พระเทพวิสุทธาจารย์ (หลวงปู่ดีเนาะ)
ประวัติ วัดมัชฌิมาวาส อ.เมือง จ.อุดรธานี
รูปภาพหลวงปู่ดีเนาะ (พระเทพวิสุทธาจารย์) ภายในศาลาในวัดมัชฌิมวาส
ประวัติ
"พระเทพวิสุทธาจารย์" หรือ "หลวงปู่ดีเนาะ" นามเดิมว่า บุ ปลัดกอง เกิดที่บ้านดู่ ต.บ้านดอน อ.ปักธงชัย จ. นครราชสีมา พ.ศ.2415 บิดาชื่อ นายทา ปลัดกอง มารดาชื่อ นางปาน ปลัดกอง เมื่อมีอายุได้ 19 ปี ครอบครัวของท่านได้อพยพย้ายถิ่นฐานอาศัยจากจังหวัดนครราชสีมา มาอยู่ที่บ้านทุ่งแร่ ต.หมูม่น อ.เมือง จ.อุดรธานี ในปัจจุบันนี้
เมื่ออายุได้ 22 ปี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้างทุ่งแร่ นั่นเอง และต่อมาอีกหนึ่งปี ท่านก็ได้รับ การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดบ้านบ่อน้อย ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี มีพระอธิการกัน วัดสระบัว บ้านสร้างแป้น เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "ปุญญสิริ" เมื่ออุปสมบทเป็น พระภิกษุแล้วนั้น ได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้านทุ่งแร่ อยู่ 3 พรรษาจึงได้ย้ายสำนัก ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดมัชฌิมาวาส เมื่อ พ.ศ.2440 และท่านหลวงปู่ดีเนาะ ก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ และได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ
ฉายาว่า "หลวงปู่ดีเนาะ" ความเป็นมาของฉายาดังกล่าวนั้น เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่ศิษย์และประชาชนทั่วไป ที่เคยใกล้ชิดกับท่านกล่าวว่า ตามปกติวิสัยของท่านหลวงปู่ดีเนาะนั้น ท่านชอบอุทานหรือกล่าวคำว่า "ดีเนาะ" และคำว่า "สำคัญเนาะ" และท่านจะเรียกคนทั่วไปรวมทั้งพระภิกษุและสามเณร หรือคฤหัสถ์ ว่า "หลวง" เวลาท่านหลวงปู่ดีเนาะจะพูดคุยกับใครก็ตาม ท่านก็จะออกปากเรียกคนที่ท่านคุยด้วยว่า "หลวง" และเมื่อท่านจะต้องกลายเป็นผู้รับฟังนั้น ท่านก็จะมีคำอุทานวาจาว่า “ดีเนาะ” อยู่เป็นอาจินต์ ไม่ว่าเรื่องที่ท่านได้รับฟังนั้นจะเป็นดี หรือเรื่องร้ายเพียงใดก็ตาม ท่านหลวงปู่ดีเนาะก็จะเอ่ยปากอุทานว่า ดีเนาะ หรือ สำคัญเนาะ จากคำอุทาน หรือคำพูดที่ท่านหลวงปู่ติดปากนี้เอง ประชาชนและลูกศิษย์ของท่านหลวงปู่ จึงตั้งฉายา หรือสมานาม ท่านหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ดีเนาะ" แม้กระทั่งในการได้รับ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ของท่านนั้น ราชทินนามของท่านก็ยังมีคำว่า "สาธุอุทานธรรมวาที" ซึ่งแปลว่า "ดีเนาะ" อยู่ในราชทินนามของท่านด้วย
"พระเทพวิสุธาจารย์" ได้เลื่อนสมณศักดิ์ตามกาลเวลาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดท้ายท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้น เทพ มีราชทินนามว่า "พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที ปูชนียฐานประยุต เชษฐวุฒิอิสาน คณาธิกร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี" และซึ่งก่อนหน้านั้นท่าน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส เมื่อยังคงเป็นพระบุ (ปุสิริ) เมื่อ พ.ศ.2451 นับว่าเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดมัชฌิมาวาส
รูปเหมือนหลวงปู่ดีเนาะภายในวิหารหลวงปู่ดีเนาะ วัดมัชฌิมวาส
รูปด้านข้างหลวงปู่ดีเนาะ
ในขณะนั้นที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาสนั้น ท่านได้ทำการบูรณะวัดมัชฌิมาวาสในด้านต่าง ๆ ให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นถาวรวัตถุและเสนาสนะ เช่น พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ โรงเรียนปริยัติธรรมและกุฏิของพระลูกวัดจำนวนมาก ที่เห็นในปัจจุบันนี้นั้นล้วนแต่ได้รับ การบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะทั้งสิ้น นอกจากในด้านถาวรวัตถุของวัดแล้ว ท่านหลวงปู่ดีเนาะ ท่านก็ยังหันมาพัฒนาในด้านของการศึกษาของพระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดแห่งนี้ โดยการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมขึ้นมา สอนนักธรรมบาลีตามหลักสูตรของราชการคณะสงฆ์ ตั้งแต่ชั้น นักธรรมตรี จนถึงชั้น ป.ธ.6
สำหรับในด้านที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะ ได้รับการนับถือเคารพสักการะในฐานะของเกจิอาจารย์นั้น ท่านหลวงปู่ดีเนาะก็นับว่า เป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีลูกศิษย์มากองค์หนึ่ง ในเรื่องของวัตถุมงคลที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะสร้างขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายให้กับลูก ศิษย์และประชาชนทั่วไปนั้น เป็นเพียงเหรียญและตะกรุดที่ทำคู่กัน เมื่อเวลาท่านจะมอบให้ใครท่านก็จะมอบให้คู่กันไปเลย ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นของที่ค่อนข้างจะหายากขี้นทุกที คนที่มีหรือว่าเคยมีก็ไม่ค่อยให้ใครเห็นหรือดูกัน เพราะเกรงว่าจะถูกขอ เพราะเหตุที่ว่า หลวงปู่ทำออกมาน้อยเพียงรุ่นเดียว เมื่อท่านถึงแก่มรณภาพแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังก็ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสร้างขึ้นมา อีก
วิหารพระเทพวิสุทธาจารย์ (หลวงปู่ดีเนาะ) พ.ศ.2514
ด้านข้างวิหารหลวงปู่ดีเนาะ
เหรียญและตะกรุดหลวงปู่ดีเนาะ นั้น ในเรื่องของประสบการณ์นั้น คนที่เคยมีสิ่งของเหล่านี้ มีเรื่องที่เล่าและกล่าวถึงมากพอสมควร และไม่ใช่เฉพาะแต่ในหมู่ของพุทธศาสนิกชนชาวไทยเท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ในศาสนาอื่นก็ยังให้ความเคารพนับถือท่านหลวงปู่ กล่าวคือในปี พ.ศ.2511 ในขณะ นั้นสถานการณ์สงครามเวียดนามกำลังทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทหารอเมริกันถูกส่งเข้ามาประจำการตามฐานทัพต่าง ๆ ในประเทศไทยเพื่อรอการเดินทางไปทำการรบในสนามรบที่ประเทศเวียดนาม และมีทหารอเมริกันส่วนหนึ่งที่อยู่ในประเทศไทย ที่ได้ผู้หญิงไทยเป็นภรรยา และเมื่อสามีที่เป็นทหารอเมริกันจะเดินทางไปรบเวียดนาม ด้วยความเป็นห่วงสามี ภรรยาคนไทยก็เลยเอาเหรียญหลวงปู่ดีเนาะแขวนคอสามีไป จะด้วยเหตุอภินิหาร หรือด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านหลวงปู่ดีเนาะ ก็ไม่มีใครตอบได้ ทหารอเมริกันคนนั้นออกทำการลาดตระเวนไปในพื้นที่ โดยใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เป็นพาหนะ และเครื่องบินลำดังกล่าวถูกฝ่ายตรงข้ามยิงตก ทหารหน่วยลาดตระเวนดังกล่าวเสียชีวิตเกือบหมด รวมทั้งนักบินประจำเครื่องด้วย ส่วนทหารอเมริกันที่ห้อยเหรียญหลวงปู่ดีเนาะ เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต เมื่อได้รับการรักษาตัวจนหายเป็นปกติดีแล้ว และได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับมาพักผ่อนในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง จึงได้พาพรรคพวกที่เป็นทหารด้วยกันมาประเทศไทยด้วย
ด้วยความที่เกิดความเชื่อว่า การที่ตนรอดตายในครั้งนั้น จะต้องเป็นรูปเหรียญพระที่ตนได้รับ จากภรรยาที่เป็นคนไทยเหรียญนั้นอย่างแน่นอน เมื่อได้สอบถามจากภรรยาคนไทยก็ทราบเพียงว่า เหรียญรูปพระดังกล่าวนั้น เป็นของหลวงปู่ดีเนาะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอยู่ที่ไหน จึงได้ไปถามกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ตนเองพักอยู่ว่าในเมืองอุดรธานีนี้ มีพระที่ชื่อว่าดีเนาะบ้าง โดยทหารคนนั้น ถามว่า "ดู ยู โน เนาะ มั้ง อิน อุดร ทาวน์" ผู้ที่ถูกถามเองก็ไม่เคยรู้เรื่องพระมาก่อน จึงได้พยายามสอบถามจากคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน จนกระทั่งรู้ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดมัชฌิมาวาส จึงบอกแก่ทหารอเมริกันคนนั้นไป แต่ก็ยังถูกขอร้องให้เป็นผู้พาไปหาอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ต้องลาพักงานชั่วระยะหนึ่งพาไปหาหลวงปูดีเนาะที่วัด ซึ่งในการพาฝรั่งกลุ่มนั้นไปหาหลวงปู่ดีเนาะนั้น ผู้พาก็ได้รับแจกเหรียญและตะกรุดมา 2 ชุด แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงไม่ได้สนใจที่เก็บรักษาเอาไว้ และได้มอบให้คนอื่นต่อไป คงรักษาเอาไว้เพียงตะกรุดเพียงดอกเดียวในเวลานี้ ต่อมาเมื่อได้รับทราบถึงกิตติคุณของท่านเมื่อท่านมรณภาพแล้ว ก็หาเหรียญดังกล่าวไม่ได้แล้ว
หอสมุดหลวงปู่ดีเนาะ
"หลวงปู่ดีเนาะ" หรือ "พระเทพวิสุทธาจารย์" ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2451 จนกระทั่ง พ.ศ.2513 จึงได้ถึงแก่มรณภาพลง ตรงกับวันที่ 10 มีนาคม 2513 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 ปีระกา เวลา 09.10 น. ด้วยโรคชรา รวมอายุท่านหลวงปู่ได้ 98 ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส เป็นเวลา 63 ปี พรรษาได้ 76 พรรษา
การศึกษา
ระหว่างบรรพชาเรียนกัจจายน์ปกรณ์ คัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลี และ คัมภีร์มันตปาสา-ทิกา เรียนโหราศาสตร์ และแตกฉาน คัมภีร์พระปาติโมกข์
ผลงาน
พ.ศ. ๒๔๕๔ จัดการศึกษา ตั้งโรงเรียนชายในวัดขึ้น คือ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล เพื่อให้การศึกษาแก่กุลบุตรทั้งหลายในเมืองอุดรธานี และละแวกใกล้เคียง ต่อมาโรงเรียนย้ายออกไปอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบัน
พ.ศ. ๒๔๘๑ จัดตั้งโรงเรียนเทศบาล ๒ ขึ้นในวัด โดยมอบศาลาการเปรียญให้เป็นที่เรียน จนปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จึงได้ย้ายโรงเรียนออกไปตั้งข้างนอก นอกจากจะให้อาคารเรียนแล้ว ท่านยังได้จัดพระภิกษุที่มีความรู้ช่วยสอนเด็ก ๆ ด้วย
พ.ศ. ๒๔๖๖ ตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมขึ้น เปิดสอนนักธรรม
พ.ศ. ๒๔๗๗ เปิดสอนนักธรรม
พ.ศ. ๒๔๘๓ เปิดสอนนักธรรมชั้นเอก
พ.ศ. ๒๔๘๔ เปิดสอนแผนกบาลี
สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้รับแต่งตั้งเป็น "พระปลัด" ฐานานุกรม พระธรรมวินยานุยุตต์ (หนู) เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. ๒๔๕๙ รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญา บัตร "พระครูพุทธพจน์ประกาศ" พ.ศ. ๒๔๘๒ รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ "พระธรรมวินยานุยุตต์ สุทธิศักดิ์คณาภิบาล สังฆปาโมกข์" พ.ศ. ๒๔๙๑ รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระราชาคณะชั้นราช ในนามเดิม พ.ศ. ๒๕๐๕ รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ พระเทพวิสุทธาจารย์
ข้อมูลอ้างอิงจาก : udclick.com