หลวงปู่จันทา ถาวโร
ประวัติ วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
๑. ออกบวช
ทีนี้ก่อนอื่นที่จะออกบวชในศาสนานั้น แต่ก่อนมาโน้น ก็ยังไม่ได้ใฝ่ฝันในการบวชหรอก ให้เห็นพระตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น ก็มีใจยินดีอยู่ แต่ยังไม่คิดว่าอยากจะบวช ต่อเมื่อได้สร้างโลก (มีครอบครัว) จบสิ้นลงไปแล้วทีนี้ก็เลยคิดอยากจะออกบวช ทั้งนี้เพราะมีความคิดถึงผู้บังเกิดเกล้าเหล่ามารดาบิดาผู้มีพระคุณอย่างสุดยิ่ง คิดว่าจะบวชบำเพ็ญบุญอุทิศไปให้ท่าน เพราะนักปราชญ์ทั้งหลายท่านพูดว่า จะทำอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณของบิดามารดานั้นทำได้แสนยากนัก จะไปทำไร่ทำนาค้าขายหารายได้จากสิ่งเหล่านั้นมาตอบแทนก็ไม่สมดุลกับบุญคุณนั้นจะเอาบิดามารดาขึ้นมานั่งบนบ่าถ่ายราดหนักเบา ให้ท่านอยู่เย็นสบายทั้งวันคืนก็ยังไม่สมดุลกับบุญคุณของท่าน
บุญคุณของมารดาเท่ากับแผ่นดิน บุญคุณของบิดาเท่ากับแผ่นฟ้าอากาศกว้างกลางหาว จะหาสิ่งใดมาตอบแทนได้ไม่เสมอเหมือน
ปี ๒๔๙๐ ก็เลยได้ออกบวช ครั้นเมื่อออกบวชแล้วก็ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมด้วยการเดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนบุญไปให้ทุกวันว่า “แม่ข้าพเจ้าชื่อว่า นางเลี่ยม ชมพูวิเศษ ตายแล้วไปตกอยู่สถานที่ใดหนอ เป็นสุขหรือทุกข์ประการใด ขอบุญกุศีลส่วนนี้จงไปถึง และช่วยเหลือให้พ้นจากสถานที่ทุกข์ร้อนด้วยเกิด”
นั่นแหละ กระทำอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ มาเป็นระยะ ๆ จนอายุพรรษาล่วงมาได้ ๘ พรรษา
ในสมัยหนึ่งได้ไปภาวนาอยู่ที่ วัดป่าหนองแซง อ หนองวัวซอ จ อุดรธานี กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น วันนั้นทำความเพียรอย่างหนัก ไม่ฉันอาหาร เดินจงกรมวันยังค่ำ พอค่ำมาก็เข้าที่นั่งสมาธิ ตลอดทั้งคืน ไม่ยอมนอน พอล่วงไปถึง ๔ ทุ่มความทุกข์เกิดขึ้น ความร้อนเกิดขึ้น จนถึงเที่ยงคืนจึงดับพอตี ๑ ความร้อนแสบเย็นเกิดขึ้นอีกเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งแจ้งเป็นวันใหม่ นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิก
มาวันหลังเข้าที่นั่งสมาธิอีก จิตก็สงบ พอจิตสงบลงไปก็เกิดนิมิตเห็นสัตว์ทั้งหลาย มีกบเขียดปูหอยนกหนูปูปีกที่ตนได้ฆ่าเขามาแล้วนั้น ทั้งวัวและหมูก็ได้ทำมาแล้วแต่ควายไม่ได้ทำ และมนุษย์ก็ไม่ได้ทำ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นหลั่งไหลมาเต็มสถานที่นั้น จึงกำหนดจิตถามไปว่า
“มาทำอะไรกันมากมายเช่นนี้ ?”
เขาก็ตอบว่า “ได้ทราบข่าวว่าท่านมาบวชในศาสนาแล้ว จึงมาขอรับส่วนบุญ ขอท่านจงแบ่งส่วนบุญให้ด้วย เพราะท่านเมื่อสมัยที่เป็นฆราวาสนั้นได้ฆ่าพวกข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร ฉะนั้น ถ้าไม่แบ่งส่วนบุญให้ จะขอจองเวรจองกรรมนะ ขอให้เป็นผู้ได้ประสบพบปะแต่เหตุเภทร้าย อายุสั้นพลันตาย ประกอบด้วยโรคภัยนานาชนิด ไม่มีวันจบสิ้น”
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ก็เลยตั้งจิตอุทิศแบ่งส่วนบุญไปให้และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ แล้วก็บอกให้เขามารับทุกวัน
เขาก็ว่า “ดีแล้ว นับว่าเป็นโชคลาภอันดี จะได้มีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะภพชาติของพวกข้าพเจ้านี้ต่ำช้าลามก ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น”
ก็เลยอุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้นไม่ลดละ จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๐ พรรษา ไม่พบเห็นสัตว์เหล่านั้นมาหาอีกเลย จึงได้ไปกราบเรียนถามหลวงปู่บัว
ท่านก็ว่า “ผมเองก็เหมือนกัน เมื่อภาวนาจนจิตสงบลงไปแล้ว จะเห็นฝูงสัตว์ทั้งหลายมากันสนั่นหวั่นไหวหลั่งไหลมาขอรับส่วนบุญ เมื่ออุทิศให้แล้ว เขาก็รับ แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาไม่มาจองเวรจองกรรมอีกต่อไปเพราะเขาเห็นว่า ภพชาติสังขารของเขานั้นมันต่ำช้าลามก ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ มนุษย์เป็นภพชาติสูงส่งยิ่งกว่าใด ๆ ทั้งหมด สามารถทำคุณงามความดีได้ยิ่งเลิศประเสริฐทุกอย่าง”
นั่นแหละ ที่เรียกว่า การบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย
ทีนี้เรื่องการอุทิศส่วนบุญให้แม่นั้น พออายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุได้ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความ รู้เรื่อง
แม่ยายเขาเรียกใช้ว่า “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”
“มึงอย่ามาเรียกกูว่า อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”
“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”
สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่า ใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้หมด รวมทั้งสามีภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่าง ๆ ก็บอกได้ไม่ผิด แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยก้นนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า
“หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?” เขาต่อว่ากลับมาอีก
“โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวัน แล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็นเพราะตอนเย็น เดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้นได้บำเพ็ญบุญมาก
เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้เร็วกว่านี้”
ก็เลยถามเขาต่อไปว่า “ไปอยู่ในนรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ในนรกมีคนมากเท่าไหร่ ?”
“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า
“นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็ปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิด จงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้า ก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อน”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า “ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้วเพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
ทีนี้ก็ย้อนมาถามพี่สาวบ้างว่า “ไม่ได้ทำบุญอุทิศไปให้แม่บ้างหรือ ?”
พี่สาวก็ว่า ทำ ๓ ครั้ง น้าสาว (น้องแม่) เขาคิดถึงพี่สาวเขาก็เลยพาหลานสาวทำบุญอุทิศไปให้แม่ ทำถึง ๓ ครั้ง
“ทำอย่างไรเล่า ?”
น้าสาวพาทำบุญใส่เหล้าลงไปครั้งละโหลนะ ครั้งละโหลไหใหญ่ ๆ ฝังไว้ในป่าสับปะรด ป่ากล้วย ฆ่าวัว ฆ่าควาย สมัยนั้นวัวควายราคาถูก ทำบุญแต่ละครั้งหมดวัวควายไป ๔ - ๕ ตัว ตัวละ ๑๐ สลึงก็มี ตัวละ ๖ สลึงก็มี บาทหนึ่งก็มี ๕๐ สตางค์มี สมัยนั้น วัวควายไม่มีราคา
“แล้วพระที่ไปทำบุญด้วยนั้น มีการประพฤติปฏิบัติอย่างไร ?”
“โอ๋...พระเหล่านั้น กินข้าวแลงแกงร้อน (กินข้าวมื้อเย็น) เล่นสีกงสีกานารี ขุดดิน ฟันไม้ ถือเงินบายทองใช้จ่ายเงินทองเยี่ยงฆราวาส ) และที่วัดนั้นมีหมาพรานอยู่คู่หนึ่ง เย็นค่ำขึ้นมาก็พาหมาเข้าป่าไปล่าสัตว์ อีเห็น กระต่าย ได้มาก็เอามาทำอาหารกิน กินเหล้า กินยาต่าง ๆ นานา”
ถ้าทำบุญอย่างนั้นก็ไม่ได้บุญหรอก ถึงจะอุทิศไปให้ก็ไม้ได้รับหรอก เหตุที่อุทิศให้ไม่ถึงก็เพราะ
๑ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กรรมของสัตว์นั่นไปขวางไว้
๒ ผู้รับทานนั้น เป็นพระทุศีล พระทุศีลอุทิศให้ไม่ถึงนะ เพราะเครื่องส่งคือศีลนั้นมันขาด ขาดศีลเป็นเครื่องส่งบุญ แม้ตัวพระเองก็ไม่ได้รับ เพราะมีแต่บาป จะรับไทยทานส่งไปให้ผู้อยู่โลกหน้าก็ไม่ถึงทั้งนั้น
นั่นแหละเรื่องการบวชใช้หนี้แทนสินพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า ก็จบสิ้นบริบูรณ์ทุกอย่าง แล้ว ก็เบาใจ เบากาย นี่แหละ เรื่องการบวชก็ต้องมีเครื่องยึดเครื่องอยากได้ มันจึงจะบวชได้ ยึดอยากได้สวรรค์ นิพพาน มันจึงพอใจออกบวชได้ นอกนั้นไม่มี
๒ ญัตติเป็นธรรมยุต
ครั้นต่อมา ปี ๒๔๙๓ ได้ญัตติเป็นธรรมยุต แล้วไปอยู่กับหลวงปู่ทับ (เขมโก) เจ้าอาวาสวัดป่าแพงศรี อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ วัดนั้นเป็นวัดป่าช้า ปีนั้นก็ตั้งใจทำความเพียรอย่างเต็มที่ อยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น เพราะอยากรู้ธรรม เห็นธรรม ไปศึกษาหลวงปู่ทับ ท่านก็ว่า
“ถ้าทำความเพียรอ่อน ก็ไม่เป็นไป เพราะกิเลสกับธาตุขันธ์นั้นมันเหนียวแน่น ผูกมัดรัดรึงดวงจิตไว้ พร้อมทั้งกรรมชั่วช้าลามกนั้น ฉะนั้นจึงต้องทำความเพียรชนิดเอาตายเข้าว่า อย่างอุกฤษฏ์ ไม่ห่วงใยในชีวิตสังขาร เห็นว่า สังขารร่างกายนี้นั้น เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นอสรพิษตัวร้ายกาจ ขบกัดให้เป็นทุกข์อยู่ทุกกาลสมัย นับตั้งแต่วันเกิดเป็นต้นมา”
“อสรพิษใหญ่นั้นคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี่แหละอสรพิษใหญ่ตัวร้ายกาจ ทีนี้จงทำความเพียรเผาจิตให้เร่าร้อนทั้งวันคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เพื่อว่าจะเผากิเลสให้มันเร่าร้อน จะนำดวงจิตเข้าสู่สมาธิธรรมได้ เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิธรรมได้แล้วนั้น แสงสว่างแห่งธรรมจะเกิดขึ้นแล้วจะได้เปลื้องตนออกจากอสรพิษใหญ่ และจิตจะได้บรรลุธรรม นอกนั้นไม่มี ไม่เป็นไป”
เมื่อหลวงปู่ทับว่าอย่างนั้นแล้ว ก็พอใจ เร่งทำความเพียรในปีแรก (๒๔๙๓) ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ไม่นอน เดิน ยืน นั่ง เอาอิริยาบถ ๓ เท่านั้นแหละ ข้าง ก็ ๒ - ๓ วัน ฉันครั้งหนึ่ง ฉันก็ฉันน้อย พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น เดินจงกรม บางวันมันเหนื่อยล้า ก็ยืนภาวนา มันจะหลับ หรืออย่างไรไม่ทราบ ปัสสาวะไหลออกมาไม่รู้ตัวนะ นี่แหละ การทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ไม่หวั่นไหว พอออกเดินไป รู้สึกว่าผ้าเปียก กำผ้ามาดม จึงรู้ว่าเป็นกลิ่นปัสสาวะ นั่นแหละ การทำความเพียรเป็นอย่างนั้น
เดือนที่ ๑ ผ่านไป เดือนที่ ๒ ก็ผ่านไป พอเดือนที่ ๓ จวนจะผ่านไป จิตจึงสงบ เพราะการทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน เผาร่างกายให้เร่าร้อนอ่อนเพลียละเหี่ยใจ อาหารของธาตุขันธ์ คือ กิน กับ นอน นั้นไม่มี มีแต่ทำความเพียรอย่างนั้น ทีนี้บางคืน เดินแล้วก็ยืน ยืนนั่น หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้น้อยลง กายสังขารคือลม (เครื่องปรุงกาย) อานาปานสติ คือ ลม (สติกำหนดลม) นั่นแหละ ต่อแต่นั้นมา จิตก็อ่อนลง ๆ ละเอียดลงไปทุกที สติกับจิต กับลมหายใจเข้าออกมันละเอียดเข้าทุกที บางทีจิตก็สงบ ก่อนที่จิตจะสงบนั้น จิตก็วงพุทโธ พอวางพับ จิตก็รวมพับลงถึงขั้น ขณิกสมาธิ (จิตสงบเล็กน้อย) พอถึงขั้นนั้น ความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ หิวโหยเหนื่อยล้าของร่างกายก็หายไปหมด รู้สึกสดชื่นแข็งแรงขึ้น นั่นแหละ อำนาจของความสงบเป็นอย่างนั้น เป็นของอัศจรรย์เลิศประเสริฐสุด แล้วศรัทธาก็เกิดขึ้นพร้อม วิริยะเกิดขึ้นพร้อม สติปัญญาเกิดขึ้นพร้อม เกิดความเห็นชอบว่า
“โอ๋..วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ นั้นจริงแท้ ผู้มีความเพียร จะต้องมีทุกข์ ทุกฺขมจฺเจติ ความทุกข์นั้นมันเผาธาตุขันธ์แล้วก็เผาใจด้วย นั่นแหละ จะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร เห็นธรรมได้ก็เพราะความเพียร นอกนั้นไม่มี”
นั่นแหละ แน่นอนเป็นของดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น รสชาติของความสงบนั้นแสนอร่อยลึกซึ้ง จึงสมกับนามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ความสุขอื่น เสมอด้วยจิตสงบ ไม่มี”
ต่อแต่นั้น จิตก็ไม่หวั่นไหวในโลก ธาตุขันธ์นี้จะแปรปรวนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว เพราะอาหารของจิต เกิดขึ้นแล้ว ในขณะนั้นก็เพ่ง เพ่งกายนั้น เพ่งอนิจจตา ไม่เที่ยง มันเป็นอย่างไร คือ มันแก่ ทุกขตา เป็นทุกข์ มันเป็นอย่างไร คือมันเจ็บ อนัตตตา เป็นอย่างไร คือ มันตาย นี่เพ่งอนุโลม ปฏิโลม เดินหน้า ถอยหลัง กลับขึ้นกลับลงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละ แต่แล้วก็ยังไม่เห็นมรณะ อสุภะ เพราอินทรีย์อ่อน ก็เร่งกันอยู่อย่างนั้น
ทีนี้ก็ได้ยินเสียงพูดกัน เสียงร้องครางก็มี มองไปข้างหน้าโน้น เห็นผีทั้งหลายยืนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ บางตัวก็คอขาด หัวไม่มี มีตาอยู่ที่หน้าอก บางตัวก็มีตาแหกขึ้นข้างบน น่ากลัวนะ แต่เห็นแล้วก็ไม่กลัวทั้งนั้น เพราะอำนาจจิตสงบ ไม่กลัวใครทั้งนั้น ร้อน หิว หนาว ไม่มี ไม่กลัวทั้งนั้น อยากให้ทุกข์เกิดขึ้น เพราะได้เห็นผลของความสงบเยือกเย็นนั้นเกิดจากทุกข์ ถ้าความเพียรมีทุกข์แล้ว ก็ต้องมีผล คือสุขนั้น จะนำธรรมแปลก ๆ มาให้รู้ให้เห็น ถ้าความเพียรอ่อน ติดสุขแล้ว ไม่เห็น ไม่เป็นไป นี่ข้อสำคัญนะ
จากนั้น ก็กำหนดถามผีเหล่านั้นว่า “พวกท่าน ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ?”
“โอ๋...ท่านเอ๋ย พวกข้าพเจ้าสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มี ถือศาสนาก็ถือตามเพื่อนบ้านลอยลมไปอย่างนั้น หาขอบเขตความจริงไม่ได้ ข้องดเว้นอย่างจริงจังก็ไม่มี รับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ต่อหน้าพระ พอให้หลังก็กินเหล้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไปเลยตามธรรมดา อยู่กินหลับนอนเหมือนกับวัวกับควายนั่นแหละความดีไม่ห่วงใยอาลัยทั้งนั้น ก็ทำไปตามธรรมดาของโลกที่เขาทำกันอย่างนั้น อ๋อ...โทษที่ไม่มีคอนั้น ก็เพราะไปตัดคอเขา นั่นแหละเป็นเปรต ทั้งหญิงชายก็เป็นอย่างนั้น”
ถามแล้วก็ได้ความว่า เป็นผี เป็นเปรต มาตั้งแต่เริ่มตั้ง อ.กมลาไสย อยากจะพ้นจากเวรกรรมทุกข์ยากนี้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
นั้นแหละ เมื่อเป็นธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เกิดความสังเวชสลดใจ แล้วก็น้อมมาเป็นเรื่องของตน เขาเป็นอย่างไรก็เพราะความไม่ดีด้วยกาย วาจา จิต นั่นแหละ จึงได้รับผลเป็นอย่างนั้น
กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์
กิเลส เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่วช้าลามก ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อไป กรรมวัฏฏ์ ก็ได้กระทำกรรมชั่วช้านั้น และ วิปากวัฏฏ์ ก็ได้เสวยวิบากแห่งกรรมอย่างนั้น
ก็น้อมมาเป็นเรื่องของเรา เขาเป็นฉันใด เราก็เป็นฉันนั้น เพราะเหตุใด เพราะแต่ชาติปางก่อนโน้น เราก็คงเป็นอย่างนี้ หรือในชาตินี้ เราประมาทอยู่อีกต่อไป ภพเบื้องหน้าของเราโน้น ถ้าเรายังตัดกระแสของวัฏฏสงสารไม่ได้เมื่อไร จะต้องเป็นเปรตในวัฏฏสงสารอย่างเขานี่
เปโต แปลว่า เปรต หมายถึง เป็นผู้ต้องเวียนเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ และได้เสวยวิบากอย่างนี้ บางทีก็โชคไม่ดี ไปพบพาลสันดานหยาบ ชักพาให้ทำความชั่วช้าด้วยกาย วาจา ใจ ผิดศีลธรรม เป็นเปรตอย่างนี้ ไม่ได้ตามใจหวังทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญ สอนตนอย่างนั้น ก็เลยเร่งรีบทำความดีอย่างไม่ลดละ
พอรุ่งขึ้นตอนกลางวัน ก็ไปศึกษากับ หลวงปู่ทับว่า “ผมจิตสงบเมื่อคืนนี้ ผมทำความเพียรมา ๒ เดือน พอเดือนที่ ๓ นี่จวนจะหมดแล้ว จิตจึงสงบ เมื่อจิตสงบแล้ว เห็นฝูงเปรตทั้งหลาย หญิงชายเต็มไปหมด ผมเองก็ไม่กลัวนะ น้อมมาเป็นพี่เป็นน้องทั้งนั้น แล้วก็ศึกษาเป็นธรรมะสอนผมเองว่า ต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้ หรือที่ผ่านมา อาจจะเคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว นั่นแหละ เห็นอย่างนั้นแล้วจะให้ทำอย่างไร”
หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “เห็นแล้ว ก็ให้ซักไซ้ไต่ถามเขา ให้ได้ความสังเวชสลดใจ โอ้...หนอ อนิจจา น่าสังเวช สัตว์บก สัตว์น้ำทุกถ้วนหน้าที่อยู่ในโลกทั้งสาม (กามโลก รูปโลก อรูปโลก) นี่แหละ เพราะทำความชั่วช้าลามกใส่ตนแล้ว ก็ลงสู่อบาย หาความสุขความเจริญไม่มี ก็จะเกิดความสังเวชสลดใจ แล้วจะได้ไม่ประมาท เร่งรีบสะสมคุณงามความดีใส่ตน ให้รอดพ้นไปจากวัฏฏทุกข์เสีย ถึงแม้ไม่ได้ธรรมขั้นสูง ก็ขอให้ได้ตัดกระแสของวัฏฏสงสาร คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ตัดได้ ๓ อย่างนี้ก็พอแล้ว แปลว่าตัดสงสารได้แล้ว ตัดวัฏฏทุกข์ขั้นต้นได้แล้วแน่นอน อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จิตสูง จิตเด่น จิตเลิศประเสริฐแท้ในขั้นนี้” ท่านว่าอย่างนั้น
นั่นแหละ เป็นเหตุจะได้เป้าหมาย คือ พระนิพพานต่อไปในเบื้องหน้า อบายอย่างเขาไม่มี
จากนั้น ท่านก็บอกว่า “จงเมตตาเขา ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ แล้วก็แบ่งส่วนบุญให้เขา เขาจะได้พ้นจากกำเนิดเป็นเปรต แปลว่าเราเป็นผู้มีเมตตาธรรม สงสารให้ส่วนบุญเขา เราก็จะได้อีก คือ ได้สติปัญญา”
นั่นแหละ ทำความเพียร ขยำกันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมา จิตใจที่กล้าแข็ง ก็อ่อนโยนลง เพราะเห็นสัตว์อื่น มวลมนุษย์ นาค ครุฑ ที่ประพฤติไม่ดีแล้วได้รับผลอย่างนั้น นั่นแหละ จิตนั้นก็ใฝ่ฝันขยันในการทำความเพียร ไม่ลดละ จนกระทั่งออกพรรษา
๓. เห็นทูตนรกที่บ้านเฉลียงลับ
เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้กราบลา หลวงปู่ทับ ออกเที่ยววิเวกไปกับท่านพระอาจารย์จันทร์ ซึ่งเป็นคนบ้านกระไดใหญ่ จ.ยโสธร ท่านอาจารย์จันทร์ได้ ๑๑ พรรษา เป็นหัวหน้าพาไป ขณะนั้นเป็นฤดูแล้ง ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้ไปพักอยู่ที่ วัดบ้านเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
อยู่มาวันหนึ่ง ก็เลยตั้งใจ ฝึกจิตตามวิธีการที่หลวงปู่ทับสอนให้ มีหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งก็ ตั้งสัตย์ไว้ว่า จะไม่นอน วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ข้างก็ไม่ฉัน ทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วตั้งใจมั่น อธิษฐานว่า
“ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้ หรือ คืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นนายะโก ผู้นำโลก คือหมู่สัตว์ออกจากวัฏฏทุกข์ได้แท้จริง”
จากนั้นก็ออก เดินจงกรม ก้าวขวาว่า พุทโธ ก้าวซ้ายว่า ธัมโม ก้าวขวาว่า สังโฆ เมื่อครบ ๓ รอบแล้ว ก็ย่อคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า พุท ก้าวซ้ายว่า โธ ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ จนกระทั่งถึง ๖ โมงเย็นจึงหยุด ไปอาบน้ำชำระร่างกาย เสร็จแล้วก็ฉันน้ำร้อน
จากนั้น เวลาเกือบ ๖ โมง ๓๐ นาที แสงอาทิตย์จวนจะหมดแล้ว ก็เอากลดไปกางบนศาลา แล้วเข้าที่อธิษฐาน ตั้งใจมั่นว่า
“คืนนี้จะนั่งภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ และฝึกจิตให้จิตรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมต่าง ๆ นรก สวรรค์ นิพพานมีไหม ขอให้รู้เห็นเป็นไป จะได้สิ้นสงสัย”
อธิษฐานแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็อุทิศส่วนบุญ จากนั้นเข้าที่ นั่งสมาธิ ชำระจิตใจให้ผ่องใส ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงให้หมดเสียสิ้น นั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น เฉพาะหน้า บริกรรม พุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ
พอจิตยึดมั่นกับ พุทโธ ได้ไม่นาน จิตก็ปล่อยวาง พุทโธ เหลือแต่ผู้รู้ อยู่กับสติ พอจิตรวมลงไปนั้น จะไปนึกฐานอะไรก็ไม่ทราบ มันเป็นฐานใหญ่กว่า ขณิกสมาธิ ที่เคยเป็นมาแล้ว จิตก็วางกาย วางลม วางขันธ์ ลงถึงฐานใหญ่แสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืน เหมือนกลางวัน สว่างรุ่งโรจน์
ในขณะนั้น มีความสุขและความเยือกเย็นร่าเริงบันเทิงเกิดขึ้นกล้าแข็ง จนรู้สึกแปลกประหลาดใจ นั่นแหละพอลงไปถึงฐานนั้นแล้ว จิตก็เสวยสุขอยู่ในที่นั้นนานพอสมควร ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาในหัวใจว่า
“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ความสุขอื่นเสมอด้วยจิตสงบ ไม่มี”
นี่แหละ พูดขึ้นมาอย่างนั้น อันนี้เป็น ภวังคภพภวังคจรณะ ภวังค์ใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อยู่ อ.กมลาไสย อันนี้ใหญ่กว่านั้น จะเป็นอะไรเล่า ถ้าพูดตามหลักธรรมก็เรียกว่า อุปจารสมาธิ พูดขึ้นมาอย่างนั้นว่า นี่แหละคืออุปจารสมาธิ สมาธิธรรมอันมั่นคงหนาแน่นนะ ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นจากการเจริญสมณธรรม
ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาอีกว่า “ความสุขนี้ยังเป็นโลกียสุขอยู่ซึ่งไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แสงสว่างนี่คือ แสงพระนิพพาน แต่ยังไม่ใช่ตัวจริง เป็นรูปเปรียบเทียบเฉย ๆฉะนั้นอย่าเพิ่งติดสุข นักปราชญ์ พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ผู้ได้พบพระนิพพานนั้น เป็นผู้ทำความเพียรเวียนหาความพ้นทุกข์ ไม่ติดสุขทั้งนั้น”
นั่นแหละ เมื่อตั้งมั่นพอสมควรแล้ว ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์
อนิจจตา ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ แปรปรวนเปลี่ยนแปลงยักย้ายกลายมาเป็นอื่น ตั้งแต่วันเกิดมาโน่น จนถึงวันนี้ จากวันนี้ก็จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอีกข้างหน้าโน้น
ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ ทุกถ้วนหน้า โลก คือหมู่สัตว์ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น เพราะเป็นทุกข์ เพราะใจห่วง ใจยึด
อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราเสียสิ้น นั่นแหละ พิจารณาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์เสมอ มันจึงจะเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด ยึดธาตุขันธ์ว่า ขันธ์เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ขันธ์มีในตน ตนมีในขันธ์ ไม่ใช่หรอก เป็นแต่เพียงสัมภาระปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว ไม่แน่นอน ไม่นานก็พลัดพรากจากกันไปเท่านั้น เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทอดทิ้งไว้ อย่าเพิ่งสงสัย ยึดมั่นอยู่เลย ยึดไว้พอเป็นปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว เพื่อให้มันได้ตน ได้ธรรม ได้บุญ ได้กุศล มรรคผลที่เกิดขึ้นจากสมบัติอันนี้ แล้วก็พิจารณาอย่างนั้น อนุโลม ปฏิโลม เดินหน้า ถอยหลัง ตัวเองก็แจ้งชัด คนอื่นภายนอกก็แจ้งชัด ก็สิ้นสงสัย
อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปรายนา ฯ ทั้งจนและมี ดีและชั่ว นอกบ้าน ในบ้าน นอกเมือง ในเมือง ใต้น้ำ บนบก ใต้ดิน บนอากาศทุกถ้วนหน้า เกิดมาแล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลง แก่เจ็บตายทอดทิ้งไว้ทุกถ้วนหน้าทั้งหมด นั่นแหละ ได้ยิน ได้ฟังได้เห็นอย่างนั้น จิตก็สังเวชสลดใจจนน้ำตาไหล เกิดความขนัน หมั่นในการทำความเพียรไม่ลดละ
จนกระทั่ง ล่วงไปถึงตีสอง ๓๐ นาที มีนิมิตผ่านเข้ามา เป็น นายนิริยบาล ๘ คน เดินทางออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมา ขนาดมนุษย์เรา ๖ คน จึงจะเท่ากับเขา ๑ คนนะ ผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะ มือถือง้าวปลายแหลม เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ - ๓ วาเท่านั้น
คนที่เป็นหัวหน้าก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้ง ๘ คนนี้เป็นนายนิริยบาล มาจากเมืองนรก มาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์ให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”
“พวกท่านเป็น นายนิริยบาล มาจากเมืองนรกจริงหรือ ?”
“จริง ! ...ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า นายนิริยบาล นายนิริยบาลเปรียบเสมือนกับพลตำรวจก็มี และมี จ่ายมบาล ซึ่งเปรียบเสมือนอธิบดีกรมตำรวจ คอยควบคุมบัญชาการอีกที”
ถามเขาไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร ?”
เขาก็บอกว่า “ความดีก็ทำ ความชั่วก็ทำ เอาหมดทั้งนั้น ไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว กรรมดีและชั่วนั้นจึงพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิริยบาล ทำงานอยู่ในเมืองนรก”
จากนั้นก็ถามเขาอีกว่า “นรกนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ?”
เขาก็บอกว่า “นรกนั้นอยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหาก อยู่ระหว่างกึ่งกลางของ ๓ จังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์”
“นรกนั้น เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ ประการใด ?”
“เป็นทุกข์ หาสุขไม่มี”
“ทุกข์อย่างไร ?”
“ทุกข์เพราะถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิริยบาล เป็นทุกข์อย่านั้น หาสุขไม่มี”
“พวกท่านที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้นเล่า เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ประการใด ?”
“เป็นทุกข์ครึ่งหนึ่งของสัตว์นรกเหล่านั้น”
“เป็นทุกข์อย่างไร ?”
“เป็นทุกข์ในขณะที่ไปสังหารสัตว์นรก ตรวจตราสัตว์นรก ถูกไฟนรกปลิวขึ้นมาไหม้ ถูกน้ำร้อนกระเด็นขึ้นมา ลวกแทบจะตาย นี่เป็นเพราะกรรมชั่วที่สะสมไว้เมื่อครั้งยังชาติเป็นมนุษย์โน้น จึงให้ผลเป็นทุกข์อย่างนั้น ครั้นพอเลิกจากงาน ก็กลับมาอยู่ปราสาทราชมณเฑียร กินของทิพย์อยู่สุขสบาย เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ครั้งยังชาติเป็นมนุษย์ทั้งนั้น”
“คนในเมืองไทยนี่ ก็คงจะไปนรก กันหมดทุกคนใช่ไหม ?”
“เปล่า !... คนที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมนั้น ไม่ได้ไป ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรก”
“ฉะนั้น แสดงว่า คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล เมื่อตายแล้ว พวกท่านไปนำเขามาทั้งหมด ใช่หรือไม่ ?”
“ใช่ !... คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าชาติใด ภาษามด ทั้งนั้นมีรายชื่ออยู่ในบัญชีของจ่ายมบาลทั้งหมด เขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตามที จะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”
ถามเขาไปอีกว่า “นรกนั้น มีมากน้อยเท่าไหร่ ?”
เขาก็ตอบว่า “เฉพาะในเมืองไทยนี่ก็มีหลายขุม ๔ ภาค ก็คงจะ ๔ ขุมใหญ่ ๆ นั่นแหละ”
อาตมาก็เคยเห็นใน มหาวิบากสูตร และใน พระมาลัยสูตร กล่าวว่า นรกในโลกมนุษย์นี้มีทั้งหมด ๔๕๖ ขุม ทีนี้ก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า
“เอาเฉพาะคนในเมืองไทยนี่แหละ เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ศาสนาพุทธ ก็ว่า ผู้ถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ ส่วนศาสนาอื่น ๆ เขาก็ว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป และไปสวรรค์ได้ เมื่อทำบาปหยาบช้าทั้งหลายทั้งปวงลงไป พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์นั้นจะเป็นผู้รับแทนทั้งหมด และว่า พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์เป็นผู้สร้างโลก มันจะเป็นจริงอย่างเขาว่านั้นหรือไม่ ?”
“ไม่หรอกท่าน...พูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวกตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลก และคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความดีนั้น เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปมนุษย์และสวรรค์นั้น สะอาดเตียนดี เหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องของบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปนรกนั้น สะอาด เตียนดี เปลวไฟในในนรกที่ลุกรุ่งโรจน์ ก็สำคัญว่าเป็นกองดอกไม้ สัตว์ร้องครางร้องไห้คร่ำครวญเลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่า เป็นสายสร้อยสังวาลสนุกสนาน นั่นก็เพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น กลับมองเห็นเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนาม นั่นแหละเรื่องของบาป”
ได้ซักถามเขาต่อไปอีกว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ต่างศาสนากัน เมื่อตายไป และถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกแล้ว ทำอย่างไรต่อไป ?”
เขาตอบว่า “เมื่อถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาล จะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำกิจการงานใดเลี้ยงชีพ บางคนก็ตอบว่า ค้าขาย บ้างก็ว่า ทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่า รับราชการ ต่าง ๆ กันไป”
จากนั้น จ่ายมบาลจะถามต่อไปว่า “นับถือศาสนาอะไร ?” บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม สิกข์ และฮินดู แตกต่างกันไป
ทีนี้ จ่ายมบาลจะถามถึง เทวทูตทั้ง ๕ (ทูตะ แปลว่า เครื่องส่ง เครื่องรับรอง) คือ ๑. ชาติ ความเกิด ๒. ชรา ความแก่ ๓. พยาธิ ความปวดไข้ ๔. มรณะ ความตาย และ ๕. นักโทษในเรือนจำ นั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร โดยถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็ถามศาสนาพุทธก่อน
ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชาย ก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น ฝังอยู่ที่ใจของเขา จึงดลบันดาลจิตใจให้เป็นปราชญ์ฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น โดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้น
ต่อจากนั้น จ่ายมบาล ก็จะถามอีกว่า “วัตร ๖ กก ๕ และสีมาทั้ง ๘ นั้นเป็นอย่างไร ตลอดจนหลักของพุทธศาสนาอื่น ๆ อีก เช่น วัตร ๓ วัตร ๔ วัตร ๕ วัตร ๖ โพชฌงค์ ๗ สมถวิปัสสนากรรมฐาน และ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร
ด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฝังอยู่ในใจ ของผู้ที่นับถือ ศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ว่า
“วัตร ๓ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
“วัตร ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา”
“วัตร ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา”
“วัตร ๓ คือ กาย (กายสุจริต)
วาจา (วาจาสุจริต)
ใจ (มโนสุจริต)”
“วัตร ๔ คือ อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย สิโรธ มรรค”
“วัตร ๕ คือ อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา”
“กก ๕ คือ หัว ๑ แขน ๒ ขา ๒”
“กก ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
ศาสนาพุทธสอนว่า เป็น อนิจจตา ไม่เที่ยง ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตา ก็ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา
วัตร ๖ คือ อินทรีย์ ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศาสนาพุทธสอนว่า ให้สำรวมให้ดี ตา เห็นรูป หู ฟังเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กาย จับต้องสัมผัส เย็นร้อน อ่อน แข้ง มโน น้อมนึกในธรรมารมณ์นั้น ๆ ศาสนาพุทธสอนให้สำรวมให้ดี ไม่ให้ยินดียินร้ายในของเหล่านั้น ถ้ายินดียินร้าย ก็เป็นเหตุให้ใจเศร้าหมอง เป็นทุกข์
วัตร ๗ คือ โพชฌงค์ ๗ เป็นองค์เครื่องตรัสรู้ ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
วัตร ๗ คือ อริยทรัพย์ ๗ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และ ปัญญา
สีมา ๘ คือ มรรค ๘ เป็นเครื่องดำเนินให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ มรรค ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ สัมมาวาจา กล่าววาจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบเพียรละบาป บำเพ็ญบุญชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ มรรค ๘ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ใดดำเนินตาม จะนำให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ไปถึงปรมัตถสุข คือ พระนิพพานเป็นที่แล้ว
สมถวิปัสสนากรรมฐาน เป็นที่ตั้งสำหรับฝึกกาย และจิต ให้จิตมีสติ มีปัญญา ให้นำจิตเข้าสู่ความสงบได้ และเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลสทั้งหมดออกจากดวงจิตได้
นั่นแหละ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ถูกต้องทุกอย่าง จากนั้น จ่ายมบาลจึงว่า
พวกท่านเป็นนักปราชญ์ลาดรู้ รู้จักศาสนาที่ดี เป็นศาสนาที่ล้างบาป เป็นศาสนาที่กลั่นกรองกิเลส เป็นศาสนาที่บำเพ็ญบุญกุศล คุณงามความดีให้เกิดมีขึ้น เป็นศาสนาที่ป้องกันโลก คือหมู่สัตว์ไม่ให้ไปอบาย ถึงไปก็ไม่ได้เสวยทุกขวิบากในอบายนั้น ฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องตกนรก แต่จะได้กลับไปเกิดในเมืองมนุษย์อีก”
นี่แหละ เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมที่ได้ประพฤตินั้นติดตามรักษาอยู่เป็นนิจ จึงสมกับคำกล่าวที่ว่า
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้ตกไปในโบกที่ชั่ว
ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะมีแต่สุคติเป็นที่ไปล้วน ๆ
จากนั้น จ่ายมบาล ก็สั่งให้นายนิริยบาล นำผู้ที่นับถือศาสนาพุทธนั้นกลับไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก
ต่อมา จ่ายมบาล ก็หันมาซักถามผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ว่า “ศาสนาของท่านสอนอย่างไร ?”
ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นนั้นก็ตอบว่า “ไม่รู้”
จ่ายมบาล ก็ถามเรื่อง วัตร ๖ กก ๕ สีมาทั้ง ๘ และหลักพระพุทธศาสนาทั้งหมด ก็ตอบเขาไม่ได้ ดังนั้น จ่ายมบาล จึงว่า
“พวกท่านทั้งหลาย จะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องของพวกท่านนะ วันนี้จะได้ลงนรกแล้ว เพราะกรรมของพวกท่านทำเอง”
อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ
ทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเองนะ ไม่ทำบาปเองย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองนะ เป็นผู้สะสมใส่ตนไว้ เมื่อสะสมใส่ตนไว้แล้วนั่น บุญนั่นแหละจะนำพาไปสู่สุคติ คือ สวรรค์ ส่วนบาปนั้น จะพาดวงจิตของโลก คือหมู่สัตว์ไปสู่ทุคติ มีอบายภูมิเป็นที่ไปเบื้องหน้า คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ๔ สถานนี้ เป็นที่ไปของบุคคลผู้ทำบาป ไม่มีศีล ไม่มีธรรม
ฉะนั้น พวกท่านวันนี้จะได้ลงนรกแน่นอน ไม่ได้กลับเมืองมนุษย์แล้ว เพราะเครื่องรับรองป้องกัน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีในหัวใจของพวกท่าน ศีลธรรมคำสอนของนักปราชญ์ผู้ดีทั้งหลาย ไม่มีในหัวใจของท่าน พวกท่านเป็นโมฆมนุษย์ เพราะเมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไปพบกับคนพาลสันดานหยาบ ชักนำให้ทำความชั่วช้าลามาก ถือศาสนาผิด ศาสนามหาโจรใหญ่ นั่นแหละ หลอกลวงตนและบุคคลอื่น ทำความชั่วอยู่เป็นนิจ เพราะครูผู้สอนนั้น ก็ล้วนแต่เป็นคนมีกิเลสทั้งนั้น
“เอ้า นายนิริยบาล คุมตัวไปลงนรก”
นายนิริยบาล ก็ขับลงนรกหมดเสียสิ้น เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านดวงวิญญาณของโลก คือหมู่สัตว์ไปอยู่ในสถานที่นั้น นั่นแหละ พวกที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ที่ทำบาปหยาบช้า ก็ลงนรกหมดเสียสิ้น ไม่ได้กลับมาเมืองมนุษย์อีก หมดเพียงแค่นั้น
นั่นแหละ ไปเสวยวิบากอยู่ในนรกขุมนั้นนานเท่าใด ก็แล้วแต่กรรมของสัตว์นั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด บางจำพวกก็พันปี บางจำพวกก็หมื่นปี บางจำพวกก็แสนปี ถูกต้มด้วยน้ำร้อนและถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด้ามคม ของนายนิริยบาล เป็นทุกข์ไปจนกว่าจะพ้นจากสถานที่นั้น
เมื่อพ้นจากนรกแล้วไปไหนอีก
พ้นจากนรกก็ไปเป็นเปรต พ้นจากเปรตแล้วไปเป็นอสุรกาย พ้นจากอสุรกายแล้วไปเป็นสัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ นานา ท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ ใช้กรรมใช้เวรอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันจบสิ้นได้ เป็นทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ ไร้ทรัพย์อับปัญญา เพราะความดีไม่มี
นั่นแหละ นายนิริยบาล ได้เล่าเรื่องเมืองนรกให้ฟังอย่างนั้น และก่อนจะจากไป เขาก็บอกว่า
“ท่านอาจารย์บวชในศาสนาแล้ว ก็จงไปเทศน์แนะนำพร่ำสอนพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย ให้เขาทั้งหลายเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเด๊อ บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ลดละ พิจารณาธาตุขันธ์ว่าเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่เสมอ จิตใจนั้นจึงจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในโลกสงสารอีกต่อไป จิตใจนั้น จะเห็นว่าธาตุขันธ์ไม่พอกับความต้องการ ไม่นานก็จะพลัดพรากจากกันไปเท่านั้น แล้วให้เร่งรีบ ตุริตะ ตุริตัง สีฆะสีฆัง รีบด่วน เร็วพลัน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบสะสมแต่บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ กอบโกย เอาบุญกุศลใส่ตนไว้ อันนั้นแหละ เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้”
“สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แม้เพียงน้อยนิดถึงไปแล้วก็ไม่ได้ตกนรก ส่วนผู้ที่นับถือมากนั้น ไม่ได้ไปนรก เพราะรายชื่อในบัญชีของ จ่ายมบาล ก็ถูกลบออกไปหมด เมื่อตายแล้ว เขาเหล่านั้นมีสวรรค์และพรหมโลกเป็นที่ไปเบื้องหน้า สำหรับผู้บุญพาวาสนาส่ง สะสมบุญกุศลไว้มาก ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น และมาชาตินี้ ได้ประสบพบปะกับนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม แล้วก็ประพฤติวัตรปฏิบัติบำเพ็ญสมถะวิปัสสนากรรมฐาน ยังจิตใจเข้าสู่อุปจารธรรมได้ และวิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น พิจารณาเห็นทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ล้วนมีแต่ตาย ตายแล้วก็เปื่อยเน่าสาบสูญ ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นเรา นั่นแหละ ก็รื้อถอนกิเลสออกจากดวงจิต หมดเหตุหมดปัจจัยเมื่อไร ก็จะได้บรรลุวิมุตติวิโมกขธรรมอันยิ่งใหญ่ ได้ชื่อว่าเป็น นิยโตมนุษย์ เป็นมนุษย์อันเยี่ยมเลิศประเสริฐแท้ เมื่อพวกเขาเหล่านั้นดับขันธ์แล้ว เข้าสู่พระนิพพาน พ้นทุกข์จากโลกสงสาร ไม่กลับมาเวียนเกิด เวียนตายอีก หมดเพียงแค่นั้น”
จากนั้นพวกนายนิริยบาลก็ลาจากไป
ต่อมาไม่นาน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านเฉลียงลับ มาถึงก็กราบแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์ จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมทนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ”
ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า “แม่หนูน้อย จงตั้งใจรับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะ บุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมา ขอแบ่งครึ่งให้นะ แม่หนูน้อย จงรับเอาไปเถิด”
“สาธุ ! ...” แล้วเขาก็ว่า
“ใจร้อน ๆ เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงพ่อแล้วใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหมหนอ ?”
“ไม่ตกหรอก แม่หนูน้อย จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปเสมอนะ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาล เขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต ๕ นะ และอำนาจของ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ฝังอยู่ที่ใจของแม่หนูน้อยนั้น จะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็เกิดขึ้นจากพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น”
เขาก็ว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กราบ ๓ ที แล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิริยบาลไป
ก็จดจำ รูปร่างลักษณะของแม่หนูน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง
ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๓ กว่าแล้ว จิตก็เลยถอน เมื่อจิตถอนออกแล้ว ได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ วัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกันนะ
พอตื่นเช้า ก็ออกภิกขาจารบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัด ก็มีโยมทายกนำอาหารมาถวาย แล้วก็พูดว่า
“ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้ ลูกสาวของข้าพเจ้าขาดใจตายแล้ว เมื่อตอนตี ๓”
ตอนที่หญิงสาวไปหาในนิมิตนั้น ก็เป็นเวลาตี ๓ พอดี ถูกต้องตรงกันนะ ก็เลยพูดกับโยมไปว่า
“อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยม แต่ก็จะแถลงไขให้ทราบ ลูกของโยมคนนั้น หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น เพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิริยบาล ๘ คน มาเอาตัวไป พวกนายนิริยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี่แหละ เขาบอกว่า หญิงสาว อายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น ทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือม ใช่ไหม ?”
“ใช่แล้ว...ไม่ผิดหรอก”
“ลูกของโยมเป็นคนมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ท่าทางเป็นนักปราชญ์ ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว...ลูกของข้าพเจ้า เมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสา ถ้าไม่ได้ทำบุญแล้ว จะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐิน หรือบุญอะไรที่ไหน ใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้น บางทีก็ไปนานเป็น ๑๐ วัน ๒๐ วัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แจ่มใส พ่อแม่ก็ไม่ว่าไร เคยถามเขาว่า ทำไมจึงทำอย่างนี้ ?”
ลูกก็ตอบว่า “พ่อแม่ นี้เป็นสมบัติเบื้องหน้า สมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ใหม่ ไม่ใช่เป็นสมบัติติดตามมาแต่ภพชาติปางก่อนโน้น ภพชาติปางก่อนโน้นของฉันเป็นเหตุ ถ้าฉันดีแล้ว อะไรก็ดีหมด พ่อแม่ก็ดี ถ้าฉันชั่วแล้ว อะไรก็ชั่วหมดทั้งนั้น ฉะนั้นฉันจึงไม่หวั่นไหว เห็นว่าบุญกุศลให้ผลเป็นสุข พาให้พ้นทุกข์ นั่นแหละ จะส่งผลมาให้ได้พ่อแม่ที่ดี ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน เพราะกรรมดีของฉันสะสมไว้แต่ปางก่อนโน้น มาชาตินี้ จึงมาได้พ่อแม่ที่ดี ส่วนสมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ใหม่ ไม่นานก็จะจากกันไปเท่านั้น เมื่อจากกันแล้วก็ทอดทิ้งไว้ เอาไปด้วยไม่ได้ ทั้งสมบัติภายในและสมบัติภายนอก”
นั่นแหละ พอฉันเช้าเสร็จแล้ว เขานิมนต์ไปทำพิธีเผาศพลูกสาวที่ป่าช้า ไปแต่เช้าเลยนะ ถามเขาว่า
“ทำไมจึงรีบเผาแต่เช้า ?” เขาก็ว่า “ต้องรีบปลงภาระหนัก เจ้าของร่างเขาปลงภาระหนักไปแล้ว เราผู้ยังอยู่ ก็ต้องรีบปลงภาระหนัก เมื่อเสร็จแล้ว ต่างคนต่างหมดภาระหนัก”
เมื่อไปถึงป่าช้า เปิดฝาโลงดู ก็เห็นศพมีรูปร่างเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิต เมื่อคืนนั่นแหละ พอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็เผาทิ้ง ไม่มีอะไร หมดเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ดีหรือชั่ว ก็หมดเพียงแค่นั้น ถูกไฟเผาแล้วก็หมดทุกอย่าง
นี่แหละ ไปเห็นเป็นอย่างนั้น ก็น่าอัศจรรย์ใจนะ เห็นว่านรกนั้นมีแท้แน่นอน เพราะได้เห็นทูตานุทูต คือ นายนิริยบาล เป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบ พร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีก ก็สิ้นสงสัย
๔. สิ้นลมที่บ้านตะเบาะ
พอใกล้เข้าพรรษา ได้แยกจากท่านอาจารย์จันทร์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านตะเบาะ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๓ รูป สามเณร ๑ รูป และผ้าขาวเฒ่า ๑ คน (ผ้าขาว คือ ฆราวาส ผู้รักษาศีล ๘ อยู่ที่วัด)
อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันเพ็ญเดือน ๑๐ หลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว กลับมาที่กุฏิเอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรมะ ก็พอดีไข้มาเลเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง ล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ กุฏินั้นมี ๒ ห้อง พักอยู่กับเณรคนละห้อง เณรได้ยินเสียงล้มลง จึงออกมาดู แล้วถามว่า
“ครูบาเป็นอะไร ?” (ครูบาเป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน ๑๐)
“ไม่รู้! ... มันมืดตื๊บแล้วล้มลงเลย”
เณรก็วิ่งไปบอกญาติโยมว่า “ครูบาจันทา ล้มลงนะ เป็นอะไรก็ไม่ทราบ ขี้แตก เยี่ยวออก พูดได้อยู่ แต่ไม่รู้อะไร”
ทั้งพระและโยมเขาก็มาดู เอาหมอมาด้วย หมอบ้านนอก เป็นตำรวจเก่า เขาก็มาตรวจดูแล้วบอกว่า “เป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมองอย่างหนัก อีก ๕ นาที ก็จะสิ้นลม”
โยมทายกวัดเขาก็ว่า “จะสิ้นหรือไม่สิ้นก็ต้องฉีดยาช่วยเหลือไว้ก่อน”
พอฉีดยาเสร็จแล้วไม่นานก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมแล้ว ดวงจิตนั้นยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ ไม่นาน มีเพื่อนคนหนึ่ง รูปร่างสวยงาม มายืนอยู่ข้าง ๆ ร้องบอกว่า
“เพื่อน ๆ ...รีบออกจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว”
ก็เลยออกมาจากร่างมายืนติดกับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า
“นี่แหละ เพื่อนเอ๋ย ! ...สมบัติร่างกายนี้นั้นอาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้น ก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยกันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั่นแหละ ถึงจะเสียดายอย่างไร ก็หมดสิทธิอำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป”
จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนผ้า ล้างผ้า อาบน้ำให้ แล้วก็หามศพไปไว้ที่ศาลา วางนอนไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใส่โลง และก็ไม่ได้ฉีดยา ก็ตามไปดูอีก เพราะความเสียดายนั่นแหละ เข้าไปนั่งลูบคลำร่างกายศพดู แล้วก็เฉย เขย่าดูก็เฉย เหมือนขอนไม้
โอ้หนอ...ขึ้นชื่อว่าตายแล้ว ถึงจะคิดเสียดาย อาลัยอาวรณ์อย่างไร ก็เอากลับคืนมาไม่ได้ แล้วก็หมดความสงสัย ทีนี้ก็หันไปพูดกับพระเณร เขาก็ไม่พูดด้วย ไปถามญาติโยม เขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็น เพราะมีแต่นามธรรมคือ ดวงจิตนั้น
จึงหันกลับมาถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันดี ?”
เพื่อนก็ตอบว่า “จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ”
ก็ออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ปลิวไปเหมือนนุ่นต้องลมฉะนั้น
ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง ๒ หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นป่าดง ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นกับเขา (ผี) เล่นอยู่จนกระทั่งตี ๓ พวกเขากลับบ้านกันหมด เพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวันนะ เมื่อพวกเขากลับไปหมดแล้ว จึงถามเพื่อนว่า
“เราจะไปไหนกันอีก ?”
เพื่อนก็บอกว่า “เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศ จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขา แต่ว่าขณะนี้ สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้ เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ เหมือนกับเกลือ รักษาเนื้อไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยนั่นแหละ แต่ว่าเรามาไกลแล้ว จะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง”
เอ้าวิ่ง...ก็วิ่งเลย มีแต่นามธรรมคือใจนั้น เบาเหมือนนุ่มต้องลมแล้วก็ปลิวไปอย่างนั้น ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้าอะไรหรอก ข้ามดง ข้ามทุ่งนามาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลา ไปดูซากศพ ก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่า
“จะเผาหรือฝังนั้น ต้องรอท่านอาจารย์จันทร์ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่บ้านเฉลียงลับก่อน เพราะมากับท่าน ท่านจะให้ทำอย่างไร ก็ทำตามท่าน”
ไปถึงแล้วเพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพ แล้วตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ บุญเก่าที่ท่านสะสมมาตั้งแต่ครั้งศาสนาของ พระพุทธเจ้าสิขีโน้นนั่นแหละ คือ เนกขัมมบารมี ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบจนตลอด ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละ บุญน้อยใหญ่สะสมมาไม่ลดละและบุญใหม่ที่บวชมานี่อีก ๕ พรรษา (หลวงปู่นับรวมที่เป็นมหานิกายด้วย ๓ พรรษา) ประกอบกันเข้านั่นแหละ จะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้ว ดวงจิตก็เข้าสู่ร่างได้อย่างสบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อน เพื่อนหายไปเสียแล้ว
เพื่อนหายไปไหน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า โอ๋...เพื่อนนั้นกลับกลายมาเป็นเตโชธาตุ เผาร่างกายให้อบอุ่นสดชื่นดี เพื่อนนั้นได้แก่ บุญกุศลที่ได้สะสมไว้ สามารถนิมิตเพศเป็นอะไรได้ทุกอย่าง บุญนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
พอแจ้งวันใหม่ กระดุกกระดิกร่างกายได้ ลืมตาขึ้นได้ยินเสียงนกแซงแซวร้องว่า “แจ้งแล้ว ๆ” ก็ระลึกขึ้นมาว่า เรามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ไม่ให้เป็นอันตรายฉิบหาย
ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น สิ่งอื่นไม่เอานะ สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของเงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิ ก็ดี เมื่อสิ้นลมไปแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้น ที่จะบันดาลให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ เป็นผ้าสบง จีวร และสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน
เมื่อตั้งสัตย์อธิษฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวผี
ไม่นาน พอหายตกใจกลัวแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วฟื้นคืนมาได้
ก็แสดงให้เขาฟังอย่างที่ได้อธิบายมาแล้ว นั่นแหละ และก็ว่า โยมทั้งหลาย ต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้า รักษาสมบัติร่างกายไว้ ถึงตายแล้วก็ไม่เปื่อยเน่า ยังสดชื่นเหมือนเดิม ทำให้ฟื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป
นั่นแหละ ก็ได้เห็นผลของการบำเพ็ญบุญ เห็นอำนาจของบุญเป็นอย่างนั้น ดีเลิศประเสริฐแท้ ฝังใจแน่นอน ไม่หวั่นไหว จะเป็นหรือตายก็ไม่หวั่นไหวต่อใครทั้งหมดทั้งนั้น ใครว่าดีเลิศประเสริฐอย่างไร ก็ไม่หลงไปตาม
นั่นแหละ จึงสมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
สุโข ปุญฺสฺส อุจฺจโย การสะสมซึ่งบุญนั้น นำมาซึ่งความสุขความเจริญ ไม่ให้วิบัติฉิบหายจริงแท้
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ผู้ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้เคลื่อนคลาดจากภพชาติที่ได้แล้ว ดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น
๕. ผีกินผี
สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ไปวิเวกอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว จ.สกลนคร) กับหลวงพ่อไค ๆ เป็นคนภูไท อายุมากแล้ว (๖๐ – ๗๐ ปี) จึงบอกว่า
“หลวงพ่อไค ที่นี่ผีมันร้ายนะ คนไม่กล้ามาทำไร่ ทำสวน เพราะผีมันกวน ฉะนั้น เวลาจะถ่ายปัสสาวะให้นั่งถ่ายใส่รางให้เป็นที่เป็นทางนะ อย่าไปถ่ายเรี่ยราดทั่วไป ไม่ดี เดี๋ยวผีมันจะดึงหำเอา” (หำ คือ อัณฑะ)
หลวงพ่อไคก็ว่า “ผมมันแก่แล้ว เวลาปวดปัสสาวะแล้วมันก็ไหลเลย”
วันหนึ่งได้ยินเสียงหลวงพ่อไคร้อง “โอ๊ย ! ...”
จึงถามไปว่า “เป็นอะไร ?”
หลวงพ่อไคก็ว่า “ผีมันดึงหำ”
“นั่นแหละ บอกแล้วไม่ฟังก็เป็นอย่างนั้น ลูกหลานเขาหยอกคนแก่หรอก นี่แหละ โทษฐานที่ถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ ไม่เป็นทาง”
จากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในป่าจนถึง ๖ ทุ่ม ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องว่า
“พี่น้อง...มาช่วยฉันเถอะว้า ผีปอบมากินลูกฉัน ฉันคลอดลูกใหม่ ๆ ผีปอบมากินเลย”
อ้าว ! ... มันอะไรกัน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่เห็นมีอะไร โอ๋...ดอนป่าไม้นี้ มีผีอยู่ที่นั่นกลุ่มหนึ่ง ร้องเรียกบักทิดบักจารย์ มาช่วยกันขับไล่ผีปอบ ผีเหล่านั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้ กอไม้ ต้นไม้ต่ำ ๆ เป็นปราสาทที่อยู่ มาแล้วก็ขับไล่กันทุกอย่าง ก็ไม่ออก
เมื่อไม่ออกแล้วทำอย่างไร หมดคาถาแล้ว คาถาของเรานี้ แต่ก่อนก็คมกล้าดี แต่มาระยะนี้ มาอยู่กับผู้หญิง อาถรรพ์ของผู้หญิงนั้นกล้า คาถาดีเท่าไหร่ก็เสื่อมหมด ฉะนั้นจงไปขอน้ำมนต์จากพระที่ท่านมาเจริญธรรมที่ถ้ำนะ เพราะศีลของท่านดี ท่านไม่ได้อยู่กับผู้หญิง ไม่ได้กินเหล้าสุรานารีอะไร
ยายคนนั้น คนแก่ ๆ ดำ ๆ สูง ๆ ก็เลยเอาขันน้ำมาหา แล้วว่า
“หลวงพ่อ ขอจงเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าเถอะว้า ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ คลอดบุตรใหม่ ๆ ผีมากินแล้ว”
ก็เลยทำน้ำมนต์ให้ ใช้คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์นั่นแหละ ให้เอาไปกิน พอกินแล้วก็อาเจียนออกมาเลย นั่นแหละ ผีมันออกแล้ว
จากนั้น พวกนี้ก็กลับไปอยู่ตามถ้ำแคบ ๆ เล็ก ๆ ตามกอไม้กอหญ้าต่ำ ๆ จึงถามว่า
“ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำใหญ่ ๆ ?”
เขาตอบว่า “ไปอยู่ไม่ได้นะท่าน เข้าไปแล้วมันร้อนเหมือนไฟ เพราะสมัยที่มีภพชาติเป็นมนุษย์โน้น พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายพากันนับถือผี เมื่อถึงฤดูกาลก็บวงสรวง เซ่นไหว้ผีหมอ ผีฟ้า ผีต่าง ๆ ทุกอย่าง น้อมเอาผีมาเป็นที่พึ่งทั้งนั้น แม้ว่านักปราชญ์จะป่าวร้องเชิญชวนให้เข้าวัดฟังธรรม จำศีล เจริญภาวนา สร้างถนนหนทาง สร้างน้ำบ่อก่อศาลาก็ไม่ยินดี ถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีพอแล้ว ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ใครยังไม่พอก็ทำไปเถอะ”
“นั่นแหละ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเหล้ากินยา สุรานารี ไม่ถือผัวถือเมีย เสพกามกันไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร ไม่ถือกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อตายแล้วพวกข้าพเจ้าจึงมาเกิดเป็นผีอยู่ที่นี่ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ร้องไห้บ่นเพ้อละเมอใจ เป็นทุกข์ทรมาน หนอนเจาะของลับ น้ำเน่าไหล อาศัยอยู่ในถ้ำแคบ ๆ แสนทุกข์ยากลำบาก ครั้นเดือน ๔ เดือน ๕ ก็มีไฟไหม้ป่ามา ต้องขนข้าวของหนี ฉิบหายทุกปีแหละท่าน”
นั่นแหละ เคยเห็นแต่ผีปอบกินคน แต่นี่ ทำไมหนอ ผีจึงมากินผี จึงกำหนดถามพระธรรม ๆ ก็พูดขึ้นมาที่ใจว่า
“เจ้าอุ้มลุ่ม เจ้าผู้ตุ้มผ้าดำ แสนจะหนีไปลี้ภูเขา ถ้ำใหญ่ก็ดีถ่อน กรรมเวร เวรกรรม หากสินำซอกใช้ กินไส้บ่หร๋อเจ้าเอย”
(คนใจบาปหยาบช้า ถึงจะหลบหนีไปอยู่ที่ใด บาปกรรมก็จะตามไปสังหารให้เดือดร้อนอาทรใจเสมอ)
นั่นแหละ ไปเห็นมาอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย คนที่มีนิสัยเคยถือผีถือสางคางแดงมาแต่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นผีตกทุกข์ได้ยาก ถึงจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่สนใจหรอก ควรที่จะมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ก็ไม่มา นิสัยเคยถือผีสางอย่างนั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไรหรอก นี่แหละ โทษของการนับถือผีก็เป็นอย่างนั้น
นั่นแหละ ไปเห็นอย่างนั้นก็ได้ธรรมะ คือ คนที่นับถือผี เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผีอย่างนั้นแน่นอน จะไปมนุษย์หรือสวรรค์ไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมอันดีงาม มีแต่กรรมชั่วช้าลามก คือ โลภะ โทสะ โมหะฉาบทาจิตใจ ตายแล้วไปเกิดเป็นผีอย่างนั้น นั่นแหละ ก็ได้ความสังเวชสลดใจ ได้วิชาปัญญาความรู้
๖ เทวดาสาธุการ
เมื่อผีเหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว ในขณะที่นั่งภาวนาอยู่นั้น ไม่นานก็มีฝูงเทพบุตรเทพยดามาจากภูเขาใหญ่ รูปร่างสวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มาเป็นร้อย ๆ มากราบไหว้ แล้วก็ขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕
ก็เลยถามว่า “จะรับไปทำไม ?”
เขาก็ตอบว่า “โอ๋...เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นะท่าน พวกข้าพเจ้ามีพระไตรสรณคมน์ ศีล ๕ ศีล ๘ และกรรมบถ ๑๐ ประจำชีวิต นั่นแหละ อบายจึงไม่ได้ไป ไฟนรกจึงไม่ได้ไหม้ มีแต่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปล้วน ๆ ดังนั้น เมื่อเห็นท่านมาเจริญสมณธรรม จึงพากันมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ เพื่อจะไม่ให้ของเก่านั้นเศร้าหมอง
เมื่อให้พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้ว เขาก็ขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังอย่างย่อ ๆ ว่า
“เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ”
นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า เอวัง”
เทศน์ให้เขาฟังเท่านั้นแหละ แล้วถามเขาว่า
“โยม...ขณะที่อาตมาเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็น จนถึง ๕ ทุ่มนั้น ได้ยินเสียงดังสนั่นราวกับว่าภูเขาเหล็กมันจะพังลงมา นั่นเป็นเสียงอะไร ?”
“โอ๋...เป็นเสียงที่ข้าพเจ้า สาธุการส่วนบุญกับท่าน การเดินจงกรมมีบุญมากนะท่าน ก้าวขวาลงสู่พื้นดินนั่น พุทโธ ดังตึ้งนะ แหมบุญมากอัศจรรย์ใจ พวกข้าพเจ้าจึงมาสาธุการส่วนบุญด้วย”
นั่นแหละ บุญในศาสนาพุทธ คือ เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ นั่นแหละได้บุญเยอะ จากนั้นก็ถามเขาต่อไปอีกว่า
“เมื่ออาตมา ไหว้พระสวดมนต์ว่า อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควาฯ...แล้ว เสียงที่เคยดังนั้นเงียบหายไป นั่นเป็นเพราะเหตุไร ?”
“โอ๋...พวกข้าพเจ้าหยุดส่งเสียงไม่ให้ไปกระทบ อรหัง สัมมา สัมพุทโธฯ นั้น กลัวจะเป็นบาป ได้แต่อนุโมทนาสาธุการส่วนบุญเท่านั้น ไม่ให้มีเสียงไปกระทบ อรหัง ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จะอุบัติบังเกิดในโลกแต่ละกัปแต่ละกัลป์นั้นก็เป็นของยาก เพราะการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้านั้นแสนยาก นั่นแหละ เมื่อมีขึ้นแล้วก็เป็นโชคลาภอย่างดี จะไปสวดที่สวรรค์ก็ชนะทั้งนั้น จะไปสวดที่พรหมโลกก็ชนะทั้งนั้น จะไปสวดที่นรกอเวจี ไฟนรกก็ดับ น้ำร้อนแสบเย็นเค็ม ก็กลับกลายเป็นน้ำหวานให้สัตว์นรกได้กินเป็นอาหาร”
“อันชื่อเสียงเรียงนามของ อรหังฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ สัมมาสัมพุทโธ นั้นเป็นของดีเลิศแท้นะท่าน พวกข้าพเจ้าถึงแม้ว่าจะได้ไปสวรรค์แล้ว ก็ไม่ลืมไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรม บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดเอาพระนิพพานเป็นที่ไปอยู่เป็นนิจ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เป็นธรรมที่ส่งผลให้ไปพระนิพพานได้ อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ อย่างกลางก็พรหมโลก อย่างสูงที่สุด วิมุตติหลุดพ้น คือ พระนิพพาน เบื้องหน้า มีเท่านั้นแหละ ฉะนั้น พวกข้าพเจ้าจึงไม่ให้มีเสียงกระทบ นี่ข้อสำคัญมั่นหมาย”
นั่นแหละ เทวดาเขาก็เป็นสักขีพยานนะว่า การเดินจงกรมเป็นบุญใหญ่ ยืนภาวนาก็เป็นบุญใหญ่ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิก็เป็นบุญใหญ่หลวงนะ
จากนั้นเขาก็ว่า “ท่านอาจารย์ สัญจรไปตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ ขอฝากธรรมะไปเทศน์โปรดแม่ ป้า น้า อา บ้างเถิด” เขาพูดเป็นภาษาอีสานว่า
“๔ คนหาม ๓ คนแห่ คนหนึ่งนั่งตะแคร่ (เตียงไม้ไผ่) มองทาง ใครแก้ปริศนาธรรมะนี้ได้ เป็นปราชญ์ฉลาดรู้ เห็นฮ่องคลองธรรม ไปสู่โลกหน้าก็ไม่ข้องคา มาสู่โลกนี้ก็ไม่ติด สร้างบุญสร้างกุศลใส่ตนไว้ เป็นพี่เป็นน้องกัน เดินทางไกลพอได้พึ่งพิงอาศัย มื้อเช้าส่งแกง มื้อแลงส่งป่น สายพอเพล (เที่ยงวัน) พอได้จ้ำแจ่วก็ดีหลาย ข้าวสักปั้น เกลือสักก้อนก็ไม่มี เต็มทีมาก”
อย่างพวกที่ประมาทลืมตน ถือผีสางคางแดงเป็นที่พึ่ง ตายแล้วมาเกิดเป็นผีอย่างนั้น ไม่มีสิทธิอำนาจอะไร เทวดาก็เหยียดหยามคนชั้นต่ำ คือผีนั้น นั่นแหละ เมื่อเขาต่อว่าติเตียนแล้วก็หมดสิทธิ ไม่มีอำนาจอะไรจะไปต่อต้านทั้งนั้น สมขี้หน้า
“๔ คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หามเราไป เรา คือ ใจ”
“๓ คนแห่ ได้แก่ ตัณหา ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันหามมันแห่เรา ไปสู่ที่ไหนมันก็แห่เราไปอย่างนั้น”
“๑ คน นั่งตะแคร่มองทาง คือ ใจ ตะแคร่ คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละ”
นั่นแหละ ไขปริศนาปัญหานี้ได้ ก็เป็นปราชญ์ฉลาดรู้เห็นฮ่องคลองธรรม
อันนี้แหละ ๔ คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น มันจะต้องแก่ เจ็บ ตาย นั่นแหละ อนิจจตา ไม่เที่ยง ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตตา ก็ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราแน่นอน เพราะมันเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งนั้น
เหตุธรรม ปัจจัยธรรม ได้แก่ ตัณหา อวิชชา นั่นแหละ เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องน้อมเอา สมถธรรม วิปัสสนาธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ มาปราบ ๓ คนแห่ คือ ตัณหา ๓ และ อวิชชา นั้นให้ตกออกไปจากใจ แล้วเราก็จะพ้นไปจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หมดเพียงแค่นั้น
นั่นแหละ นี่ข้อสำคัญ ทำไว้ให้พร้อมทุกอย่าง เมื่อเราอบรมศีลธรรม ทำคุณงามความดีใส่ตนไว้แล้ว ก็จะบันดาลจิตใจให้เป็นปราชญ์ฉลาดรู้ ว่าสิ่งใดหนอ เป็นเสบียง เป็นปัจจัยของเรานั้น เราจะได้เร่งรีบขวนขวาย สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ นอกนั้นไม่มี จริงแท้แน่นอน
แล้วเขาก็พูดว่า “เมื่อท่านสะสมบุญใส่ตนไว้พร้อมแล้ว เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี เปรียบอุปมาเหมือนกับเรามีกระติกน้ำใหญ่ติดตัวไว้ในเวลาเดินทางไกล ไปถึงร่มไทรก็จะได้ล้างหน้า ไปถึงร่มหว้าก็จะได้ส่วยคิง (เช็ดตัว) ไปถึงที่แจ้ง ๆ แดดร้อน ๆ ก็จะได้อาบเย็นสบาย อันนี้ฉันใด บุญก็ฉันนั้น ไปถึงสถานที่ใดก็เป็นอย่างนั้น สบายดีเลิศประเสริฐสุด นอกนั้นไม่มี”
๗ ผียักษ์กลับใจ
เจริญสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำเป็ด ไตรมาส ๓ เดือน ไม่นอนทั้งวันคืนนะ เร่งรัดพัฒนาทำความเพียร เดิน ยืน นั่ง อยู่อย่างนั้นก็ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อจิตสงบลงไปแต่ละครั้งแล้วมันลืม มันหมดความแสบ ความร้อน ความหิวกระหายก็ไม่มี หิวข้าวก็หายหมด หิวนอนก็หายหมด มีแต่ความสุข ร่าเริงบันเทิงใจ นี่ข้อสำคัญนะ สำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม กินธรรมเป็นอาหารก็ดีอย่างนั้น เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
ไม่นาน อยู่มาวันหนึ่ง จิตสงบลงได้แล้ว กลางคืนนะ ราวเที่ยงคืน มีผียักษ์ตนหนึ่ง เขี้ยวยาว ถือตะบองเหล็กเข้ามาหา แล้วว่า
“ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่ อวดดีหรืออย่างไร ?”
“อ๋อ...มาเจริญสมณธรรมดอกท่าน”
“อะไรคือ สมณธรรม ?”
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ สมณธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา สมณธรรม มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ สมถวิปัสสนา นี่คือ สมณธรรม”
“สมณธรรมอย่างนี้ ดีอย่างไร ?”
“ดี ! ...ล้างบาปได้ ถอนกิเลสออกจากดวงใจได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะชนะได้ ดีเลิศประเสริฐแท้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของ ของสมณธรรมนั้น พระองค์ว่า จงไปเจริญสมณธรรมในสถานที่ต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ จิตใจจะสว่างผ่องใส นั่นแหละจึงได้มาทำอย่างนี้”
“ไม่กลัวตายหรือ ?”
“ไม่ ! ...เรื่องตายเป็นของเล็กน้อย เรื่องความตายอยู่เบื้องหลัง ไม่เอามาขวางหน้า ไม่หวั่นไหว จะเป็นจะตายอย่างไร ไม่กลัวทั้งนั้น”
“ไม่กลัวหรือ ! ...เอ้า ...จะทำอย่างไรก็ทำเถิด ไม่กลัวทั้งนั้น ท่านเป็นผียักษ์ใหญ่ เป็นเปรตครึ่งหนึ่ง เป็นผียักษ์ครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์โลกครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์เดรัจฉานครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์พเนจรมีแต่ไปอยู่ทางนั้น ทำแต่บาปหยาบช้าลามกใส่ตน หาความดีไม่ได้ ถึงจะมีอาคมกล้าอย่างไรก็ตามเถอะ เมื่อทำบาปหยาบช้าลงไปแล้ว ทุศีล ทุธรรม ก็ฉิบหายวายป่วง จะได้ประสบแต่เหตุเภทร้าย นั่นแหละ อยากดีไหมเล่า ?”
“อยากดี !”
“อยากดี จะสอนให้เอาไหม ?”
“เอา”
“เอา...ก็ตั้งใจนะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ว่าตาม เขาก็ว่าตาม ถึง ทุติฯ ตติฯ แล้วก็มอบศีล ๕ ให้อีกนั่นแหละ
“ตั้งใจนะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้จะพาท่านพ้นจากความเป็นผียักษ์ เป็นสัตว์โลก (สัตวะ แปลว่า เป็นผู้ข้องอยู่ด้วยความอยากและความหลง) เป็นเปรตในวัฏสงสาร (เปโต แปลว่า เปรต) นั่นแหละ อดอยาก ทุกข์ยากลำบาก ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งอาศัย มีแต่ทุกข์กับทุกข์ มีแต่ยากกับยาก มีแต่ร้อนกับร้อน มีแต่หนาวกับหนาว มีแต่หิวโหยกระหายอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเพราะไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะอวดอ้างว่าดีก็ตามเถอะว้า”
นั่นแหละ เทศน์ให้ฟัง จนใจของผียักษ์มันอ่อนโยน อ่อนลง สบาย
“โอ๋...ไม่เคยได้ยินได้เห็นอย่างนี้ ต่อไปจะขอประพฤติปฏิบัติตามอย่างที่ท่านสอน”
“เออ ดีมาก จะได้ชื่อว่า ตโม โชติปรายโน เบื้องต้นประพฤติธรรมอันมืดดำมา เป็นเปรต เป็นผี เบื้องปลายมาพบปราชญ์ชาติเมธี ใจดี มีศีลธรรมให้โอวาท จิตใจอ่อนน้อมอ่อนโยน มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็จะมีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้านะ ไม่ต้องสงสัย”
เมื่อได้ยินได้ฟังอย่างนั้น ผียักษ์มันก็ยอมเลย ต่อแต่นั้น มันก็ตั้งตนเป็นอุบาสก เป็นผีที่ดี ละชั่ว ไม่ยอมประพฤติชั่วช้าด้วยกาย วาจา ใจแล้ว พอใจประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดไป
๘ ธรรมะภูไท
สมัยที่ไปวิเวกอยู่ที่ภูเหล็กนั้น วันหนึ่งไปบิณฑบาตที่ บ้านหนองแวงม่วง อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว) จ.สกลนคร กับหลวงพ่อไค ซึ่งเป็นคนภูไท ท่านรู้ภาษาไทยโส้ ไปถึงระหว่างกลางทาง มีไทยโส้ผัวเมียกับลูก ไปหาอาหารตามป่า พ่อแม่เดินออกหน้าไปไกลมากแล้ว ลูกอยู่ด้านหลังเดินตามไม่ทัน ก็ร้องว่า
“เอออ้อง.. ๆ ... ๆ ...”
จึงถามหลวงพ่อไคว่า “เอออ้อง หมายความว่าอย่างไร ?”
“นี่เป็นภาษาไทยโส้นะ” ท่านว่าอย่างนั้น “ถ้าพูดเป็นภาษาลาว (อีสาน) ก็คือ อีพ่ออีแม่เอ๊ย...! ท่าข้อยแน๊... ข้อยสิหลงป่า (พ่อจ๋า แม่จ๋า รอฉันด้วย เดี๋ยวฉันจะหลงป่า)”
ทีนี้ก็เลยถามหลวงพ่อไคต่อไปว่า “แม่เรียกลูกว่าอย่างไร ?”
“กวนใจสี กวนใจตา”
“ผัวเรียกเมียว่าอย่างไร ?”
“เย็นใจสี เย็นใจตา”
โอ๋... ถูกใจนะ ผัวกลับจากป่าดงพงไพร หิวโหยกระหายมาเห็นเมียแล้วเย็นตาเย็นใจ นั่นแหละ มีหลวงปู่องค์หนึ่งเพิ่งบวชใหม่ อยู่ อ.สว่างแดนดิน เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน พูดให้ฟังว่า
“ครูบาอาจารย์เอ๊ย...สมัยที่ผมยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น ไปทำไร่ทำนา หิวโหยกลับมาจากป่าถึงบ้านเรือน พอเห็นหน้าเมียก็เย็นใจ ได้กลิ่นเมียกลิ่นลูกก็หอมหื่นชื่นใจ หอมหวนชวนใจ ความหิวก็หายไปหมด นั่งสูบยามวนใหญ่ ดมกลิ่นเมียกลิ่นลูกสบาย เป็นอย่างนั้นนะ”
จึงถามหลวงพ่อไคต่อไปอีกว่า “เมียเรียกผัวว่าอย่างไร ?”
“กวนก้นสี กวนก้นตา”
“โอ๊ !...ข่มหัวลงดมก้น กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น สมขี้หน้าที่เขาเรียกว่า กวนก้น”
หมดความสงสัยแล้ว หลวงพ่อไคขอจงเป็นพยานนะ และเทพเจ้าเหล่าเทวาแม่เจ้าธรณีทั้งหลาย ก็ขอให้เป็นพยานด้วยเถิดว่า
“ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ในการรักษาเพศพรหมจรรย์ จะไม่ออกไปเป็นพ่อกวนก้น ให้ผู้หญิงข่มหัวดมก้นอีกนะ”
นั่นแหละ ก็ได้ปัญญาฉลาดรู้ตั้งแต่วันนั้นมา เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นว่า เป็นอย่างเดียวกันนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยานาหมื่น นายพล นายพัน ข้าหลวง ผู้ว่า ก็ล้วนแต่ดมก้นผู้หญิงทั้งนั้น เป็นพ่อกวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น กลางคืนก็กวนก้น กลางวันก็กวนก้น กวนแต่ก้นนั่นแหละ ไปไหนไม่ได้ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นคนทุปัญญา
ทุปญฺา ปราภโว ผู้ทุปัญญา จึงโง่เขลาเบาปัญญาอย่างนั้น ไม่สามารถเอาตัวรอดพ้นจากความทุกข์ได้
นี่แหละ ธรรมพเนจรบทบาทนี้ดีมากนะ ได้เป็นข้อคิด เป็นคติธรรมเตือนใจ
๙ ภาวนาสู้เสือ
สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ได้เร่ร่อนสัญจรไปวิเวกยัง ดงผาลาด บ้านหนองแปน อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.เจริญศิลป์) จ.สกลนคร มีพระ ๒ กับ เณร ๑ ไปอยู่ด้วยกัน ห่างจากหมู่บ้านราว ๒ - ๓ กิโลเมตร
โยมเขาก็มาทำที่พักให้ เป็นที่เตียน ๆ แจ้ง ๆ ข้างหนึ่งก่ายกับพลาญหิน อีกข้างหนึ่งก่ายกับต้นสะแบง สูงเพียงเอวเท่านั้นแหละ พระอีกองค์หนึ่งก็เข้าไปอยู่ใต้ร่มเม็ก ต้นเม็กมันมีใบหนาแน่นคลุมดี เสือมองไม่เห็นนะ ส่วนเณรก็เข้าไปทำที่พักอยู่ในป่ารก
คืนแรก พอค่ำมาก็ลงเดินจงกรมจนถึง ๒ ทุ่ม จากนั้นก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิภาวนาต่อไป พอถึง ๓ - ๔ ทุ่ม เสือโคร่งใหญ่ลงไปกินน้ำในห้วยแล้วกลับขึ้นมา หายใจดัง ฮื่อฮ่า... ๆ... ๆ เสียงมันดัง เพราะคอมันใหญ่ เดินปัดหางดัง ก๊วก... ๆ... ๆ ใกล้เข้ามา ก็นึกในใจว่า
มันจะทำอย่างไรก็แล้วแต่บุญ แล้วแต่กรรมเถิด ถ้าได้ทำกรรมไว้ ก็มอบร่างกายนี้ให้เป็นภักษาหารของเสือใหญ่ไปเลย ไม่อาลัยเสียดายทั้งนั้น เราเป็นคนตายแล้ว วันนี้ ข้าพเจ้าบวชมาเป็นทาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะพึงปกปักรักษา
เมื่อเสือใหญ่เข้ามาใกล้ที่พัก มันก็เดินเลี่ยงไปทางพลาญหิน แล้วก็วกกลับมานั่งดู ยืนดู อยู่อย่างนั้น บางตัวก็คุ้ยเขี่ยดินดังกร๊าก... ๆ ...ๆ บางตัวก็ร้องคำราม มาว...ว่า มาว...ว่า บางทีก็ร้องเสียง แก๊ก ก๊า... ๆ ...ๆ อย่างนี้ก็มี มีหลายอย่างนะ เสียงเสือใหญ่มันร้อง บางทีมันเป่าเล็บตีนดัง ฟ้าบ... ๆ ...ๆ บางทีมันร้องเหมือนไก่ขัน แก๊กกะแก๊ก... ๆ ...ๆ นายพรานเขาว่า ที่เสียงดัง ฟ้าบ ๆ ๆ นั้น เสือโคร่งใหญ่มันเป่าเล็บตีน ล่อกินกวาง เสียงไก่ขัน ก็ล่อกินไก่
นั่นแหละ เสือก็เฝ้าอยู่อย่างนั้น จนล่วงไปถึง ๖ ทุ่ม มีเทพบุตรตนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุกขเทวดามาพูดว่า
“หลวงพ่อ ๆ อย่ากลัวนะ แมวใหญ่ (เสือโคร่ง) นั้น ข้าพเจ้าบอกให้เขามาเฝ้ารักษาหลวงพ่อไว้ ตัวที่อยู่ใกล้ เฝ้าดูแลรักษา ส่วนตัวที่อยู่ไกลก็ร้องส่งสัญญาณ ขู่ไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามารบกวนในบริเวณนี้ เพราะข้าพเจ้ากับท่าน และเสือใหญ่นั้น เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้เห็นท่านมาเจริญสมณธรรม เกรงว่าจะเป็นอันตราย จึงให้เขามารักษาญาติพี่น้องของเราไว้ อย่าได้เป็นอันตราย จะออกไปขี่หลังมันก็ได้ ไม่ต้องกลัว”
นั่นแหละ คืนนั้นก็ไม่ได้นอน นั่งภาวนาอยู่จนสว่างแจ้ง เป็นวันใหม่ เสือมันก็เข้าดงไป นั่นแหละ ไปวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้ในภาคอีสาน ยังมีคนน้อย มีแต่ป่าดงทึบ สัตว์ร้ายเสือช้างอะไรมันก็มาก ผีก็เยอะ ผีกองกอย สะมอยดง ผีโป่ง ผีป่ามากมาย ถึงแม้จะมีสัตว์ร้ายมากขนาดไหน ก็ไม่หวั่นไหวนะ ภาวนาอยู่ที่นั่นนาน ก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
๑๐ ผีโป่งที่ผาอีเมย
เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลาด พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน
นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว
พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไป
โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธัมมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด
จบแล้วก็เป่าพึบ !...ไฟนั้นก็แตกกระจายไป สีแดง ๆ หายไป กลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคนโป่งไปเลย
คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเขามาหา (บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกันแล้ว ก็ให้เขารับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จากนั้น ก็อธิบายธรรมให้เขาฟังบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า
“โยม...เมื่อเย็นนี้ ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมันจะถล่มทลาย และไม่นานก็มีนิมิตเป็นไฟป่ามา อันนั้นเป็นเสียงอะไร ?”
“อ๋อ...ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้นั้น พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่ หัวล้านเพ่อเว่อ นั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้ อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั่น นายพรานในเขตนี้เขากลัวกันมาก ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน”
นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันเข้าไปสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า
“แหม...เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสโป โน่น เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัตว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่ มีเสือตัวใหญ่ยาว ๑๒ ศอก ผ่านมา ก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที่นี้ เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีมาเฝ้าโป่งอยู่ที่นี่ นั่นแหละ พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำ ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ เราก็รู้ว่าพระจำพวกนี้มีธรรมจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคาถา คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น แต่เราสู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา”
นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิง ใช้ทำน้ำมนต์ กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย ฉะนั้นขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็นอย่าได้ขาด ไปไหนมาไหนก็ภาวนาอย่างนั้น ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน นี่เรียกว่า คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์ เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท อันนี้เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
๑๑ ช้างมาหา
สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๗) ไปวิเวกที่ดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็นอำเภอบ้านม่วง) จ.สกลนคร กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย และ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ และพระอื่น ๆ อีก รวมแล้ว ๗ - ๘ องค์ด้วยกัน
คืนหนึ่ง ในขณะที่เดินจงกรมอยู่ประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม ก็มีฝูงช้างใหญ่ราว ๑๐ ตัว เดินเข้ามาหา พอห่างได้ระยะ ๑ เส้น (๒๐ วา) จ่าฝูงก็กระทืบตีน ๓ ครั้ง แล้วก็โบกหูไปมาแล้วชูงวงขึ้น แต่ก็ไม่มีความสะทกสะท้านหรือเกรงกลัวแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะอำนาจพระธรรมเกิดขึ้นแล้วที่จิต คือ ความสงบนั้น จึงกำหนดถามพระธรรมตัวเองขึ้นว่า
“ช้างเขามาทำอะไรกัน ?”
พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงนี้เป็นญาติของเรามาแต่ชาติปางก่อนโน้น เขามาอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา จงอุทิศส่วนบุญให้เขาเสีย”
ก็เลยตั้งใจมั่น แล้วแผ่เมตตาให้ว่า
“ช้าง... พวกท่านกับอาตมา เป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนโน้น มาชาตินี้ ก็ได้มาประสบพบปะกันแล้ว จงอนุโมทนาส่วนบุญนะ จะอุทิศให้ ปุญญัง อุทิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงได้รับส่วนบุญเถิด” จากนั้นก็ให้โอวาทแก่เขาว่า
“ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปไว้เป็นที่พึ่งนะ ไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาประจำชีวิต ไม่ลดละ ท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่ในศีล ๕ ปาปะกัง ปาณาติบาต อย่างเพิ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมนุษย์นะ เป็นบาป อย่าเพิ่งลักขโมยกินของไร่ของสวนเขานะ เป็นบาป เขาจะฆ่าเอา อย่าเพิ่งนอกใจซึ่งกันและกัน นั่นแหละอันนี้เป็นข้อสำคัญมั่นหมาย เมื่อพวกท่านมีพระไตรสรณคมน์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว มีศีล ๕ ประจำชีวิตอีก ก็จะได้ มนุสสธัมโม เปลี่ยนชาติภพจากสัตว์เดรัจฉานไปเป็นมนุษย์ เมื่อเปลี่ยนชาติเปลี่ยนภพแล้ว จะได้ทำคุณงามความดีเหมือนอย่างข้าพเจ้านี่แหละ”
เขาก็ตั้งใจฟังจนจบ จากนั้น จ่าฝูงก็กระทืบเท้า ๓ ครั้ง แล้วโบกหูพึบพับ ๆ จากไป
สมัยนั้น ที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย ทั้งช้าง ทั้งเสือเหลือง เสือโคร่ง ส่งเสียงร้องกันสนั่นหวั่นไหว แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้น ก็ไม่ได้มาทำอันตรายแต่อย่างใด เพราะอำนาจของการประพฤติธรรม บันดาลให้เป็นมหาเสน่ห์มหานิยม
๑๒ หญิงเปรต
สมัยหนึ่ง ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าช้าบ้านหัวดง อ.เมือง จ.นครพนม กับ พระอาจารย์อ่ำ (ธัมมกาโม)
ที่นั้นเป็นป่าช้าเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยเริ่มตั้ง จ.นครพนม เมื่อไปอยู่แล้ว ก็ตั้งใจทำความเพียร เพราะเราจากครูบาอาจารย์มาแล้ว จะประมาทไม่ได้ ในพรรษานั้น ก็ตั้งใจไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน ทำความเพียรอยู่ใน ๓ อิริยาบถเท่านั้น คือ เดิน ยืน นั่ง ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ลดละ ไม่หวั่นไหวต่อชีวิตสังขาร เพราะหวั่นไหวแล้วก็ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น ทำคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นในตนเสียดีกว่า
วันหนึ่ง เดินจงกรมถึง ๓ ทุ่ม แล้วก็ยืน ยืนกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ อยู่กับ อานาปานสติกรรมฐาน ไม่ลดละ ไม่นาน จิตก็วางพุทโธ จิตก็รวมพึบ เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้งในท่ายืนนั้น ไม่นานก็มีกลิ่นเหม็นลอยมา กลิ่นอะไรหนอ เขาฝังศพไม่ลึก แล้วหมาไปคุ้ยกินหรือเปล่า หรือว่ากลิ่นอะไร
ไม่นาน ก็ปรากฏเป็นหญิงเปรต ๓ ตน ร่างกายใหญ่โต ตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่มเหมือนคนโบราณในภาคอีสาน ไม่มีผ้าปกปิดร่างกาน มายืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ วาเท่านั้น มีหนอนตัวดำ ๆ ใหญ่ ๆ ขนาดเท่านิ้วมือเจาะไชของลับเต็มไปหมด แทงงัด ๆ บิดซ้ายบิดขวาเจ็บปวด มีน้ำเน่าไหลโทรมกายโทรมขา โทรมก้น ส่งกลิ่นเหม็น ไม่นานก็เอาของลับไปถูไถกับเครือไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ หนอนหลุดออก แล้วก็ไต่เข้าไปอีก
กำหนดถามไปว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?”
เขาก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่ม จ.นครพนม พวกข้าพเจ้าทั้ง ๓ คนนี้เล่นชู้นอกใจผัว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ผัวคับแค้นอัดอั้นตันใจ ได้ไม่พอกิน ไม่อิ่ม เป็นคนมักมาก ขี้โลภในกิเลสกาม นั่นแหละ พระเทศน์ให้ฟังว่า กาเมสุมิจฉาจาร นั้น ไม่ให้ทำ เป็นบาปชั่วช้าลามกก็เฉย ไม่เชื่อฟัง เอาแต่สนุกสนานในการคบชู้สู่ชาย ไม่เลือกทั้งฆราวาส ทั้งพระ เอาหมดทั้งนั้น เมื่อตายแล้ว จึงมาเกิดเป็นเปรต มีหนอนเจาะของลับอยู่ในป่าช้านี่แหละท่าน”
ถามว่า จะพ้นจากกรรมได้เมื่อไร ก็ไม่รู้ ทำอย่าไรจึงจะพ้นกรรมก็ไม่รู้อีก จึงได้กำหนดถามพระธรรมตัวเองว่า
“หญิงเปรต ๓ ตนนี้ เป็นญาติของเราบ้างไหมหนอ ?”
พระธรรมพูดขึ้นมาที่ใจว่า “เป็น...เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ครั้นเมื่อเราตกทุกข์ได้ยาก เขาก็ช่วยเหลือสงเคราะห์ ต่างคนก็ต่างสงเคราะห์กันมาอย่างนี้ มาชาตินี้ภพนี้ ต่างคนต่างทำกรรมไม่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างไปคนละภพ แต่กรรมเก่าที่เคยสงเคราะห์กันมา ก็ดลบันดาลให้มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ฉะนั้น จงช่วยเหลือสงเคราะห์เขาเสีย”
จากนั้นก็พูดกับหญิงเปรตนั้นว่า
“โยมทั้ง ๓ กับอาตมา เคยเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อนโน้น หลายภพหลายชาติแล้ว ต่างคนต่างทำกรรมไม่ดี มาชาตินี้ก็เปลี่ยนแปลงภพชาติเป็นอย่างนี้ แต่กรรมเก่าก็ส่งผลให้มาสงเคราะห์ อาตมาจะสงเคราะห์ให้เอาไหม ?”
“เอา...เมตตาสงเคราะห์บ้างเถิดท่าน เป็นเปรตตกทุกข์ยาก ทรมานมานานแสนนาน ตั้งแต่เริ่มตั้ง จ. นครพนม แล้วละท่าน”
“เอ้า...นั่งลง เจ็บปวดก็ทนเอานะ เพราะตนเองทำไว้ ทำอย่างไรก็ให้ผลอย่างนั้น นั่นแหละ อัตตะนา วะกะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิสิสสะติ อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองหรอก เป็นผู้กระทำสะสมไว้ และให้ผลเป็นทุกข์แน่นอน”
เขาก็นั่งลง กราบไหว้ เสร็จแล้วก็ให้เขารับ พระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ ธรรมทั้งสองรวมกันเข้าแล้วก็ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม จะได้ภพชาติกับมาเป็นมนุษย์อีก
ต่อจากนั้น ก็ให้เขาเดินจงกรมบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนาบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ กับการเดินจงกรม นั่งภาวนา เป็นการบำเพ็ญบุญเพื่อล้างบาป พวกท่านทำบาปใหญ่โตมโหฬารแล้ว ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการทั้งนั้น ฝนตกก็หนาว ลมพัดก็หนาว แดดออกก็ร้อน เป็นทุกข์ยากลำบากแสนกันดารนานแล้วนั่นแหละ จะบอกให้ชาวบ้านหัวดง เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาก็เป็นญาติของเราของท่านเหมือนกัน
พอรุ่งเช้า เสร็จจากการบิณฑบาตแล้ว ก็เล่าให้โยมฟังว่า
“เมื่อคืนได้พบหญิงเปรต ๓ ตน มาหา ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีแต่หนอนเจาะไชของลับ เจ็บปวดแสนทุกข์ยากทรมาน ดูแล้วน่าสังเวชสลดใจ พวกเขาเหล่านั้นก็เคยเป็นญาติพี่น้องกับพวกท่านมา ฉะนั้น จงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาเสีย”
ชาวบ้านเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วเปรตเหล่านั้นก็มารับส่วนบุญ พอถึงวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๘ ตามอย่างมนุษย์
นั่นแหละ เทศน์แนะนำพร่ำสอนเขาอยู่อย่างนั้น กรรมชั่วช้าลามกใครเล่าทำให้ เราเองหรอกเป็นผู้มักมาก มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ยอมทำความดี ทำแต่ความชั่วใส่ตัวอยู่เป็นนิจ นี่แหละทำลงไปแล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์อย่างนี้
ต่อจากนั้น บางคืนสงบสงัด ก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่กลางป่าช้า (บางทีกลางวันสงบสงัดก็ได้ยิน)
“โอ๊ย ! ... เจ็บเหลือเกิน เจ็บเด๊...ปวดเด๊...พ่อเอ๊ย...แม่เอ๊ย...เมื่อไหร่หนอจะพ้นจากกรรมเวร”
ได้ยินแล้วน่าสงสาร น่าสังเวชสลดใจ
เวลาล่วงเลยไปถึงเดือนตุลาคม ขึ้น ๑๐ ค่ำ ไปยืนภาวนาอยู่กลางป่าช้า ไม่นาน จิตใจก็สงบ เห็นหญิงเปรต ๓ ตนนั้นมาหา ใส่เสื้อผ้าและมีผ้าเฉลียงบ่าเรียบร้อยดี เข้ามากราบแล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ พวกดิฉันพ้นบาปกรรมจากกำเนิดเป็นเปรตแล้ว เพราะว่าท่านมาโปรด หนอนเจาะของลับนั้นตายหมดแล้ว เพราะอำนาจของพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ สังหารล้างบาปเคราะห์เข็ญเวรร้ายได้หมด และอำนาจที่ไปอนุโมทนากุศลกับญาติทั้งหลายที่อุทิศให้ และท่านอาจารย์อุทิศให้ นั่นแหละ ก็พ้นทุกข์จากกำเนิดเป็นเปรตได้ รวมทั้งที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้น้อมเอาพระไตรสรณาคมน์และศีล ๕ ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรมอย่างที่ท่านสอนนั่นแหละ บาปทั้งหลายก็หมดสิ้นไป ไม่เหลือเศษอยู่ได้ เมื่อก่อนนี้ก็มีพระมาจำพรรษาอยู่ที่นี่เป็นร้อย ๆ ก็ไม่มีใครโปรดได้ ไปหาแล้วก็เฉย ผลสุดท้ายเขย่าต้นไม้ถาม ก็วิ่งหนีขึ้นกุฏิไปเลย บางทีก็หันหน้ามาด่าว่าและขว้างปาใส่อีก แต่สำหรับท่านอาจารย์ มาหาแล้วก็คุยกันรู้เรื่องและโปรดสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ ต่อแต่นี้ไป พวกดิฉันทั้ง ๓ จะขอลาไปเกิดยังเมืองมนุษย์”
อาตมาจึงว่า “พวกพระเหล่านั้นเขาไม่ใช่ญาติของโยม และก็ไม่เคยมีอุปการคุณต่อกันมา อีกทั้งจิตของเขาก็ไม่สงบลงสู่ภพเดียวกัน มันก็ไม่เห็นกันหรอก แต่อาตมากับพวกท่าน เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว กรรมเก่าจึงบันดาลให้มาโปรดนะ และถ้าจะไปเกิดยังเมืองมนุษย์ก็ขอให้ไปเกิดที่ จ.สกลนครโน่น เพราะมีพระกรรมฐานมาก มี หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ และอีกหลายองค์ หรือไม่ก็ไปที่ จ. อุดรธานี ก็มีพระกรรมฐานมากเช่นกัน ขอให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ อย่าได้ประมาท อำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะพาไปเกิดในตระกูลของนักปราชญ์ จะได้แนะนำพร่ำสอนแต่ในทางที่ดี ไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้เข็ดหลายและจดจำผลของความชั่วช้าลามก ที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตนี้ไว้ให้ดี อย่าดื้ออย่าด้าน อย่าล่วงประเวณี เล่นชู้ในใจผัวอีกนะ”
เขาก็ว่า “เข็ดแล้วกลัวแล้ว จะไม่ทำอีกต่อไป” จากนั้นก็กราบลา แล้วออกเดินทางไป
นั่นแหละในพระไตรปิฎก ใน มหาวิบากสูตร และ พระมาลัยสูตร ก็ว่าไว้อย่างนั้นว่า
หญิงก็ดี ชายก็ดี นอกใจสามีภรรยา ตายแล้วไปตก มหาตาปนะนรก ถูกนายยมบาลต้มด้วยน้ำร้อน สังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด้ามคมแสนปี พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น มาตก คูถนรก จมในหลุมมูตรหลุมคูถท่วมศีรษะ มีหนอนเจาะไชอยู่อย่านั้นเป็นแสน ๆ ปี พ้นจากนั้น มาตก สิมพลีนรก ถูกนายยมบาลบังคับให้ปีนต้นงิ้วสูงใหญ่มีหนามยาว สัตว์นรกขึ้นไปแล้วก็ถูกหนามงิ้วทิ่มแทง เป็นบาดแผลตามหน้า ตามเนื้อตัว และแขนขาเป็นทุกขเวทนาสาหัส พอขึ้นไปถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกหน้าตา ตกลงมา ถูกหมาขย้ำฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร เหลือจากนั้นหนอนก็เจาะไชกินเป็นอาหาร
พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น ไปเกิดเป็นเปรต ผู้หญิงไปเกิดเป็นเปรตของลับใหญ่เต็มหว่างขามีไฟไหม้ เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ผู้ชายก็ไปเกิดเป็นเปรต มีของลับใหญ่ มีไฟนรกเผาไหม้อยู่ปลายของลับนั้น เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ทุกข์ยากแสนเข็ญ นั่นแหละบาปกรรมเวรเป็นอย่างนั้น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายเป็นอยู่อย่างนั้นถึง ๕๐๐ ชาติ
พ้นจากนั้น ไปเกิดเป็นสุนัขทั้งตัวผู้ตัวเมียเป็นกามโรค เป็นทุกข์จนตาย ตายแล้วเกิดอีก เป็นอยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ
พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็หน้าด้านเสพกามไม่เลือก เป็นกามโรคตายแล้วตายเล่าอีก ๕๐๐ ชาติ
พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ทุกข์ยากลำบาก นอกใจผัวนอกใจเมียเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ
นี่แหละ โทษกรรมของกามคุณทั้งหลาย
๑๓ เปรตเลี้ยงควาย
พอออกพรรษาแล้วก็ออกเดินทางไป จ.สกลนคร ขึ้นถ้ำขามแล้วก็ไปภูเหล็ก จากนั้นก็ไปหนองคาย ต่างคนต่างไปแล้ว กับพระอาจารย์อ่ำ แยกทางกันแล้ว
จากนั้น ก็พบกับพระอาจารย์บุญพิน พระจ่อย แล้วก็พากันไปวิเวก ขึ้นถ้ำขามแล้วก็ลง จากนั้นมาวิเวกที่ บ้านดงเชียงเครือ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านพระอาจารย์บุญพิน
ไปนั่งภาวนาอยู่ในป่าช้า คืนนั้นราว ๕ ทุ่ม จิตสงบ ฝูงเทพบุตรเทพยดาจำนวนมาก มาจากสถานที่ต่าง ๆ มาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เสร็จแล้วก็เทศน์อบรมว่า
“โย จะ ปุคคะโล บุคคลทั้งหลาย เมื่อมาเกิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ก็ดี จงมาชำระตนเอาสิ่งที่มัวหมองออกจากดวงจิต คือ กิเลส โลภ โกรธ หลง นั้นอย่าให้ฉาบทาจิต จะทำให้เป็นทุกข์เร่าร้อนอาทรใจ เป็นที่หลั่งไหลแห่งบาปทั้งหลายทั้งปง เป็นช่องทางให้บาปเกิดขึ้น แล้วฉาบทาจิตใจ ให้ทำความชั่วช้าลามก ด้วยกาย วาจา ใจ นั่นแหละ จงยึดมั่นถือมั่นปราชญ์ทั้ง ๓ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มาฝังไว้ที่จิต เมื่อจิตอยู่กับปราชญ์ สัมพันธมิตรแนบชิดดีแล้ว ปราชญ์จะบันดาลจิตใจให้มี หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลความชั่ว เมตตาธรรม เมตตาตนและบุคคลผู้อื่น กรุณาธรรม สงสารตนและบุคคลอื่น มุทิตาธรรม พลอยยินดีในเมื่อบุคคลผู้อื่นได้ดี อุเบกขาธรรม วางเฉย”
“สุกกัง ธัมมัง ภาเวนะ ปัณฑิโต บัณฑิตชาตินักปราชญ์ ผู้มีธรรมอันขาวฝังที่ใจแล้ว จะมีแต่ธรรมอันขาวเกิดขึ้น คือ บุญกุศลล้วน ๆ ได้ชื่อว่าเป็นผู้สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ทุกเมื่อ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เจริญธรรม ตัดกระแสวัฏฏะทุกข์ให้ออกจากดวงจิตได้ ตัดกระแสทางไปอบาย ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ขอให้ตั้งใจรักษาไว้ให้ดี”
เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป เมื่อเทพบุตรเทพยดาทั้งหลายกลับไปหมดแล้ว ยังเหลือเปรตตกค้างอยู่ตนหนึ่ง ยืนสะพายถุงย่ามใบหนึ่ง มีผ้าแพรผืนหนึ่งเคียนเอว มีมีดเล่มหนึ่งกับเชือกเก่าคร่ำคร่า ท่าทางเหมือนคนเลี้ยงควาย จึงถามว่า
“ทำไมไม่กลับบ้านกับเขา ?”
เขาก็บอกว่า “จะไปเลี้ยงควาย”
ไม่นาน เปรตตนนั้น ก็ล้วงมือลงไปในย่าม เอาห่อข้าวขึ้นมา พอเปิดออก เห็นมีราขึ้นเต็มห่อข้าวนั้น ถามว่า
“ทำไมข้าวถึงขึ้นรา ?”
เขาก็ตอบว่า “ของตัวมีอย่างไรก็กินอย่างนั้น”
เห็นเช่นนั้นแล้วก็สลดใจ นั่นแหละ ไม่ทำสิ่งใดไว้ ก็ไม่มีอย่างนั้น พอรุ่งเช้า ไปบิณฑบาต จึงได้ถามโยมว่า
“โยม...เมื่อคืนนี้ อาตมานั่งภาวนาอยู่มีฝูงเทวดาทั้งหลายมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ และฟังธรรมะ เสร็จแล้วก็กลับไป แต่มีเปรตตนหนึ่ง เป็นคนเลี้ยงควาย รูปร่างไม่สูงไม่ต่ำ พอดี ๆ ถือมีดเล่มหนึ่ง ถุงย่ามใบหนึ่ง เสื้อฟ้าเก่า ๆ ขาด ๆ โยมเคยรู้จักไหม ?”
“อ๋อ...เขาคือนายหล้า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์นั้น วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา ไม่มี นักปราชญ์ป่าวร้องเชิญชวนว่า ท่านเอ๊ย...เราจะได้ประสบพบปะเนื้อนาบุญของโลก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ละกัป แต่ละกัลป์นั้นก็เป็นของยาก เมื่อเราได้มาประสบพบปะแล้ว ก็เป็นลาภอย่างยิ่ง อย่าเพิ่งติดกิจธุรการงานใดเลย เพราะติดแล้ว ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรหรอก มาบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา ตามพระสงฆ์องค์เจ้ากันเถิด นั่นแหละ เขาก็ไม่ยินดี อยู่กันสองคนกับน้องสาว เลี้ยงวัวเลี้ยงควายไปตามประสา พอตายแล้ววัวควายก็ตกเป็นของคนอื่นไปหมดเสียสิ้น”
“นั่นแหละ โยม...เดี๋ยวนี้เขาเป็นเปรตแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาเสีย”
ทำบุญอุทิศให้เขาอยู่อย่างนั้น ๒๘ วัน พอถึงวันที่ ๒๘ นั่งภาวนาจิตสงบ แล้วก็พูดกับเทวดาว่า “มาเด๊อ...วันนี้ เพราะพรุ่งนี้จะไปภูเหล็กแล้ว” นั่นแหละ เขาก็มารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ จากนั้น ก็เทศน์ให้ฟัง เสร็จแล้วก็กำหนดถามว่า
“โยม...นายหล้า เขาพ้นจากกำเนิดเป็นเปรตหรือยัง และเขาได้รับส่วนบุญบ้างไหม ?”
“ไม่ได้รับหรอกท่าน”
“เพราะเหตุใดจึงได้รับ ?”
“เพราะใจของเขานั้นปิดหมด”
“อะไรปิด?”
“กิเลสวัฏฏ์ - กรรมวัฏฏ์ - วิปากวัฏฏ์ นั่นแหละคือกระแสของวัฏฏสงสาร ปิดบังดวงจิตไว้ ดวงจิตนั้นมืดมิด ไม่มีสติปัญญา นั่นแหละ เพราะไม่ได้สะสมไว้ซึ่ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทาน ศีล ภาวนา ตั้งแต่ชาติที่เป็นมนุษย์ ฉะนั้น ถึงจะอุทิศส่วนบุญให้ก็ไม่เข้า เปรียบเหมือนกับหม้อที่คว่ำอยู่ เราเทน้ำลงไป มันก็ไม่เข้า น้ำมันก็ไหลผ่านไป อันนี้ฉันใด ใจที่ไม่มีแร่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ฝังที่ใจ และศีลธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีในหัวใจ มีแต่ความโลภ โกรธ หลง และความชั่วช้าครอบงำจิตใจ มีกระแสของอบายอยู่เต็มหัวใจ ฉะนั้น อุทิศให้เท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมรับ เปรียบเสมือนกับวิทยุที่เครื่องมันเสียแล้ว ถึงเขาจะปล่อยคลื่นเสียงมาจากอุดรธานี ขอนแก่น หรือ กรุงเทพฯ มันก็ไม่เข้า เพราะเครื่องมันเสียแล้ว อันนี้ฉันใด ใจของบุคคลและสัตว์ เมื่อเสียแล้วก็เป็นอย่างนั้น”
นั่นแหละ วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มี ได้ชื่อว่า ทำตนเป็นเปรตแน่นอน ไม่ต้องสงสัยหรอก อย่าถือว่ามีลาภยศสรรเสริญสุขน้อยใหญ่ ถึงจะเป็นผู้นำของชาติก็ตาม ประมุขของชาติก็ตามที ทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อไม่มีพระไตรสรณคมน์ ศีล ๕ ศีล ๘ และศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วละก็ ผิดหวังทั้งนั้นแหละ ท่านเอ๊ย... เมื่อตายลงไปเป็นเปรตในวัฏฏสงสาร แสนทุกข์ยากลำบาก ไม่มีวันที่จะพ้นทุกข์ไปได้แน่นอน นั่นแหละ อย่าเพิ่งสงสัยเสียเลย เห็นอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเปรตอยู่นะ ถามพระอาจารย์บุญพินแล้ว ท่านก็ว่ายังเป็นเปรตอยู่ ห่วงหน้าพะวงหลัง ได้ยินเสียงนกร้อง ก็วิ่งหน้าวิ่งหลัง เป็นบ้าอย่างนั้น นั่นแหละ นิสัยเคยเป็นมาอย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น
๑๔ พระเปรต
สมัยหนึ่ง ไปวิเวกกับพระอาจารย์บุญพิน และพระจ่อย ไปอยู่ที่ถ้ำจำปา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ถ้ำจำปาอยู่บนภูพาน ในถ้ำนั้นมีพระพุทธรูปทำด้วยไม้ และหินอยู่มาก โยมที่บ้านกะลึมบอกว่า มีผีเฝ้ารักษาไว้ แล้วโยมก็พาไปทำที่พักให้อยู่หน้าถ้ำ
พอค่ำลง ก็ทำความเพียร เดินจงกรมจนถึง ๓ ทุ่ม จากนั้น ก็ไหว้พระ สวดมนต์แล้วอุทิศส่วนบุญ เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่นานจิตก็รวม พอจิตสงบ เกิดแสงสว่างจ้า ไม่นานเห็นเทพบุตรตนหนึ่งมาบอกว่า
“ท่านอาจารย์หันปลายเท้าเข้าหน้าถ้ำ นั้นเป็นทางไปพระนิพพานนะ”
ถามเขากลับไปว่า “ทางไปพระนิพพานคืออะไร ?”
เขาก็ว่า “พระพุทธรูปนั่นแหละ ผู้เป็น นายโก ผู้นำโลกคือหมู่สัตว์เข้าพระนิพพานได้ ทีนี้ท่านหันเท้าเข้าไปอย่างนั้นมันผิดแล้ว”
“โอ๋...โยมเขาทำให้อย่างนั้น ต้องขออภัยด้วย พรุ่งนี้จะให้เขาทำให้ใหม่”
เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป จากนั้นไม่นาน ก็มีเปรตพระ ๓ ตนเข้ามาหา เป็นคนโบราณรูปร่างสูงใหญ่ มีเครายาวถึงหน้าอก เข้ามานั่งใกล้ ๆ ลูบขาข้างซ้าย แล้วพูดว่า
“ท่าน ๆ ผมกับท่านใครจะแก่พรรษากว่ากัน ?”
ก็ตอบเขาไปว่า “หลวงพ่อนั่นแหละ แก่กว่า”
“ก็คงจะจริงอย่างท่านว่านั่นแหละ พรรษาของผมนั้นแก่กว่าท่าน แต่ว่าคุณธรรมของท่านนั้น แก่กว่าผมนะ”
“แก่กว่าเพราะเหตุใด ?”
“แก่เพราะท่านเจริญธรรม เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอนผ่อนอาหาร นี่มันแก่อย่างนี้ เพราะการเจริญธรรมถูกต้อง”
จากนั้นก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า “พวกท่านเป็นพระ บวชในศาสนาพุทธอันบริสุทธิ์แล้ว สมควรที่จะเจริญสมณธรรม อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ๖ ชั้น อย่างกลางก็พรหมโลก (รูปพรหม ๑๖ ชั้น) อย่างสูงก็อรูปพรหม ๔ ชั้น และอย่างถึงที่สุด ก็วิมุตติหลุดพ้นไปพระนิพพาน ข้ามโลกสงสารไปได้ เพราะมีกิจอันเดียว แต่เหตุใดท่านจึงมาเป็นเปรตค้างอยู่ที่นี่”
“ท่านเอ๊ย...พวกข้าพเจ้าเกิดมาพบปะศาสนาในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐา (เป็นเจ้าเมืองเวียงจันทร์เรืองอำนาจและสร้างวัดต่าง ๆ มากมาย) เมื่อบวชมาแล้ว อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่แนะนำพร่ำสอนให้เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอน ผ่อนอาหาร พิจารณาธาตุขันธ์ เหมือนอย่างพวกท่านในขณะนี้”
“บวชเป็นพระตั้ง ๑๐๐ กว่าพรรษา ก็ไม่ได้ภาวนาอะไร อยู่สนุกสนาน ฉันเช้า ฉันเพล แล้วก็ทำกิจการงานต่าง ๆ ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เหมือนอย่างฆราวาสญาติโยมเขา”
“บวชมาแล้วก็ล่วงเกินสิกขาบทวินัยไตรสิกขาน้อยใหญ่เสียสิ้น ศีลวัตร ศีล ๒๒๗ ก็ล่วงเกิน จะเหลือก็แต่ปาราชิก ๔ ถึงเหลือก็เศร้าหมอง ล่วงเกินพระวินัยด้วยการขุดดิน ฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง กินข้าวแลงแกงร้อน (ฉันอาหารยามวิกาล) นั่งนอนเสื่อสาดยัดด้วยนุ่นและสำลี (ต้องอาบัติปาจิตตีย์) กินลาบดิบ ลาบวัว ลาบควาย พอญาติโยมเขาฆ่าวัวความยอยู่ในบ้าน ก็สั่งเอาเนื้อสันใหญ่ ๆ ตับ ไต เอามาลาบก้อยกินกันสนุกสนาน กินกับเหล้ากับยา สนุกสนาน”
นั่นแหละ ขุดดินฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ กินข้าวแลงแกงร้อนก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์นะ
นั่นแหละ “พอถึงช่วงเดือน ๑๒ เขาลงจับปลากัน ก็ให้เณรไปขอปลาและกุ้งเป็น ๆ มาลาบกินกันสนุกสนาน บางทีก็เข้าป่าหากระต่ายและอีเห็นมาหมกมาคั่ว (ทำอาหาร) กินกันสบาย”
“ทีนี้ฤดูทำนา เขาก็มานิมนต์ไปช่วยเขาดำนา แล้วก็กินเหล้ากินยา ลาบวัวลาบควาย สนุกสนานคุยสาว (จีบผู้หญิง) นะท่าน ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ไปเก็บเกี่ยวกับเขา กินเหล้ากินยา เล่นสาว (พูดเกี้ยวผู้หญิง) สนุกสนาน เวลานวดข้าว เขาก็มานิมนต์ไปนวดกับเขา เวลาเอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง เขาก็มานิมนต์ไปสวดมนต์ข้าวนะ แหม..กินเหล้ากินยาวันยังค่ำ ท่านเอ๊ย...สนุกสนาน ได้กินลาบไก่ ต้มไก่ สนุกสนาน”
“วันพระก็ตีกลองให้ผู้สาว (หญิงสาว) มาดายหญ้าในบริเวณวัด แล้วก็เล่นสาวสนุกสนาน งานบุญพระเวสสันดร มีการละเล่นต่าง ๆ ก็เล่นสาวสนุกสนาน จับโน่นจับนี่ เมื่อมีโยมตายในหมู่บ้าน เขานิมนต์ไปสวดกุสสลา มาติกาในงานศพ มีการละเล่นในงานนั้น ก็หยิบหยอกกับผู้สาว จับก้นจับขาจับของดี ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง นั่นแหละ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ”
“ทีนี้มาถึงเดือน ๕ เมษายน ขึ้นปีใหม่ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บอกว่า เอ้า...พระเราเป็นนาคนะ ฤดูนี้เราเป็นนาค เล่นน้ำได้ ไม่เป็นบาปเป็นกรรม นั่นแหละ มันก็สนุกสนาน เล่นน้ำปล้ำผู้สาว จับอกจับก้น จับของลับกันสนั่นหวั่นไหว แต่อาจารย์ไม่ให้เสพนะ ถึงอย่างนั้นมันก็เกิดความกำหนัดยินดีในกาม นั่นแหละกระทำกันอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ เสร็จแล้วก็มีการขอขมาลาโทษกัน ทำพิธีสู่ข้างเล่าขวัญ (พิธีขอขมา) อันนี้ต้องอาบัติทุกกฎนะ”
“นั่นแหละ ความไม่ดีทั้งหลายที่พวกข้าพเจ้าทำขึ้นจึงได้ส่งผลให้มาเกิดเป็นเปรตตกค้างอยู่ที่นี่”
นอกจากเปรตพระ ๓ ตนนี้แล้ว ก็ยังมีเปรตแม่ขาวนางชี (แม่ชี) ตกค้างอยู่ที่นั้นอีกมาก
พอถามว่า เมื่อไหร่จะพ้นกรรม เขาก็บอกว่าไม่รู้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นกรรมได้ เขาก็ไม่ทราบ จึงได้กำหนดจิตถามพระธรรมว่า
“เปรต ๓ ตนนี้ กับแม่ชีนั้น เคยเป็นญาติของเราบ้างไหม ?”
“โอ๋...เป็นมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่มาภพนี้ชาตินี้ เขาทำกรรมไม่ดี จึงมาเกิดเป็นเปรต นั่นแหละ จงช่วยเหลือเขาเสีย ถ้าเราไม่ช่วยแล้ว ก็ไม่มีใครช่วยเขาหรอก”
จากนั้น จึงพูดกับเปรตเหล่านั้นว่า “พระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำนั้น อย่างเพิ่งหึงหวงห่วงอาลัยนะ เมื่อมีพระเณรหรือญาติโยมมาเอา ก็ให้เขาไปเถิด เราจะได้พ้นจากบาปกรรมได้ เอ้า...เตรียมรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จะช่วยให้พ้นจากสภาพเปรตไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก และเมื่อข้าพเจ้าเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็มารับส่วนบุญนะ”
เจริญสมณธรรมอยู่ที่นั่นได้ ๒ - ๓ เดือน ก็มีแม่ชีคนหนึ่งมาบอกลาว่า
“ท่านอาจารย์ ดิฉันพ้นจากบาปกรรมชั่วช้าลามกแล้ว จะได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์อีก”
“ไปดีเถิด จงภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ ไปที่ อ.บ้านผือ หรือที่ จ.อุดรธานี โน่นแหละดี เพราะจะมีพระกรรมฐานผ่านมามาก”
ทีนี้พอล่วงมาถึงเดือน ๖ ก็ได้บอกพวกเปรตทั้งหลายว่า ปีนี้จะกลับไปจำพรรษากับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ที่วัดป่าบ้านหนองแซง ปีหน้า ถ้าบุญพาวาสนาส่ง จะกลับมาโปรดอีกนะ แต่แล้วก็อย่าได้ประมาท ขอให้พากันเดินจงกรม บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนา บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิต ทรมานจิต ให้มันเป็นไปในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้จิตอยู่กับนักปราชญ์ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นั่นแหละ จะเป็นจิตเกษมสำราญ พ้นจากกำเนิดเป็นเปรต ไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก โดยเร็วพลัน ช่วยตัวเองนะ อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ (ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน) พึ่งคนอื่นชื่นใจเป็นบางครั้ง ไม่เหมือนดั่งพึ่งตนผลทวี ตนจะเป็นคนดี หนีทุกข์โทษภัย ในวัฏฏสงสาร มีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า ก็เพราะตนทำดี สะสมบุญดีให้เกิดมีขึ้น เพราะตนพึ่งตน อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย
นั่นแหละ ต่อแต่นั้น ก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่บัว พอออกพรรษาแล้วก็กลับมาที่เก่าอีก ไปแล้วรู้สึกว่าเป็นเบา ๆ นะ พวกเปรตทั้งหลายนั้นหายไปหมดแล้ว เมื่อภาวนาจิตสงบแล้ว มีพวกเทวดาทั้งหลายมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เสร็จแล้วเทศน์ให้ฟัง แล้วก็ถามเขาว่า
“พวกเปรตพระ ๓ ตน กับแม่ชีทั้งหลาย หายไปไหนกันหมด”
เขาก็ตอบว่า “ท่านมาโปรดเขา เมื่อปีกลายโน้น เขาก็ได้เจริญสมณธรรมตามอย่างที่ท่านสอนนั้น แล้วก็รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ จึงได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์กันหมดแล้วละท่าน”
นั่นแหละ เรื่องการไปวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้สงเคราะห์ฝูงเปรตทั้งหลาย และผีสางคางแดงทุกอย่าง
นี่แหละการไปเจริญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ นั้น ก็ได้ธรรมะเกิดขึ้นสอนใจ เขาเป็นอย่างไรตกทุกข์ได้ยาก เป็นเปรตเป็นผีค้างโลกโลกีย์อย่างนั้น ก็เพราะทำบาปหยาบช้าลามก ลืมตน คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต ๆ พาไปหาผล คบคนชั่วพาตัวยากจน คบใครก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็น้อมมาเป็นธรรมะสอนเรา ถ้าเราเป็นผู้ประมาทแล้ว ต่อไปก็จะไม่แคล้วคลาดจากสมบัติ อย่างที่เขาได้นะ นั่นแหละ ข้อสำคัญมั่นหมาย
๑๕ เณรเปรต
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านโคกก่อง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี คืนนั้นนั่งภาวนาอยู่จนตี ๓ มีเปรตพระตนหนึ่ง กับเณรน้อยขี้กลากกินหัวเต็มไปหมด เดินผ่านมาทางหน้าถ้ำ จึงถามไปว่า
“จะไปไหนเล่า ?”
เขาก็ตอบว่า “จะไปบ้านจอมศรี ไปเยี่ยมพี่น้อง”
“อ้าว...พี่น้องสำคัญอย่างไร อาคันตุกะถึงวัดแล้ว ทำไมจึงไม่ต้อนรับ และแสดงที่พัก”
“โอ๋...ไม่มีเวลา มีแต่งาน”
“งานอะไรสำคัญ อ้าว...แล้วนั่น เณรน้อยทำไมขี้กลากกินหัว ?”
“มันกินข้าวแลง กินข้าวเย็น” เขาว่าอย่างนั้นนะ
“นั่นแหละ บ้านเรือนจะรั่วก็รั่วมาแต่ขื่อแต่แปโน่น อันนี้ฉันใด อาจารย์ก็กินข้าวเย็นด้วย ใช่ไหมเล่า ?”
“ใช่ !...”
“นั่นแหละ ประพฤติไม่ดี พากันล่วงเกินสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ บวชมาก็เป็นโมฆะ ไม่รักษาธุดงควัตร ศีลวัตร นั่นแหละ อยากทำอะไรก็ทำไป ตายแล้วจึงมาเป็นเปรตเป็นผีอย่างนี้ เป็นเปรตขี้กลากกินหัว บาปติดตามมาอย่างนี้ สมขี้หน้า”
ต่อว่าเขาไปอย่างนั้น เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะกลัวอำนาจ แล้วเขาก็ไม่มาหาอีก เพราะเห็นโทษของตนเองนั่นแหละ ก็เลยโปรดไม่ได้ เป็นเปรตค้างอยู่ที่นั่น
การไปภาวนายังที่ต่าง ๆ ก็ได้เห็นเป็นอย่างนั้น บางแห่งจิตสงบลงแล้ว ก็มีผีกองกอย สะมอยดง มาหา ก็ไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวอะไร พอจิตสงบแล้ว องอาจกล้าหาญชาญชัยทุกอย่าง เห็นชอบอย่างนั้น จะเป็นหรือจะตาย ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมหรอก
ฉะนั้น เรื่องผีเรื่องเปรตทั้งหลาย จึงไม่กลัวทั้งนั้น ผีสางคางแดงอะไรก็ตามเถิด ถ้าเรามีพระไตรสรณคมน์และศีลธรรมบริสุทธิ์สมบูรณ์แล้ว ทุกอย่างชนะหมดทั้งนั้น ไม่ต้องหวั่นไหว นอกนั้นก็เป็นมหาเสน่ห์ เป็นมหานิยม เป็นเครื่องดึงดูด นาค ครุฑ เทพยดาทั้งหลายทั้งปวง เห็นแล้วเย็นตาเย็นใจ
๑๖ เทศน์โปรดเทวดา
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ ๒ - ๓ ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับ พระอาจารย์บุญพิน
วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัวค่ำ ราวเที่ยงคืน จิตสงบแล้ว เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็มีฝูงเทพบุตรเทพยดาลงมาจากภูเขาใหญ่ ปัพตาเทวดา รุกขเทวดา รูปร่างใหญ่โตสวยงาม พูดจาเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะการด่าว่ากันหรอก เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕
ถามว่า “จะรับไปทำไม ?”
เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาติที่อยู่บนภูเขาใหญ่แล้ว จะได้ไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก เมื่อเห็นท่านมาอยู่ที่นี่ ก็ดีใจ เลยมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕”
เมื่อให้เสร็จแล้ว เขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า
“พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ฯ
นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลส เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องล้างบาปและเคราะห์เข็ญเวรร้าย นั่นแหละ เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้”
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป เข้าสู่ จ.อุดรธานี มีราว ๆ ๑๐๐ ตน เห็นจะได้
คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าแจ้ง เป็นวันใหม่ พระอาจารย์บุญพิน ก็มาถามว่า
“เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครฟัง ?”
“เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดา มาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เขาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เมืองอุดรธานีโน่น”
๑๗ เห็นสาวสวรรค์
ปี ๒๕๐๑ ได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่ วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ. หนองบัวลำภู) กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และหลวงปู่หลุย (จันทสาโร) ในสมัยนั้น วัดถ้ำกลองเพลยังไม่เจริญ ไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ เมื่อไปอยู่ที่นั่น ก็ตั้งใจทำความเพียรไม่ลดละ
เร่งรัดพัฒนาทำความเพียร ด้วยการอดนอน ผ่อนอาหาร ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ตั้งใจทำความเพียรอย่างนั้น อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญ เมื่อเดินจงกรมเสร็จแล้วก็ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำใหญ่ นั่งสมาธิกำหนด พุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ ไม่นาน จิตก็วาง พุทโธ แล้วจิตก็รวมลงสู่ภวังคภพอันแน่นแฟ้น อุปจารธรรม เกิดขึ้น มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืนเหมือนกลางวัน สว่างโร่อย่างนั้น
ไม่นาน มีฝูงเทพยดาทั้งหลาย มีแต่ผู้หญิงล้วน ๆ รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร สวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ถือธงแดงและธูปคนละอัน ลงมาจากฟากฟ้า มาถึงถ้ำแล้วก็เอาธงปัก จุดธูปแล้วก็พากันกราบไหว้ กราบที่ ๑ ว่า พุทโธ กราบที่ ๒ ว่า ธัมโม กราบที่ ๓ ว่าสังโฆ สรณังคัจฉามิ เสร็จแล้วก็ทำวัตรเย็น จากนั้นก็สวด ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร ทั้ง ๓ สูตรนี้ เขาเรียกว่า ราชาธรรม เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมด
เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว เขาก็นั่งภาวนา นานนะ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมงนะ เรียบร้อยดี สงบดี เมื่อเสร็จแล้วเขาก็กราบ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วเขาก็จะจากไป จึงได้กำหนดถามเขาว่า
“โยม...มาจากที่ใด ?”
เขาก็ว่า “ท่านอาจารย์ พวกดิฉันมาจากเมืองสวรรค์”
“มาที่นี่เพื่อประโยชน์อันใดหรือโยม ?”
เขาก็ตอบว่า “มาบูชาแก้ว ๓ ประการนะท่าน”
“บูชาเพื่อประโยชน์อะไร ?”
“เพื่อบำเพ็ญกุศลทานนะท่าน เพราะแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้น เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียนและของหอม”
ถามเขาไปอีกว่า “อยู่บนสวรรค์ ไม่ได้บำเพ็ญหรือโยม ?”
“บำเพ็ญอยู่เหมือนกัน แต่ได้รับผลน้อย ไม่ได้มากเหมือนบำเพ็ญอยู่ในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ ทำน้อยได้มาก ทำมากก็ยิ่งได้มาก เพราะเป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญบุญกุศล จะไปสวรรค์หรือพรหมโลก ก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในเมืองมนุษย์นี้ก่อน จะไปพระนิพพาน พ้นทุกข์จากโลกสงสาร ก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในศาสนาพุทธ ในเมืองมนุษย์นี่เสียก่อน จึงจะได้ นอกนั้นไม่มี”
นั่นแหละ ในสมัยศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสโปโน้น พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นหญิงชาวบ้านชาวเมือง พากันประพฤติวัตรปฏิบัติขัดสีแก้วทั้ง ๓ ประการให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยการเดินจงกรมบูชาแก้ว ยืนภาวนาบูชาแก้ว นั่งสมาธิบูชาแก้ว ไหว้พระสวดมนต์บูชาแก้วทั้ง ๓ ดวงนี้ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ ไม่ลดละ ล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น ทานการกุศลสิ่งใดที่ให้แก่สมณะชีพราหมณ์นั้น ก็จะกลายเป็นของทิพย์ไปรอคอยอยู่บนสวรรค์หมดทั้งนั้น”
“ฉะนั้น เมื่อพวกข้าพเจ้าไปเกิดบนสวรรค์ ก็มีแต่ความสุขสำราญ เป็นผลมาจากการประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาถึง ๒ หมื่นปี ในสมัยศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสโป ผู้คนมีอายุยืน ๒ หมื่นปีนะท่าน”
พวกเทวดาเหล่านั้นก็ล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงาม มีผิวสีขาว เหลือง แดง ไว้ผมยาว มีสายสร้อยรอบตัว นุ่งผ้ายาวครึ่งแข้งเหมือนคนโบราณ เวลาเดินก็งาม พูดก็งาม อะไร ๆ ก็ดูสวยสดงดงามทั้งนั้น เหมือนกับพระจันทร์วันเพ็ญ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้ว ไกลกันเหมือนฟ้ากับดินนะ ดูมนุษย์เราแล้วเหมือนกับลิง
จากนั้นเขาก็ฝากธรรมะว่า
“ท่านอาจารย์ ขอได้โปรดไปแนะนำพร่ำสอนญาติโยมทั้งหลาย ให้พากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ และพากันเดินจงกรม ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิต ทรมานจิต นั่งสมาธิ ยืนภาวนา ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิตให้มันดี นั่นแหละ จะเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ เหมือนดังที่พวกข้าพเจ้าทำอยู่อย่างนั้น ๒ หมื่นปี เมื่อสิ้นลมแล้ว เหมือนกับว่านอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้นฉะนั้น”
“ให้เอาศรัทธาเป็นไม้ถ่อและไม้พายนะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นเรือขี่ข้ามโอฆสงสาร ไปพระนิพพาน ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นที่พึ่ง จะพาขึ้นสู่สวรรค์ จนกระทั่งถึงพระนิพพานได้”
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป ปลิวขึ้นสู่อากาศเหมือนกับนุ่นต้องลม ปลิวเข้าสู่กลีบเมฆหายไปเลย ขณะที่สนทนากันนั้น ลืมถามไปว่า พวกเขาเหล่านั้นมาจากสวรรค์ชั้นใด ได้ถามแต่ว่า
“ทำไมจึงมีแต่นางเทพยดา ไม่เห็นมีเทพบุตร ?”
เขาก็ตอบว่า “เมื่อครั้งที่พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ได้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา นั้น ไม่มีพวกผู้ชายไปบำเพ็ญด้วย ดังนั้น เมื่อไปเกิดบนสวรรค์จึงไม่มีเทพบุตร”
นั่นแหละ ทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้น รุ่งเช้าไปทำกิจวัตร หลวงปู่ขาวท่านถามว่า
“เมื่อคืนนี้ภาวนาเห็นอะไรบ้าง ?”
“หลวงปู่ครับ ผมตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่นอนทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อคืนนี้ ภาวนาแล้วจิตสงบ เห็นสาวสวรรค์ลงมาจากสวรรค์ในราว ๖๐ คน มีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงาม ถือธงแดงและธูปมาคนละอัน เอามาปักไว้หน้าถ้ำ แล้วก็พากันไหว้พระสวดมนต์ จบแล้วก็นั่งภาวนา เสร็จแล้วก่อนที่เขาจะจากไป ได้ถามเขาว่า มาจากไหน เขาก็ตอบว่า มาจากเมืองสวรรค์”
หลวงปู่ขาว ท่านก็ว่า “ปัจจัตตัง จะรู้เห็นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติ ผู้นั้นก็จะเห็นเองนะ แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจิตไม่สงบ ก็ไม่เห็น เมื่อจิตสงบลงสู่อุปจารธรรม แล้วจะเห็นได้ เพราะจิตเข้าสู่ภพเดียวกับพวกเขาเหล่านั้น”
นั่นแหละ ก็เห็นจริงแจ้งชัดประจักษ์ว่า สวรรค์นั้นมีจริง ถึงแม้จะไม่ได้ไปเห็นเมืองสวรรค์ แต่ก็ได้เห็นนางเทพยดาทั้งหลาย เหาะลงมาจากฟ้า ลงมาไหว้พระสวดมนต์และนั่งภาวนา อยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลนั้น
๑๘ ถวายชีวิตพรหมจรรย์
จากนั้น สมัยหนึ่ง ขึ้นไปภาวนาที่ถ้ำผาบิ้ง ซึ่งอยู่ในบริเวณวัดถ้ำกลองเพลนั่นแหละ ภาวนาอยู่ ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่นอน ข้าวก็ไม่กิน กินแต่น้ำ เดินจงกรมอย่างหนัก อานิสงส์ของการเดินจงกรม มี ๕ อย่างนะ
๑. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเผาผลาญอาหารให้ย่อยยับ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น
๒. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเผาเส้นเลือดลมให้เดินสะดวก ทำให้ร่างกายอบอุ่นดี
๓. เดินจงกรมมาก ๆ ทำให้อดทนต่อการเดินทางไกล โดยไม่ปวดแข้งปวดขา
๔. ผู้เดินจงกรมนั้น จิตจะสงบลงสู่สมาธิได้ และสมาธิของบุคคลผู้นั้นจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญขึ้น
๕. ผู้เดินจงกรม เมื่อจิตสงบแล้ว จะได้เห็นเทพยดาถือธูปเทียนมาบูชา
ในวันนั้น เมื่อเดินจงกรมจนจิตสงบแล้ว ก็ได้เห็นจริง ๆ นะ เป็นฝูงเทพยดามานั่งถือธูปเทียนบูชาอยู่เป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ ๒ - ๓ คน จึงกำหนดถามไปว่า
“มาทำอะไร ?”
เขาก็ตอบว่า “มาบูชา อนุโมทนาส่วนบุญกับท่าน”
“เออ เอา ...อยากได้ก็ตั้งใจเอา”
นั่นแหละ ปีติเกิดขึ้น ร่าเริงบันเทิงใจดีในวันนั้น เสร็จแล้ว ๔ - ๕ ทุ่ม ก็เข้าที่ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดจิตวางพุทโธพับ จิตก็รวมพับ ลงสู่ภวังคภพ อุปจาระ อันแน่นแฟ้น นั่นแหละ ในขณะนั้นก็ร่าเริงบันเทิงดี
ทีนี้ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์ จนถึงสภาพตาย เปื่อย เน่า สาบสูญไม่มีอะไร ทีนี้ก็กำหนดถามผู้รู้ว่า
“ธรรมที่ประพฤติมานี้ ได้มาจากอะไรบ้าง ?”
“โอ๋...กิจวัตรทุกประเภท ปัดกวาดเสนาสนะ กุฏิ วิหาร ศาลา เป็นบุญทั้งนั้น เป็นมรรค เป็นเครื่องส่งนะ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ให้อยู่เย็นเป็นสุข ก็เป็นมรรคเป็นเครื่องส่งทั้งนั้น อดนอนผ่อนอาหารก็เป็นบุญใหญ่ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ก็เป็นบุญทั้งนั้น นั่นแหละ ทำเอาทุกอย่างให้มันเป็นมรรค เป็นเครื่องส่ง”
แล้วก็กำหนดพิจารณาธาตุขันธ์อีกต่อไป เอามีดปาดเถือเนื้อออกทั้งหมดเป็นชิ้น ๆ เอาไปบูชาแก้ว ๓ ประการ นั่นแหละ จิตรวมใหญ่พึบ ก็เหลือแต่ผู้รู้กับสติเท่านั้น เมื่อเห็นผลเกิดขึ้นเป็นเช่นนั้น ก็มั่นใจ จึงได้ถวายชีวิตพรหมจรรย์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
นี่แหละ ก่อนที่จะถวายชีวิตได้ ก็เพราะได้เห็นของจริงเกิดขึ้น ลึกซึ้งอัศจรรย์ นั่นแหละ ก็เลยถวายชีวิตเพศพรหมจรรย์ตั้งแต่วันนั้น ไม่กลับโลกอีก นี่ข้อสำคัญมั่นหมาย
คืนนั้น นั่งภาวนาคืนยันรุ่ง ตอนเช้ามาทำกิจวัตร หลวงปู่ขาว ท่านถามว่า
“ทา...พ้นทุกข์หรือยัง ? ผมเข้าใจว่าท่านพ้นทุกข์แล้วนะ เพราะเห็นท่านนั่งภาวนาแล้ว มีรัศมีรุ่งโรจน์คืนยันรุ่งนะท่าน”
“โอ๋...ยังหรอกครับ หลวงปู่ แต่ว่าตั้งแต่ผมบำเพ็ญความเพียรกับหลวงปู่มาหลายปีแล้ว รู้สึกว่า เมื่อคืนนี้จะสำคัญที่สุดกว่าทุกคืนนะ จิตรวมลงเห็นธรรม โอ้...น่าเลื่อมใส แปลกประหลาดใจ จนถวายชีวิตพรหมจรรย์ได้ไม่หวั่นไหวทั้งนั้น ไม่กลับโลกอีกแล้ว”
แต่ก่อน จิตยังไม่สงบ ฝึกยังไม่ทันได้ ก็ไม่เห็น เมื่อจิตฝึกได้สงบลงไป มันก็เห็นเป็นอย่างนั้น เปรต ผี ช้าง เสือ ยักษ์โขโมฬี มีอยู่ ผีกองกอย สะมอยดง ร้องสนั่นหวั่นไหว ค่ำมาแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร จิตสงบลงไปเป็นครั้ง ๆ แหม...ฝูงรุกขเทวดา ภุมเทวดา ปัพตาเทวดา อากาสาเทวดานั้น หญิงชาย จุดธูปเทียนบูชาอยู่เป็นกลุ่ม ๆ สาธุการส่วนบุญ สนั่นหวั่นไหว
ทีนี้ เราฝึกอบรมตนได้แล้ว เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นหอม แมลงภู่ผึ้งมาตอมเอาเกสรไปทำรวงรัง นั่นแหละ ฝูงเทพบุตร เทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น เปรียบเหมือนแมลงภู่ผึ้ง มาสาธุการส่วนบุญ จุดธูปเทียนบูชา นี่มันก็เห็นอานิสงส์ที่ประพฤติปฏิบัติมาอย่างนั้น แล้วก็มีกำลังใจ มาตลอดจนถึงทุกวันนี้
๑๙ บุพเพชาติปางก่อน
ในตอนเย็นวันหนึ่ง นั่งแปล ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนจบ แล้วก็เข้าที่ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ จากนั้นก็นั่งภาวนา วันนั้น จิตรวมใหญ่ พอจิตสงบลง ก็มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น แล้วพระธรรมก็ยกเพศนักบวชมาให้เห็น ยืนอยู่ตรงหน้า แหม รูปร่างสวยงาม แต่ไม่ใหญ่โตนะ มีขนาดเท่ากับปัจจุบันนี้แหละ และพระธรรมก็พูดขึ้นว่าง
“นี่แหละสมบัติของท่าน ยกเอามาให้ดู เป็นสมบัติที่ดี ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าสิขี ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขึ้นไปอีก ๕ พระองค์นั่นแหละ ท่านได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ตั้งแต่เป็นเณรไปตลอดจนถึงวันตาย นั่นแหละ ไม่หวั่นไหวในเรื่องโลกสงสาร พอใจใฝ่ฝันในการทำดี เพราะเบื่อหน่ายในภพชาติสังขารที่ได้ไปอบายเสียเป็นส่วนมาก ได้มีโอกาสทำคุณงามความดีเพียงชาติเดียวเท่านั้น และก็ได้มอบกายถวายชีวิต รักษาเพศพรหมจรรย์ไว้ บวชจนตลอดชีวิต ไม่สึกไปสร้างโลก ไม่หวั่นไหวในเรื่องกิเลสทั้งนั้น จนกระทั่งได้เอาผ้าเหลืองห่อร่างเข้ากองไฟไปเลยนะในชาตินั้น นั่นแหละ เป็นปัจจัยใหญ่ที่ชาตินั้นได้บวช ทำคุณงามความดีไว้ ได้ศึกษาพุทธวจนะฝังไว้ที่ใจ ไม่สาบสูญหายไปไหนหรอก มาชาตินี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือก็ตามที แต่คุณงามความดีที่ได้ทำไว้ ก็ดลบันดาลให้มาได้บวชอีก ถ้าชาตินั้นไม่ได้บวช มาชาตินี้ก็ไม่ได้บวชนะ”
ทีนี้ก็กำหนดถามพระธรรมต่อไปว่า “ชาตินี้ภพนี้จะไปพระนิพพานตามพระพุทธเจ้าได้ไหม ?”
“แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ”
“อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย ?”
“เหตุ ก็ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เดิน ยืน นั่ง พิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์อย่างนั้น นี่เรียกว่า การประกอบเหตุดี”
“ปัจจัย ได้แก่ บุญกุศลแต่ชาติปางก่อนโน้น ถ้ามันสมดุลกันแล้วก็ไปได้ บุญกุศลนั้นจะเป็นเครื่องตัดกระแสของสงสารไปได้”
“ถ้าปัจจัยเต็มแล้ว แต่ขาดเหตุ หรือว่าเหตุพร้อมแล้ว แต่ขาดปัจจัย ก็ไปไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้น มันต้องพร้อมมูลทั้งสองอย่าง มันจึงจะไปได้ นั่นแหละ ไม่ต้องสงสัย”
“แต่ถึงจะไปได้หรือไม่ได้ก็ตามที ก็อย่าได้หวั่นไหวในการประพฤติปฏิบัติศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะทำน้อยหรือมาก ก็เป็นบุญเป็นกุศล เป็นนิสัย เป็นปัจจัยทั้งนั้น”
นั่นแหละ พระธรรมพูดขึ้นมาอย่างนั้นแล้วก็ดับสูญไป
ถ้ามีผู้ถามว่า “อยากจะสึกไปสร้างโลกกับเขาอีกหรือไม่ ?”
“โอ๋...อย่าคิดเสียเลย เสียเวลาภาวนา ชาติก่อนเคยเป็นมาอย่างไร ชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนั้น ในชาติปางก่อน เคยบวชอยู่จนตายในเพศพรหมจรรย์ หามเข้ากองไฟไปเลย ชาตินี้ก็จะไปอย่างนั้น”
เห็นพระเณรอยากสึก มาขอสึก แล้วรู้สึกใจหายนะ ใจร้อน สงสาร เมตตา เพราะอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมอ่อน สติปัญญาก็อ่อน ตัดวัฏฏสงสาร กระแสแห่งความทุกข์ไม่ได้ ก็ไปตามเวรกรรมเถิด ไม่ว่ากัน พอหันกลับมามองเพศพรหมจรรย์แล้ว ก็รู้สึกเย็นตา เย็นใจนะ ใจสบาย นี่เป็นเพราะปัจจัยเก่าสร้างสมมาอย่างนั้น
จากนั้นจิตก็รวมอีก พระธรรมก็ยกบุพเพชาติมาให้เห็นอีก เป็นจระเข้ใหญ่นอนอยู่ในถ้ำ จึงถามว่า
“นี่คืออะไร ?”
“นี่แหละ ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ ชาติภพของท่านที่เป็นมาแต่ชาติปางก่อนโน้น”
“เป็นอย่างนี้ก็เป็นหรือ ?”
“เป็น”
“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”
“เพราะกลืนยาพิษ ความโลภ โกรธ หลงนั้น คือยาพิษใหญ่ฉาบทาจิตใจไว้ ไม่ทีที่พึ่ง คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้น เมื่อตายแล้ว จึงไปเสวยภพชาติเป็นจระเข้”
“นานเท่าใด ?”
“โอ๋...เป็นแสน ๆ ชาติ นะท่าน”
“เพราะเหตุใดจึงนาน ?ไ
“เพราะไปเกิดเป็นจระเข้ใหญ่ อาศัยอยู่ในห้วยหนองคลองบึง ลึกกว้างใหญ่ สัตว์ตัวเมียก็มาก ดังนั้นจึงไปติดในกิเลสกาม วัตถุกาม อาหารก็ไม่อดไม่อยาก อยู่กินสนุกสนานนั่นแหละ โลกคือหมู่สัตว์ ถึงจะไปเกิดเป็นภพชาติใด ถ้ากิเลสกับกรรมนั้นครอบครองหัวใจแล้ว ก็จะชักพาหลอกลวงให้หลงติด หลงยึดอยู่ในภพชาตินั้น ๆ ไม่รู้จักเบื่อหน่าย ดังนั้น กว่าจะเปลี่ยนชาติภพมาได้จึงนานแสนนาน”
จากนั้น พระธรรมยกบุพเพชาติขึ้นมาอีก เป็น ตะขาบใหญ่วิ่งเข้ามา ร้องว่า อ๊ด... ๆ ... ๆ
“นี่คืออะไร ?”
“นี่แหละ บุพเพชาติปางก่อนที่ท่านได้เสวยมาแล้ว”
“โอ๋... ตะขาบก็เป็นหรือ ?”
“เป็น”
“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”
“เพราะกลืนยาพิษนั่นแหละ ยาพิษ คือ โลภ โกรธ หลง และไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ที่ดวงจิต”
“นานเท่าใด”
“เป็นแสน ๆ ปี นะท่าน”
โอ๋... เห็นแล้วก็สลดสังเวชใจ จนน้ำตาไหล
จากนั้นก็เกิดเป็นภาพงูใหญ่วิ่งเข้ามา ร้องว่า
“วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ”
นี่แหละ ภพชาติปางก่อนยกมาสอนให้ดู ก็ได้ความสังเวชสลดใจ เพราะมันตายสาบสูญหมดเสียสิ้น พอตายแล้ว ดวงจิตออกจากร่างไปไหน ไปเกิดเป็นหมี มีครอบครัว มีบุตร มีภรรยา มีบุตร ๒ ให้ภรรยาเลี้ยงดูบุตร ส่วนตัวเอง ออกไปหาอาหาร ผลไม้ และรวงผึ้งมาเลี้ยงทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่ง มีเสือโคร่งใหญ่มากัดบุตร กลับมาเห็นพอดี ก็กัดกันเลยนะ
กูก็ตาย มึงก็ตาย นั่นแหละ ตายจากหมีแล้วไปไหน ดวงจิตออกจากร่าง ไปเกิดเป็นหมูตัวใหญ่
ผู้ชนะย่อมแพ้ ผู้แพ้ย่อมก่อเวร นั่นแหละ เมื่อไปเห็นก็กัดกันอีก เขาก็ตาย เราก็ตาย
ดวงจิตออกจากร่างหมูแล้วไปไหน เหลือบไปเห็นลิงอยู่บนยอดไม้ โอ๋...ไปเกิดเป็นลิงดีกว่า จะได้พ้นจากปากเสือ ก็เลยไปเข้าท้องลิง
เกิดมาเป็นลิง หากินผลหมากรากไม้ตามต้นไม้ ก็เลยพ้นจากปากเสือไปได้ ขณะนั้น พ่อแม่เที่ยวไปตามชายเขา ไปเห็นวัดแห่งหนึ่งเป็นวัดพระกรรมฐาน ตั้งอยู่กลางภูเขาลำเนาไพร พอแม่ก็เลยพาไปฟังธรรมะ
พระก็เทศน์ว่า “โย จะ ปุคคะโลฯ บุคคลทั้งหลายทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานก็ดี เมื่อมาเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมเป็นเครื่องประดับ เป็นเครื่องล้างบาปแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า”
พ่อแม่ก็เลื่อมใส อยากเปลี่ยนภพชาติ ก็เลยไปศึกษากับพระที่เป็นหัวหน้าว่า
"ข้าพเจ้าเป็นลิงจะปฏิบัติธรรมได้ไหม ?"
"ได้...ไม่เป็นไร ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะหรอก มนุษย์ก็ทำได้ สัตว์ก็ทำได้"
พ่อแม่ก็เลยพาไปรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ เสร็จแล้วพระก็บอกว่า
"ลิง... พวกแกขึ้นต้นไม้ได้เร็ว ผลไม้สุกมีอยู่เต็มป่านั้นไปเก็บเอามาไว้ใส่บาตรพระกับโยมมนุษย์ทั้งหลายเขา พวกใบไม้ที่กินเป็นอาหารได้ก็ไปเก็บมาไว้ทำทาน"
ก็เลยทำอยู่อย่างนั้น เพราะอยากเปลี่ยนภพชาติ ได้ผลไม้มาลูกไหนที่ไม่สวยไม่ดีก็เก็บไว้กินเอง ส่วนลูกที่ดีและสวยงามเก็บไว้ใส่บาตรพระบำเพ็ญบุญ จากนั้นก็เข้าป่าหาหัวเผือกหัวมันต้มถวายพระ บำเพ็ญบุญเช่นนั้นเรื่อยมา
ต่อมามีอุบาสิกาคนหนึ่งเป็นหัวหน้าเพื่อน มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬาร มีเสียงกังวาน เห็นแล้วก็ชอบใจ เพราะเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ บำเพ็ญบุญกุศลวัตรไม่ลดละ ก็คิดในใจว่า ถ้าเราสิ้นลมจากลิง เราจะไปเข้าท้องอุบาสิกาคนนี้
พอดีอายุสังขารร่วงโรยหมดสิ้นลงก็สิ้นลม ขณะนั้นสติปัญญาตามจิตทันอยู่ ด้วยความห่วงใยอาลัย เมื่อจิตออกจากร่างลิงก็ไปเข้าท้องอุบาสิกาคนนั้น พอครบ ๑๐ เดือน ก็คลอดออกมา
โอ๋...เราเปลี่ยนภพชาติได้แล้ว เพราะเราทำคุณงามความดีกับพระกับมนุษย์ อำนาจของพระไตรสรณคมณ์ และศีล ๕ รักษาไว้ไม่ให้ไปอบาย และทำให้เปลี่ยนภพชาติมาเป็นมนุษย์ได้
พออายุได้ ๗ ปี พ่อแม่ก็เลยให้บวช เพราะเห็นเป็นคนว่องไวดี คงจะศึกษาเล่าเรียนดี พ่อแม่ก็พาไปถวายพระกรรมฐาน ผู้เป็นหัวหน้า พระกรรมฐานนั้นก็ว่า
"โอ๋...ลูกรัก เมื่อชาติก่อนเจ้าเป็นลิงนะ มาทำคุณงามความดีอยู่กับมนุษย์ที่นี่ ก็เลยได้เปลี่ยนภพชาติจากลิงไปเป็นมนุษย์ ก็ดีแล้ว ฉะนั้น บวชเป็นเณรเสียเลย"
พอบวชแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพุทธวจนะได้คล่องแคล่วดี จากนั้นก็เทศนา สั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ลดละ ตราบจนสิ้นชีวิตสังขาร
รวมที่ญัตติเป็นพระด้วย ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละดับขันธ์แล้วก็มีความเบิกบานสำราญใจดี นี่เป็นปฐมเหตุของการสร้างคุณงามความดี
เรื่องบุพเพชาติแต่ปางก่อน ก็ได้เห็นเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ตอนแรกเป็นลิง เปลี่ยนจากลิงมาเป็นมนุษย์ ทำคุณงามความดีสูงสุดมาเป็นระยะ ๆ อันนี้จึงได้ชื่อว่า
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโลกที่ชั่ว
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้
เมื่อเห็นจริงเช่นนี้แล้วก็สิ้นสงสัย ในโลกทั้งสาม (กามโลก รูปโลก อรูปโลก) นี้ ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะเป็นที่พึ่งอันเอก นอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้น นั่นแหละ ได้ประพฤติวัตรปฏิบัติมาอย่างนี้
ฉะนั้น ทุกท่านเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว จงโอปนยิโก น้อมไว้ที่ใจ ใคร่ในธรรมะ นำประพฤติวัตรปฏิบัติตามธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าให้จงได้ สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้อยู่ทุกเมื่อ อย่าได้ประมาทว่าบุญกุศลเล็กน้อยเมื่อไหร่จะให้ผล เมื่อหมั่นสะสมไว้ทีละเล็กทีละน้อย ก็ย่อมให้ผลใหญ่ในเบื้องหน้า อุปมาเหมือนอย่างบุคคลอยากได้น้ำฝนและน้ำค้าง ก็เอาโอ่งอ่างกระถางไปตั้งไว้ในที่กลางแจ้ง ก็ย่อมเต็มด้วยน้ำค้างและน้ำฝนที่หยดลงมาทีละหยด ๆ อันนี้ฉันใด ปราชญ์ทั้งหลายผู้ฉลาดในการสะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ ก็ย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุขความเจริญทุกทิวาราตรีกาล ดั่งน้ำในคงคาวารีไหลลงมาสู่ท้องมหาสมุทรไม่รู้หยุดรู้หย่อน ทั้งกลางวันและกลางคืนอันนี้ฉันใด กุศลผลบุญก็มีอุปไมยฉันนั้น
ดังครั้งพุทธกาลโน้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเทศนาแก่ อนาถปิณฑิกเศรษฐีว่า
“เอสา เทวะมนุสสานัง นิธิ ดูก่อน มหาบดีเศรษฐี ขุมทองกองบุญกองกุศล อันมนุษย์และเทวดาทั้งหลายที่สะสมอบรมใส่ตนไว้เต็มเปี่ยมแล้วนั้น แม้จะปรารถนาใด ๆ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ และทุนสารสมบัติใดนั้น ก็จะสำเร็จได้ นอกจากนั้น จะเป็นสะพานไต่เต้าเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ข้ามเสียซึ่งอำนาจของมารอันธพาลน้อยใหญ่”
นั่นแหละ ต่อแต่นั้นไป ขอให้ตั้งใจประพฤติวัตรอยู่เป็นนิจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ วัตร เป็นเครื่องปิดอบาย นายโก เป็นผู้นำโลกออกจากหมู่สัตว์ ไปถึงพระนิพพานได้ บุญกุศลน้อยใหญ่สะสมให้มีขึ้นซึ่ง ทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา วัตร มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ สมถะ วิปัสสนา เป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลส อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ให้ขาดจากใจ ทำความเห็นให้เป็นผู้ไม่มีภัยและเวร เป็นเหตุยังใจให้ได้ดื่มรสของความสงบโดยลำดับ นับว่าเป็นผู้ทำชีวิตให้เป็นไปด้วยประโยชน์สุข ด้วยความเห็นที่ดี เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ในองค์มรรค อันเป็นเครื่องยังมารและเสนามารให้ลุ่มหลงและเป็นที่ไม่ค้นพบแห่งพญามัจจุราช อันบุคคลที่มีสัมมาปฏิบัติเช่นนี้ ได้ชื่อว่า เป็นผู้ยังคุณสมบัติอันดีเลิศ คือ บุญกุศลมรรคผลธรรมวิเศษให้เจริญตามกาลและขั้นแห่งวัย แม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปมากเท่าไร คุณงามความดีก็เจริญตามกาลไปเช่นนั้น ถึงแม้จะมีชีวิตเป็นอยู่เพียงวันเดียว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเรียกว่า ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญแล้ว อะโมฆันตัสสะ ชีวิตัง ความเป็นอยู่ของบุคคลนั้นไม่เปล่าจากประโยชน์เลย
อวสานแห่งการพรรณนาเรื่อง “ธรรมพเนจร” ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ก็พอเป็นเครื่องเตือนจิตใจของท่านผู้ใคร่ธรรมทั้งหลาย ก็สมควรแก่กาละเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ ขอเดชานุภาพแห่งคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จงเป็นปฏิภานุบาย บำบัดเสียซึ่งอุปัทวันตราย ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงได้ประสบแต่ความสุขความเจริญทุกทิวาราตรีกาลเทอญ
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้แล
ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com