ประวัติ หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล - วัดป่าบ้านคุ้ม ต.โคกสว่าง อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี - webpra

หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล

ประวัติ วัดป่าบ้านคุ้ม ต.โคกสว่าง อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี

หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล วัดป่าบ้านคุ้ม ต.โคกสว่าง อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี

หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล ๑

วัดป่าบ้านคุ้ม ต.โคกสว่าง อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี

จากหนังสือ แก้วมณีอีสาน

 

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม สายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ฝ่ายมหานิกาย ที่มีอาจาระงดงาม ไม่ติดที่ไม่ติดวัด สมณะสันโดษเป็นที่สุด หลวงปู่มั่นได้กล่าวกับพระอาจารย์ทองรัตน์ ครั้งหนึ่งว่า “จิตท่านเท่ากับจิตเราแล้ว จงไปเทศนาอบรมสั่งสอนได้” ด้วยเห็นว่าหลวงปู่เป็นพระแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว เป็นพระแท้จริง หลวงปู่มั่นจึงไม่ญัตติให้เป็นธรรมยุต ดังลูกศิษย์รูปอื่น ๆ หลวงปู่ทองรัตน์จึงเป็นพระภิกษุผู้ประสานติดต่อภิกษุสงฆ์มหานิกายให้เป็นพระป่า ยึดธรรมปฏิบัติตามบูรพาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น

พระอาจารย์ทองรัตน์ กันตสีโล ชาติภูมิเดิม นามทองรัตน์ บรรพบุรุษของตระกูลเป็นชาวบ้านชี้ทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี แล้วอพยพย้ายถิ่นไปสู่บ้านสามผง อำเภอศรีวันชัย หรืออำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เกิดที่บ้านสามผงหรือบ้านชี้ทวน ยังไม่ทราบแน่ชัด เมื่อ พศ.2431 เป็นบ้านเดียวกับท่านอาจารย์เกิ่ง และพระอาจารย์วัง แห่งภูลังกา ท่านมีพี่ชายคนหนึ่ง เป็นกำนันของตำบลนี้ คือ กำนันศรีทัศน์ บิดาเป็นคหบดี คนมั่งคั่งในหมู่บ้าน และมีหน้าที่เก็บส่วย ในวัยเด็ก ท่านเป็นคนค่อนข้างจะหัวดื้อ นิสัยออกจะนักเลง งานบุญประจำปี หรือเทศกาลของหมู่บ้าน ช่วงวัยเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม ชอบไปทางนักเลงสุรา สะพายบั้งทิงเหล้าหรือกระบอกสุราเหมือนนักเลงเหล้า พระอาจารย์หลวงปู่กิ ธัมมัตตโม แห่งวัดป่าสนามชัย บ้านสนามชัย อำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งของพระอาจารย์ทองรัตน์ เล่าถึงภูมิหลังของท่าน การศึกษามูลฐาน ท่านได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนบ้านเกิด

ชีวิตสมณะการแสวงหาธรรมและปฏิปทาจากชีวิตคฤหัสถ์ที่สนุกสนานคึกคะนอง ค่อนไปทางนักเลงสุรากลางบ้าน พูดจาโผงผาง พูดขำขันตลกขบขัน และช่วยบิดามารดาทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง จนล่วงเลยวัยเบญจเพส ชีวิตของท่านจึงเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

เหตุที่จูงใจที่ทำให้พระอาจารย์ทองรัตน์ ตัดสินใจออกบวชก็คือ มีสาวชาวบ้านคนหนึ่งมารักถึงขั้นจะหนีตาม ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า “บวชหนีผู้สาว” (บวชหนีหญิงสาว) แต่เมื่อพระอาจารย์ได้บวชแล้ว ซาบซึ้งในรสพระธรรมจึงไม่ยอมลาสิกขาบท พระอาจารย์ทองรัตน์ได้บรรพชาเป็นเณร แล้วลาสิกขาเป็นเซียงทองรัตน์ มีชีวิตเสพสุขสนุกสนาน และช่วยงานการบิดามารดา จนประมาณว่าพระอาจารย์อุปสมบทอีกครั้งราวอายุ 26 ปี โดยบวชที่บ้านสามผง มีเจ้าอาวาสวัดบ้านสามผงเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกิ่ง และพระอาจารย์อุ่น เป็นพระกรรมวาจารย์ ได้ฉายาว่า กันตสีโล พระอาจารย์สนใจและตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย ปริยัติธรรม ด้วยความเอาใจใส่โดยอยู่ในสายพระวัดบ้านนานถึง 5 พรรษา จึงเป็นพระปาฏิโมกข์ ที่แตกฉานในการสวดปาฏิโมกข์

ในพรรษาที่ 6 พระอาจารย์เริ่มเบื่อหน่ายต่อการศึกษาปริยัติ นึกเปรียบเทียบการปฏิบัติกับพระธรรมวินัย ของตนแล้วดูจะห่างไกลกันมาก ยิ่งมีความสงสัยในการประพฤติปฏิบัติว่าจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง อีกทั้งได้ยินข่าวครูบาอาจารย์ในทางวิปัสสนากรรมฐานที่สกลนคร คือ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ซึ่งพำนักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส และวัดป่าในละแวกเขตอำเภอโคกศรีสุพรรณ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ชำนาญด้านวิปัสสนาธุระ มีประชาชนเคารพเลื่อมใสศรัทธามาก ดังนั้น ในพรรษาที่ 6 พระอาจารย์ทองรัตน์ได้เดินทางไปจังหวัดสกลนคร เข้านมัสการ และขอโอกาสถามปัญหาในข้อวัตรปฏิบัติ ปกิณกธรรม และวิสุทธิมรรค จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์อวน ปัคโณ (อายุ 66 ปี 46 พรรษา) แห่งวัดจันทิยาวาส นครพนม

ศิษย์ผู้ใกล้ชิดรูปหนึ่งได้เล่าถึงการไปศึกษาธรรมของพระอาจารย์ทองรัตน์ กับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตมหาเถระไว้ว่า ขั้นแรกของการศึกษา หลวงปู่ทองรัตน์ไม่รู้สึกอะไร ภาวนาตามธรรมดา หลวงปู่มั่นได้แนะนำว่า รู้ไม่รู้ไม่สำคัญ ขอให้ทำจิตใจให้รู้จักจิตว่าสงบหรือไม่สงบ พระอาจารย์ทองรัตน์ได้ออกวิเวกเที่ยวธุดงค์ไปแล้วกลับมาถามพระอาจารย์มั่น อีก โดยถามว่าจิตสงบเป็นอย่างไร

พระอาจารย์มั่นถาม “เท่าที่ทองรัตน์ ปฏิบัติทุกวันนี้ รู้สึกว่าเป็นแบบใด” พระอาจารย์ทองรัตน์ตอบว่า “มีเหตุหนักกายหนักใจ ใจฝืดเคืองนัก” พระอาจารย์มั่นแนะนำว่า “เรื่องที่หนักกายหนักใจนั่น ไม่ใช่เพราะการบำเพ็ญภาวนา แสดงว่ามีความเชื่อมั่นศรัทธาอยู่ในการปฏิบัติ อยากทำ แต่ไม่รู้จักวิธี การปฏิบัติให้รักษาจิต รักษาระเบียบวินัย กิจวัตร ข้อวัตรวินัยต้องเข้มงวด ปฏิบัติถึงแล้วก็จะเกิดเมตตา มีเมตตาแล้วแสดงว่ามีศีลบริสุทธิ์ มีศีลบริสุทธิ์แล้วจิตก็สงบ จิตสงบแล้วจะเกิดสมาธิ”

พระอาจารย์ทองรัตน์ได้อุบายธรรมปฏิบัติแล้วได้นมัสการลาออกหาวิเวกธุดงค์ จนกระทั่งรู้จักสมาธิแล้ว จึงมาหาท่านพระอาจารย์มั่น และได้เล่าให้ท่านฟังว่า ผมรู้จักแล้วสมาธิ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงถามว่า ที่ว่ารู้จักนั้น รู้จักแบบไหน พระอาจารย์ทองรัตน์ตอบว่า รู้จักเมื่อเป็นสมาธิแล้วก็เบากาย เบาจิต

ตอน 2

หลวงปู่มั่น ได้แนะนำต่อว่า จิตสงบแล้วก็ให้พิจารณาขันธ์ 5 ให้รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระอาจารย์ทองรัตน์ จึงได้ออกวิเวกธุดงค์ไปตามหุบห้วยภูผาป่าช้าต่าง ๆ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระผู้เป็นบูรพาจารย์ เช่น ห้ามเทศน์เด็ดขาด ให้ระวังสำรวม ให้อยู่ตามต้นไม้ อยู่ป่า สหธรรมิกที่มีอุปนิสัยต้องกันในระหว่างจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์มั่น คือ พระอาจารย์บุญมี บ้านสูงเนิน กุดจิก นครราชสีมา

หลวงปู่กิเล่าถึงพระอาจารย์ทองรัตน์ไว้ว่า นอกจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แล้ว พระอาจารย์ทองรัตน์ ท่านเคารพนับถือ พระอาจารย์เสาร์ เป็นอาจารย์อีกรูปหนึ่ง ซึ่งท่านกล่าวถึงมากที่สุด เมื่อออกธุดงค์ใหม่ ๆ ในพรรษาที่ 7 กับพระอาจารย์มี ได้มีญาติโยมมาสนทนาธรรมและขอฟังเทศน์จากท่าน หลวงปู่ก็มักจะบ่ายเบี่ยงว่าเราบวชน้อย อายุพรรษาไม่มาก ครูบาอาจารย์ยังไม่ให้เทศน์

พระอาจารย์ทองรัตน์ ท่านเป็นผู้เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ และปฏิบัติมาก ถือการอยู่ป่าตามโคนต้นไม้ บางทีท่านเอาศีรษะหนุนโคนต้นไม้ บางทีนอนหนุนกิ่งไม้มัดรวมกับใบไม้ หรือบางทีก็เอาฟางข้าวญาติโยมมัดเป็นหมอนหนุน บางครั้งนั่งสมาธิกลางป่าไม่มีมุ้ง บางทีได้กระบอกน้ำก็สะพายปลีกตัวขึ้นไปอยู่รูปเดียวหลังภูเขา พยายามพากเพียรภาวนาอยู่อย่างสม่ำเสมอ

ความมักน้อย และเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย ไม่ใช้สิ่งของที่เขาไม่ถวายและไม่ออกปากขอ เพราะถือว่าเขาไม่ใช่ญาติโยม ไม่มีด้ายและผ้าเอามาปะชุนผ้าจีวร ท่านได้หาหนามและไม้ป่ามาเย็บสอดยึดส่วนที่ขาดเอาไว้ ครั้งหนึ่งผ้าจีวรขาดจนไม่สามารถหาอะไรมายึดไว้ได้ หลังจากกลับจากธุดงค์ ท่านได้เข้าไปนมัสการพระอาจารย์มั่น ขอลากลับบ้านสามผง จะไปขอผ้ามาทำจีวร พระอาจารย์มั่นทรมานจิตของท่านโดยกล่าวว่า “อยากจะได้ธรรมไม่ใช่หรือจึงมาบวช จะแสวงหาธรรมะมันไม่ใช่ของง่าย” และท่านยังพูดต่ออีกว่า “ไม่ใช่คิดถึงบ้านหรือ ถ้ามัวมาคิดถึงบ้านจะไปถึงไหน ทำความเพียรให้มาก จะได้เห็นธรรมเร็วขึ้น”

พระอาจารย์มั่นแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระบทว่าจะสำเร็จเร็วขึ้นพระอาจารย์ทองรัตน์ เรียนว่า ถ้ำพระบทนั้นได้ยินว่า พระรูปใดไปแล้วมีแต่ตายกับตาย ไม่เคยกลับมา ที่กลับมามีแต่เป็นล่อย ล่อย (เป็นห้อย) ทั้งนั้น (เป็นล่อย หรือหล่อย คือเป็นง่อยเปลี้ยทำนองนี้ครับ ไม่มีแรง,กำลังกาย )

พระอาจารย์ทองรัตน์ ได้เดินทางไปถ้ำพระบท ซึ่งขึ้นชื่อว่า เจ้าที่แรง และไปบำเพ็ญภาวนาจำพรรษาอยู่รูปเดียว ในเดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ พระอาจารย์ได้นั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ในถ้ำในกลางดึก ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม เหมือนเสียงฝูงสัตว์และคนจำนวนมากวิ่งอยู่บนภูเขาทั้งลูกเหนือน้ำ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนไปทั่ว มีเสียงหวีดร้องคล้ายสัตว์และคน พระอาจารย์เล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอาจารย์ขนลุก ผมบนศีรษะตั้งอยู่หลายวัน ตั้งใจอยากจะออกไปดู แต่ก็นั่งเป็นสมาธิสงบระงับอยู่อย่างนั้น และความคิดหนึ่งก็โต้แย้งว่า ไม่ใช่ธุระอะไรของเรา เรื่องของเขาเขาจะเป็นอะไรก็อยู่ต่างหาก เรื่องของเราเราก็อยู่ต่างหาก

เมื่อตั้งสติได้มั่นแล้ว ทำให้เกิดความสงบเยือกเย็น เบิกบาน ไม่มีความกลัวใด ๆ และความกลัวตอนแรก ๆ หายไปหมดสิ้น มีความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นคือ อยากเทศน์ อยากจะโปรดสัตว์ทั้งหลาย มันเหมือนว่าแม้จะมีด้ายมาเย็บปากไว้ ด้ายก็จะขาด มันอยากเทศน์ อยากจะเทศน์โปรดคนทั้งโลก อยากไปเทศน์ประเทศใกล้เคียงทั้งพม่า มลายู จึงนั่งเทศน์อยู่คนเดียว เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ไม่ได้อยู่ไม่ได้นอน ญาติโยมที่อยู่หมู่บ้านใกล้ภูเขาเห็นท่านไม่ไปบิณฑบาตหลายวัน คิดว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน และได้ขึ้นมาดู ท่านจึงรู้สึกตัว

วันต่อมา หลังจากรู้สึกตัว ท่านได้ลงไปบิณฑบาต เนื่องจากไม่ได้นอน 7 วัน 7 คืน ตาจึงแดงก่ำไปหมดทั้ง 2 ตา โยมทักว่า อาจารย์ป่วยหรือตาจึงแดง ท่านตอบโยมไปว่าสบายดี โยมถามต่อไปว่า ท่านฉันอาหารได้ดีอยู่หรือ ท่านตอบว่าฉันได้ดีอยู่ แต่พอถึงเวลาฉัน เนื่องจากไม่ได้ฉันมาหลายวัน ร่างกายไม่รับอาหาร ฉันได้ 2-3 คำ จึงได้รู้สึกตัวว่าได้โกหกญาติโยมไปแล้ว จึงได้ตั้งสติใหม่ และตั้งจิตให้มั่นคง จิตจึงได้กลับเป็นปกติ และเกิดความสงบเยือกเย็นเบิกบาน

เมื่อออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์ได้เดินทางกลับไปนมัสการพระอาจารย์มั่น และได้เล่าเหตุการณ์ให้พระอาจารย์ฟัง ท่านพระอาจารย์มั่นบอกว่า จิตท่านกับจิตเราเท่ากันแล้ว ต่อไปท่านอยากจะเทศน์ก็เทศน์

พระอาจารย์ทองรัตน์ ท่านเป็นพระที่ไม่ยึดติดในเสนาสนะ ชอบสันโดษ จำพรรษาแต่ละแห่งไม่นานมักจะย้ายวัด หรือออกธุดงค์ตามป่าเขาเป็นส่วนใหญ่ ในพรรษาต่อ ๆ มา ท่านได้ธุดงค์ไปถึงประเทศพม่ากับพระอาจารย์มี นอกจากนี้ก็ยังธุดงค์ไปทั่วภาคอีสานและภาคเหนือภาคกลาง

ด้านอุปนิสัยของพระอาจารย์ทองรัตน์ เป็นผู้มีอารมณ์ขัน พูดจาโผงผาง เสียงดังกังวาน ลูกศิษย์ลูกหายำเกรง ท่านมีนิสัยทำอะไรแผลง ๆ แปลก ๆ หลวงพ่อชา สุภัทโท ซึ่งนับถือพระอาจารย์ทองรัตน์เป็นพระอาจารย์ของท่านรูปหนึ่ง เคยเล่าให้ศิษย์ฟังถึงพระอาจารย์ทองรัตน์เสมอในความเคารพที่ท่านมีต่อพระอาจารย์ ความชื่นชอบปฏิปทาที่ห้าวหาญอีกทั้งปัญญาบารมี และอารมณ์ขันของท่าน เป็นต้นว่า เมื่อไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านไปหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเจ้าของบ้านเหลือบมาเห็นพระ ก็ร้องว่า “ข้าวยังไม่สุก”

แทนที่พระอาจารย์ทองรัตน์ จะเดินจากไป ท่านกลับร้องบอกว่า “บ่เป็นหยังดอกลูก พ่อสิท่า ฟ่าว ๆ เร่งไฟเข้าเด้อ” (ไม่เป็นไรลูก พ่อจะคอย เร่งไฟเข้าเถอะ)

ตอน 3

ระหว่างพำนักอยู่กับหลวงปู่มั่น และไม่ค่อยได้ฟังเทศน์ พระอาจารย์ทองรัตน์ก็มีอุบายหลายอย่าง ที่ทำให้หลวงปู่มั่นต้องแสดงธรรมให้ฟังจนได้ อย่างเช่นครั้งหนึ่ง ไปบิณฑบาต ท่านก็เดินแซงหน้าหลวงปู่มั่น แล้วก็ควักเอาแตงกวาจากบาตรออกมากัดดังกร้วม ๆ และอีกครั้งหนึ่งท่านไปส่งเสียงเหมือนกำลังชกมวย เตะถึงต้นเสาอยู่อย่างอุตลุดใต้ถุนกุฏิหลวงปู่มั่นนั่นเอง ในขณะที่เพื่อนสหธรรมิกต่างก็กลัวกันหัวหด ผลก็คือ ตกกลางคืน ลูกศิษย์ลูกหาต่างก็ได้ฟังเสียงหลวงปู่มั่นอบรมด้วยเทศน์กัณฑ์ใหญ่ ทั้ง 2 ครั้ง

หลวงพ่อชา เล่าว่า พระอาจารย์ทองรัตน์ เป็นผู้อยู่อย่างผ่องแผ้วจนกระทั่งวาระสุดท้าย เมื่อท่านมรณภาพนั้น ท่านมีสมบัติในย่ามคือ มีดโกนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น

หลวงปู่กินรี จันทิโย ศิษย์ต้นรูปแรก ผู้ใกล้ชิดที่สุดได้เล่าถึงหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล ว่าเป็นพระอาจารย์ผู้เฒ่า ที่มีปฏิปทาสูงยิ่ง ท่านมีความรู้ ความสามารถเก่งกาจเฉพาะตัว เป็นนายทัพธรรมที่หลวงปู่มั่นท่านไว้วางใจที่สุด นิสัยของพระอาจารย์ทองรัตน์นี้ ท่านมีความห้าวหาญและน่าเกรงกลัวยิ่งนัก ซึ่งในบางครั้งกิริยาท่าทางของท่านออกจะดุดัน วาจาก้าวร้าว แต่ภายในจิตใจจริง ๆ ของท่านนั้นไม่มีอะไร หลวงปู่กินรีกล่าวต่อไปว่า มีอยู่คราวหนึ่งในท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์สานุศิษย์ของหลวงปู่มั่น ซึ่งก็มีพระอาจารย์ทองรัตน์รวมอยู่ในที่นั้นด้วย หลวงปู่มั่นมองดูพระอาจารย์ทองรัตน์ แล้วเรียกขึ้นว่า “ทองรัตน์“ “โดย” พระอาจารย์ทองรัตน์ประนมมือ แล้วขานรับอย่างนอบน้อม (คำว่า โดย เป็นภาษาอีสาน ซึ่งแปลว่า ขอรับกระผม เป็นคำสุภาพอ่อนน้อมที่สุดสำหรับคฤหัสถ์ และพระผู้น้อย นิยมใช้พูดกับพระภิกษุหรือพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งมักจะใช้กิริยาประนมมือไหว้ระหว่างอกควบคู่ไปด้วย)

หลวงปู่มั่น ท่านจึงพูดต่อไปว่า เดี๋ยวนี้พระเราไม่เหมือนกับเมื่อก่อนนะ เครื่องใช้ไม้สอย สบู่ ผงซักฟอก อะไร ๆ มันหอมฟุ้งไปหมดแล้วนะ “โดย” พระอาจารย์ทองรัตน์กล่าวตอบอีก ต่อมาขณะที่พระอาจารย์ทองรัตน์นั่งอยู่ที่แห่งหนึ่ง มีกลุ่มพระภิกษุ 2-3 รูป เดินผ่านท่านไป พระอาจารย์ทองรัตน์จึงร้องขึ้นว่า “โอ๊ย…หอมผู้บ่าว” (ผู้บ่าว แปลว่า ชายหนุ่ม บ่าว เป็นคำไทยแท้ ภาษาอีสาน นิยมเรียกว่า ผู้บ่าว) ในที่นี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของพระอาจารย์ทองรัตน์ ที่ใช้สำหรับสั่งสอนสานุศิษย์ของท่าน

อยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์ทองรัตน์ได้เป็นปัจฉาสมณะ (สมณะผู้ตามหลัง คือ พระผู้น้อยที่ไปกับพระผู้มีอาวุโสกว่า) ท่านได้ติดตามไปกับพระมหาเถระรูปหนึ่งในการเที่ยวภิกขาจารบิณฑบาต จะเป็นหลวงปู่มั่นหรือท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) องค์ใดนั้นไม่ทราบชัด พร้อมด้วยพระภิกษุ สามเณรอีกหลายรูป ในเส้นทางที่เดินไปนั้น ท่านพระมหาเถระเดินหน้า พระภิกษุทั้งหลายเดินหลัง เผอิญมาถึงที่แห่งหนึ่ง ก็มีวัวตัวผู้ตัวหนึ่งปราดเข้ามาต่อหน้าท่านพระมหาเถระ ท่าทางของมันบอกให้รู้ว่าไม่เป็นมิตรกับใคร ท่านพระมหาเถระจึงสำรวมจิตหยุดอยู่กับที่ โดยที่ไม่มีใครคาดฝันมาก่อน ท่านอาจารย์ทองรัตน์ก็เดินรี่เข้าหาวัวตัวนั้น พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่า “สู้รึ” วัวตัวนั้นตกใจได้วิ่งหลบหนีไปในทันที

อีกครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับปฏิปทาในการสอนศิษย์ของพระอาจารย์ทองรัตน์ เรื่องมีอยู่ว่า เวลากลางคืนคืนหนึ่ง พระผู้ชรารูปหนึ่งกำลังนั่งทำสมาธิภาวนาอยู่นั้น “อุคหนิมิต” ได้เกิดขึ้นแก่พระชรารูปนั้น นิมิต คือ เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน ภาพที่เห็นในใจของผู้เจริญกรรมฐาน หรือภาพที่เป็นอารมณ์กรรมฐานมี 3 อย่าง คือ

1. บริกรรมนิมิต คือ นิมิตในการกำหนด (บริกรรม) คือ การที่ภิกษุเพ่งดูวัตถุ หรือกสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอารมณ์ในการภาวนา สิ่งที่เพ่งนั้นเรียกว่า บริกรรมนิมิต

2. อุคหนิมิต แปลว่า นิมิตเจนใจ คือ ภิกษุเพ่งดูวัตถุใด หรือกสิณใด เป็นอารมณ์ดังกล่าวมาแล้ว จะสามารถทำได้จนเจนใจ แม้จะหลับตาลงก็ยังสามารถมองเห็นวัตถุ หรือกสิณนั้นได้ติดตา ภาพที่ติดตาติดใจนั้นเรียกว่า อุคหนิมิต

3. ปฏิภาคนิมิต แปลว่า นิมิตเทียบเคียง คือ เมื่อภิกษุเพ่งในนิมิตที่สองคือ อุคหนิมิต ดังกล่าวแล้ว สามารถปรุงแต่งดัดแปลงให้นิมิตนั้นใหญ่เล็กก็ได้ตามปรารถนา นิมิตอย่างนี้เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต

เมื่อเกิดอุคหนิมิตขึ้น พระภิกษุชรารูปนั้นก็ได้เห็นร่างของท่านในนิมิตกลายเป็นบ่างตัวขนาดเขื่องเลยทีเดียว (บ่าง คือ สัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่งตัวคล้ายกระรอก โตเกือบเท่าค่าง อยู่ตามโพรงไม้ สีข้างทั้งสองมีหนังเป็นพืดคล้าย ๆ ปีก โผไปมาได้ไกล ๆ) บ่างนั้นได้โผบินไปมาระหว่างต้นมะพร้าวในสวนแห่งหนึ่งอยู่ตลอดคืน พระชรารูปนั้นทำสมาธิ เกิดอุคหนิมิตอยู่จนอรุณรุ่ง อาการเหล่านั้นมันยังติดตาติดใจไม่หาย แม้จะลุกออกจากที่ไปเที่ยวบิณฑบาตแล้วก็ตาม ทำให้เกิดปีติ พร้อม ๆ กับความสงสัยในอาการแห่งนิมิตเหล่านั้น ตั้งใจว่าวันนี้ฉันข้าวเสร็จแล้วจึงจะเข้าไปให้ท่านครูบาอาจารย์แนะนำ พอพระบิณฑบาตมาถึงวัด ก็เดินไปที่โรงฉันอันเป็นที่ซึ่งพระเณรจะมาฉันภัตตาหารรวมกันที่นี้ทุกเช้า พอเดินมาที่โรงฉันเท่านั้น ก็พลันได้ยินท่านครูบาอาจารย์ทองรัตน์ ร้องทันทีด้วยเสียงอันดังฟังชัดว่า “บ่างใหญ่มาแล้ว”

ยังมีเรื่องที่ค่อนข้างจะขบขันอีกหลายเรื่อง ที่เกี่ยวกับปฏิปทาของพระอาจารย์ทองรัตน์ ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงปู่กินรี ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ทองรัตน์พำนักอยู่ที่ป่าช้าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านส่วนมากเป็นมิจฉาทิฐิ (มีความเห็นผิด) แต่คนที่ดีก็มีอยู่ พวกที่เห็นผิดส่วนมากมักจะเข้าใจว่าท่านเป็นบ้า และจงเกลียดจงชังด้วย เพราะเหตุว่าวิธีการสอนธรรมะของท่านค่อนข้างจะดุเดือดเผ็ดร้อน ประกอบกับท่านมักจะเน้นหนักคำสอนไปในเรื่องการให้ทาน ซึ่งชาวบ้านพวกที่ชอบการกินเล่นสนุกเฮฮาและประพฤติผิดศีลธรรมทั้งหลายขัดอกขัดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น ในตอนเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ท่านอาจารย์ทองรัตน์เที่ยวบิณฑบาต หลายคนใส่บาตรซึ่งของที่ใส่นั้นก็มีข้าวเหนียวนึ่งเป็นหลัก ก็มีห่อหมกที่ห่อด้วยใบตองใช้ต่าง ๆ เมื่อมาถึงวัดเข้าสู่โรงฉัน สามเณรนำบาตรมาให้ท่าน พอหยิบห่อหมกห่อหนึ่งออกมาดู ปรากฏว่ามีกบเป็น ๆ ตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดจากข้างในบาตรของท่านทันที ท่านอาจารย์ทองรัตน์ถึงกับรำพึงว่า “เกือบไหมละเจ้าหนู เขาเกือบฆ่าเอ็งมาใส่บาตรเสียแล้ว” เสียงและสีหน้าของท่านปราศจากแววบึ้งตึง ท่านกลับหัวเราะชอบใจอีกเสียด้วยซ้ำ

เรื่องของพระอาจารย์ทองรัตน์ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงปู่กินรีนี้มีอยู่มากมาย เช่น ในคราวหนึ่งซึ่งเป็นขณะที่พระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพงในปัจจุบัน ท่านเดินธุดงค์รอนแรมไปตามป่าเขาในเขตจังหวัดต่าง ๆ อยู่นั้น พอพระอาจารย์ชาได้ยินกิตติศัพท์ของท่านอาจารย์ทองรัตน์ จึงตั้งใจจะไปกราบคารวะและรับโอวาทธรรมจากท่าน ขณะอยู่ที่วัดป่าบ้านชีทวน เขื่องใน เมื่อพระอาจารย์ชาได้เดินทางมาถึงวัดของท่านอาจารย์ทองรัตน์จึงได้ปลดบาตร ย่าม และลดจีวรลง เดินเข้าไปในอาราม ตามธรรมเนียมในอาคันตุกวัตรทุกประการ พระอาจารย์ชาได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งที่พระอาจารย์ทองรัตน์บอกให้มาต้อนรับ จึงถามว่าท่านอาจารย์ทองรัตน์อยู่ไหน พระรูปนั้นได้ชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง เป็นเครื่องหมายว่าท่านอาจารย์ทองรัตน์อยู่ที่โน่น ท่านพระอาจารย์ชาจึงวางบริขารแล้วเดินตรงไปหา ซึ่งขณะนั้นท่านอาจารย์ทองรัตน์กำลังยืนเอามือถือไม้กวาดอยู่ พอไปถึง กำลังจะคุกเข่าก้มลงกราบ ท่านอาจารย์ทองรัตน์ก็เหลียวมามองหน้าพร้อมกับชิงถามขึ้นก่อนว่า “ชามาแล้วหรือ” ทำเอาพระอาจารย์ชารู้สึกแปลกใจที่ท่านกล่าวเรียกชื่อได้ถูกต้องทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน

ตอน 4

หลวงปู่ทองรัตน์เที่ยวธุดงค์สู่ประเทศลาวบ่อย ๆ ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์อวน ปัคโณ ได้ธุดงค์ติดตามไปกับหลวงปู่กินรี เพื่อกราบคารวะที่บริเวณดอนพระเจ้า บ้านบุ่งแมง ใกล้บ้านแพงริมฝั่งโขง ซึ่งหลวงปู่ทองรัตน์ได้มาพำนักปฏิบัติธรรมที่นี่มากว่า 7 วันแล้ว จึงทราบเรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่ว่า มีนายฮ้อยช้างได้นำช้างโขลงหนึ่ง 16 ตัว เดินทางผ่านจะไปเวียงจันทน์ เมื่อมาถึงป่าบริเวณดอนพระเจ้า ให้ช่วยทำพิธีขอขมา กราบคารวะพวกภูมิภูตผีต่าง ๆในโขงเขตนี้ โขลงช้างก็ยังใช้งวงกอดรัดต้นไม้อยู่เหมือนเดิม ชาวบ้านจึงแนะนำให้นายฮ้อยช้างไปกราบคารวะหลวงปู่ทองรัตน์ หลวงปู่ทองรัตน์กล่าวว่าไม่ใช่เรื่องของพ่อ แต่ว่าช้างมันหิว นายฮ้อยช้างตอบว่า พวกกระผมเพิ่งให้พักและเลี้ยงอาหารมาอิ่มใหม่ ๆ ขอได้กราบนมัสการหลวงปู่แล้วยกขันธ์ 5 นมัสการ เมื่อเดินทางไปยังโขลงช้าง เห็นช้างกินใบไม้อยู่ตามปกติ ลูกศิษย์จึงนมัสการถามหลวงปู่กินรี ท่านบอกว่าเป็นอภินิหารของหลวงปู่ทองรัตน์ เพราะเคยเห็นเคยรู้จักมาหลายครั้งที่ร่วมเดินธุดงค์ร่วมกันมากว่า 5 ปี

หลวงปู่กินรี กล่าวตอบว่า หลวงปู่ทองรัตน์อยู่คนเดียวก็มีการแสดงธรรม โดยส่วนมากจะเป็นเวลากลางดึกที่สานุศิษย์ได้พักผ่อนจำวัดแล้ว แต่ท่านยังมีการเทศน์ มีเสียงการถามการตอบปัญหา คล้ายกับมีคนไปถามปัญหาตอบปัญหา หลวงปู่กินรีคิดว่าท่านมีอะไรสำคัญอยู่กับตัวท่าน คล้ายกับมีเทวดามาถามปัญหา จึงแสดงธรรมแก้ปัญหาข้อธรรมคำถามต่าง ๆ

พระอาจารย์อวน ปัคโณ ได้เล่าถึงหลวงปู่ทองรัตน์ไว้ว่าไม่มีวัดอยู่ อยู่ร่มไม้ กระท่อมไม้ตลอด เป็นกุฏิกระต๊อบเพียงเพื่ออาศัยอยู่สัปดาห์เดียว เพราะท่านรักการเดินธุดงค์บริขารบาตรใบเดียวตั้งแต่บวชจนมรณภาพ สันโดษมักน้อยที่สุด นิสัยอย่างหนึ่งคือไม่ยอมให้ลูกศิษย์ติดตามหรืออยู่ใกล้ พบศึกษาข้อธรรมแล้วให้แยกหนี กุฏิที่ชาวบ้านศรัทธาสร้างให้สวย ๆ จะไม่ฉลองศรัทธา ซึ่งยังตำหนิว่า คนไม่มีปัญญาชอบกุฏิที่สร้างวันเดียวเสร็จ ไม่รักสวยรักงาม ให้ทำง่าย ๆ เพราะไม่นานก็ธุดงค์ไป หลวงปู่เคยจำพรรษาระหว่างฝั่งโขง-บ้านสามผง บ้านพงพะเนา บ้านศิริวันชัย อ.ศรีสงคราม นครพนม บ้างดงชน บ้านดงมะเกลือ และบ้านไผ่ล้อม บ้านโนนหอม อ.เมือง สกลนคร อุดรธานี แขวงจำปาศักดิ์ และเขมรตอนบน

พระอาจารย์อวน ได้เล่าต่อว่า ที่วัดป่าผาศรีคุณ อำเภอนาแก มีคนเอากบมีชีวิต ไก่มีชีวิต แม้กระทั่งขี้ควายใส่บาตรท่าน ด้วยสำคัญผิดคิดว่าท่านเป็นพระมักได้ ชาวอำเภอนาแกบางคนไม่ชอบทำบุญ หลวงปู่ทองรัตน์มีเมตตาสูงส่ง อยากให้ได้บุญ จึงตะแคงบาตรรับบิณฑบาตของญาติโยม แหล่งชุมชนที่ไม่ชอบให้ทานไม่อยากทาน ยิ่งชอบไปโปรดบ่อย ๆ แม้ผ้ากฐินที่ท่านนำมาเย็บเป็นจีวร ยังถูกทำลายฉีกทิ้งขณะที่ไปบิณฑบาต ญาติโยมบางคนเกลียดชังท่าน ท่านพูดคล้ายดุแต่ใจไม่ดุ

พระอาจารย์คำดี พระผู้น้องของหลวงปู่บุญมี แห่งอำเภอหนองไผ่-วิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เป็นชาวยโสธร ผู้อยู่ร่วมและปรนนิบัติพระอาจารย์ทองรัตน์ ตั้งแต่ครั้งอยู่สกลนครเรื่อยมา จนถึงอุบลราชธานี ท่านได้เล่าให้ฟังว่า อุปนิสัยของท่านครูบาอาจารย์น่าเกรงกลัวมาก กิริยาท่าทางดุ วาจาโผงผาง เสียงดัง ลูกศิษย์อยู่ด้วยได้ไม่นาน ยิ่งผู้ปฏิบัติหย่อนยาน ไม่ซื่อตรงต่อตนเอง หลอกลวงตัวเอง มีภูมิจิตภูมิธรรมไม่ก้าวหน้า ปฏิบัติธรรมฝึกจิตบางขณะเวลา ต้องโดนเล่นภูมิจิต โดนทดสอบอารมณ์ ตรวจสอบอารมณ์อยู่ตลอดเวลาว่า ยินดียินร้ายในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ลูกศิษย์เกือบทุกคนจึงกลัวท่านครูบาอาจารย์มาก ท่านอาจารย์คำดีเล่าต่อว่า ท่านครูบาอาจารย์ทองรัตน์มักใช้คำว่า “พ่อ” กับลูกศิษย์ การที่จะอยู่กับครูบาจารย์ได้นานนั้น จิตต้องภาวนาอยู่ตลอดเวลา จดจ่อต่อธรรมะ จิตส่ายออกทางโลกธรรมไม่ได้ เพราะท่านเฝ้าตรวจสอบการปฏิบัติจิตของลูกศิษย์อยู่เสมอ พอท่านเรียก จิตเราจะต้องรู้ความประสงค์ของท่านแล้วปฏิบัติถวายท่าน

พระอาจารย์คำดี ท่านคือท่านที่อยู่ป่าช้านาป่าคอง อ.นาแก ที่พระอาจารย์ชาได้ไปสนทนาธรรม ขออุบายธรรม การปฏิบัติธรรมอยู่ป่าช้า ซึ่งเป็นนิสัยปกติของพระอาจารย์คำดี (ซึ่งในประวัติของหลวงปู่ชา ผู้เขียนบางท่านคิดว่าเป็นพระอาจารย์คำดี ปภาโส แต่ความจริงแล้วไม่ใช่) ครั้งไปกราบหลวงปู่มั่น ท่านพระอาจารย์มั่นยังพูดว่า “อ่อ ได้ยินเขาว่าห้าวหาญ ไม่กลัวผีกลัวภัย กลัวตาย ไม่ใช่รึ” ท่านเป็นชาวบ้านทรายมูล ยโสธร ซึ่งเป็นพระปฏิบัติธรรมมหานิกายรูปหนึ่ง ณ ป่าช้าแห่งนี้ หลวงปู่ชาจึงได้พบกับสหธรรมิกที่ต่อมาได้ร่วมทางธุดงค์ด้วยกันคือ พระอาจารย์ปุ่น ฉันทาโร วัดป่าฉันทาราม บ้านคำแดง ยโสธร ซึ่งเป็นมหานิกายเช่นเดียวกัน ท่านพระอาจารย์ทองดีและพระอาจารย์อวนเล่าตรงกันว่า ลูกศิษย์ที่ภาวนาไม่ถึง ปฏิบัติไม่จริง จะถูกท่านอาจารย์ทองรัตน์เรียกหาบ่อย ถ้าไม่ปฏิบัติ ไม่รู้จักนิสัย จะอยู่ไม่ได้ ใครเห็นผิด มีทิฐิมานะ ปฏิบัติผิดทุกเช้า ช่วงฉันอาหารท่านจะอบรมสั่งสอนทันที ทำไม่ดีอยู่ไม่ได้ ท่านชอบทดสอบลูกศิษย์เป็นประจำ ชักชวนให้ลูกศิษย์ทำผิด ถ้าใครทำตาม ท่านจะว่าคนไม่มีปัญญา พระอาจารย์ปุ่นมักจะเล่า หรือยกตัวอย่างท่านครูบาจารย์ทองรัตน์อยู่เสมอ โดยเฉพาะความสันโดษไม่สะสมสิ่งใด ๆ ชีวิตเรียบง่าย ประหยัด กุฏิก็อยู่หลังเก่า ๆ เล็ก ๆ มุงหญ้าคาหญ้าแฝก ยกพื้นขึ้นนิดพอดีนั่งถึง ไม่ต้องขึ้นบันได ใครมาสร้างกุฏิหลังใหม่ให้ก็ไม่อยู่ ชอบอยู่กุฏิเดิมเช่นเดียวกับบูรพาจารย์ท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น

บางคนไม่เข้าใจอุบายที่ท่านกระทำเพื่อให้ญาติโยมได้ทำบุญตักบาตร ท่านใช้อารมณ์ขันแม้เวลาไปบิณฑบาต บางคนอาจมองว่าพระอะไรไม่สำรวม ข้าวไม่สุกก็ยืนคอยจนข้าวสุก หลวงพ่อจะบิณฑบาตไม่เคยขาดแม้ในวัยชรา ท่านจะไปทุกหลังคาเรือน ถามว่าข้าวสุกหรือยัง มาตักบาตรพ่อด้วย แม้ฝนตก ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวจะเปียก ไม่ต้องออกมา และท่านจะเดินเข้าไปถึงบันไดบ้าน

เนื่องจากชาวบ้านคุ้มเป็นบ้านป่า ไม่คุ้นเคยกับพระและการทำบุญตักบาตร ท่านจึงฝึกหัด และออกอุบายให้ชาวบ้านตักบาตรทุกวัน จนต่อมาทุกครัวเรือนก็ทำบุญตักบาตร และเข้าวัดฟังธรรม

เมื่อครั้งครูบาจารย์ทองรัตน์พำนักที่บ้านโนนหอม สกลนคร ท่านพระอาจารย์อวนเล่าว่า วันหนึ่งครูบาจารย์ไปบิณฑบาต ได้แต่ข้าวเปล่า ๆ ท่านจึงพูดว่า บ้านโนนหอมใส่บาตรมีแต่ให้หมากิน ไม่มีข้าวให้คนกิน ไม่เหมือนบ้านสามผง ชาวบ้านโนนหอมโกรธมาก หลายปีต่อมาชาวบ้านถือข้าวไปทำไร่ ลืมเอากับข้าว นั่งกินเปล่า ๆ เหมือนกับที่เคยโยนก้อนข้าวเหนียวให้หมากิน จึงนึกถึงคำพูดของหลวงปู่

ด้วยการที่ไม่ติดในเสนาสนะและสันโดษของพระอาจารย์ทองรัตน์ ท่านจึงจำพรรษาอยู่ที่ใดไม่นานก็ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ หลวงปู่กิ ศิษย์คนหนึ่งของท่านเล่าว่า ท่านเคารพนับถือพระอาจารย์เสาร์มาก และมีสัญญากับหลวงปู่เสาร์ในการมาสร้างวัดที่บ้านชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ประมาณปี พ.ศ. 2480-2481 พระอาจารย์เสาร์ได้ลาหลวงปู่มั่น เดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสร้างและขยายวัดทางจังหวัดอุบลราชธานีที่ท่านเคยพำนัก และเป็นบ้านเกิดมาก่อนให้เจริญรุ่งเรือง หลวงปู่เสาร์ได้ให้หลวงปู่ทองรัตน์ไปสร้างวัดป่าบ้านชีทวนขึ้น และหลวงปู่เสาร์เองได้ไปสร้างวัดที่บ้านป่าโคม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ติดต่อระหว่างอำเภอเขื่องในกับอำเภอเมือง อุบลราชธานี หลวงปู่ทองรัตน์ได้จำพรรษาและพำนักอยู่ที่วัดป่าบ้านชีทวนนานถึง 9 ปี เมื่อหลวงปู่เสาร์ได้มรณภาพลงที่นครจำปาศักดิ์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หลวงปู่ทองรัตน์ก็ได้ธุดงค์ต่อไป แม้ชาวบ้านทัดทานอย่างไร ท่านก็ยังจากไป

ตอน 5

ในปีหนึ่งท่านได้ธุดงค์ไปถึงบ้านคุ้ม ตำบลหนองไฮ อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน บ้านคุ้มขึ้นอยู่กับตำบลโคกสว่าง อำเภอสำโรง) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนบท ห่างจากบ้านนาส่วง อำเภอเดชอุดม ประมาณ 17 กิโลเมตร ในสมัยนั้นไม่มีทางรถยนต์เข้าหมู่บ้าน มีแต่ทางเกวียน ชาวบ้านยังไม่มีวัด บางคนก็นับถือผี อุปนิสัยคนในหมู่บ้านซึ่งเป็นชาวส่วยเป็นลาวเป็นผู้ไม่คุ้นเคยกับพระและวัด หมู่บ้านนี้ยังไม่เจริญทั้งห่างไกลที่ตั้งอำเภอประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร เป็นหมู่บ้านกันดาร

พ่อใหญ่เขียน ศรีสุธรรม ชาวบ้านคุ้มซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เล่าว่าครั้งแรกที่ท่านหลวงปู่มาถึงบ้านคุ้ม ไม่ทราบว่าท่านมาทางไหน อย่างไร มาถามชาวบ้านว่าป่าช้าหมู่บ้านอยู่ตรงไหน ชาวบ้านก็ชี้มือไปทางใต้หมู่บ้าน คืนแรกที่มาถึง หลวงปู่ได้ไปบำเพ็ญภาวนาและปักกลดที่กลางป่าใต้หมู่บ้าน ซึ่งกลางป่าแห่งนี้มีเนินดินบริเวณกว้างประมาณ 6 ไร่ เนินแห่งนี้เดิมรกทึบมากมีเถาวัลย์ขึ้นเต็ม และชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปในเนินนี้เพราะเชื่อว่าเจ้าที่แรง ใครไปเก็บลูกสบ้าจากเนินนี้มาก็จะมีอันเป็นไป เป็นไข้ตายบ้างหรืออื่น ๆ ชาวบ้านจึงกลัวมาก

หลวงปู่ทองรัตน์ได้ไปอาศัยโคนไม้ในดงนี้เป็นที่บำเพ็ญภาวนา มีชาวบ้านศรัทธาในปฏิปทาของท่าน เข้าไปกราบนมัสการ และช่วยเหลือท่าน และคอยรับใช้หลายคน และหลวงปู่ได้ตัดสินใจสร้างเป็นวัดแต่ระยะแรกก็เพียงถากป่าให้โล่ง ปลูกศาลา และกุฏิมุงหญ้า พอได้อาศัยนานวันเข้าก็มีผู้เลื่อมใสมาเป็นศิษย์มากขึ้น แม้จะสร้างวัดหลายปีมีพระเณรลูกศิษย์มาฝากตัวจำพรรษา พำนักอยู่ด้วยปีละ 20 กว่ารูป หลวงปู่ทองรัตน์ก็ไม่ได้สร้างวัดใหญ่โต คงให้ญาติโยมสร้างพอได้อาศัยให้พอแก่พระเณร ท่านได้ปรารภกับลูกศิษย์ว่า ท่านจะไม่ไปไหนจะตายที่นี้ พ่อใหญ่สอน นามฮุง ศิษย์อีกคนที่เคยบวชกับหลวงปู่แม้เพียง 1 พรรษา ก็ยังซาบซึ้งในตัวหลวงปู่ และเล่าว่าหลวงปู่ไป ๆ มา ๆ ออกพรรษาแล้วจะธุดงค์ไปครั้งละนาน ๆ เมื่อเข้าพรรษาจึงกลับมาวัด ท่านพำนักอยู่ที่วัดบ้านคุ้มนานประมาณ 10 ปีกว่า จึงนับเป็นวัดอีกวัดหนึ่งที่หลวงปู่ทองรัตน์จำพรรษาอยู่นาน หลังจากออกจากสำนักหลวงปู่มั่นแล้ว

ธรรมโอวาท พ่อใหญ่สอน นามฮุง ได้เล่าถึงการสั่งสอนศิษย์และญาติโยมว่า หลวงปู่เอาใจใส่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติ ถือธุดงควัตร สม่ำเสมอ ท่านพูดน้อยทำมาก และเอาใจใส่ลูกศิษย์ทุกคน และสั่งสอนให้เอาตัวอย่างท่านในการปฏิบัติ ลูกศิษย์เคารพยำเกรงท่านมาก ไม่มีใครกล้าทำผิด การฉันจะฉันครั้งเดียว ฉันในบาตร ไม่ออกปากขอหากมิใช่ญาติ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ถึงแม้ท่านจะมีอารมณ์ขัน บางคนหาว่าท่านไม่สำรวม แต่จริง ๆ แล้วท่านสำรวมระวังและสั่งสอนพระเณรให้สำรวมระวังอย่างยิ่ง ข้าวที่ท่านฉัน ท่านจะแยกเอาไว้จากที่เขาเจตนาตักบาตร ส่วนที่ท่านออกอุบายให้เขาตักบาตร ท่านจะแยกไว้ต่างหากและให้ทานแก่ญาติโยม

พระอาจารย์ปุ่น ฉนฺทาโร เล่าให้ฟังว่า การแสดงธรรมอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ของท่านครูบาจารย์ใหญ่ทองรัตน์นั้น สูงมาก กิริยาวาจาดุดันรุนแรง แต่จิตใจจริง ๆ ไม่มีอะไร ครั้งหนึ่งมีศิษย์ถามเรื่องวิธีการปฏิบัติธรรม ท่านครูบาจารย์พูดเสียงดังมาก พร้อมกับชี้ไปที่ตอไม้ใหญ่ใกล้ ๆ กุฏิของท่านว่า เห็นตอไม้ไหมนั้น ทำอย่างตอไม้นั่นละ ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ปุ่นและสานุศิษย์ได้ติดตามธุดงค์ ระหว่างทาง ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหญิงชาวบ้านมาร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญกับท่านครูบาจารย์ทองรัตน์ ที่ลูกชายได้ตายจากไป ให้ช่วยชีวิตคืน ท่านครูบาจารย์จึงพูดขึ้นว่า "ให้มันตาย ให้มันตายหมดโคตร หมดเชื้อหมดแนวมัน หมดพ่อหมดแม่มัน) หญิงคนนั้นหยุดร้องไห้ฟูมฟายทันที แล้วท่านจึงเทศนาโปรดอบรมให้คลายทุกข์คลายโศกร่ำพรรณนา ให้เข้าใจรู้เท่าทันวัฏสังขาร

อีกครั้งหนึ่งขณะพักธุดงค์ระหว่างทางการแสวงหาที่วิเวก ชาวบ้านหามไก่มาหลายตัวทั้งตัวผู้ตัวเมีย ท่านครูบาจารย์ทองรัตน์จึงถามคณะลูกศิษย์ที่ติดตามว่า "เขาหามอะไรนี่" บางรูปก็ว่าไก่ตัวผู้ บางรูปก็ว่าไก่ตัวเมีย บางรูปก็ว่าไก่ตัวผู้ตัวเมีย ถกเถียงกัน ท่านพระอาจารย์จึงตะโกนดัง ๆ ว่า "มันสิไก่ตัวผู้ตัวเมียได้อย่างไร มันไม่ใช่ตัวผู้ตัวเมีย ไม่ใช่ไก่ เป็นสิ่งสมมติทั้งนั้นละ" อย่าติดสมมุติ พระอาจารย์อวน ปคฺโน ลูกศิษย์ที่ได้ศึกษาธรรมในช่วงตอนปลายชีวิตของท่านได้เล่าว่า ธรรมโอวาทที่ครูบาอาจารย์ย้ำเตือนอยู่เสมอคือ พระวินัยและศีล ใช้แนะนำปฏิบัติเบื้องต้น จะแนะนำวินัย มีวินัยเป็นวัตร วินัยจะทำให้เกิดศีลบริสุทธิ์ ทำศีลให้บริสุทธิ์ ศีลจะนำไปสู่การเป็นสมาธิ เกิดสมาธิจะนำไปสู่การเกิดปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง รักษาวินัยให้แน่วแน่ตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง พิจารณาขันธ์ 5 ท่านจะไม่เทศน์พรรณนาอย่างกว้างขวางหรือแยบยลแต่ให้ปฏิบัติ

โอวาทที่ท่านเน้นในการสอนญาติโยมก็คือ เน้นการให้ทาน การรักษาศีล และสมาธิ สำหรับการสอนพระเณร หลวงพ่อเน้นข้อวัตรปฏิบัติธรรมวินัย ให้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ให้สำรวมระวัง รวมทั้งธุดงควัตร การปฏิบัติภาวนา การมีสติ เป็นคนมักน้อยสันโดษ

พ่อใหญ่สอน นามฮุง เล่าว่าหลวงปู่เป็นผู้มีฌานที่น่าประหลาด และหลายครั้งที่ท่านได้ประสบ ท่านสามารถหยั่งรู้จิตคน บางคนไม่เคยไปหาท่านเลย เมื่อพบหน้าท่านก็เรียกชื่อถูก ครั้งหนึ่งมีโยมเอากล้วยมาถวาย และซ่อนกล้วยไว้ก่อนเข้าวัด เมื่อไปถึงถวายกล้วย ท่านก็ทักขึ้นว่า "โยมเสี่ยงกล้วยไว้ดีบ่ละ ญ่านลิงมันเอาไปกินก่อนเด้" (โยมซ่อนกล้วยไว้ดีไหมละ กลัวลิงมันจะเอาไปกินก่อนนะ) จนผู้ถวายกล้วยอาย และยอมรับกับหลวงปู่

แม้แต่วาระสุดท้ายที่ท่านจะมรณภาพ ศิษย์ทั้งหลายก็เชื่อว่าท่านรู้ล่วงหน้าเป็นที่น่าอัศจรรย์ พ่อใหญ่เขียนและพ่อใหญ่สอนช่วยกันเล่าว่า ในปีที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกให้ญาติโยมรวมทั้งพ่อใหญ่ทั้งสองช่วยกันหาฟืนมาไว้ให้เต็มโรงครัวถึง 4 ห้อง ท่านบอกว่าปีนี้จะมีการใช้ฟืนมาก ในต้นเดือนกันยายน ท่านให้ทำประตูโขงเข้าวัด จะมีรถยนต์มามาก ชาวบ้านแปลกใจมาก เพราะตั้งแต่เกิดไม่เคยมีรถยนต์เข้ามาถึงหมู่บ้านเลย เหมือนกับว่าท่านจะรู้วันมรณภาพ และปลงสังขารไว้ก่อน

ตอน 6

เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นจริงประมาณกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2499 หลวงปู่ทองรัตน์ได้ปวดท้องกะทันหัน ทั้งที่ท่านสุขภาพดีอยู่ ญาติโยมจะไปตามหมอ ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นอะไรมาก" ชาวบ้านได้พากันไปตามเจ้าหน้าที่อนามัยที่บ้านโคกสว่างมาดูอาการท่าน ในวันที่สองของการอาพาธแต่หมอยังมาไม่ถึง ท่านก็ได้มรณภาพไปก่อนด้วยอาการสงบ ก่อนมรณภาพ ท่านได้สั่งไว้ว่าให้นำศพท่านไปเผาริมห้วย ขี้เถ้าและกระดูกให้โปรยลงน้ำให้หมด ท่านบอกว่า "ต่อไปมันซิเอากระดูกพ่อไปขาย" (ต่อไปคนจะเอากระดูกพ่อไปขาย)

ก่อนหน้าที่หลวงปู่จะมรณภาพ ศิษย์คนสำคัญคือ พระอาจารย์บุญมาก แห่งภูมิโร แขวงนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ได้เดินทางจากประเทศลาว มานมัสการหลวงปู่กลางพรรษา และได้เป็นประธานในการจัดการศพหลวงปู่ทองรัตน์ เหตุที่ได้เดินทางมาทันงานศพเนื่องจากเกิดนิมิตภูมะโรงสั่นสะเทือน 3 ครั้ง จึงคิดถึงอาจารย์มาก และคิดว่าน่าจะมีเหตุร้าย จึงเดินทางมารีบด่วน โดยไม่มีใครแจ้งข่าว หลวงปู่ทองรัตน์เคยพำนักอยู่วัดภูมิโรกับท่านบูรพาจารย์หลวงปู่เสาร์

หลังหลวงปู่ทองรัตน์มรณภาพ ประชาชนและศิษยานุศิษย์ ยานพาหนะต่าง ๆ ต่างก็เข้ามายังบ้านคุ้มเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ชาวบ้านไม่เคยเห็นรถยนต์เลยก็ได้เห็น

หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ได้ละสังขารจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2499 ณ วัดบ้านคุ้ม ตำบลโคกสว่าง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี รวมอายุ 68 ปี อายุพรรษาได้ 42 พรรษา ประชาชน ลูกศิษย์ ที่เคารพรักท่านได้ร่วมกันฌาปนกิจศพท่านหลังมรณภาพไม่นาน แต่ไม่ได้ฌาปนกิจศพตามที่ท่านสั่ง ศิษย์บางคนก็ได้อัฐิท่านไปไว้สักการะ และอัฐิของท่านส่วนหนึ่ง ชาวบ้านคุ้มได้บรรจุไว้ในเจดีย์ที่สร้างไว้กลางเนินวัดป่าบ้านคุ้มเพื่อไว้เคารพสักการะมาจนบัดนี้

ปัจฉิมบท พระสุปฏิปันโนที่เป็นสานุศิษย์ของครูบาจารย์ทองรัตน์ สายมหานิกาย ที่ไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุติ ตามกำหนดของท่านบูรพาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ได้แก่ หลวงปู่กินรี จนฺทิโย พระอาจารย์บุญมาก จิตฺตปญฺโญ แห่งวัดภูมะโร จำปาศักดิ์ หลวงปู่พรหม บ้านโคกก่อง ยโสธร หลวงปู่บน หลวงปู่บุญมี เพชรบูรณ์ อาจารย์คำดี ผุดผ่อง พระอาจารย์อวน ปคฺโณ พระอาจารย์ชา สุภทฺโท พระอาจารย์ปุ่น ฉนฺทาโร ที่ญัตติเป็นธรรมยุติ เช่น หลวงปู่กิ ธมฺมตฺตโม เป็นต้น

ขอเมตตาบารมีแห่งภูมิจิตภูมิธรรม ของท่านพระอาจารย์ทองรัตน์ กนฺตสีโล จงบันดาลแผ่ซ่านสู่จิตใจของสรรพสัตว์ผู้ทนทุกข์ทรมานในห้วงแห่งสังสารวัฏ ได้แก่นธรรมเห็นธรรม เกิดธรรมจักษุ ที่เป็นแก่นพุทธธรรม แทนเปลือก แทนกระพี้ พิธีพราหมณ์และพุทธพาณิชย์ด้วยเทอญ.


 ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com

Top