ประวัติ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร - วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต) หมู่ที่ ๓ ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี - webpra

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร

ประวัติ วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต) หมู่ที่ ๓ ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี

 

 หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร  วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต)  หมู่ที่ ๓ ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร 
วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต) 
หมู่ที่ ๓ ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี 

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโส 
ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ 

 

 หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

 

 หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

 

 หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

 

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พระผู้มีปัญญาหลักแหลม
เป็นที่หนึ่งในศิษย์ “ทายาทธรรม” ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 

เมื่อเดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์
บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
ปีนั้นอากาศที่เมืองเลยหนาวมากจนมือเท้าเป็นตะคริว
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านจึงพาพระเณร ตาผ้าขาว
ออกไปหาฟืนในบริเวณป่ารอบๆ หมู่บ้านโคกมน

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เล่าว่า
หลวงปู่ชอบท่านเป็นผู้ที่มีความละเอียดอ่อน
รู้คุณค่าของเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่าง
ไม้ฟืนหากนำมาก่อไฟหุงต้มแล้วหากฟืนท่อนนั้นยังเหลือ
หลวงปู่ท่านจะเอาน้ำมาดับไฟให้มอดสนิท
และองค์ท่านจะจัดเก็บฟืนท่อนนั้นไว้ใช้หุงต้มในครั้งต่อๆ ไป
ท่านจะไม่ทิ้งฟืนให้ไหม้ไฟไปโดยเสียประโยชน์

หลวงปู่ชอบท่านจะไม่ให้พระเณรเถรชีในวัดก่อไฟผิงแก้หนาว
ท่านจะให้ลูกศิษย์แก้หนาวโดยการเดินจงกรมให้มากๆ
เพื่อปลุกเร้าธาตุไฟอบอุ่นร่างกาย
เว้นไว้แต่พระเณรเถรชีรูปนั้นๆ มีอาพาธรบกวนธาตุขันธ์
ท่านจึงจะอนุญาตให้ก่อไฟผิง

องค์ท่านเทศน์สอนลูกศิษย์ว่า ถ้ามัวแต่พากันมานั่งสุมหัวผิงไฟ
มันก็จะสุมหัวคุยกันตามประสากิเลสกิโลมันจะพาคุย
เรื่องที่คุยกันก็มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาลามก
คุยกันแล้วก็ไม่พากันทำความเพียรเดินจงกรมภาวนา
พอดึกค่อนคืนก็ง่วงเหงาหาวนอน ต่างคนต่างคลานเข้ามุ้ง
ไปนอนกอดอีสาดอีหมอนทิ้งวันทิ้งคืนไปเฉยๆ

เอะอะขึ้นมาพออากาศหนาวนิดๆ หน่อยๆ
มันก็จะพากันเตรียมก่อไฟผิงอย่างเดียว
มัวแต่ห่วงร้อนห่วงหนาวอยู่อย่างนี้
เวลาไปอยู่ในป่าในเขาเจออากาศที่มันเย็นหนาวมหาโหดแล้ว
มันจะไม่พากันแข็งกระด้างค้างตายกันหรือ
ต้องฝึกฝนตนเองให้อยู่ได้กับทุกสภาพอากาศซิ
ฝึกตนเองให้อยู่กับร้อนให้เป็นอยู่กับเย็นให้ได้
ถ้าอยากอยู่สบายจริงต้องอยู่กับทุกข์ให้เป็น
เอาทุกข์เวทนานั้นแหละมาฝึกฝนจิตใจของตนเองให้เข้มแข็ง

ถ้าหนาวมากก็อย่านอนขดอี้จู้เป็นครูหมอนกิ่ว
ถ้านั่งภาวนาอาการเหน็บชามันก็จะเกิดเร็ว
เวทนามันก็จะโหมใจอย่างหนัก ให้เดินจงกรมเอา
เดินให้มากๆ เดินให้นานๆ เดินเพื่อปลุกเร้าธาตุไฟ
ให้มาช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย
หัดมีปัญญาตั้งแต่หนุ่มแต่น้อยสิ
เฒ่าชะแรแก่ชราแล้วมันจะได้ไม่โง่เง่าเต่าตุ่น
จะได้เอาสติปัญญาที่ตนฝึกฝนอบรมมา
ไปบอกสอนคนรุ่นหลังเพื่อสืบทอดปัญญาต่อๆ ไป...

หลวงปู่จันทร์เรียนถ่ายทอดคำสอนขององค์หลวงปู่ชอบ
โดยท่านหัวเราะอย่างใหญ่ ท่านปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนลั่นถ้ำสหายฯ
เวลาหลวงปู่จันทร์เรียนเล่าเรื่ององค์หลวงปู่ชอบแล้ว
ดูสีหน้าแววตาท่านฮึกเหิมห้าวหาญดี
ฟังท่านเล่าแล้วเราพลอยสนุกสนานไปกับท่าน ถึงแม้จะต่างยุคสมัยกันก็ตาม

พระเณรเถรชีที่อยู่ปฏิบัติกับองค์หลวงปู่ชอบสมัยก่อน
แต่ละท่านจึงมีความอดทนต่อดินฟ้าอากาศ และความหิวโหยมากเป็นพิเศษ
เรื่องใดที่องค์หลวงปู่ชอบสั่งห้ามแล้ว พระเณรเถรชีจะต้องถือปฏิบัติกันให้ได้
หากผู้ใดปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์ท่านไม่ได้แล้ว
จะอยู่ปฏิบัติร่วมสำนักกับท่านไม่ได้
พระเณรสมัยนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื้อด้านฝืนคำขององค์ท่าน...

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่าปีนั้นอากาศมันหนาวมาก
แม่ชีที่วัดจึงพากันแอบเอาฟืนที่หลวงปู่ชอบและพระเณรหามาไปก่อไฟผิง
แม่ชีพากันนั่งผิงไฟคุยกันจนดึกดื่นค่อนคืนจึงแยกย้ายกันกลับที่พัก
โดยทิ้งท่อนฟืนไหม้ไฟไว้เป็นอนุสรณ์
การพูดคุยสนทนากันของแม่ชีกลุ่มนี้ในคืนนั้น
หลวงปู่จันทร์เรียนว่าคงจะมีเรื่องอะไร
ที่ไปกระทบกับ “ความรู้” ขององค์หลวงปู่ชอบ

พอรุ่งเช้าก่อนที่องค์ท่านจะออกไปบิณฑบาต
หลวงปู่ชอบท่านพาหลวงปู่จันทร์เรียนเดินไปดูที่โรงครัววัดป่าสัมมานุสรณ์
เดินตรงดิ่งมาที่กองไฟข้างโรงครัว
หลวงปู่ท่านเห็นท่อนฟืนไหม้ไฟทิ้งไว้อย่างเสียประโยชน์
องค์ท่านถึงกับพูดขึ้นมาว่า...

“ปาดโธ้ พวกนกกระยางขาวหมู่นี้
มันคือพากันมักง่ายใช้ของบ่เป็นแท้
มันบ่คิดเห็นอกเห็นใจพ่อแก่มันบ่
มันบ่คิดเห็นอกเห็นใจพระเณรเถรเฒ่าบ้างหรือ
มันบ่ฮู้หรือว่าพ่อแก่ของมันกับพระเณร
พากันไปลากฟืนจากป่ามาเมื่อยขนาดไหน
มันพากันเอาฟืนมาสุมไฟคุยกันเล่นจนดึกดื่น
ทิ้งให้ไหม้ไปโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร”

พอว่าจบหลวงปู่ชอบท่านเดินเข้าไปดุแม่ชีที่โรงครัว
เล่นเอาแม่ชีโขลกพริกไม่แหลก สับมะละกอไม่เป็นเส้น
มือสั่นใจสั่นกันทั้งโรงครัว องค์ท่านดุให้แม่ชีอย่างหนัก
และไล่แม่ชีหนีให้ไปอยู่ที่วัดอื่น
เล่นเอาแม่ชีกลุ่มนี้คอพับน้ำตาร่วงต่อหน้าองค์ท่าน
หลังจากหลวงปู่ท่านดุแม่ชีแล้ว
องค์ท่านก็ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านโคกมน

หลังฉันอาหารเสร็จแล้วหลวงปู่ท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียน
และพระเณรว่า ให้ท่านจันทร์เรียนกับพระเณรทั้งหมด
เอาบริขารไปเก็บไว้ที่กุฏิแล้วพากันออกมารวมตัวกันที่ศาลา
เรามอบหมายให้ท่านจันทร์เรียนเป็นหัวหน้า
พาพระเณรไปรื้อกุฏิแม่ชีออกจากวัดให้หมดทุกหลัง
อย่าให้หลงเหลือแม้แต่หลังเดียว
พวกนกกระยางขาวหมู่นี้เราจะไม่ให้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
พวกว่ายากสอนยากแบบนี้เราจะไม่เอาไว้ให้หนักวัดหนักวา

คำสั่งองค์ท่านดูดุดันเด็ดขาด เล่นเอาพระเณรในวัดงงไปตามกัน
แต่ไหนแต่ไรก็เห็นแต่องค์ท่านไล่พระเณรเถรชี
ที่ว่ายากสอนยากให้ออกไปจากสำนักเท่านั้น
แต่ครั้งนี้หลวงปู่ท่านถึงกับสั่งให้รื้อถอนกุฏิแม่ชีออกไปจากวัดทั้งหมด
พระเณรได้แต่สงสัยไม่มีใครกล้าที่จะถามถึงเหตุผลจากองค์ท่าน

เมื่อพระเณรเอาบริขารของตนเองไปเก็บยังที่พักแล้ว
ต่างองค์ต่างหยิบเอาเครื่องมือในการรื้อถอนมารวมตัวกันที่ศาลา
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกกับหมู่เพื่อนว่า
พวกท่านไม่ต้องทำหรอก พากันกลับไปกุฏิเดินจงกรมภาวนาซ่ะ
เรื่องนี้ผมจะเป็นคนทำเองเพียงผู้เดียวเอง

หมู่เพื่อนถามท่านว่าครูบาจะทำองค์เดียวได้หรือ
กุฏิแม่ชีมีตั้งหลายหลัง กว่าจะรื้อถอนได้ทั้งหมด
ก็กินเวลาไปหลายวันถึงจะเสร็จ

หลวงปู่จันทร์เรียนบอกหมู่คณะว่า ไม่เป็นไรหรอก
ผมทำองค์เดียววันเดียวก็เสร็จ
ท่านบอกหมู่เพื่อนให้กลับไปกุฏิเดินจงกรมภาวนาเถอะ
เรื่องนี้ท่านจะเป็นธุระจัดการเอง
หมู่เพื่อนจึงพากันแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน

พอคล้อยหลังที่หมู่เพื่อนกลับไปแล้ว หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็เดินไปยังที่พัก
ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่ริมฝากฝั่งแม่น้ำสวย
หลวงปู่จันทร์เรียนเข้าไปกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า

ขอโอกาสขอรับพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ข้าน้อยมีเรื่องอยากกราบเรียนครูบาอาจารย์ซักเล็กน้อย
ข้าน้อยคิดว่าการรื้อถอนกุฏิแม่ชีออกไปทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องไม่ยากหรอก
ใช้เวลาวันเดียวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการตัดปัญหาทั้งหมด
ข้าน้อยว่าไม่ต้องรื้อมันหรอกกุฏิแม่ชี เอาไฟเผามันทิ้งทุกหลังไปเลยขอรับ
เอาไฟเผาทิ้งทั้งหมดไม่ต้องให้มันเหลือซากเหลือตอ
พอที่จะเอากลับมาสร้างใหม่ได้อีก

สิ้นคำพูดของหลวงปู่จันทร์เรียน
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถึงกับอุทานขึ้นมาว่า

“บ๊ะ...ท่านเรียนนี่ ท่านจะเอาไฟไปเผากุฏิทิ้งแบบนี้ได้ยังไง
นี่มันเป็นของสงฆ์นะ ถ้าท่านทำแบบนั้น
มันจะเป็นการกระทำผิดต่อพระธรรมวินัยนะ
ท่านเรียนนี่เว้าไปทั่วทีปทั่วแดน (ท่านเรียนนี่ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย)
เราบอกให้ท่านไปรื้อบ้านแม่ขาว
เราไม่ได้บอกให้ท่านไปเผาบ้านแม่ขาวซ่ะหน่อย
ท่านไม่เข้าใจในคำพูดของเราหรือ”

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ว่า

“อ้าว...ในเมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ต้องการให้แม่ขาวอยู่ที่นี่แล้ว
ก็เผามันทิ้งเลยสิ รื้อออกไปมันก็ยังเหลือไม้เก่าอยู่เหมือนเดิม
เวลาที่พ่อแม่ครูอาจารย์ไม่อยู่วัดไปเที่ยววิเวกที่อื่น
พวกนี้เขาก็จะแอบเอาไม้เก่ามาสร้างกุฏิขึ้นมาใหม่อีก
มันก็จะวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้อีกเหมือนเดิม
ผมว่าไม่ต้องรื้อมันหรอก เผามันทิ้งทั้งหมดโลด
เพื่อตัดปัญหาที่เขาจะเอาไม้เก่ากลับมาสร้างกุฏิใหม่อีก”

หลวงปู่ชอบท่านว่า

“อ้าว...ถ้าหากวันข้างหน้ามีผู้มาขออาศัยใบบุญของวัดนี้ล่ะ
เราจะไปหาไม้ที่ไหนมาสร้างกุฏิให้เขาอยู่ล่ะ
ท่านเรียนนี่ก็ว่าไปเรื่อย เอะอะมะเทิ่งมาก็จะเผาทิ้งๆ อย่างเดียว
อย่างนี้มันไม่ถูกธรรมวินัยนะ”

หลวงปู่จันทร์เรียน

“ถ้าท่านอาจารย์ยังจะให้โอกาสคนอื่นเข้ามาพักอยู่ที่วัดนี้อีก
ข้าน้อยว่าบ่ต้องรื้อถอนมันออกไปหรอก มันเหนื่อยเสียเปล่า
รื้อออกแล้วยังจะเอากลับมาสร้างใหม่อีก
แบบนี้หมู่คณะเขาก็จะเหนื่อยเสียเปล่าๆ”

องค์ท่านหลวงปู่ชอบนิ่งฟังเหตุผลของหลวงปู่จันทร์เรียน
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่าสักพักหลวงปู่ชอบท่านก็ยิ้มขึ้นมา
หลวงปู่ท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียนว่า
ถ้าอย่างนั้นท่านเรียนกลับไปบอกหมู่คณะว่า
ไม่ต้องรื้อถอนกุฏิแม่ขาวแล้ว ให้พากันกลับไปเดินจงกรม
ภาวนาทำความพากความเพียรของใครของมัน

หลวงปู่จันทร์เรียนบอกเรื่องนี้
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ต้องบอกหมู่คณะให้ยากหรอกขอรับ
ข้าน้อยบอกหมู่คณะแล้ว ข้าน้อยบอกหมู่เพื่อน
ก่อนที่จะเข้ามากราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
องค์ท่านหลวงปู่ชอบก็ยิ้มไม่ว่าอะไรให้หลวงปู่จันทร์เรียน
หลวงปู่ท่านได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
กลับไปทำความเพียรของตนเอง

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่า ต่อมาแม่ชีกลุ่มนี้
ได้พากันเข้าไปกราบขอขมาต่อองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ในเรื่องที่พวกตนได้ล่วงละเมิดคำสั่งขององค์ท่าน
เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง
หลวงปู่ท่านภาคทัณฑ์เรื่องนี้เอาไว้
และอนุญาตให้แม่ชีอยู่ปฏิบัติกับท่านที่วัดต่อไป

หลวงปู่จันทร์เรียนปฏิภาณไหวพริบของท่านเฉียบแหลมว่องไว
หากเป็นผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) แล้ว
ถ้าหลวงปู่ชอบท่านสั่งให้ไปรื้อกุฏิเช่นนี้ เราก็ต้องไปรื้อถอนตามคำสั่งขององค์ท่านแล้ว 
เพราะเราเป็นพระซื่อ (บื้อ) พลิกไหวสถานการณ์ไม่เป็นอย่างหลวงปู่จันทร์เรียน

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเป็นพระที่มีปัญญาหลักแหลมเฉียบไว
ซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะส่วนตัวของท่านโดยเฉพาะ 

 

สมัยเป็นพระหนุ่มเที่ยววิเวกกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
เรื่อง...อาจารย์ชอบ อาจารย์ช้าง 

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ 
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านกลาง ตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย 
สถานที่แห่งนี้ต่อมาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นมา แต่ปัจจุบันสำนักสงฆ์แห่งนี้ไม่มีแล้ว
เนื่องจากไม่มีพระเณรอาศัยอยู่จึงกลายเป็นสำนักสงฆ์ร้างไปในที่สุด 
ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ก็ไม่เคยเรียนถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบถึงเรื่องการร้างของสำนักสงฆ์บ้านกลาง 
และก็ไม่เคยเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ถึงเรื่องนี้ด้วย

เคยเรียนถามเรื่องสำนักสงฆ์บ้านกลางกับท่านพระอาจารย์สมศรี อัตตสิริ
เพราะท่านพระอาจารย์สมศรีเคยมาพักภาวนาที่วัดแห่งนี้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบมาก่อน 
พระอาจารย์สมศรีท่านพูดถึงสถานที่แห่งนี้ว่า ภูมิเจ้าที่ที่นี่ดุ 
พระเณรองค์ไหนที่ศีลมัวหมองมักจะได้เจอดีกับเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นประจำ 
สมัยก่อนองค์ท่านหลวงปู่ชอบมักจะพาลูกศิษย์ไปฝึกฝนให้หายจากโรคกลัวผีอยู่ที่นี่

องค์ท่านหลวงปู่ชอบพาท่านอาจารย์จันทร์เรียนและสามเณรอีกรูปหนึ่ง
ไปเที่ยววิเวกที่เขตภูเรือ จึงได้มาพักภาวนาอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านกลาง 
หลวงปู่ชอบท่านพาพระอาจารย์จันทร์เรียนพักอยู่ที่นี่หลายวัน
จนอาจารย์จันทร์เรียนท่านคุ้นชินกับสถานที่ 
อาจารย์จันทร์เรียนท่านจึงเล่นๆ หัวๆ ตามประสาพระหนุ่ม

แต่เหตุการณ์ที่ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเจอเข้ากับตัวท่านเองนี้
ไม่เกี่ยวกับเรื่องผีเจ้าที่เจ้าทาง เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับช้างป่าภูหลวง

ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเล่าให้ฟังว่า 
มีวันหนึ่งท่านทำข้อวัตรสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
หลังจากทำอาจาริยาวัตรกิจสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้ว 
หลวงปู่ชอบบอกท่านว่าอย่าพากันมัวเล่นมัวหัวมากนัก 
ให้พากันรีบสรงน้ำแล้วไปเดินจงกรมภาวนาเสีย 
ค่ำมืดมาหูตาจะพร่ามัวมองไม่เห็นทาง พวกสัตว์ป่ามันจะออกมาหากินในเวลาค่ำคืน 
เมื่อเห็นกันแล้วสัตว์จะกลัวคน คนจะกลัวสัตว์ 
พอหลวงปู่ชอบท่านบอกแล้วองค์ท่านก็เดินกลับที่พัก

วันนั้นท่านอาจารย์จันทร์เรียนบอกเรานึกยังไงก็ไม่รู้ 
เราอยากจะคุยมากเป็นพิเศษ เราจึงชวนเณรมานั่งคุยกัน 
ท่านคุยกันกับเณรอย่างสนุกสนานจนลืมเวลานาที ท่านนั่งคุยกันกับเณรจนค่ำโพล้เพล้เย้ตา 
มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อตนเองได้ยินเสียงไม้ไผ่หักดังโพล๊ะเพละๆ 
เสียงไม้ไผ่หักเพราะช้างป่าจากภูหลวงมันพากันลงมาหากินใบไผ่ในสำนักสงฆ์บ้านกลาง

อาจารย์จันทร์เรียนท่านได้ยินเสียงดังแบบนี้
ท่านจึงบอกเณรให้รีบกลับที่พักของใครของมัน 
ท่านกลับไปยังนั่งร้านที่พักของตนเองเอามุ้งกลดลงเ
พื่อจะนั่งซุ่มดูช้างอยู่ภายในมุ้งกลดของท่าน 
ท่านเห็นช้างป่าโขลงหนึ่งประมาณหกเจ็ดตัวพากันหักกินใบไผ่ 
และบังเอิญซ่ะเหลือเกินที่ช้างโขลงนี้มันดันพากันเดินผ่านมาทางนั่งร้านที่ท่านพักอยู่ 
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเล่าไปหัวเราะไป ท่านบอกเรากลัวช้างเป็นทุนอยู่แล้ว 
นึกในใจของตัวเองว่า ช้างเอ้ย...มึงอย่าผ่านมาทางนี้เด้อ 
มึงจะพากันไปทางไหนก็ไปซ่ะ อย่าผ่านมาทางนี้เด้อกูย้าน

ช้างป่ามันไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างนี้ มีช้างป่าใหญ่เชือกหนึ่ง
ท่านเข้าใจว่าน่าจะเป็นช้างป่าจ่าโขลง 
ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้มันคงสงสัยมุ้งกลดของท่านว่าคืออะไรกันแน่ 
ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้เดินตรงที่ลี่เข้ามายังที่พักของท่านอาจารย์จันทร์เรียน 
นั่งร้านไม้ไผ่ที่พักของท่านมันก็เป็นนั่งร้านแบบโล่งโจงโปงไม่มีหลังคาบังฟ้าบังฝน 
ที่พักของท่านไม่ต่างอะไรกับแคร่ไม้ธรรมดานี่เอง

อาจารย์จันทร์เรียนท่านเห็นช้างเดินเข้ามาใกล้ที่พักของท่าน 
ท่านบอกว่าตอนนั้นหัวใจของท่านเต้นรัวตุ่มๆ ต่อมๆ 
ท่านบอกเรากลัวช้างมากแต่เราก็ไม่ยอมวิ่งหนีมัน 
ท่านนั่งดูช้างอยู่ภายในกลด เห็นช้างยื่นงวงเข้ามาดมมุ้งกลดของท่าน 
ถึงตอนนี้อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอก 
ท่านกลัวช้างจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นลงไปในขณะนั้น 
หลังจากช้างมันดมมุ้งกลดแล้วมันคงจะได้กลิ่นของคน 
ช้างตัวนี้จึงยื่นงวงเข้ามาดมสิ่งที่อยู่ภายในกลดเพื่อให้หายสงสัย 
ตอนช้างยื่นงวงเข้ามาดมกลดแบบแนบชิดติดเนื้อนี้ 
งวงของช้างเชือกนี้มาแตะถูกหน้าของท่านอาจารย์จันทร์เรียนพอดี

อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเท่านั้นแหละกล้วยเอ้ย...
เราร้องพุทโธดังๆ เพียงครั้งเดียวในใจ จิตเราก็รวมพรึ่บเข้าสู่อัปปนาสมาธิทันที 
จิตสว่างจ้าขึ้นมาในเสี้ยวเวลานาทีนั้น ช้างก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน 
กลัวก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ภูเขาเลากาทิวาราตรีก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด 
มีแต่ความสว่างไสวภายในจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนถึงรุ่งสางของวันใหม่

รุ่งเช้าวันใหม่จิตท่านก็ถอนออกมาจากสมาธิ 
ท่านลืมตาขึ้นมามองดูว่าช้างมันยังอยู่หรือไม่ ก็ไม่เห็นมีช้างเหลืออยู่ซักตัว 
ท่านก็ไม่รู้ว่าช้างโขลงนี้มันหายไปตั้งแต่เมื่อไร ท่านนั่งทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา 
ขณะที่อาจารย์จันทร์เรียนท่านนั่งทบทวนขบวนความอยู่นั้น 
องค์ท่านหลวงปู่ชอบเดินมายังที่พักของท่าน 
องค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดกับท่านอาจารย์จันทร์เรียนว่าท่านเรียนนั่งทำอะไรอยู่ 
รีบล้างหน้าล้างตาเอาบาตรเราลงมาศาลาได้แล้ว 
นี่ใกล้จะได้เวลาออกไปบิณฑบาตแล้วรู้ตัวไหม...

อาจารย์จันทร์เรียนท่านรีบลุกขึ้นเก็บมุ้งกลด 
ขณะที่ท่านกำลังเก็บมุ้งกลดอยู่นั้นองค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดให้ท่านว่า 

“มันเป็นอย่างนี้แหละคนเรา เวลาครูบาอาจารย์บอกสอนให้เดินจงกรมภาวนา
มันกลับไม่ทำ เอาแต่พูดคุยสนุกสนานตามประสาลมๆ แล้งๆ กันไปทั่ว 
พออาจารย์ช้างมาบอกมาสอนเท่านั้นแหละ ภาวนาจิตรวมดีจังเน๊าะ 
ต่อไปก็ให้ท่านเอาช้างเป็นอาจารย์เด้อ 
อาจารย์ชอบนี่สอนลูกศิษย์ให้ภาวนาบ่เก่งเท่ากับอาจารย์ช้าง 
เรานี่อยากให้อาจารย์ช้างอาจารย์เสือมาหาพวกท่านทุกวัน
มันถึงจะได้ตั้งใจภาวนากัน อาจารย์ชอบนี่จะไม่ได้เมื่อยในการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์”

หลวงปู่ชอบท่านพูดจบแล้วก็ยิ้มเดินไปรอท่านอาจารย์จันทร์เรียนที่ศาลาหอฉัน 
ระหว่างบิณฑบาตหลวงปู่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรให้ท่านอีก 
หลวงปู่ชอบท่านเฉยไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเราเข็ดเขี้ยวไม่อยากเจอกับอาจารย์ช้างอีก 
พอสรงน้ำหลวงปู่ชอบเสร็จเมื่อไร ท่านก็จะรีบสรงน้ำตนเองทันที
และรีบเข้าที่เข้าทางเดินจงกรมภาวนาของท่าน
โดยที่หลวงปู่ชอบท่านไม่ต้องมาบอกซ้ำย้ำเตือน...

ผู้เขียนเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนว่า 
ท่านอาจารย์ดูออกจะอาจหาญชาญชัยกว่าพระเณรทุกองค์
ในบรรดาลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ท่านอาจารย์ยังกลัวช้างอยู่หรือ

พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านตอบว่า อ้าว...สิบ่ให้เฮาย่านมันจั่งใด๋ 
(อ้าว...จะไม่ให้เรากลัวมันได้ยังไง) ก็ช้างมันตัวใหญ่กว่าเรานี่ 
ลองไปหือกับมันเบิ่งตี้ มันสิได้เหยียบเอาขี้แตกตาย 
ว่าจบอาจารย์จันทร์เรียนท่านก็หัวเราะห้าๆ ออกมา

เราเองก็อดที่จะขำไปกับท่านไม่ได้ 
ฟังครูบาอาจารย์รุ่นพี่ท่านเล่าประสบการณ์สมัยที่ท่านยังปฏิบัติอยู่กับ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้วเพลินดี ได้ทั้งความสนุกสนาน 
ได้ทั้งข้อคิดหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เก็บระเบิดคืนเจ้าของ 

ในช่วงระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๒๔-๒๕๒๕ 
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเที่ยววิเวกและจำพรรษาอยู่ทางเขตเมืองเลย 
สมัยนั้นเป็นสมัยกลิ่นไอคอมมิวนิสต์ซ่อนหลบตัวเพื่อรอฟ้าวันใหม่ที่พวกเขาเฝ้าหวัง 
ตามเขตอำเภอปากชม น้ำโสม นายูง ยังมีกลิ่นไอควันไฟคอมมิวนิสต์อยู่ 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก การซุกซ่อนอาวุธของคอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วไปตามป่าเขา 
ชาวบ้านสมัยนั้นหรือแม้แต่พระบางรูปยังมีใจฝักใฝ่ในคอมมิวนิสต์

หลวงปู่จันทร์เรียนออกจากบ้านวังผา มาพักอยู่ที่วัดป่าห้วยบ่อซืน 
บ้านห้วยบ่อซืน ตำบลห้วยบ่อซืน อำเภอปากชม จังหวัดเลย
มีวันหนึ่งท่านเดินไปบิณฑบาตที่ในหมู่บ้าน 
วันนั้นท่านเดินบิณฑบาตผ่านอดีตเจ้าอาวาสวัดป่าห้วยบ่อซืน
เจ้าอาวาสผู้นี้แกมีนิสัยไม่เหมือนพระทั่วไป
ชอบพกพาอาวุธทั้งปืนมีดติดตัวเป็นประจำ
ความประพฤติของอดีตเจ้าอาวาสผู้นี้เป็นเช่นไร
ชาวบ้านห้วยบ่อซืนในอดีตเป็นที่ทราบกันดี
แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรจานกาละมังผู้นี้เพราะติดคาในผ้าเหลือง
จึงปล่อยวางแกให้เป็นไปตามกรรมของตนเอง

ปรกติจานอันธพาลผู้นี้เวลาบิณฑบาตเจอกันกับหลวงปู่จันทร์เรียน
มักจะพูดจาถากถางดูถูกหลวงปู่จันทร์เรียนอยู่เป็นประจำ 
แต่หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะอดทนในขันติวิริยะธรรมขององค์ท่านที่ฝึกมา 
เดิมทีหลวงปู่จันทร์เรียนก่อนท่านจะบวชนั้น ท่านเป็นคนใจร้อนวู่วาม 
แต่ความวู่วามของท่านถูกองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม กำราบให้สิ้น
จึงเหลือแต่ใจเดิมที่ท่านเป็นคนใจเร็วไว้ให้เห็นเท่านั้น

วันนั้นจานเจ้าอาวาสวัดป่าห้วยบ่อซืนเดินบิณฑบาต
มาเจอกับหลวงปู่จันทร์เรียน จานท่านนี้ว่าให้หลวงปู่จันทร์เรียนว่า 

“ท่านเรียน เมื่อวานมีแผ่นดินไหวอยู่ญี่ปุ่น 
มีคนตายตั้งหลายคนท่านฮู้บ่ 
หลับหูหลับตาอย่างท่านจะรู้เรื่องอย่างนี้อยู่บ่ 
เฮาฮู้เรื่องนี่เพราะเราฟังวิทยุเด้”

หลวงปู่จันทร์เรียนจึงว่าให้ 

“สนใจแต่แผ่นดินไหวอยู่ญี่ปุ่น 
สนใจแต่แผ่นดินไหวอยู่ประเทศนั่นประเทศนี่ 
รู้หมดว่าแผ่นดินไหวอยู่ไหนในโลกนี้ 
แผ่นดินกิเลสไหวในใจของตนเองคือบ่สนใจ 
ทุกวันนี้ไม่รู้หรือว่ากิเลสมันขย้ำหัวตัวเองมากแค่ไหนแล้ว” 

หลวงปู่จันทร์เรียนเตือนด้วยความหวังดีในธรรม
แต่เจ้าอาวาสท่านนี้กลับโกรธแค้นหลวงปู่จันทร์เรียน
ที่มาหักหน้าตนเองในกลางหมู่บ้านท่ามกลางญาติโยมที่กำลังจะใส่บาตร 
จึงเก็บแค้นฝังลึกในใจเพื่อรอการสะสางกับหลวงปู่จันทร์เรียน

ผ่านไปไม่กี่วันขณะหลวงปู่จันทร์เรียนกำลังเดินจงกรม
อยู่ทางโรงครัวของวัดป่าห้วยบ่อซืนในปัจจุบัน 
มีผู้ห่มผ้าเหลืองแอบเอาระเบิดมาปาข่มขู่หลวงปู่จันทร์เรียน
ที่ทางเข้าวัดป่าห้วยบ่อซืน ห่างจากท่านเดินจงกรมอยู่ประมาณร้อยเมตร 
เสียงระเบิดดังตู๊ม...ขึ้น หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกำหนดจิตดูที่มาทันที 
ท่านเห็นอลัชชีผู้นี้หลบอยู่ในพงหญ้ากำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ท่าน

หลวงปู่จันทร์เรียนทำท่าไม่สนใจ
เดินจงกรมของท่านต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
อลัชชีผู้นี้พอขยับเข้ามาใกล้แล้วเขาเอาระเบิดลูกที่สอง
โยนใส่หลวงปู่จันทร์เรียนอีกลูก
ระเบิดลูกที่สองตกอยู่ไม่ไกลหลวงปู่จันทร์เรียนมากเท่าไหร่นัก 
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันหนึ่งอันใดมิทราบได้ 
ถามหลวงปู่จันทร์เรียน ท่านก็บอกว่าไม่รู้ 
ระเบิดลูกนี้เกิดด้านไม่ระเบิดออกมาดั่งใจผู้ที่โยนหมายทำร้ายท่าน
ผู้ที่โยนระเบิดหมายทำร้ายท่านเห็นระเบิดไม่แตกจึงรีบถอยหนีหลบออกไป

หลังจากอลัชชีผู้นี้ถอยหนีไป
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงเดินไปเก็บลูกระเบิดที่อลัชชีทิ้งไว้
ท่านเอายางรัดถุงแกงมัดกระเดื่องลูกระเบิดเอาไว้ให้แน่น 
แล้วเก็บเอาระเบิดลูกนี้ไปเก็บไว้ยังที่พักของท่าน 
ท่านพิจารณาถึงจิตของผู้นี้ แม้ร่างกายจะหุ้มห่อด้วยผ้ากาสายะ
อันเป็นผ้าธงชัยแห่งอริยะ แต่จิตใจเขานั้นกลับตกต่ำดำดิ่งอยู่ในนรกอเวจี 
ท่านได้แต่ปลงใจสังเวชกรรมที่เขาได้กระทำลงไป

รุ่งเช้าบิณฑบาตหลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านนำระเบิดลูกเกลี้ยงลูกนี้ติดตัวไปด้วย
พอท่าเจอกับอลัชชีผู้นี้ขณะบิณฑบาต 
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงยื่นระเบิดลูกเกลี้ยงคืนให้เจ้าของ 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก “เอาของไปเล่นทิ้งขว้างไม่รู้จักเก็บกลับคืน 
ผมไม่อยากเป็นผู้เก็บภาระของเล่นให้กับท่าน เอ้า...ไป ผมเอามาคืนให้”

ผู้ที่ขว้างระเบิดใส่ท่านเห็นระเบิดที่ตนเองขว้างใส่
หลวงปู่จันทร์เรียนที่ท่านยื่นให้ ถึงกับหน้าเผือดถอดสี
เกิดความกลัวหลวงปู่จันทร์เรียนขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
มีอาการตัวสั่นงันงกเมื่อเจอหน้าหลวงปู่จันทร์เรียน 
จนพ่อตู้เสน บ้านห้วยบ่อซืน ที่รอใส่บาตรในขณะนั้นบอกว่า
“อาจารย์กลัวอาจารย์จันทร์เรียนเกือบใจขาดตาย”

อลัชชีผู้นี้ตรอมใจเป็นไข้อยู่หลายวันเพราะกลัวหลวงปู่จันทร์เรียน
ได้มากราบขอโทษหลวงปู่จันทร์เรียน 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอก “กรรมท่านกับผมนั้นมันจบกันแล้ว 
แต่กรรมพรหมจรรย์ที่ท่านทำไว้ในพระศาสนานั้นท่านต้องรับเอาเอง”

จากนั้นมาอลัชชีผู้นี้ไม่กล้าเบียดเบียนหลวงปู่จันทร์เรียนอีกเลย

พอผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าห้วยบ่อซืน ได้เห็นเจ้าอาวาสวัดบ้านท่านนี้ 
ดูกิริยาวาจาการกระทำของเขาไม่มีความเป็นพระให้เรามองเห็นเลย 
นอกจากกายห่มผ้าเหลือง ต่อมาแกเกิดป่วยเดินไม่ได้อยู่พักหนึ่ง 
สุดท้ายญาตินำกลับไปรักษาและไปตายอยู่ที่บ้านของตนเอง

นำเรื่องนี้ไปกราบเรียนให้หลวงปู่จันทร์เรียนทราบ 
ถามท่านว่าคนๆ นี้จะไปไหนท่านอาจารย์ 

หลวงปู่จันทร์เรียนบอก

“อย่าถามว่ามันอยู่สูงซ่ำใด๋ ให้ถามว่ามันอยู่ต่ำซ่ำใด๋พอ”

ถามท่านว่าตอนนี้คนๆ นี้อยู่ที่ไหน 
ท่านก็บอกชื่อนรกที่ผู้นี้กำลังเสวยทุกข์อยู่ให้ฟัง

เรื่องนี้มันมีเกิดขึ้นในพระศาสนาแล้ว เรื่องนี้มันมีเกิดขึ้นในชีวิต
เรื่องราวของหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พระผู้เป็นพี่ชายทางธรรมของเรา 
เราจึงเขียนเรื่องของหลวงปู่จันทร์เรียนไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ศึกษา

บันทึกโดย อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท
วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ ที่วัดป่าห้วยบ่อซืน อ.ปากชม จ.เลย

 

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไว้วางใจให้ดูแล “เหล็กไหล” 

เรื่องเหล็กไหลนี้ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเมตตาเล่าไว้
เมื่อคืนวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ 
ในงานครบรอบวันคล้ายวันมรณภาพขององค์หลวงปู่ชอบปีที่ ๒ 
ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ขณะยืนคุยกับหลวงปู่จันทร์เรียน ที่หน้าศาลาเมตตาฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
แล้วได้เห็นวัตถุแสงสีน้ำเงินพุ่งออกมาจาก
“เจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์” ขนาดเท่ากับไข่ไก่ 
จึงชี้ให้พระอาจารย์จันทร์เรียนดู พอเห็นแล้วท่านบอกว่า 

“บ่มีอีหยังดอก เหล็กไหลเขาแสดงให้รู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่
ไม่ได้ไปไหน เขาออกมาแสดงเฉยๆ”

แล้วหลวงปู่จันทร์เรียนท่านเล่าให้ฟังต่อว่า
เหล็กไหลอันนี้ลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้มาจากเมืองลาว
ทีแรกเขาจะมอบต่อให้กับลูกชายของเขา
แต่ลูกชายของเขาประพฤติตนไม่ดี เป็นโจรเป็นขโมย
เขาจึงเอามามอบถวายให้กับหลวงปู่ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเดินได้อยู่

พอหลวงปู่ท่านอาพาธเดินไม่ได้ คืนนั้นเรานอนเฝ้าหลวงปู่อยู่ที่กุฏิท่าน
หลวงปู่ชอบท่านบอกให้เราไปหยิบย่ามท่านมา
และให้เราล้วงลงไปเอาห่อผ้าห่อหนึ่งในย่ามของท่าน
หลวงปู่บอกท่านจะมอบของที่อยู่ในห่อผ้านี้ให้เราเป็นผู้ดูต่อจากท่าน
นอกจากเราแล้วท่านไม่ไว้ใจใครในเรื่องนี้
เราถามท่านว่า พ่อแม่ครูจารย์ในห่อผ้านี้มีอะไรหรือ
หลวงปู่ท่านบอกว่า เหล็กไหล 

พอรู้ว่าเป็นเหล็กไหลเราจึงเปิดห่อผ้าออกดู 
มันเป็นก้อนสีดำเล็กๆ ขนาดเท่ากับเม็ดถั่วลิสง 
เหล็กไหลมันก็แสดงฤทธิ์ออกแสงให้เราเห็น
เราพิจารณาดูไม่มีประโยชน์ที่เราจะเก็บเอาไว้รักษา
เราจึงปฏิเสธที่จะรับดูแลเหล็กไหลต่อจากหลวงปู่

องค์หลวงปู่ชอบท่านก็เลยว่า 
ท่านไม่อยากให้เหล็กไหลอันนี้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นถ้าไม่ใช่เรา 
ถ้าตกไปอยู่ในมือของคนชั่วมันก็จะนำเอาไปทำความชั่วได้ 
ถึงจะเป็นคนดีก็ตาม แต่พอมีของที่มีฤทธิ์เดชอยู่ในมือ
ก็จะเกิดลำพองตนหลงผิดไปทำชั่วได้ 
เพราะถือว่าตนเองมีของมีฤทธิ์อยู่ในตัว จะเกิดประมาทหลงไปทำผิดได้

พอเราไม่รับดูแลรักษา องค์หลวงปู่ชอบท่านเลยว่า
ถ้าอย่างนั้นเราจะสร้างเจดีย์เพื่อเก็บ “เหล็กไหล”
และบรรจุของเก่า ของโบราณ สมบัติของพระศาสนาไว้ที่นี่ 
เจดีย์หลังนี้จึงเกิดจาก “เหล็กไหล” เป็นเหตุ

“เจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์” เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ 
แล้วเสร็จในปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเล่าให้ฟังว่า 
สิ่งสุดท้ายที่บรรจุบนเจดีย์ คือ “เหล็กไหล”
โดยองค์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้มอบเหล็กไหล
ให้หลวงปู่จันทร์เรียนเป็นผู้นำขึ้นไปบรรจุแทนองค์ท่าน

วันที่บรรจุเจดีย์ คือ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๖ 
ซึ่งตรงกับงานวันเกิดขององค์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ตอนกลางวันบรรจุพระกับของโบราณไว้บนเจดีย์ 
ส่วนเหรียญและวัตถุมงคลต่างๆ ของหลวงปู่
ที่มีการสร้างมาตั้งแต่ต้นจนถึงปีสองหก 
หลวงปู่ท่านให้ เรากับหลวงพ่อบัวคำ (มหาวีโร) นำขึ้นไปบรรจุ 
เฉพาะเหรียญรุ่นแรกขององค์หลวงปู่ชอบที่นำขึ้นไปบรรจุบนเจดีย์
มีจำนวนหลายร้อยองค์ เราห่อพลาสติกอย่างดีใส่ลงในบาตร 
โบกปูนทับอีกชั้นให้แน่นหนา 
เพื่อกันคนจะแอบมาแคะเอาเหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่

ตกกลางคืนหลวงปู่ท่านชวนเราออกมาดูเจดีย์ 
ท่านยื่นห่อผ้าที่ห่อเหล็กไหลให้เรา 
ท่านบอกให้เรานำเหล็กไหลขึ้นไปบรรจุด้วยตัวเอง 
และให้เราขึ้นไปคนเดียว ห้ามคนอื่นตามขึ้นไปดูเป็นอันขาด 
ก่อนที่เราจะขึ้นไปบนเจดีย์ หลวงปู่ท่านบอกเราให้จัดการเองทั้งหมด 
“ท่านเรียนจะเก็บเอาไว้ตรงจุดไหนก็แล้วแต่ท่าน ตามท่านจะเห็นสมควร” 
เราจึงเจาะผนังเจดีย์บรรจุเอาไว้ทางด้านนี้ หลวงปู่จันทร์เรียนชี้ให้ดู

ผู้เขียนได้สอบถามหลวงปู่จันทร์เรียนเพิ่มเติมว่า 
“ส่วนตัวผมนั้นไม่เคยเห็นเหล็กไหลของจริงเหมือนท่านอาจารย์
เคยเห็นแต่แม่เหล็กที่เขาเอามาหลอกกันว่าเป็นเหล็กไหล 
หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า 
เหล็กไหลเกิดจากฤทธิ์ของเทวดาร่วมกันใช้ฤทธิ์นิรมิตขึ้นมา 
และอีกทางหนึ่งเกิดจากท่านผู้ทรงฤทธิ์อภิญญาเสกสร้างขึ้นมา 
ผมอยากได้ยินเพิ่มเติมจากท่านอาจารย์อีกทางหนึ่ง
เพื่อมาประกอบกันกับเรื่องที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟัง”

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านตอบว่า
“ก็อย่างที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟังนั่นแหละ 
ความรู้เรื่องพิศดารในสามแดนโลกธาตุนี่มันก็สุดที่หลวงปู่ชอบนั่นแหละ 
อะไรจะบังความรู้ของท่านได้ เพียงแต่ท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น 
ต่อให้หนีไปหลบบังภูเขาเป็นร้อยลูก 
หลวงปู่ชอบท่านก็ยังค้นหาเจอด้วยญาณความรู้ของท่าน 
เรื่องกิเลสมันลึกลับกว่านี้อีกท่านก็ยังค้นหาจนเจอ ประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ 
เรื่องนี้ก็ตามที่หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังนั้นล่ะ 
ของมีฤทธิ์มันก็คู่กันกับผู้มีฤทธิ์ บ่เห็นมันแปลกอีหยังเลย”

 

  หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ

หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ

 

  หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ

หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ

 

 

พระอรหันต์ “ดอกบัวบานผู้เลิศฤทธิ์” 

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านบวชปีพุทธศักราช ๒๕๐๖ 
หลังหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
เพื่อนของท่านสองปี พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
บอกหลวงปู่จันทร์เรียน ในวันที่ท่านมาฝากตัวเป็นนาคถือศีลแปด
กับองค์ท่าน “หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ” ที่วัดป่านิโครธาราม 
บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

เทวดาพากันอนุโมทนา ฉายประทีปนำทางท่านเข้าวัด
ตั้งแต่ท่านเดินลงจากบันไดบ้าน

พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบท่านเอ่ยยกย่อง
ท่านหลวงปู่จันทร์เรียนให้ลูกศิษย์รุ่นน้องฟังว่า 

“ท่านจันทร์เรียนเป็นลูกธรรมเกิดจากอาจารย์อ่อน 
(หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ) เบ่งออกมาในศาสนา 
เฮาเป็นผู้ป้อนนม ป้อนข้าวไห่ใหญ่ (ความหมายคือสอนธรรมให้) 
ลูกศิษย์เฮาฝึกฝนมา ท่านจันทร์เรียนฮู้ธรรมได้เร็วกว่าหมู่ 
พระฮู้ธรรมเร็วตอนพรรษาน้อยๆ บ่ถึงสิบ 
มีท่านเจ๊กเจี๊ยะ (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท) กับท่านจันทร์เรียน”

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร บอกการปฏิบัติของท่านให้ฟัง 
“เฮาบวชใหม่ๆ ภาวนาพุทโธๆ ในใจเจ้าของ 
พอจิตเฮาลงมีแสงวาบพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง ตำหน่าเฮา (ชนหน้าเรา) 
จากนั่นมาเฮาเห็นเบิ่ดสู่อย่าง (จากนั้นมาเราเห็นหมดทุกอย่าง) 
เปรต ผี นรก สวรรค์ เทวดา หยั่งรู้จิตใจผู้คน ในธรรมสมาบัติ”

ท่านบอก ตอนจำพรรษาแรกกับหลวงปู่อ่อน ปีพุทธศักราช ๒๕๐๖ 
หลังหลวงปู่อ่อนท่านพาพระเณรทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้ว 
หลวงปู่อ่อนท่านจะเทศน์อบรมพระเณรในพรรษา 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะเข้าสมาธิกำหนดรู้ว่า
หลวงปู่อ่อนท่านจะเทศน์เรื่องอะไรในแต่ละวัน 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะกำหนดดูหลวงปู่อ่อนอย่างนี้ทุกวัน

วันที่หลวงปู่จันทร์เรียนถูกองค์ท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ 
ดักจิตรู้ใจในผู้ทรงภูมิ “พระอรหันต์” 
เตือนสติในความรู้สมาบัติแปดยอดโลกีย์ฌาณของท่าน 

“เรียน เฮาบ่แม่นครูบาอาจารย์ท่านเด้อ จริตโลดโผนอย่างท่าน 
ไห่ไปอยู่กับอาจารย์ท่านอยู่เมืองเลย 
ไห่ท่านไปหาอาจารย์ชอบ บ้านโคกมนเด้อ 
อาจารย์ชอบเพิ่นเป็นอาจารย์สอนธรรมไห่ท่านได้ 
จริตโลดโผนอย่างท่านต้องไปอยู่กับผู้โลดโผนอย่างอาจารย์ชอบ 
อาจารย์ชอบเป็นอาจารย์ของท่าน”

หลังออกพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๐๖ หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกราบลา 
องค์ท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ แห่งวัดป่านิโครธาราม 
เดินทางด้วยเท้าสองวันจากวัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน
มาที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
ท่านบอก เราเดินทางมาถึงบ้านโคกมนตอนเวลาเย็นๆ 
เห็นองค์ท่านหลวงปู่ชอบปัดตาดกวาดลานวัด เราก้มคุกเข่าพนมมือไหว้ท่าน

หลวงปู่ชอบพูดกับเราคำแรก “จันทร์เรียนมาแล้วบ้อ 
เฮาว่าสิไปเที่ยววิเวกทางภูเรือ เฮาคอยท่านอยู่สองวัน” 

หลวงปู่จันทร์เรียนบอกตอนนั้นท่านอัศจรรย์ใจ
ในพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบมาก 
เพียงแค่เห็นหน้าหลวงปู่ชอบท่านก็บอกชื่อออกมา
โดยที่ไม่เคยพบหน้าค่าตา รู้จักกันมาก่อน...

ท่านบอก เราคิดในใจตนเอง 
“นี่แหละครูบาอาจารย์ผู้ที่จะสอนธรรมเฮาได้”

จากนั้นมาหลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็อยู่ฝึกฝนปฏิบัติ
กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ในฐานะหัวหน้าพระอุปัฏฐาก 
“รุ่นทายาทธรรม” นับแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ปีพุทธศักราช ๒๕๐๖

ระหว่างปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่เมืองเลย 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านตั้งสัจจะกับตนเองว่า
จะไม่กลับบ้านเกิด ถ้าตัวเองไม่ได้เป็น “พระอรหันต์”

หลังจากตั้งสัจจะแล้วท่านก็ไม่กลับมาบ้านหนองบัวบานอีกเลย
ท่านบอก “เฮานี่ ฮักพ่อ ฮักแม่หลาย เฮาปฏิบัติไห่พ่อ ไห่แม่เห็น 
ใจพ่อเฮาบ่ห่วง พ่อใจเข้มแข็ง เฮาห่วงใจแม่เฮาหลาย 
ลูกทุกคนแม่ห่วงเบิ่ด เฮานี่แม่เป็นห่วงหลายกว่าหมู่”

หลังพ้นพรรษาที่สี่ของท่าน พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
พาท่านมาเที่ยววิเวกที่วัดป่าวิเวกธรรม บ้านบง ตำบลท่าศาลา 
อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย หลวงปู่จันทร์เรียนทราบข่าวว่า 
โยมแม่ของท่านกำลังป่วยหนักถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ 
ซึ่งในขณะนั้นจิตของท่านภายในกำลังหมุนธรรมจักรต่อสู้กับกามคุณ
พอรู้ว่าโยมแม่ป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านทุกข์ใจอยากกลับบ้านไปเยี่ยมโยมแม่ 
แต่ท่านมาติดสัจจะที่ตนเองได้ตั้งปณิธานไว้ 
“ถ่าบ่ได้เป็นพระอรหันต์ เฮาสิบ่กลับบ้าน”

ระหว่างโยมแม่ของท่านป่วย หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะฝากยา 
เขียนจดหมายถึงโยมแม่ของท่านโดยผ่าน “พ่อตู้เสน บ้านบง” 
นำยาและจดหมายของท่านไปมอบให้โยมแม่ของท่านที่บ้านหนองบัวบาน
พ่อตู้เสน บ้านบง เล่าให้ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ฟังว่า

“แม่เพิ่นครูบาจันทร์เรียนถาม พ่อแดง...หม่อมเรียน (หลวงปู่จันทร์เรียน) 
มื่อใด๋เพิ่นสิมาบ้าน เพิ่นบ่มาเบิ่งแม่แน่บ้อ (ท่านไม่มาดูแม่บ้างหรือ)”

พ่อตู้เสนบอก พอกลับจากบ้านหนองบัวบานมาที่บ้านบง 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะรีบมาถามถึงอาการของโยมแม่ท่าน
จากพ่อตู้เสนอย่างห่วงใย พ่อตู้เสนเล่าอาการ 
และบอกคำพูดของโยมแม่ท่านให้ฟัง 
“หม่อมเรียนมื่อใด๋เพิ่นสิมาบ้าน เพิ่นบ่มาเบิ่งแม่แน่บ้อ”

พ่อตู้เสนบอกหลวงปู่จันทร์เรียนท่านนิ่งฟัง 
จากนั้นท่านก็เดินเข้าทางจงกรมไม่พูดจากับตนเอง 

พ่อตู้เสนบอก “ตอนนั้นผมก็สะเทือนใจที่พูดคำนี้ให้ครูบาจันทร์เรียนฟัง 
ครูบาจันทร์เรียนเพิ่นฮักแม่เพิ่นหลาย เพิ่นพาผมขึ้นภูขึ้นผา
ไปหายาอยู่ภูหลวงเอามารักษาป่วยของแม่เพิ่น” 

ขณะโยมแม่ป่วย หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ดูโยมแม่ของท่านภายใน 
การปฏิบัติของท่านตอนนั้นค้างคา จะเดินหน้าก็ไม่ดำเนินสะดวก 
จะถอยหลังกลับบ้านก็ติดคาสัจจะที่ตนเองได้ตั้งไว้ 
ท่านรู้ว่าโยมแม่ของท่านจะจากไปในเวลาไม่นาน 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเดินจงกรมภาวนาตลอดรุ่ง
ไม่หลับไม่นอน ท่านทำความเพียรถวายคุณ “ผู้เป็นแม่”

ตอนเช้าก่อนอรุณหลวงปู่จันทร์เรียนท่านไปทำข้อวัตรอุปัฏฐาก
พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ 
ท่านบอกพอเปิดประตูกุฏิจะไปหยิบบาตรของหลวงปู่ชอบ 
พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบดุธรรมใส่ท่านว่า...

“เรียน ใจท่านคึดฮอดแต่บ้านบ้อ สิเอาบ้าน เอาเฮือนเป็นสรณะบ้อ 
คึดฮอดบ้านหลาย คือบ่ย้ายบ้านมาลงเสาเฮือนในใจเจ้าของไห่มันแล้วสา 
ไห่ทุกข์ไฟอุปาทานอาลัย อาวรณ์ ความคึดฮอด สุมใจเจ้าของอย่างเต็มที่”

คำพูดประโยคธรรมสั้นๆ ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
ผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่จันทร์เรียนบอก 
“เฮาน้ำตาตกใน เบิ่งใจเจ้าของ ซาตินี่กูสิบ่พ้นการเกิดเป็นลูกผู้ใด๋บ้อ”

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านหมุนจิตเข้าข้างใน 
สติปัญญามหาธรรมของท่านฉีกลอกเนื้อหนัง อสุภะอสุภัง พรวดลงในทันที 
ในเวลาไม่นาน อุปาทานการเกิดในอุทรของท่าน
ก็ขาดสิ้นสะบั้นลงไม่เหลือแม้เสี้ยว จุละ จุล ให้อาลัยในอุทร…

ท่านบอก สติปัญญามหาธรรมตอนนั้น 
ท่านฉีก “ธรรมผู้ครองโลก” กามคุณขาดสะบั้นออกจากจิตใจ
อุปมาอย่างกับเราฉีกกระดาษให้ขาดแคว่กออกจากเล่ม 
ทุกอย่างสิ้นลงปลงธรรมการเกิด
ในเวลารุ่งอรุณที่หน้าห้องพัก กุฏิหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ต่อหน้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
ที่วัดป่าวิเวกธรรม บ้านบง ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๙

จากนั้นมาในปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ พรรษาที่ ๗ ก่อนเข้าสู่พรรษาที่ ๘ 
ในระหว่างนั้น หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ ครูบาอาจารย์พี่ชายทางธรรม
พาหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร และหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ 
ไปจัดการเตรียมงานประชุมเพลิงพระคุณเจ้าหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ 
ที่วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านอยู่ช่วยงานพระคุณเจ้าหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ 
ด้วยจิตธรรมไฟสุมขอนพร้อมจะละทิ้งอวิชชาปัจจยาการ ต้นกำเนิดของความหลงในธรรม 
ท่านบอกความนัยของตนเองให้หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ พระพี่ชายในธรรมทราบ
หลวงปู่ผางพอรู้ภายในของท่าน หลวงปู่ผางบอก 
“เรียนไปเลย ท่านบ่ต้องห่วงทางนี่ เฮาสิจัดการเอง 
ไปหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์เพิ่น (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)”

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
ที่บ้านโคกมน พอหลวงปู่ชอบฟังความนัยของหลวงปู่จันทร์เรียนแล้ว 
หลวงปู่ชอบท่านบอกให้หลวงปู่จันทร์เรียนแยกตัวออกไปปฏิบัติผู้เดียว

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านออกจากบ้านโคกมนไปบ้านบง 
ระหว่างปฏิบัติที่บ้านบง ท่านเกิดธาตุขันธ์ไม่อำนวย 
เวลานั่งภาวนาท่านจะเกิดถีนะมิทธะ 
ความง่วงเหงาหาวนอนของธาตุขันธ์รบกวน 
ท่านแก้สิ่งนี้โดยการฉันพริกจนท้องไส้ร้อนเผ็ด 
พอฉันพริกท่านบอกอาการง่วงเหงาหาวนอนมันหายไป 
พอสิ้นฤทธิ์เผ็ด ถีนะมิทธะ มันก็เข้ามาแทนที่…

วันหนึ่งท่านตั้งสัจจะว่า “มึงอยากนอนหลาย กูสิพามึงนอนตายในสมาธิ 
กูสิบ่มามึงพิกคีง (กูจะไม่พามึงพลิกกลับตัว) มึงอยากนอน กูสิพามึงนอนให้สาสม 
กูพลิกโตตอนใด๋ไห่ธรณีสูบกูลงจมแผ่นดินไปอยู่อเวจี กับเทวทัต”

หลวงปู่จันทร์เรียนบอก ท่านนอนตะแคง
ในท่า “สีหไสยาสน์” อยู่เจ็ดชั่วโมงโดยไม่กระดิกพลิกตัว 

ท่านว่า หลังผ่านเจ็ดชั่วโมงไปแล้ว 
เวทนาในธาตุขันธ์ของท่านพุ่งขึ้นตั้งแต่ปลายเท้าจรดหัว
ดั่งไฟเผาร่างทั้งเป็น หรือไม่ต่างอะไรกับภูหลวงทับร่าง 
ท่านว่า เวทนาในกายธาตุของท่านตอนนั้นแทบแตกออกเป็นเสี่ยงจุละผุยผง 
พอเวทนาในกายธาตุแสดงทุกข์ในตัวตน ท่านหมุนจิตเข้าข้างในโดยไม่ออกนอก 
จิตละวางในอุปาทานธาตุขันธ์ทุกอย่าง ปัญญาของจิตไล่ตามนามธรรม 
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จนไปพบอวิชชาปัจจยาการ
จักรพรรดิผู้พาถืออุปาทาน หลงเกิด หลงตาย 
มหาสติ มหาปัญญาของท่านก็ตัดสิ้นในภพชาติกันลงทันที 
จิตแสดงภูมิสว่างไสวในธรรมธาตุ มีอภิญญาเป็นเครื่องประดับจิต

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านสำเร็จธรรมเป็น “พระอรหันต์ดอกบัวบานผู้เลิศฤทธิ์” 
สืบนิสัยทายาทธรรม “พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์” ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ อย่างไม่มีลูกศิษย์ท่านใดเสมอเหมือน
ในบรรดาสายทายาทธรรมขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ

บันทึกโดย อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท พ.ศ.๒๕๓๖

 

  หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท

 

  หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร

 

 หลวงปู่เคน เขมาสโย วัดป่าหนองหว้า จ.สกลนคร  

หลวงปู่เคน เขมาสโย วัดป่าหนองหว้า จ.สกลนคร 

 

จากประวัติหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ 

หากใครเคยไปกราบ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท 
คงอาจทราบว่าหลวงปู่เจี๊ยะท่านมักจะแนะนำลูกศิษย์
ให้ไปกราบ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายฯ 
โดยให้เหตุผลที่ควรไปกราบ
นอกเหนือจากคุณธรรมขั้นสูงของหลวงปู่จันทร์เรียนว่า

“ท่านมีฤทธิ์มาก ไม่น้อยไปกว่าหลวงปู่ฝั้นเลย”

“พระทั่วประเทศ เราคบจันทร์เรียนองค์เดียว”

“พระยอดธงของเรา จันทร์เรียนเสก ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว”

พระเครื่องแทบทุกรุ่นของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
ท่านต้องสั่งศิษย์ให้นำไปถวายหลวงปู่จันทร์เรียนอธิษฐานก่อนแจก 

มีเรื่องเล่าในหมู่ศิษย์ว่า มีครั้งหนึ่ง หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
ไปเยี่ยมหลวงปู่จันทร์เรียนที่วัดถ้ำสหายฯ 
แต่การไปไหนทุกครั้งของหลวงพ่อประสิทธิ์จะไม่มีกำหนดการ 
ทุกอย่างเป็นไปตามความประสงค์เฉพาะหน้าของท่าน 
ดังนั้น การไปวัดถ้ำสหายจึงไม่มีใครทราบ วันนั้นฝนตกพรำๆ พอถึงวัด 
ปรากฏหลวงปู่จันทร์เรียนท่านกางร่มรอรับหลวงพ่อประสิทธิ์อยู่ 

ถ้าเป็นเรื่องครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่จันทร์เรียนเคารพ 
ท่านจะทำถวายเองทุกอย่าง อย่างเช่น หลวงปู่เคน เขมาสโย
แห่งวัดป่าหนองหว้า ต.ทรายมูล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร 
อาพาธไม่ยอมไปโรงพยาบาล หลวงปู่จันทร์เรียนทราบ
ท่านก็รีบไปรับหลวงปู่เคนไปโรงพยาบาล หลวงปู่เคนท่านเดินไม่ไหว 
หลวงปู่จันทร์เรียนก็อุ้มหลวงปู่เคนด้วยตัวท่านเอง 
(ปัจจุบันหลวงปู่เคนได้ละสังขารแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗)

 

 

 

 

 

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร กับ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร 

ครั้งหนึ่งเมื่อ หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านทราบว่า
“หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร” สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง 
ท่านจึงนิมนต์หลวงพ่อประสิทธิ์ขึ้นชั่งน้ำหนัก

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านถามหลวงพ่อประสิทธิ์ว่า
“ไหนดูซิ ตอนนี้อาจารย์น้ำหนักเท่าไหร่”

หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านตอบว่า
“น้ำหนักผมตอนนี้ต่อยมวยรุ่นเดียวกันกับเขาทรายได้”

สิ้นคำพูดของหลวงพ่อ ลูกศิษย์ที่นั่งฟังก็พากันหัวเราะออกมา

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ได้เคยไปเยี่ยมหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร 
ที่วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี เนื่องจากครูบาอาจารย์ทั้งสององค์นี้
ท่านเป็นชาวบ้านหนองบัวบานด้วยกัน เคยปฏิบัติร่วมกันมา
ตั้งแต่สมัยที่อยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโคธาราม จ.อุดรธานี 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านให้ความเคารพหลวงพ่อประสิทธิ์เป็นอย่างมาก 
ทุกครั้งที่พบกัน ท่านจะแสดงความเคารพด้วยความอ่อนน้อมเสมอ

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่
ท่านเคยสรรเสริญหลวงปู่จันทร์เรียนให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า

“อาจารย์จันทร์เรียนท่านเป็นคนฉลาดหลักแหลม
ท่านเป็นชายอาชาไนยที่เข้มแข็ง
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเป็นคนใจร้อนใจเร็วเหมือนกับหลวงปู่ชอบ
ท่านจึงเที่ยววิเวกกับหลวงปู่ชอบไปได้ทุกที่
ถ้าท่านเป็นคนไม่อดทนแล้วจะอยู่กับหลวงปู่ชอบไม่ได้เด็ดขาด
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเป็นพระใจเด็ด
หลวงปู่ชอบท่านจึงเจียรนัยเพชรเม็ดนี้ไว้ในพระศาสนา
หลวงปู่ชอบท่านวางอาจารย์จันทร์เรียนไว้
ให้เป็นทายาทผู้สืบศาสนาอีกองค์หนึ่งของท่าน
ลูกศิษย์หลวงปู่ชอบก็มีท่านเรียนนี้แหละ
ที่ถอดพิมพ์ธรรมะฤทธิ์จากหลวงปู่ชอบได้มากที่สุด
จริตภายในคือกันคักแท้กับหลวงปู่ชอบ”

ภาพและบันทึกโดย อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท

 

  หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี

 

  หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ วัดป่าเวฬุวนาราม จ.เลย

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ วัดป่าเวฬุวนาราม จ.เลย 

 

ประสบการณ์เที่ยววิเวกของหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
ร่วมกับ “หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ” แห่งวัดป่าเวฬุวนาราม 

(๑) ตอน...พญานาคบ้านนาเบี้ยสำแดงเดช

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าเรื่องประสบการณ์ครั้งแรก
ที่ท่านได้เห็นพญานาคสำแดงเดชให้ฟังว่า 
หลังจากออกพรรษาที่ ๓ ของท่าน ปลายปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ 
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พาท่านฝึกหัดออกเที่ยววิเวก
ตามคำสั่งขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
หลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านมาเที่ยววิเวก
ทางเขตอำเภอภูเรือและเขตอำเภอด่านซ้าย 
ออกจากภูเรือหลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านมาพักภาวนา
อยู่ที่บ้านนาเบี้ย ตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่จันทร์เรียนชวนหลวงพ่อสมศรี 
และเณรที่เป็นหลานหลวงปู่ผาง ปริปุณโณ 
ไปเก็บมะขามป้อมที่ป่าบนภูเขา พวกท่านไปพบถ้ำในป่า 
จึงพากันเข้าไปสำรวจถ้ำโดยให้เณรรออยู่นอกถ้ำ 
ภายในถ้ำแห่งนี้มีธารน้ำไหลและมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่
น้ำลึกเท่ากับหน้าอกของหลวงพ่อสมศรี 
ขณะเดินลุยน้ำภายในถ้ำ หลวงพ่อสมศรีท่านทำไฟแช็กตกลงไปในน้ำ
ท่านจึงคลำหาไฟแช็กของตนเองอยู่ในแอ่งน้ำ

ขณะท่านกำลังคลำหาไฟแช็กอยู่นั้น 
ท่านรู้สึกว่ามีตัวอะไรลื่นๆ ขนาดลำตัวประมาณเท่ากระติกน้ำแข็ง
ทรงกลมขนาดใหญ่ เลื้อยผ่านขาของท่านไป 
ท่านมีความรู้สึกเกรงในอำนาจของสัตว์ลึกลับตัวนี้ 
พอท่านควานหาไฟแช็กเจอแล้วท่านก็รีบออกจากถ้ำ
ตามไปสมทบกับหลวงปู่จันทร์เรียนที่ออกจากถ้ำมาก่อนหน้าของท่าน

หลวงพ่อสมศรีท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียนว่า 
เมื่อสักครู่ตอนผมอยู่ในถ้ำ 
ไม่รู้ว่าตัวอะไรใหญ่ๆ ลื่นๆ มันเลื้อยผ่านขาของผม

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกเป็นพญานาคที่อาศัยอยู่ในถ้ำ 
เขามาสัมผัสท่านศรีเพื่อที่จะบอกให้ท่านรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่ 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเห็นพญานาคตนนี้ตั้งแต่ตอนท่านเข้าไปในถ้ำ 
พญานาคมาแสดงตนให้ท่านเห็นว่าเขาเป็นเจ้าของถ้ำ

จากนั้นมาอีกสามวันเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก 
ชาวบ้านนาเบี้ยจึงพากันไปทำฝายกั้นน้ำเพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ 
หลังจากชาวบ้านนาเบี้ยสร้างฝายผ่านไปได้สองวัน 
ปรากฏมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่บนภูเขา 
เสียงดังลั่นสั่นสะเทือนนี้คล้ายกับเสียงรถไถกำลังดันภูเขาลงมา 
ชาวบ้านจึงเกิดอาการตื่นกลัวพากันวิ่งหลบหนี
เพราะกลัวว่าหินหรือดินจากภูเขาจะไหลถล่มลงมา

เสียงดังลั่นคล้ายกับเสียงรถไถดังผ่านมาทางวัด
ที่หลวงปู่จันทร์เรียนกับหลวงพ่อสมศรีท่านพักอยู่ 
เสียงดังที่ว่านี้ผ่านไปทางไหน 
ปรากฏว่าดินตามสายทางจะยุบตัวลงตามไปด้วย 
ท่านว่าดินจะยุบตัวลงเป็นร่องลึกขนาดครึ่งแข้งของท่าน 
กว้างประมาณเท่ากับรอยรถไถ

หลังจากแผ่นดินยุบตัวลงแล้ว 
ปรากฏมีน้ำไหลตามร่องดินลงมาจากภูเขา 
พระเณรในวัดเห็นท่าไม่ดีจึงพากันรีบขึ้นกุฏิของตน

หลวงพ่อสมศรีท่านไม่เคยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อน 
ท่านจึงเดินดูน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา 
ท่านเดินมาเห็นหลวงปู่จันทร์เรียนกำลังเดินจงกรมอยู่ 
หลวงปู่จันทร์เรียนว่าให้ท่าน 
มาดูอะไรกับของแบบนี้ ให้กลับไปกุฏิโน่น 
อย่ามาสนใจกับของพวกนี้มากนัก ท่านจึงเดินกลับกุฏิ

วันต่อมาหลวงปู่จันทร์เรียนเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟังว่า 
พญานาคที่เขาอาศัยอยู่บนถ้ำ ไม่พอใจที่ชาวบ้านไปทำฝาย
ปิดกั้นเส้นทางสัญจรที่เขาเคยอาศัยผ่านไปมา 
พญานาคตนนี้จึงสำแดงเดชดันดินมาจากข้างล่าง
เพื่อจะพังฝายน้ำของชาวบ้าน

ระหว่างทางที่พญานาคตนนี้ผ่านมาเขาจะพ่นพิษไปด้วย 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจึงห้ามไม่ให้หลวงพ่อสมศรี
เดินตามพญานาคขณะที่เขากำลังสำแดงเดชด้วยโทสะ 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเป็นห่วงเกรงว่าหลวงพ่อสมศรี
ท่านจะได้รับอันตรายจากฤทธิ์เดชของพญานาคตนนี้ได้

เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อสมศรีท่านได้เห็นฤทธิ์เดชของพญานาคด้วยตาเนื้อ 
อีกครั้งหนึ่งพญานาคที่วัดป่าม่วงไข่แสดงฤทธิ์หยอกล้อท่าน 
ตอนท่านพักปฏิบัติอุปัฏฐากองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
อยู่ที่วัดป่าม่วงไข่ บ้านม่วงไข่ ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย


(๒) ตอน...ยักษ์ใหญ่บ้านไร่ม่วง

เกริ่นนำ..ประวัติการเที่ยวธุดงค์และการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ 
ในเรื่องนี้ ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ตั้งใจจะเขียนบันทึก
เก็บไว้ในเรื่องราวที่ตนเองที่ได้อยู่ปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มาเท่านั้น 
เป็นเรื่องสุดบรรยายภายนอกของหลวงพ่อสมศรีที่คนทั้งหลายไม่เคยรู้มาก่อน

เรื่องนี้ตนเองขออนุญาตท่านลงเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ 
ที่งานทำบุญโรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบ วัดท่าแขก ตำบลเชียงคาน 
อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ท่านบอกให้เอาพอสมควร 

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าให้ฟัง 
เมื่อต้นปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ พรรษาที่ ๓ ของท่าน 
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ศิษย์ผู้พี่ พาท่านออกฝึกเที่ยววิเวก
ตามคำสั่งขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
ที่มอบหมายให้หลวงปู่จันทร์เรียนรับหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยง
ฝึกฝนทางด้านจิตภาวนาให้กับท่าน 
นี่เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อสมศรีท่านได้ออกเที่ยววิเวกอย่างจริงจัง
โดยมีหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เป็นพระพี่เลี้ยง
คอยกำกับดูแลท่านทั้งภายนอกภายใน

ท่านบอก หลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านเดินทางออกจาก
บ้านโคกมนมาบ้านผาน้อย และบ้านแหล่งควาย อำเภอเมืองเลย 
แบบจรวดทางเรียบ โดยไม่มีการหยุดพักระหว่างทางเลย 
หลวงพ่อสมศรีท่านรู้สึกเหนื่อย แต่ท่านก็ไม่กล้าเอ่ยปาก
ขอให้หลวงปู่จันทร์เรียนพาหยุดพัก 
ท่านได้แต่คิดในใจว่าเมื่อไหร่ครูบาจันทร์เรียนจะพาหยุดพักซักที 
เราเหนื่อยจนเดินขาเป๋ตบตั๊กแตนแล้ว 
(สำนวนภาษาอีสาน ขาตบตั๊กแตน ความหมายก็คือ ขาล้าอ่อนแรง)

ความคิดจิตบ่นในใจของหลวงพ่อสมศรีไปกระทบกับ
ความรู้ภายในของหลวงปู่จันทร์เรียน ท่านจึงดุให้ว่า 
“ท่านศรีดีนะที่มากับเฮา ถ้าท่านออกเที่ยววิเวกกับพ่อแม่ครูจารย์แล้ว 
พ่อแม่ครูจารย์เพิ่นไปปานฟากจรวดบ่ได้หยุดบ่ได้เซา 
เฮานี่ไปกับเพิ่นแต่ละครั้งจนเยาตาย (เรานี้ไปกับท่านแต่ละครั้งแทบตาย) 
มันดีปานใด๋แล้วที่ท่านได้มากับเฮา ซ่ำนี่กะจ่มปู๊ดๆ (แค่นี้ก็บ่นพึมพำ)

หลวงพ่อสมศรีท่านเล่าไปขำไปในเรื่องที่
หลวงปู่จันทร์เรียนดักจิตรู้ใจในความคิดของท่าน 
ท่านมารู้จากองค์ท่านหลวงปู่ชอบเปิดเผยให้ท่านฟังในภายหลังว่า 
หลวงปู่จันทร์เรียน ศิษย์ผู้พี่ของท่านนั้น มี “ปรจิตวิชา” 
รู้จิตรู้ใจมนุษย์และอมนุษย์ตั้งแต่ท่านพรรษาที่สี่ 
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงไม่แปลกใจเลยที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
มอบดาบอาญาสิทธิ์ให้หลวงปู่จันทร์เรียนปกครองดูแล
พระเณรแทนองค์ท่านตั้งแต่หลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านเป็นพระอนุเถระ พรรษายังไม่พ้นฟ้าห้าฝน

ในบรรดาลูกศิษย์รุ่น “ทายาทธรรม” ขององค์ท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ 
และองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งสององค์ท่านร่วมฝึกฝนอบรมมาด้วยกัน 

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นทายาทธรรม
ที่โดดเด่นมากในทางด้านเลิศ “ฤทธิ์”

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นทายาทธรรม
ที่โดดเด่นมากในทางด้านเลิศ “ปัญญา”

ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับกันในบรรดาลูกศิษย์
สายขององค์ท่านหลวงปู่อ่อน และองค์ท่านหลวงปู่ชอบ

หลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรีมาแวะพักภาวนา
กับ หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต ที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง 
ตำบลน้ำหมาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย อยู่หลายวัน 
ระหว่างหลวงพ่อสมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่บ้านไร่ม่วง 
ท่านบอกตอนนั้นจิตท่านยังกะเตาะกะแตะเหมือนกับเด็กกำลังหัดตั้งไข่ 
บางวันจิตก็เจริญธรรม บางวันจิตก็ซึมกะทือตันตื้อเป็นกรรมฐานหัวตอ

ท่านบอกอยู่ที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง ท่านก็ทำความเพียรของท่านทุกวัน 
แต่ความเพียรของท่านไม่ถึงขั้นห่ำหั่นแบบเอาเป็นเอาตายกับกิเลส
เหมือนตอนที่ท่านขึ้นศาลฎีกาว่าความตัดสินสิ้นธรรม
กันกับจอมจักรพรรดิราชามหากิเลส ที่วัดป่าสวนกล้วย บ้านสวนกล้วย 
ตำบลกกทอง อำเภอเมือง จังหวัดเลย เมื่อต้นปีพุทธศักราช ๒๕๓๑

ระหว่างที่หลวงพ่อสมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วงนั้น 
ท่านบอกมีวันหนึ่งท่านเดินจงกรมอยู่ในป่าตั้งแต่ฉันข้าวเสร็จ
จนถึงเวลาตะวันคล้อยบ่าย ท่านรู้สึกเหนื่อยหิวกระหาย
เพราะตอนนั้นท่านอดอาหารทำความเพียร 
ท่านเดินออกจากป่าทางจงกรมมาฉันน้ำ ที่ศาลาวัดป่าอัมพวัน
เพื่อคลายเหนื่อยเมื่อยกระหาย หลังฉันน้ำแล้วท่านทิ้งตัวลงนอน
ที่ตะแคร่หน้าศาลาวัดป่าอัมพวันเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า

ท่านนอนกำหนดจิตอยู่ระยะหนึ่ง 
จิตของท่านก็ดำดิ่งลงสู่ชั้นความสว่างไสว
ของฐานแน่นสมถะราวหนึ่งชั่วโมง 
จากนั้นจิตท่านก็ถอนออกมาดูภายนอก

ภายนอกท่านเห็นบุรุษรูปร่างใหญ่ผิวดำสูงราวสามเมตร
ยืนทะมึนทึนทำหน้าตาดุดันใส่ท่าน ด้วยกิริยาท่าทางที่ไม่เป็นมิตร 
เมื่อแรกจิตที่หลวงพ่อสมศรีท่านเห็นบุรุษรูปร่างใหญ่ผู้นี้
ท่านก็รู้ว่าเขาเป็น “ยักษ์” ใจท่านจึงเกิดอาการเกรงกลัว
ในอำนาจบาตใหญ่ที่เขากำลังแสดงใส่ท่าน

ยักษ์ตนนี้มีจิตมุ่งร้ายพยายามจะเข้ามาทำร้ายท่าน โดยจะจับท่านทุ่มลงกับพื้น 
ท่านกำหนดหนียักษ์ตนนี้โดยเอาร่างจิตของตนเองขึ้นไปอยู่บนต้นมะม่วง
หน้าศาลาวัดป่าอัมพวัน ยักษ์ตนนี้ลอยตัวตามท่านขึ้นมาเพื่อจะจับตัวของท่าน 
หลวงพ่อสมศรีท่านบอกตอนนั้นตนเองจนมุมไม่มีที่ไปแล้ว
จึงกำหนดจิตระลึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

ท่านได้ยินเสียงผู้ชายคล้ายกับเสียงของ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบ พูดขึ้นมาว่า 
“ท่านศรี ให้ท่านท่องพระคาถาบทนี้ขึ้นมา 
ยักษ์มันจะกลัวแล้วหนีไปเอง”

หลังจากนั้นมีเสียงพูดคล้ายกับเสียงขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ
กล่าวพระคาถาธรรมบทนี้ขึ้นมา…

ท่านบอก ความยาวของพระคาถานี้มีความยาวพอๆ กับบทสวดมนต์อิติปิโสฯ 
พอท่านท่องพระคาถาธรรมนี้ขึ้นมา ปรากฏมีเสียงลั่นเปรี้ยง
เหมือนกับเสียงฟ้าผ่าเกิดขึ้นมา จนจิตท่านเกิดกระทบรับทราบ

ปรากฏยักษ์ตนนี้เมื่อได้ยินเสียงอัสนีธรรมลั่นเปรี้ยงขึ้นมา 
ยักษ์ตนนี้รีบลนลานหนีออกจากท่านไปทางภูผาหมาน
(ทางเขื่อนน้ำหมาน ในปัจจุบัน) ท่านบอกการเคลื่อนตัวหนีของยักษ์ตนนี้
เร็วกว่าลมพายุ แค่อึดใจเดียวยักษ์ตนนี้หนีไปไกลถึงภูผาหมาน 
ยักษ์ก็ไปเร็ว จิตท่านก็กำหนดไล่ตามทันกันเร็ว 

ครั้งนี้หลวงพ่อสมศรีท่านได้เห็น
ปรากฏการณ์ธรรมภายนอกภายในของตนเองหลายอย่าง

ปรากฏการณ์ธรรมภายนอก ท่านบอกตนเองได้เห็นภูมิยักษ์เป็นครั้งแรก

ปรากฏการณ์ธรรมภายใน ตนเองได้เห็นวาสนาในธรรมของตนเอง 
เห็นเมตตา “ธรรมวิมุติ” ของพระศาสนาที่เหนือ “สมมุติ” ที่โลกยากจะหยั่งรู้ได้

ท่านได้เห็น “คุณวิเศษ” ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ
แสดงให้ท่านเห็นอย่างเหนือโลกเหนือสงสาร

จากนั้นมาหลวงพ่อสมศรีท่านจึงปักใจเชื่อใน “ธรรม” 
ที่เหนือโลกเหนือสงสารของพระพุทธศาสนาที่เป็นธรรม 
ปัจจัตตัง วิญญู หีติ วิญญูชนพึงรู้ได้ด้วยการปฏิบัติของตนเอง 
ที่เกิดจากการปฏิบัติของท่านอย่างสนิทใจ

หลังจากหลวงพ่อสมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่วัดป่าอัมพวันอยู่หลายวัน 
หลวงปู่จันทร์เรียนได้พาท่านและสามเณรแอ๊ว บ้านหนองบัวบาน
กราบลาองค์ท่านหลวงปู่ซามา อาจุตฺโต 
พาท่านเดินทางมาเที่ยววิเวกที่เขตอำเภอภูเรือและเขตอำเภอด่านซ้าย 
จังหวัดเลย จนสิ้นเดือนหกพฤษภา หลวงปู่จันทร์เรียนจึงพาท่าน
และสามเณรแอ๊ว กลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่วัดป่าสัมมานุสรณ์

เมื่อท่านเข้าไปทำข้อวัตรอุปัฏฐากพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
หลวงปู่ชอบถามท่านว่า 
“ไปเที่ยววิเวกกับท่านเรียนทางนอกทางในตนเองเป็นยังไงบ้างล่ะ”

หลวงพ่อสมศรีท่านบอก ภายในของข้าน้อยเป็นแบบนี้ๆ 
องค์ท่านหลวงปู่ชอบก็ชี้แนะแนวทางเพิ่มเติมให้
ในขั้นธรรมที่ท่านยังไม่ผ่าน
ทางภายนอกท่านบอกองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง
และเรื่อง “ผีพระที่ภูหมาจอก” บ้านโคกงาม อำเภอด่านซ้าย

องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกหลวงพ่อสมศรีว่า 
“เรื่องคาถาอาคมนิยมโลกนั้นเกิดจากบุญบารมีของท่านเอง 
คาถาอาคมใดที่เกิดจากฝันหรือนิมิตที่เห็นนั้น
เป็นคาถาอาคมจำเพาะที่เกิดจากบุญบารมีของบุคคลนั้น 
สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดเป็นสาธารณะ 
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากบุญบารมีเฉพาะบุคคลเท่านั้น 
ให้ท่านจดจำคาถาธรรมนี้เอาไปใช้เป็นคาถาธรรมประจำตัว 
คาถาธรรมนี้จะเป็นฤทธิ์ธรรมประจำตัวของท่าน”

หลวงพ่อสมศรีท่านจึงถือเอาคาถาธรรม
ที่เกิดกับท่านในนิมิตมาเป็นคาถาธรรมประจำตัวของท่าน
เพื่อสงเคราะห์โลกนับแต่ที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกท่านเอาไว้

(เคยถามหลวงพ่อสมศรี พระพี่ชาย ถึงคาถาบทนี้ 
เบื้องต้นหลวงพ่อสมศรีท่านไม่บอก ผ่านไปหลายปี
ตนเองใช้เทคนิคพิเศษของครูบากล้วยถามหลวงพ่อสมศรี 
ท่านจึงบอกออกมาให้ทราบ 
ท่านกล่าวเพียงครั้งเดียวตนเองจำได้ด้วยอักขระฐานกรณ์ทันที)

องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกหลวงพ่อสมศรีว่า... 
“เรื่องพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บูรพาจารย์ในอดีต
ท่านเรียบเรียงเอาไว้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น 
หากเทียบแล้วเป็นเพียงแค่เม็ดทรายในอุ้งมือของท่านเท่านั้น 
พระธรรมทั้งหลายที่แท้จริงนั้นเปรียบได้ดั่งเม็ดทราย
ในมหาสมุทรทะเลหลวง จนยากเกินกว่าจะประมาณคาดการณ์ได้ 
ความรู้ที่ท่านรู้มานั้นเทียบเท่าแค่ทรายเพียงเม็ดเดียวในมหาสมุทร
ถ้าท่านอยากจะรู้มากไปกว่านี้ ท่านต้องข้ามมหาสมุทรโอฆะ
ทะเลหลวงห้วงสงสารนี้ไปก่อน 
ถึงตอนนั้นท่านจะได้รู้ถึงที่สิ้นสุดของพุทธธรรมพระพุทธเจ้า”

 

  หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต

หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต

 

 หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ

 

หลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดป่าบ้านเหล่า จ.เชียงราย 

หลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดป่าบ้านเหล่า จ.เชียงราย

 

 หลวงพ่อคำแปลง ปุณณชิ วัดป่าพรไพรวัลย์ จ.หนองบัวลำภู

หลวงพ่อคำแปลง ปุณณชิ วัดป่าพรไพรวัลย์ จ.หนองบัวลำภู 

 

(๓) ตอน...ผีกะเหรี่ยงบ้านแม่แสะ

ปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ พรรษาที่ ๑๐
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านชวน “หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ”
ขึ้นไปเที่ยววิเวกเพื่อหาสถานที่พักภาวนาจำพรรษา
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเลือกที่จะจำพรรษาอยู่ที่
สำนักสงฆ์โป่งเดือด ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
หลวงพ่อสมศรีท่านแยกออกไปจำพรรษาที่บ้านแม่แสะ
หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง ซึ่งห่างจากสำนักสงฆ์โป่งเดือด
ลึกเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร

ระหว่างในพรรษาหลวงพ่อสมศรีท่านเดินลัดป่าเพื่อมาเยี่ยมเยียน
สนทนาธรรมกับหลวงปู่จันทร์เรียน ที่สำนักสงฆ์โป่งเดือด 
หลังจากท่านเยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกันเสร็จแล้ว
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงเดินลัดป่ากลับมายังที่จำพรรษา
บ้านแม่แสะ ระหว่างที่หลวงพ่อสมศรีท่านเดินทางลัดป่า
ท่านเกิดเดินหลงทางเนื่องจากมีฝนตกลงมา
ทำให้สภาพอากาศมืดครึ้ม มองไม่รู้ทิศรู้ทาง...

ขณะที่ท่านเดินหลงป่าอยู่นั้น
ท่านเดินผ่านไปเห็นหอผีศาลของชาวกะเหรี่ยง
ท่านเกิดนึกสนุกขึ้นมาอยากจะหยอกลมหยอกแล้ง
กับศาลผีของชาวกะเหรี่ยง ท่านจึงเดินเข้าไป
พูดกับศาลผีของชาวกะเหรี่ยงว่า 

“อุ้ยๆ เฮาเดินหลงตาง ไปส่งตางเห้อเฮาตวยเน้อ”

พอพูดจบท่านก็เอาไม้เท้าเคาะหลังคาหอผี

จากนั้นท่านก็เดินลัดเลาะป่าไปเรื่อยๆ 
ราวทุ่มกว่าท่านก็เดินพ้นป่ากลับมาถึงสถานที่จำพรรษาบ้านแม่แสะ

ตกดึกในคืนวันนั้นขณะที่หลวงพ่อสมศรีท่านนั่งภาวนาอยู่ 
ปรากฏมีจิตวิญญาณของผู้หญิงวัยกลางคน
เข้ามาแสดงตนให้ท่านเห็นในนิมิต 
จิตวิญญาณของผู้หญิงนางนี้เป็นผีชาวกะเหรี่ยง
มายืนอยู่ทางด้านหน้าที่พักของท่านโดยไม่พูดจาใดๆ 
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงกำหนดจิตถามผีผู้หญิงกะเหรี่ยงนางนี้ว่า

“มาทำอะไร มาถึงแล้วทำไมไม่ไหว้พระ”

ผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ยืนเฉยจ้องมองท่าน
ด้วยท่าทีที่ไม่พอใจในตัวของท่าน
แต่ก็ไม่กล้าเข้ามาทำอะไรให้กับท่าน 
ได้แต่ยืนจ้องหน้าท่านด้วยสายตาที่ดุดันของนาง

หลวงพ่อสมศรีท่านจึงบอกผีหญิงกะเหรี่ยงนางนี้

“ถ้าเจ้ารู้จักไหว้พระ เราจะแผ่เมตตาให้”

ผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ยืนเมินเฉยอยู่อย่างนั้น
แสดงกิริยาไม่ต้องการในเมตตาธรรม
ที่ท่านจะสงเคราะห์ให้เธอได้รับความผาสุก 
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงพิจารณาในเจตนาของผีกะเหรี่ยงนางนี้ 
ท่านทราบในเจตนาของผีนางนี้
ต้องการมารบกวนจิตของท่านขณะกำลังภาวนาเท่านั้น 
ท่านจึงดุผีกะเหรี่ยงนางนี้ว่า

“ถ้ามาวัดแล้วไม่รู้จักไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าก็อย่ามา
จะไปไหนก็ไปอย่ามารบกวน เราจะภาวนา”

สิ้นคำดุของท่านผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ร้องไห้
วิ่งหนีออกไปจากที่พักสงฆ์บ้านแม่แสะ 
หลวงพ่อสมศรีท่านกำหนดตามไปดูว่าผีนางนี้หนีไปที่ไหน
ผีกะเหรี่ยงนางนี้หนีกลับไปอยู่ที่หอผีของชาวกะเหรี่ยง
ที่ท่านเดินผ่านเมื่อตอนเย็น ท่านกำหนดจิตแผ่เมตตาให้เขาก็ไม่รับเอา
เพราะจิตของผีนางนี้มืดบอดไม่มีสรณะรองรับเอาผลบุญ 
ตั้งแต่คืนวันนั้นเป็นต้นมาผีกะเหรี่ยงนางนี้ก็ไม่เคยมาหาท่านอีกเลย


(๔) ตอน...ครั้งไปภาวนาที่ “ผาคอก”

หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าเรื่อง
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พาท่านไปพักภาวนาอยู่ที่
ถ้ำผาคอก ตำบลผางาม อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย 
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ ครั้งนั้นมีสามเณรเหลา 
(พระอาจารย์เฉลา วัดป่าสานตม ตำบลสานตม 
อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย) ติดตามไปเที่ยววิเวกด้วย

ท่านบอกตอนไปพักที่ผาคอกนั้นเป็นหน้าแล้ง 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะพักอยู่บนยอดเขา 
หลวงพ่อสมศรีท่านจะพักอยู่กลางเขา ส่วนสามเณรเหลา 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านให้เข้าไปพักอยู่ในถ้ำผาคอก

ท่านบอกผาคอกลักษณะภูเขาคล้ายกับคุกคุมขังนักโทษ 
ชาวบ้านท้องถิ่นจึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “ผาคอก” 
คำว่า คอก ภาษาภาคเหนือแปลว่า คุก

ท่านว่าที่บนเขาผาคอกจะมีหมีควายใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น
คืนแรกที่พวกท่านไปพักหมีควายตัวนี้มันออกมาหากิน 
มันเห็นกลดหลวงปู่จันทร์เรียนแขวนอยู่ หมีควายตัวนี้มันคงสงสัยว่าเป็นอะไร 
หมีควายมันจึงเดินเข้ามาหาท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน
พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านนั่งอยู่ในกลด มองดูหมีควายเดินเข้ามาหา 
หมีควายตัวนี้เอาจมูกของมันมาดมมุ้งกลดของท่านหลวงปู่จันทร์เรียน 
พอมันได้กลิ่นคนมันยิ่งดมไปใหญ่

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านนึกขำในกิริยาขี้สงสัยของหมีควายตัวนี้ 
ท่านเกิดนึกสนุกขึ้นมาอยากจะหยอกล้อ 
ท่านหลวงปู่จันทร์เรียนจึงร้องขึ้น...
เฮ้ย มึงมาเฮ็ดอีหยังอยู่นี่ (มึงมาทำอะไรอยู่นี่)
ว่าไม่ว่าเปล่า หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกระโดดจะเข้าไปกอดเจ้าหมีตัวนี้ 
หมีควายมันตกใจที่หลวงปู่จันทร์เรียนจะกอดมัน 
มันจึงถอยหนีออกไปตั้งหลักห่างจากหลวงปู่จันทร์เรียนราวสิบกว่าเมตร

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านยังไม่หายสนุก ท่านอยากจะกอดคอหมีตัวนี้ 
ท่านลุกออกจากกลดเดินเข้าไปหาหมี
หมีมันเห็นท่านหลวงปู่จันทร์เรียนเดินเข้าไปหา 
หมีมันกลัวท่าน มันจึงรีบเปิดแนบวิ่งหนีขึ้นไปบนยอดเขา

พอตอนเช้าหลวงปู่จันทร์เรียนท่านนำเรื่องนี้มาเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟัง
เป็นเรื่องสนุกสนานก่อนออกไปบิณฑบาต 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอก อยู่คนเดียวบนเขามันเหงาไม่มีเพื่อน 
ท่านจึงอยากจะกอดคอขอเป็นเพื่อนกับหมีตัวนี้
แต่หมีมันไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเรา มันจึงวิ่งหนีขึ้นไปบนเขา 
หลวงพ่อสมศรีท่านขำเรื่องที่หลวงปู่จันทร์เรียนท่านขอเป็นเพื่อนกับหมี

คืนต่อมาหมีควายตัวนี้มันมาหากินทางที่พักของหลวงพ่อสมศรี 
ท่านได้ยินเสียงหมีมันมาพึมพำอยู่ใกล้ที่พักของท่าน 
ท่านนึกเกรงหมีตัวนี้ ท่านจึงพาใจของตนเองเข้าที่พักจิต
อยู่ในสมาธิแน่วแน่ราวสองชั่วโมง 
พอจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ท่านไม่ได้ยินเสียงของหมีตัวนี้ 
ท่านออกมาดูนอกกลดก็ไม่พบกับหมีตัวนี้ 
พบแต่รอยเล็บของมันที่ขีดข่วนดินและต้นไม้รอบๆ ที่พักของท่านเท่านั้น 
ท่านจึงกลับเข้ากลดเพื่อนั่งภาวนาของท่านต่อ

จิตท่านสงบอยู่ในสมาธิได้ระยะหนึ่ง 
ท่านได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้ขอความช่วยเหลือ
ดังมาจากภายในถ้ำผาคอกที่สามเณรเหลาพักอยู่ 
ท่านจึงกำหนดดูที่มาของเสียงผู้ชายที่ร้องไห้
ขอให้ท่านช่วยเหลือเผื่อแผ่บุญให้ 
เสียงผู้ชายร้องให้ขอความช่วยเหลือนี้
ดังขึ้นมาจากก้นเหวภายในถ้ำผาคอก 
ท่านจึงกำหนดแผ่เมตตาให้กับเขา

ปรากฏว่าจิตของท่านไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของบุคคลนี้ได้เลย
ได้ยินแต่เสียงของเขาร้องไห้เพ้อรำพันดำมืดอยู่อย่างนั้น

ท่านย้อนจิตเข้ามาพิจารณาดูในเรื่องนี้ 
ท่านจึงทราบว่า วาสนาของท่านไม่สามารถสงเคราะห์ธรรม
ให้กับจิตวิญญาณของภูตผีตนนี้ได้ 
เนื่องจากไม่เคยมีวาสนาธรรมสงเคราะห์กันมาก่อนหนึ่ง 
และสอง จิตวิญญาณของผู้นี้มีกรรมหนัก 
ตอนเป็นมนุษย์อยู่นั้นเป็นผู้มืดบอดในธรรม 
กรรมที่ตนเองก่อมาจึงปิดกั้นแสงธรรมไม่ให้ส่องเข้าถึงจิต
เมื่อท่านพิจารณาทราบในเรื่องนี้แล้วท่านจึงวางจิตเป็นอุเบกขาธรรม
หันจิตของตนเองเข้ามาพิจารณาในธรรม
ที่ตนเองกำลังก้าวเดินอยู่ในมรรคคาขณะนั้น

วันต่อมาท่านถามสามเณรเหลาว่านอนอยู่ในถ้ำ ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ บ้างมั๊ย 
สามเณรเหลาบอกท่านว่า ไม่ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ 
ได้ยินแต่เสียงค้างคาวบินพรึ่บๆ ไปมาอยู่ในถ้ำ 
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงไม่บอกเรื่องนี้ให้สามเณรเหลาทราบ 
เพราะถ้าบอกไปท่านเกรงว่าสามเณรเหลาจะกลัวผี ไม่กล้าพักคนเดียวอยู่ในถ้ำ 
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงนำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านหลวงปู่จันทร์เรียนฟัง

หลวงปู่จันทร์เรียนบอกท่านว่า เราเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่
มันก็ร้องไห้มาขอเมตตาช่วยเหลือกับเราแบบนี้แหละ 
เราเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เพราะไอ้นี่มันบาปหนัก
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกหลวงพ่อสมศรีถึงที่มาของชายผู้นี้

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอก แต่ก่อนชายผู้นี้เป็นคนท้องถิ่นที่นี่
ตอนมีชีวิตอยู่เป็นคนนั้น ชายผู้นี้เป็นผู้ที่มีนิสัยเกเรอันธพาล 
ชอบเบียดเบียนระรานคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อน 
มันจึงถูกคนอื่นจับมาฆ่าโยนศพทิ้งเหว 
กรรมที่มันก่อมาจึงทำให้มันเป็นผีเปรตเฝ้าถ้ำเฝ้าเหวจนเท่าทุกวันนี้ 

พอท่านหลวงปู่จันทร์เรียนอธิบายที่มาที่ไปของผีเปรตตนนี้ 
หลวงพ่อสมศรีท่านจึงสิ้นสงสัยในที่มาที่ไปของมัน

หลวงพ่อสมศรีท่านบอก หลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านเป็นผู้มีวาสนารู้ละเอียดในเรื่องลึกลับเหมือนกับ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ 
เรื่องความรู้ภายในฤทธิ์เดชพิสดารนี้ 
องค์ท่านหลวงปู่ชอบยกให้ท่านหลวงปู่จันทร์เรียน
เป็นที่หนึ่งในศิษย์ “ทายาทธรรม” ขององค์ท่าน

หลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรี และสามเณรเหลา
พักภาวนาอยู่ที่ผาคอกประมาณสามเดือน 
จากนั้นหลวงปู่จันทร์เรียนท่านพาหลวงพ่อสมศรี และสามเณรเหลา
เดินทางมากราบเยี่ยม หลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดป่าบ้านเหล่า 
ตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย พักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง

พอใกล้จะเข้าพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านพาหลวงพ่อสมศรี และสามเณรเหลา
มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์บ้านป่าสักน้อย 
ตำบลบ้านเหล่า อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักกับสำนักขององค์ท่านหลวงปู่ขาน

ปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ เป็นปีพรรษาที่ ๑๒ ของหลวงพ่อสมศรี 

พอออกพรรษาแล้วหลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรี
เดินทางกลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
หลวงพ่อสมศรีท่านอยู่อุปัฏฐากพ่อแม่ครูบาอาจารย์
องค์ท่านหลวงปู่ชอบอยู่นานจนใกล้จะเข้าพรรษา

พอใกล้จะเข้าพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ 
หลวงพ่อสมศรีทราบข่าวว่า หลวงพ่อคำแปลง ปุณณชิ 
ท่านพักอยู่ที่ถ้ำผาสิงห์ ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
เพียงลำพังองค์เดียว ท่านจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
เดินทางมาจำพรรษาที่ถ้ำผาสิงห์กับหลวงพ่อคำแปลง ศิษย์ผู้พี่ 
ปี ๒๕๒๑ หลวงพ่อสมศรีจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำผาสิงห์กับหลวงพ่อคำแปลง 

ปีนี้ท่านบอกจำพรรษาสององค์กับหลวงพ่อคำแปลง 
พากันอาศัยบิณฑบาตที่บ้านโนนสมบูรณ์ 
ตำบลหนองหญ้าปล้อง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
การภาวนาของท่าน ท่านบอกภายในนั้นดี 
จิตท่านเดินก้าวตามมรรคตามผล 
แต่ภายนอกนั้นท่านบอกมีคนบ้าเลขบ้าหวยมารบกวน 
จนท่านต้องหลบหนีเข้าไปภาวนาอยู่ในถ้ำลึกๆ 
เพราะท่านไม่ชอบพูดคุยกับผู้คนประเภทศรัทธาบ้าหวย

 

(๕) ตอน...เปรตพระนุ่งผ้าถุง

เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจในเรื่องพระธรรมวินัย 
ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) 
ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้จากประสบการณ์เที่ยววิเวกของศิษย์ผู้พี่ 
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร กับ หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ 
ที่ศิษย์ผู้พี่ทั้งสองท่านพบเจอกับภูมิลึกลับ…

หลวงพ่อสมศรีเล่าให้ฟังว่า หลังออกพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ 
พรรษาที่สามของท่าน องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม บอก
หลวงปู่จันทร์เรียนให้พาหลวงพ่อสมศรีออกฝึกหัดเที่ยววิเวกภาวนา 

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านได้พาหลวงพ่อสมศรี
และสามเณรอีกสองรูปออกเที่ยววิเวกมาทางเขตอำเภอภูเรือ-ด่านซ้าย 

หลวงพ่อสมศรีท่านบอกตอนพักอยู่บ้านโคกงาม อำเภอด่านซ้าย 
หลวงปู่จันทร์เรียนชวนท่านไปเยี่ยมญาติคนบ้านหนองบัวบาน
ที่มาแต่งงานมีสามีอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ทางตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย 
หลวงปู่จันทร์เรียนพาท่านกับสามเณรอีกสองรูปเดินลัดภูเขาจากบ้านโคกงาม
มาถึงเขตตำบลนาหอเวลาพลบค่ำ แล้วไปพักที่วัดร้างแห่งหนึ่ง

กลางคืนราวสองทุ่มหลวงพ่อสมศรีท่านได้ยินเสียงผู้ชาย
เดินร้องไห้ผ่านที่พักของท่านไปทางที่หลวงปู่จันทร์เรียนพักภาวนาอยู่ 
เสียงผู้ชายร้องไห้มาหยุดเงียบตรงที่พักของหลวงปู่จันทร์เรียน 
ตกดึกหลวงพ่อสมศรีท่านได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วเงียบหายไปทางด้านหลังวัด...

ตอนเช้าหลวงปู่จันทร์เรียนเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟังว่า 
ศรี เมื่อคืนนี้มีเปรตพระองค์หนึ่งร้องไห้มาหาเรา 
เปรตพระองค์นี้นุ่งอังสะเหมือนกับพระเณรเราทั่วไป
แต่ข้างล่างนุ่งผ้าซิ่นผ้าถุงลายดอกแบบผู้หญิง 

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านพิจารณาถึงบุพกรรมที่มาของเปรตพระตนนี้

เปรตพระนุ่งผ้าซิ่นผ้าถุงตนนี้ เมื่อสมัยบวชอยู่
เคยเป็นเจ้าอาวาสที่วัดร้างแห่งนี้มาก่อน 
ตอนสมัยบวชมักประพฤติผิดพระวินัยอาบัติ “ปาจิตตีย์” อยู่เป็นอาจิณ 
มีจิตลามกเจ้าชู้ ชอบพูดจาเกี้ยวพาราหญิงสาวด้วยใจกำหนัด 
กิเลสพาคิดเหมาเอาเองว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ปลงแล้วจะหายได้ 
หารู้ไม่ว่าอาบัติปาจิตตีย์นี้เป็นอาบัติบาปทางจิตใจ 
พอตายแล้วจิตติดคาในอาบัติที่ตนเองข้องอยู่กรรม
จึงส่งผลให้มาเกิดเป็นเปรตพระนุ่งผ้าซิ่นผ้าถุง...

(อาบัติปาจิตตีย์ แปลว่าบาปทางจิต 
ภิกษุเมื่อต้องอาบัตินี้แล้วจะทำให้จิตเศร้าหมอง 
อาบัติปาจิตตีย์มีทั้งหมด ๙๒ ข้อ อาบัติปาจิตตีย์เป็นอาบัติที่สละปลงได้ 
แต่ถ้ากลับมาประพฤติผิดซ้ำซากโดยเจตนาเพราะคิดว่าผิดแล้วก็ปลงได้ 
องค์ท่านหลวงปู่ชอบเคยบอกเอาไว้มันจะเป็นบาปที่สละไม่หลุด 
องค์ท่านบอกพระเราเป็นเปรตหรือตกนรกเพราะอาบัติปาจิตตีย์นี้
มากกว่าทุกอาบัติ องค์ท่านถึงสอนลูกศิษย์ให้พึงสังวร)

เปรตพระนุ่งผ้าถุงตนนี้มาแสดงตนร้องไห้
ขอให้หลวงปู่จันทร์เรียนช่วยเหลือสงเคราะห์ 
หลวงปู่จันทร์เรียนบอกกับเปรตพระตนนี้ว่า
เราไม่สามารถช่วยท่านได้ กรรมผิดธรรมผิดวินัยสงเคราะห์กันไม่ได้
ให้ยอมรับผลกรรมของตนเองเสีย เปรตพระนุ่งผ้าถุงพอรู้ว่า
หลวงปู่จันทร์เรียนสงเคราะห์ธรรมให้ตนเองพ้นกรรมไม่ได้ 
เปรตพระตนนี้จึงเดินร้องไห้ออกไปทางหลังวัด...

หลวงพ่อสมศรีบอกวัดแห่งนี้ร้างพระเณรมาได้ร่วมปี
ก่อนที่หลวงปู่จันทร์เรียนจะพาท่านเข้ามาพัก 
หลังจากเจ้าอาวาสรูปนี้มรณภาพไปแล้ว
พระเณรองค์อื่นๆ ก็พักอยู่ที่วัดแห่งนี้ไม่ได้
เนื่องจากถูกผีเปรตเจ้าอาวาสตนนี้รบกวน 
แม้แต่ชาวบ้านก็ไม่กล้าเข้าวัดเพราะกลัวผีเจ้าอาวาส 
วัดนี้จึงถูกทิ้งให้ร้างจนตราบเท่าทุกวันนี้...

หลวงพ่อสมศรี “พักอยู่วัดร้างคืนหนึ่ง บิณฑบาตฉันเช้า
เยี่ยมญาติพี่น้องกันแล้วอาจารย์จันทร์เรียนท่านพานั่งรถกรมทางหลวง
มาลงภูเรือ อาจารย์จันทร์เรียนท่านพาไปพักอยู่หอผีปู่ตา 
บ้าน...(ขอสงวนชื่อ) บ้านนี่เขานับถือผีกันเป็นล่ำเป็นสัน พักอยู่หอผีปู่ตาคืนเดียว 
อาจารย์จันทร์เรียนท่านใช้ฤทธิ์ปราบผีหอปู่ตาบ้านนี้
จนแตกกระเจิง ฤทธิ์ผีบ่สู้ฤทธิ์พระอริยะ”

หลวงพ่อสมศรีท่านเล่าไปขำไปกับวิธีการปราบผีของหลวงปู่จันทร์เรียนศิษย์ผู้พี่ 
มือปราบมือโปรดขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ 
ตนเองขำเรื่องที่หลวงพ่อสมศรี ธรรมศรีขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ
บอกหลวงปู่จันทร์เรียนท่านหยอกผี ท่านเข้าสมาธิกำหนดจิต
เหาะถือไม้ค้อนไล่ผีจนหนีกระเจิงป่าหอปู่ตาหมากค้อเขียว 
จนหลวงพ่อสมศรีท่านอัศจรรย์พันลึกในฤทธิ์เดชของหลวงปู่จันทร์เรียนศิษย์ผู้พี่


(๖) ตอน...ค้อนไล่ผี

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร ท่านพาหลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ
และสามเณรอีกสองรูปมาพักที่หอผีปู่ตา บ้าน...(ขอสงวนชื่อ)
หลวงพ่อสมศรีท่านบอกที่หมู่บ้านแห่งนี้มีหอผีปู่ตาแปลกกว่าที่อื่น
หอผีปู่ตาบ้านนี้เขาไม่สร้างเป็นอาคาร
เหมือนกับหอผีปู่ตาทั่วไปที่ท่านเคยเห็นมา 
บริเวณหอผีของหมู่บ้านที่นี่จะเป็นดงต้นหมากค้อเขียว 
รอบบริเวณหอผีแห่งนี้ชาวบ้านร้านถิ่นเขาจะเอาขันตอกดอกไม้
เครื่องเซ่นสรวงต่างๆ นานามาวางเรียงรายเพื่อบูชาผี 
พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านเห็นที่นี่สะอาดสะอ้าน
จึงบอกให้หมู่คณะพักค้างคืนกันที่นี่...

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกว่า ผีที่นี่มันดื้อดึงเอาเรื่องอยู่นะ 
พวกเราไม่ต้องกลัว มันทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกให้พากันไหว้พระสวดมนต์
นั่งภาวนาของใครของมันอยู่ในกลด เรื่องทุกอย่างเราจะจัดการเอง
เณรน้อยสององค์ที่มาด้วยกลัวผี
จึงขอท่านหลวงปู่จันทร์เรียนไปนอนรวมกันอยู่ในกลดเดียว
ท่านหลวงปู่จันทร์เรียนว่า กลัวมันทำไมประสาผีเฉยๆ

ท่านเปรียบเปรยให้เณรฟังว่า
ธรรมชาติแขกไปไทยมาเขาก็มาหาพ่อแม่
เขาไม่ไปหาพวกลูกๆ ดอก
เณรน้อยทั้งสองเชื่อในคำพูดของท่าน
แต่คืนนี้ขอนอนด้วยกันเพราะกลัวผีหอปู่ตาหมากค้อเขียว
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ไม่ว่าอะไร
เพราะเห็นใจในความกลัวของเด็ก...

พอเข้ากลดภาวนาแล้ว หลวงพ่อสมศรีท่านบอก
ผีอยู่หอปู่ตาหมากค้อเขียวเป็นร้อยๆ 
พากันไปหาท่านหลวงปู่จันทร์เรียน
โดยไม่มารบกวนท่านกับเณรน้อยสององค์เลย
ท่านบอกที่ผีไม่เข้ามารบกวนท่านกับสามเณร
เพราะหลวงปู่จันทร์เรียนใช้อำนาจพิเศษปิดกั้นคุ้มภัยไว้ให้
พวกผีจึงเข้ามารบกวนท่านกับสามเณรน้อยไม่ได้

หลวงพ่อสมศรีท่านได้เห็นในอำนาจธรรม
ของหลวงปู่จันทร์เรียน ศิษย์ผู้พี่ 
ท่านจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ
จึงไว้วางใจมอบหมายให้หลวงปู่จันทร์เรียนเป็นครูฝึกภาวนา
ให้กับพระเณรรุ่นน้อง ตั้งแต่หลวงปู่จันทร์เรียนท่านพรรษาสี่

เหตุการณ์ภายในหลวงปู่จันทร์เรียน
ท่านเล่าให้หลวงพ่อสมศรีฟังในภายหลังว่า 
พวกผีไม่พอใจที่พวกเราเข้ามาพักอยู่ที่นี่
พวกผีจึงจำแลงเป็นหมาดำใหญ่มาข่มขู่ให้เรากลัว 
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่า ป๊าดติโธ่...พวกนี่มึงเก่งมาแต่ใส

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกำหนดจิต
เหาะขึ้นเหนือพวกหมาดำใหญ่ผีจำแลง 
ท่านกำหนด “ไม้ค้อน” ขึ้นมาหนึ่งดุ้น
ทำท่าเหมือนจะฟาดใส่ผีพวกนี้
พวกผีเกรงในอำนาจธรรมของท่าน
จึงพากันแตกหนีกระเจิงไปจนหมดหอผีปู่ตาหมากค้อเขียว
หลวงปู่จันทร์เรียนบอกหลวงพ่อสมศรีว่า
เฮาหยอกมันเล่นซื่อๆ พวกผีมันหนีไปหมดแล้ว...

พักภาวนาอยู่หอผีปู่ตาหมากค้อเขียวหนึ่งคืน
หลวงปู่จันทร์เรียนพาหลวงพ่อสมศรีมาฝึกภาวนาที่บ้านสานตม
ออกจากบ้านสานตมก็ไปพักภาวนาที่บ้านกลาง ตีนภูหลวง
ที่บ้านกลางแห่งนี้องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
เคยพาหลวงปู่จันทร์เรียนมาฝึกภาวนาแล้ว 

 

  หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี 

 

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร จากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ 

การปฏิบัติทางจิตของท่านอีกเรื่อง
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง 

“จิตเราเวลาเข้าสมาธิแล้ว เหมือนโยนหินลงสระน้ำ
หายจ๋อมไปเลย ความรับรู้มันดับหมด 
ความรู้สึกเหลือแค่เปอร์เซนต์เดียว 
ถ้าไม่ดึงมันกลับมา จิตมันจะเข้าฌาณดับหายไปเลย”



สมัยที่หลวงปู่จันทร์เรียนอยู่ปรนนิบัติรับใช้และธุดงค์ไปกับ
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านเล่าให้ฟังถึงอารมณ์ขันวิชาม้างกาย

“เรากำลังภาวนา ม้างกาย ตับไต ไส้พุง อวัยวะต่างๆ 
เรี่ยราดแตกกระจายไปบนพื้นดิน
ทราบว่ากำลังจะรุ่งเช้าแล้ว ได้เวลาที่องค์ท่านฯ 
จะทำข้อวัตรฯ กับองค์หลวงปู่ชอบ
เลยรีบคว้าเอาตับไต ไส้พุง อวัยวะต่างๆ 
ที่อยู่บนพื้นดินยัดใส่เข้าท้อง รีบเอาเข็มเย็บปิด”

ครั้นถึงเวลาที่องค์ท่านทำข้อวัตรฯ ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ชอบ
องค์หลวงปู่ชอบท่านจึงเอ็ดว่า 

“จันทร์เรียน ทีหลังม้างกายให้เสร็จเรียบร้อย 
ไม่ต้องรีบมาทำข้อวัตรฯ กับเฮาเน้อ”

บันทึกโดย อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท

 

“ข้าพเจ้าพยายามค้นหาประวัติของหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร 
จากหลายๆ ทื่ แต่ก็ไม่พบประวัติของหลวงปู่ 
ในฐานะที่ข้าพเจ้าได้เคยไปกราบหลวงปู่มาแล้วหลายครั้ง 
อยากแนะนำให้ทุกท่านที่ชอบพระปฏิบัติ ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ 

ข้าพเจ้าเคยโดนหลวงปู่ดุ 
เพราะถ่ายรูปท่านโดยไม่ได้ขออนุญาตท่านก่อน
(ท่านบอกว่าขี้เกียจไปเฝ้าบ้านให้)
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก่อนที่จะถ่ายรูปครูบาอาจารย์ 
หรือหลวงปู่ หลวงตา ท่านใด 
ข้าพเจ้าจะต้องขออนุญาตก่อนเสมอ 
และจะนึกถึงคำของหลวงปู่ทุกครั้ง 

เท่าที่ได้รับทราบจาก พระอาจารย์อำนวย กันตจาโร 
(ศิษย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม) พระอาจารย์ท่านเล่าว่า
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เป็นศิษย์ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ 
และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม และได้คอยอุปัฏฐาก
ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ทั้งสองในขณะที่หลวงปู่ออกเดินธุดงค์ 

หลวงปู่จันทร์เรียนจะเป็นพระที่ดูเหมือนดุ 
แต่จริงแล้วท่านมีเมตตา ข้าพเจ้าเคยฟังธรรมะจากท่าน 
ทุกครั้งที่ได้ไปกราบ จะรู้สึกสงบเย็นอย่างประหลาด 
ท่านบอกว่า ท่านมีหน้าที่เฝ้าวัดให้ ต้องคอยดูแลรักษาให้ 
วัดมิใช่ของท่าน ท่านแค่ดูแลและรักษาให้เท่านั้นเอง
สังเกตุดูบริเวณวัดสะอาด เรียบร้อยมาก 
แต่ตอนที่ข้าพเจ้าไปนั้น (สิบกว่าปีที่แล้ว)
ทางลำบากมาก แต่ตอนนี้ ทางคงดีขึ้นแล้ว”

เขียนโดย คุณจู จิราพร จากเว็บไซต์ thammasatu.net

 

 

 

ที่มาของชื่อ “วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต” 

ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ได้คุยกันกับท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ที่วัดถ้ำสหายฯ
ถามท่านว่า ท่านอาจารย์คิดยังไงถึงได้มาอยู่ถ้ำสหาย
ใครเป็นผู้แนะนำท่านอาจารย์มาอยู่ที่นี่ 
ท่านบอกไม่มีใครคนไหนแนะนำมา พระธรรมแนะนำเรามาอยู่ที่นี่
ท่านจึงท้าวความหลังให้ฟัง ตอนท่านจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากกว้าง 
บ้านวังผา ตำบลห้วยบ่อซืน อำเภอปากชม จังหวัดเลย

ท่านนิมิตเห็นภูผาสิงห์ (ถ้ำสหาย) อยู่หลายครั้ง 
ท่านจึงจดจำสถานที่แห่งนี้เอาไว้ 
แต่ตอนนั้นท่านยังไม่เดินทางมาสถานที่แห่งนี้โดยทันที 
เนื่องจากท่านอยากจะโปรดเอาญาติโยมแถวบ้านห้วยปลาดุก 
บ้านห้วยบ่อซืน รอยต่อกับเขตอำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี
ให้ออกจากป่าเลิกเป็นคอมมิวนิสต์กลับมาพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง

หลังจากท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนพักภาวนาจำพรรษา
อยู่แถวบ้านวังผา บ้านห้วยบ่อซืน อยู่ประมาณสองปี
ท่านจึงเดินทางมาบ้านหนองบัวบาน และเดินทางมาที่บ้านผาสิงห์ 
มาพักภาวนาอยู่นอกหมู่บ้านผาสิงห์ใกล้กับลำธารน้ำเล็ก
(ลำห้วยทางหมู่บ้านผาสิงห์ที่จะข้ามไปทางวัดถ้ำสหายฯ)

ท่านเล่าให้ฟังว่า 

“เรามาพักอยู่ที่ลานหินริมห้วยทางเข้าหมู่บ้าน
เดินสำรวจพื้นที่เห็นมันมีหลุมปล่องหินอยู่หลายหลุม
เป็นทางลงไปทางห้วย เราก็ว่าดีเหมือนกัน
จะได้เอาหลุมปล่องหินพวกนี้เป็นส้วมหลุม
ใช้ในการขับถ่ายไม่ต้องมาขุดส้วมฐานให้มันยุ่งยาก 
พอตกกลางคืนราวสองทุ่มเรานั่งภาวนาอยู่ในกลด 
เห็นลำแสงส่องทะลุปล่องหลุมหินจากข้างล่างขึ้นมาข้างบน
แสงนี้คล้ายกับแสงไฟฉายหรือแสงตะเกียงเจ้าพายุส่องขึ้นมา

แสงนี้พุ่งขึ้นมาตามปล่องหลุมหินไปเรื่อยๆ มีกี่ปล่อง กี่หลุมหิน
มันก็ส่องแสงขึ้นมาไล่กันไปเรื่อยๆ จนลงไปถึงลำห้วย” 

“เราก็ว่า เอ...นี่มันแสงอีหยังว่ะ
เราจึงกำหนดจิตดูเจ้าของต้นเหตุของแสง
ปรากฏเป็นพญานาคว่ะกล้วย เฮาถามเขาว่านี่มันแสงอีหยัง
พญานาคเขาบอก ท่านอาจารย์เอ้ย...
ข้าน้อยแสดงออกให้ท่านอาจารย์เห็นเป็นเครื่องหมายให้รู้
ท่านอาจารย์อย่ามาขี้มาเหยี่ยวใส่ปล่องหินนี่เด้อ
ปล่องหินพวกนี้เป็นทางผ่านของพวกข้าน้อยเวลาลงไปเล่นน้ำอยู่ในห้วย
ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ให้ไปขับถ่ายที่อื่นอย่ามาขับถ่ายใส่ปล่องหินพวกนี้”

“เฮากะบอกเขา เออ...อาตมารู้แล้ว
เราบ่ขี้ บ่เยี่ยว ใส่หลุมทางผ่านของพวกท่านหรอก
อาตมาจะเอาไปปล่อยอยู่ทางอื่นเอา”

“ฮั่นแน่...เกือบแล้วเฮา ถ้าพญานาคเขาบ่มาบอกก่อน
ดึกๆ เฮากะว่าจะไปปล่อยลงไว้ในหลุมที่เฮาหมายตาไว้ตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว
เกือบถ่ายใส่ทางเทียวของพญานาค
ถ้าเขาบ่มาบอกแล้ว เจ้าของกะคงสิขับถ่ายใส่ทางของเขาแท้ๆ”

ถามท่านว่า ถ้าคนที่เขาไม่รู้เหมือนท่านอาจารย์
เกิดไปขับถ่ายใส่หลุมทางเทียวของพญานาคเขาจะไม่โกรธเอาหรือ

ท่านว่า...คนเราขี้เยี่ยวราดหัวกันเขาจะโกรธไหม
เขาก็ย่อมโกรธเป็นธรรมดา 
ของพวกนี้พระเณรเราเวลาไปเที่ยวป่า
ถ้าไม่มีตาในรู้เห็นก็ให้ใช้วิธีสำรวมระวังในสถานที่เอา 
เล่นกับของลึกลับถ้าเราไม่ลึกลับจะเอาเขาไม่อยู่ 
ข้อนี้ต้องสำรวมระวังในศีลสิกขาของตนเองให้ดี 
ศีลธรรมดีแล้วผีสางเทวดากลัวเราหมด 
ผีสางเทวดาเขาก็เกรงในอำนาจของศีลธรรมเหมือนกัน”

ว่าจบท่านก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน...

ถามท่านอาจารย์จันทร์เรียนใครเป็นผู้ตั้งชื่อให้ว่า วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต
ชื่อมันดูจะออกแปลกดี ท่านอาจารย์จันทร์เรียนบอกว่า... 

“เราตั้งชื่อเอง ที่มามันเป็นยังงี้ เรานิมิตเห็นถ้ำสหาย
ถ้ำสหายสมัยก่อนเป็นที่เก็บอาวุธ 
และเป็นห้องพยาบาลของพวกสหายคอมมูนิสต์แถวนี้ 
เรานิมิตเห็นในความรู้ของเรา เราจึงตั้งชื่อว่าวัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต
จันทร์นิมิต ก็มาจากเราอาจารย์จันทร์เรียนเป็นผู้นิมิตเห็น”

 

ที่มา : http://www.dhammajak.net/

Top