของท่านชื่อ ทิม นามสกุล งามศรี เกิดเมื่อปีเถาะ วันศุกร์ เดือน 7 ตรงกับวันที่ 16 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2422 เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์ งามศรี มีพี่น้อง 3 คน หลวงปู่ทิมเป็นคนที่ 2

เมื่อ ตอนเด็กๆ ท่านชอบออกเที่ยวล่าสัตว์ด้วยความคึกคะนองโดยนำมาเลี้ยงครอบครัวเรื่อยๆไป พออายุได้ 17 ปี บิดาของท่านได้นำตัวท่านไปฝากไว้กับท่านพ่อสิงห์ที่วัดเพื่อเล่าเรียน หนังสือกับท่าน และอาจารย์อื่นๆ เป็นเวลาประมาณ 1 ปี จนมีความสามารถเรียนรู้จนเข้าใจ อ่านออกเขียนได้ดีแล้ว บิดาของหลวงปู่ทิม จึงได้ไปกราบนมัสการท่านพ่อสิงห์ เพื่อขอลานำหลวงปู่ทิมกลับมาอยู่บ้านเช่นเดิม

หลวงปู่ทิมก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงานและหาเลี้ยงพ่อแม่ตามวิสัยลูกที่ดีมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ด้วยดีตลอด จนกระทั่งอายุเข้า 19 ปี ท่านจึงถูกคัดเลือกเข้าเป็นทหารประจำการ ในสมัยนั้นได้เข้ามาประจำการ อยู่ในกรุงเทพฯถึง 4 ปีเศษ จึงได้รับการปลดประจำการ จากทหารกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม เมื่อกลับมาอยู่บ้านแล้ว บิดาของท่าน จึงได้จัดการอุปสมบทให้ท่านเป็นพระภิกษุทันที

หลวงปู่ทิมอุปสมบทเมื่อวันที่ 7 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2449 ซึ่งตรงกับปีมะแม เดือน 6 วันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ โดยมีพระครูขาว วัดทับ มาเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์สิงห์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์เกตุ เป็นพระกรรมวาจารย์ ณ พัทธสีมาวัดละหารไร่ ได้ฉายาทางสงฆ์ว่า อิสริโก

หลังจากท่านได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็ได้อยู่กับพระอาจารย์ที่วัดจนครบ 1 พรรษา แล้วท่านก็ได้ขออนุญาตพระอาจารย์ของท่าน กราบลาเพื่อออกธุดงด์ไปในหลายๆ จังหวัด เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มขึ้นเป็นเวลา 3 ปีเต็ม ครั้นเมื่อถึงเทศกาลใกล้เข้าพรรษา ท่านก็กลับไปถึงจังหวัดชลบุรี และท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูม เป็นเวลาถึง 2 พรรษา

ท่านได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์ชื่อดังต่างๆ หลายอาจารย์ด้วยกัน ที่เป็นพระก็มี ฆราวาสก็มี ที่ท่านเล่าให้ฟังมี โยมรอด โยมเริ่ม และ โยมสาย ทั้ง 3 คนเป็นฆราวาสที่มีวิชาอาคมสูงเป็นที่นับถือของชาวบ้านแถบนั้นมาก จนกระทั่งท่านได้รับตำราตกทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า เจ้าอาวาสวัดเก๋งจีนในสมัยนั้น

หลวงปู่สังข์เฒ่ารูปนี้มีศักดิ์เป็น ปู่แท้ๆ ของท่าน และเป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น พร้อมกับเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น ขนาดน้ำลายของท่านทีถ่มออกมาโดนพื้นตรงไหนแล้วพื้นจะแตกทันที เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้าทางวิชาอาคมของท่าน จึงได้นิมนต์ให้ท่านมาอยู่ทีวัดเก๋งจีนและได้สร้างพระเนื้อตะกั่ว วัดเก๋งจีน ขึ้นมาหลายพิมพ์ด้วยกัน ซึ่งก็มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

หลวงปู่สังข์เฒ่า ท่านได้ทิ้งตำรับตำราที่ท่านได้เขียนขึ้นไว้ในสมัยของท่านให้กับวัดละหารไร่ และก็ได้ตกทอดมาเป็นของหลวงปู่ทิมซึงเป็นหลานของท่าน ใช้ศึกษาหาความรู้จากตำราของหลวงปู่สังข์เฒ่านี้

นอกจากนี้หลวงปู่ทิมยังได้เรียนทางวิปัสสนากัมมัฎฐานกับพระอาจารย์อื่นๆ อีกหลายรูปด้วยกันซึ่งต่อมาเมื่อท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ที่วัดละหารไร่ ท่านก็เริ่มพัฒนาวัดโดยการก่อสร้างเสนาสนะบูรณะซ่อมแซมกุฏิ และอื่นๆ อีกมากมาย ญาติโยมทั้งหลายก็เริ่มมีความเลื่อมใสในตัวท่านมาก เพราะท่านเป็นพระทีสมณะสำรวมเคร่งในธรรมะและวินัยเป็นที่น่าเคารพมาก

ต่อมาท่านจึงได้ชักชวนพวกชาวบ้านและญาติโยมทั้งหลายให้ก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น 1 หลัง ในเวลาปีเศษๆ ก็เสร็จ พร้อมกับผูกพัทธสีมาจนเป็นที่เรียบร้อยในเวลาเดียวกันหลังจากสร้างพระอุโบสถ เสร็จ และต่อมาท่านจึงได้ก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นอีก 1 หลัง โดยที่ทางอำเภอและจังหวัดร่วมด้วย ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 8 เดือนเท่านั้นก็แล้วเสร็จเรียบร้อย เปิดให้นักเรียนเข้าเรียนได้ทันที

หลัง จากนั้นท่านก็ได้ชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันพัฒนาก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลาย แห่ง และก็ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทุกประการ โดยมีหลวงปู่เป็นผู้นำพร้อมกับชาวบ้านจึงทำให้ชาวบ้านและญาติโยมทั้งหลายมี ความเคารพนับถือเลื่อมใสในตัวท่านมากยิ่งขึ้น จึงจัดได้ว่าหลวงปู่ทิมท่านเป็นพระนักพัฒนา ที่มีความสามารถเป็นอย่างสูง สมควรที่จะได้รับการเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2478 หลวงปู่ทิม จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน โดยได้รับการส่งหมายและตราตั้งมาไว้ที่ทางเจ้าคณะจังหวัด แต่หลวงปู่ก็ไม่ยอมรับและไม่ยอมบอกใครๆ ด้วยอญู่เป็นเวลานาน ทางจังหวัดจึงได้มอบให้ทางคณะอำเภอเอามามอบให้ท่านที่วัดละหารไร่เอง ท่านจึงได้รับเป็น พระครูทิม อิสริโก และได้รับเป็นพระคู่สวด

อยู่มาจนถึงปี พ.ศ. 2497 ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งพระครูทิม อิริโก เลื่อนขั้นให้เป็นพระครูสัญญาบัตร ท่านก็ไม่ยอมบอก ไม่อยากได้ ไม่ยินดียินร้ายกับใครอยู่เป็นเวลานาน ญาติโยมที่วัดไม่มีใครทราบเรื่อง จนทางเจ้าคณะอำเภอได้มีหนังสือส่งไปที่วัดจึงได้รับทราบกัน นายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกรวัด จึงได้นำข่าวไปบอกแก่ชาวบ้านและกรรมการวัดละหารไร่ให้ทราบ พร้อมกับจัดขบวนแห่มารับที่วัดเจ้าคณะจังหวัดโดยได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่ทิม มารับสัญญาบัตรพัดยศเป็น "พระครูภาวนาภิรัต" เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507

เมื่อหลวงปู่ทิมได้เลื่อนขั้นเป็น พระครูภาวนาภิรัตแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์และชาวบ้านก็นัดประชุมกันเพื่อจะจัดงานฉลองสมณศักดิ์ โดยนายสาย แก้วสว่าง เป็นผู้ขออนุญาตต่อหลวงปู่ว่า "หลวงปู่จงอนุญาตพวกเราเถิด อย่าปิดความประสงค์ของพวกญาติโยมเลย ได้โปรดให้พวกญาติโยมได้แสดงความยินดี และแสดงความกตัญญูกตเวทีตอบสนองซึ่งคุณงามความดีของหลวงปู่ด้วยเถิด" หลวงปู่ทิมท่านขัดไม่ได้จึงอนุญาต

นายสาย แก้วสว่าง ในฐานะไวยาวัจกรและศิษย์ใกล้ชิดจึงได้นัดประชุมกรรมการและชาวบ้าน ปรึกษากันว่าจะจัดฉลองสมณศักดิ์และเพื่อหารายได้สบทบทุนในการก่อสร้างกุฏิ และบูรณะซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดในครั้งนี้ โดยจะขออนุญาตหลวงปู่ทิมเพื่อจัดทำเหรียญรูปเหมือนของท่าน เอาไว้แจกแก่พวกญาติโยมและศิษย์ทั้งหลาย เพื่อเป็นที่ระลึกในการร่วมกันทำบุญในงานวันฉลองสมณศักดิ์ของท่าน เพราะใครๆ ก็ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมพระวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมักน้อยสมถะ ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ฉันอาหารเจเป็นประจำ ฉันมื้อเดียว ไม่เคยฉันเพลเลย แม้แต่น้ำชา หรือน้ำเปล่า ท่านก็ต้องฉันตามเวลา

เท่าที่สังเกตดูปรากฎว่า ท่านจะฉันเช้าประมาณ 7 โมงเช้า และฉันน้ำชาเวลา 4 โมงเย็น ถ้าเลยเวลาแล้วหลวงปู่จะไม่ยอมฉันเป็นเด็ดขาด แม้แต่น้ำชา ท่านฉันมื้อเดียวมาตลอด 50 ปีแล้ว โดยที่ไม่มีอาหารพวกเนื้อหมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิดเลย แม้แต่น้ำปลาก็ไม่เคยฉัน

อาหารที่ท่านฉันก็ เป็นพวกผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่น เป็นประจำอยู่เป็นนิจตลอดมา เนื้อหนังมังสาและผิวพรรณของท่านก็คงเป็นปกติอยู่ตามเดิม พละกำลังของท่านก็แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะอำนาจบารมีของท่านที่เคยได้สร้างสมมาในชาติปางก่อน จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดและบริสุทธิ์ในธรรมวินัย ดำรงชีวิตมาได้อย่างแข็งแรงและสมบูรณ์

หลวงปู่ทิม มีอายุได้ 96 ปี 72 พรรษา ยังแข็งแรงสมบูรณ์ เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก ยังมองอะไรได้ชัดเจนดี ฟันก็ไม่เคยหักแม้แต่ซี่เดียว ถึงแม้ว่าอายุของท่านเกือบจะ 100 ปีแล้วก็ตาม

หลวงปู่ทิมท่านได้ มรณภาพเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2518 นับได้ว่าท่านเป็นพระอาวุโสและมีพรรษามากกว่าพระเกจิอาจารย์รูปใดๆ ทั้งหมดในจังหวัดระยองเลยทีเดียว


ข้อมูลอ้างอิง : http://www.pantown.com/board.php?id=10697&area=&name=board3&topic=12&action=view

Top