ประวัติวัด 08.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ - วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร - webpra

08.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

ประวัติวัด วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

 

บริเวณพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร

บริเวณพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร

 

ประวัติและความสำคัญของวัดบวรนิเวศวิหาร 

วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร หรือ วัดบวรนิเวศวิหาร 
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ฝ่ายธรรมยุต 
ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร เขตพระนคร กรุงเทพฯ 
แต่เดิมวัดแห่งนี้ ชื่อว่า “วัดใหม่” ตั้งอยู่ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส

โดย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ 
วังหน้าในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงสร้างขึ้นใหม่ด้วยศิลปะไทยผสมจีน 
โดยทรงผูกพัทธสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๒ 
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ 
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบวัดรังษีสุทธาวาสมารวมกับวัดบวรนิเวศวิหาร 

วัดบวรนิเวศวิหารได้รับการทะนุบำรุงและสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้น
จนเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง โดยเฉพาะในสมัยปลายรัชกาลที่ ๓ 
ครั้นเมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสของวัดว่างเว้นลง 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงอาราธนา 
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฏ สมมุติเทวาวงศ์ 
(ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔) 
ที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุและจำพรรษาอยู่ที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) 
ให้เสด็จมาครองและทรงเป็นเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ 

แล้วจึงพระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่ว่า “วัดบวรนิเวศวิหาร” 
ซึ่งอาจเป็นการแสดงนัยว่าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏฯ นั้น 
ทรงเทียบได้ว่าอยู่ในพระสถานะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล 
ที่มีสิทธิ์ที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบราชสันตติวงศ์ต่อไป 
ทำให้วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ และเสริมสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้น

 

พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ประดับหินอ่อนดูตระการตา

พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ประดับหินอ่อนดูตระการตา

 

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ทรงเป็นพระราชาคณะ ในระหว่างที่เสด็จประทับที่วัดแห่งนี้อยู่นั้น 
ได้ทรงตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายขึ้น โดยทรงปรับปรุงและ
วางหลักเกณฑ์วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย 
มีพระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์เป็นจำนวนมาก 

วัดบวรนิเวศวิหารจึงเป็นวัดแห่งแรกในประเทศไทย 
ที่มีคณะสงฆ์เป็นธรรมยุติกนิกาย 


อีกทั้งได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เพิ่มเติมขึ้นหลายอย่าง 
พร้อมทั้งได้รับพระราชทานพระตำหนักจากรัชกาลที่ ๓ ด้วย 

ในสมัยต่อมาวัดแห่งนี้เป็นวัดที่ประทับของพระมหากษัตริย์ 
เมื่อทรงผนวชหลายพระองค์ เช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน 
จึงทำให้วัดนี้ได้รับการทะนุบำรุงให้คงสภาพดีอยู่เสมอ 

ในปัจจุบันนี้ ศิลปกรรมโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุหลายสิ่งหลายอย่าง
ยังอยู่ในสภาพดีพอที่จะชม และศึกษาได้เป็นจำนวนไม่น้อย

วัดบวรนิเวศวิหารนี้มีศิลปกรรมและถาวรวัตถุที่มีค่าควรแก่การศึกษาไม่น้อย 
แบ่งออกเป็นศิลปกรรมในเขตพุทธาวาสและศิลปกรรมในเขตสังฆวาส 
เขตทั้งสองนี้ถูกแบ่งโดยกำแพงและคูน้ำ แยกจากกันอย่างชัดเจน 
มีสะพานเชื่อมถึงกัน ทำให้เดินข้ามไปมาได้อย่างสะดวก 
ศิลปกรรมล้ำค่าที่สำคัญภายในวัดแห่งนี้ที่น่าสนใจ มีดังนี้

 

สวนด้านหน้าพระอุโบสถ

สวนด้านหน้าพระอุโบสถ

 

พระสุวรรณเขต (องค์หลัง)-พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า)  สององค์พระประธานต่างความงามต่างสมัยในพระอุโบสถ

พระสุวรรณเขต (องค์หลัง)-พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า) 
สององค์พระประธานต่างความงามต่างสมัยในพระอุโบสถ

 

ศิลปกรรมล้ำค่าในเขตพุทธาวาส

ศิลปกรรมล้ำค่าในเขตพุทธาวาสที่สำคัญเริ่มจาก พระอุโบสถ
ซึ่งได้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งสร้างวัดในสมัยรัชกาลที่ ๓ 
แต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซมต่อมาอีกหลายครั้ง 
รูปแบบของพระอุโบสถที่สร้างตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ 
มีมุขหน้ายื่นออกมาเป็นพระอุโบสถ และมีปีกยื่นออกซ้ายขวาเป็นวิหารมุข 
หน้าที่เป็นพระอุโบสถมีเสาเหลี่ยมมีพาไลรอบซุ้มประตูหน้าต่าง 
และหน้าบันประดับด้วยลายปูนปั้น พระอุโบสถหลังนี้ได้รับการบูรณะ

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยโปรดเกล้าฯ ให้มุงกระเบื้องเคลือบลูกฟูก 
ประดับลายหน้าบันด้วยกระเบื้องเคลือบสี และโปรดเกล้าฯ ให้ 
ขรัวอินโข่ง เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ 
ขรัวอินโข่งเป็นพระสงฆ์ผู้มีฝีมือในการวาดภาพและเป็นคนไทยคนแรก
ที่ใช้วิธีการวาดภาพแบบตะวันตกคือมีการแสดงระยะใกล้ไกล 

ส่วนภายนอกได้รับการบูรณะด้วยการบุผนังด้วยหินอ่อนทั้งหมด 
เสาด้านหน้าของพระอุโบสถเป็นเสาเหลื่ยม มีบัวหัวเสาเป็นลายฝรั่ง 
ซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างปิดทองประดับด้วยกระจก

 

ใบเสมาที่ตั้งไว้ติดอยู่กับผนังพระอุโบสถ

ใบเสมาที่ตั้งไว้ติดอยู่กับผนังพระอุโบสถ

 

ด้านหน้าของพระอุโบสถ มี “ใบเสมา” รุ่นเก่าสมัยอู่ทอง 
ทำด้วยหินทรายแดงนำมาจากวัดวังเก่า จังหวัดเพชรบุรี 
ส่วนใบเสมาอื่นๆ มีลักษณะแปลกแตกต่างออกไป กล่าวคือ
เป็นเสมาที่ตั้งไว้หรือประดับเข้ากับส่วนของผนังพระอุโบสถ 
ซึ่งแตกต่างจากวัดทั่วไปที่จะตั้งไว้บนลานรอบพระอุโบสถ 

พระอุโบสถหลังนี้มีรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะต่างไปจากพระอุโบสถทั่วไป 
เพราะเป็นการผสมกันระหว่างศิลปะแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ ๓ 
ซึ่งกระเดียดไปทางศิลปะจึนและศิลปะแบบรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นศิลปะที่มีอิทธิพลฝรั่ง 
จึงทำให้พระอุโบสถหลังนี้มีลักษณะผสมของอิทธิพลศิลปะต่างชาติทั้งสองแบบ 
แต่ทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของศิลปะไทย 

เมื่อมองโดยรวมแล้วพระอุโบสถหลังนี้
จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตนที่งดงามแปลกตาไม่น้อยทีเดียว 

ศิลปกรรมภายในพระอุโบสถ นอกเหนือไปจากพระพุทธรูปแล้ว
ก็มีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ ให้ขรัวอินโข่งเขียนขึ้น เป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่มีค่ายิ่ง 
เพราะเป็นรูปแบบของจิตรกรรมหัวเลี้ยวหัวต่อของการรับอิทธิพลยุโรป
มาผสมผสานกับแนวคิดตามขนบนิยมของไทย

 

พระพักตร์ยิ้มเล็กน้อยในแบบศิลปะสุโขทัยของพระพุทธไสยาสน์

พระพักตร์ยิ้มเล็กน้อยในแบบศิลปะสุโขทัยของพระพุทธไสยาสน์

 

ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังนี้ สันนิษฐานว่า
เขียนตั้งแต่สมัยที่พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏฯ เข้าครองวัด 
โดยเขียนบนผนังเหนือประตูหน้าต่างขึ้นไป มีอยู่ ๑๖ ตอน 
เริ่มต้นจากทางหลังของผนังด้านซ้ายทางทิศตะวันตก 
นับเป็นผนังที่ ๑ วนทักษิณาวัตพระพุทธรูปในพระอุโบสถตามลำดับ 
มีคำจารึกพรรณาเขียนไว้ที่ช่องประตู หน้าต่าง รวม ๑๖ บาน

นอกจากภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังแล้ว
ที่เสาพระอุโบสถได้เขียนภาพแสดงปริศนาธรรม
เปรียบด้วยน้ำใจคน ๖ ประเภท เรียกว่า ฉฬาภิชาติ ด้วย 

ภายในพระอุโบสถนี้มีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสำคัญอยู่ ๒ องค์ คือ 
พระพุทธรูปองค์ข้างหลังชื่อ “พระสุวรรณเขต” หรือ “พระโต” 
หรือ “หลวงพ่อเพชร”
 
(พระประธานในพระอุโบสถสมัยแรก) 
เป็นพระพุทธรูปโบราณหล่อโลหะขนาดใหญ่ ศิลปะขอม 
ขนาดหน้าพระเพลา (หน้าตัก) กว้าง ๙ ศอก ๒๑ นิ้ว 
หันพระพักตร์ออกมาทางด้านหน้าของพระอุโบสถ 

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ผู้สร้างวัด 
ได้ทรงอัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี 
เพื่อมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร 
โดยรื้อออกเป็นท่อนๆ ตามรอยประสานเดิม แล้วนำมาประกอบขึ้นใหม่ 

สันนิษฐานว่าเดิมเป็นพระทวาราวดี ลักษณะแบบขอม พระศกเดิมโต 
พระยาชำนิหัตถการ นายช่างของสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ 
เลาะพระศกเดิมออกเสีย แล้วทำพระศกใหม่ด้วยดินเผาให้เล็กลง 
ตามที่เห็นว่างามในเวลานั้น ประดับเข้าที่แล้วลงรักปิดทอง 
มีพระสาวกใหญ่นั่งคู่หนึ่ง เป็นพระปั้นขนาดหน้าตักกว้าง ๒ ศอก

 

พระพุทธไสยาสน์ ศิลปะสุโขทัย

พระพุทธไสยาสน์ ศิลปะสุโขทัย

 

พระสุวรรณเขต (องค์หลัง)-พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า) พระประธานในพระอุโบสถ เบื้องหน้ามีพระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช ๓ พระองค์ประดิษฐานเรียงกันบนฐานชุกชี

พระสุวรรณเขต (องค์หลัง)-พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า) พระประธานในพระอุโบสถ
เบื้องหน้ามีพระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช ๓ พระองค์ประดิษฐานเรียงกันบนฐานชุกชี

 

นอกจากนี้ ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ของพระสุวรรณเขตหรือพระโต 
ยังเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
 

ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดแห่งนี้ เมื่อยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ 
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฏราชกุมาร 

ส่วนพระพุทธรูปองค์ข้างหน้าชื่อ “พระพุทธชินสีห์” 
(พระประธานในพระอุโบสถสมัยหลัง) 
ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระสุวรรณเขตหรือพระโต 
ลักษณะของพระพุทธชินสีห์ต่างจากพระพุทธรูปอื่นแบบเก่าในบางอย่าง 

เช่น มีนิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ นิ้ว นิ้วพระบาททั้ง ๔ นิ้ว ยาวเสมอกัน 
ต้องตามคัมภีร์มหาปุริสลักษณะ แสดงว่าผู้สร้างได้ทราบคัมภีร์นั้น 
พระพุทธรูปที่ได้สร้างกันขึ้นชั้นหลังได้ถือเป็นแบบสืบมาจนทุกวันนี้ 
แต่ก่อนนั้นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในเมืองไทย ทั้งทางเมืองเหนือและเมืองใต้ 
ทำปลายนิ้วพระหัตถ์เป็นหลั่นกัน เหมือนกับนิ้วมือคนสามัญ

แต่เดิมพระพุทธชินสีห์เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของหัวเมืองฝ่ายเหนือ 
พระพุทธรูปสำริดขนาดหน้าพระเพลา (หน้าตัก) กว้าง ๕ ศอก ๔ นิ้ว 
เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองปางมารวิชัยสมัยสุโขทัยผสมเชียงแสน
และเป็นที่กราบสักการะของพระมหากษัตริย์และสาธุชนมาเกือบ ๗๐๐ ปี 
ประดิษฐาน ณ พระวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก 

ประวัติการสร้างพระพุทธชินสีห์ ตำนานกล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ. ๑๕๐๐ 
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมหาราช แห่งเมืองเชียงแสน เสด็จมาตีเมืองสองแควได้ 
แล้วสร้างเมืองสองแควขึ้นใหม่ พระราชทานนามว่า เมืองพิษณุโลก 

จากนั้นได้สร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นพระอารามหลวง 
อีกทั้ง ได้ทรงหล่อพระพุทธรูป ๓ องค์ ได้แก่ 
พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา 
โปรดให้ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ ณ พระวิหารทิศเหนือ 
และประดิษฐานพระศรีศาสดา ณ พระวิหารทิศใต้ 
พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา 
จึงประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเดียวกันตลอดมาถึง ๙๐๐ กว่าปี 

ครั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
พระวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ชำรุดทรุดโทรมขาดผู้รักษาดูแล 
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ จึงโปรดให้อัญเชิญมายังกรุงเทพฯ 
เพื่อมาประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นวัดที่ประทับของ
สมเด็จพระสังฆราชถึง ๔ พระองค์ และเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ 
และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ครั้งทรงผนวช อีกหลายพระองค์ด้วย 

“พระพุทธชินสีห์” จึงเป็นพระคู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์ 
และสมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาช้านาน 


พระพุทธชินสีห์นั้นเป็นพระพุทธรูปที่ชาวพิษณุโลกและชาวเมืองเหนือ
เคารพบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง ในคราวที่อัญเชิญพระพุทธชินสีห์ลงมากรุงเทพฯ 
ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ นั้น มีบันทึกที่กล่าวถึงความรู้สึกของชาวเมืองไว้ว่า

 

พระมหาเจดีย์ใหญ่ หรือพระเจดีย์กลม

พระมหาเจดีย์ใหญ่ หรือพระเจดีย์กลม

 

“..เมื่ออัญเชิญออกจากวิหารนั้น ราษฎรพากันมีความเศร้าโศกร้องไห้เป็นอันมาก 
เงียบเหงาสงัดไปทั้งเมือง เหมือนศพลงเรือน แลแต่นั้นมาฝนก็แล้งไป ๓ ปี 
ชาวเมืองพิษณุโลกได้ความยากยับไปเป็นอันมาก ตั้งแต่พระพุทธชินสีห์ลงมาถึง 
กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพก็ทรงพระประชวรพระโรคมานน้ำ 
ได้ปีเศษก็เสด็จสวรรคต ราษฎรพากันกล่าวว่า 
เพราะเหตุที่ไปอัญเชิญพระพุทธชินสีห์อันเป็นสิริของเมืองพิษณุโลกลงมา..” 

‘พระพุทธชินสีห์’ แต่เดิมประดิษฐานไว้ในมุขหลังของ 
พระอุโบสถของวัดบวรนิเวศวิหารที่เป็นจตุรมุข 
ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยยังทรงผนวช 

และทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารนั้น ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาต 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ 
อัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ 
ออกสถิตหน้าพระสุวรรณเขตหรือพระโต พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ดังทุกวันนี้ 

พระพุทธชินสีห์ประทับบนแท่นหล่อสำริด สถิตสถาพรมั่นคง 
ภายใต้ฉัตรตาล ๙ ชั้น ดูร่มเย็นเป็นสุข พระอุณาโลมฝังเพชร 
มีเครื่องราชสักการะ ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ถวายเป็นพุทธบูชา 
เป็นพระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ชาติไทย 
เสด็จพระราชดำเนินมาถวายเครื่องราชสักการะสืบมายาวนาน

 

พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔ ประดิษฐานอยู่ด้านข้างพระมหาเจดีย์ใหญ่

พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔ ประดิษฐานอยู่ด้านข้างพระมหาเจดีย์ใหญ่

 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนับถือเลื่อมใสพระพุทธชินสีห์มาก 
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๓ ได้โปรดให้ทำกาไหล่พระรัศมีองค์พระด้วยทองคำ 
ฝังพระเนตรฝังเพชรใหม่ และตัดพระอุณาโลม แล้วปิดทองทั้งองค์พระ 
ปี พ.ศ. ๒๓๙๗ ทรงให้หล่อฐานด้วยทองสำริด ปิดทองใหม่ทั้งองค์พระและฐาน 

เบื้องหน้าพระพุทธชินสีห์มีโต๊ะหมู่บูชาตั้งอยู่บนฐานชุกชีที่รับฐานพระ 
ถัดลงมาเป็นม้าหมู่บูชา ๓ ที่ เป็นผลงานการออกแบบของ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ 
สถาปนิกเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 

พระรูปหล่อ ๓ องค์ ซึ่งประดิษฐานเรียงกันบนฐานชุกชี ประกอบไปด้วย 
พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ 
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปัญญาอคฺคโต)
 
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ 

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค) 
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ 

และพระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ 
(ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) 
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ 

ซึ่งทุกพระองค์ทรงเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร

 

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ 
(สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

 

ถัดจากพระอุโบสถออกไปเป็น พระมหาเจดีย์ใหญ่ หรือพระเจดีย์กลม 
มีขนาดใหญ่สีทองสุกใสตั้งสูงโดดเด่นเป็นสง่า มองเห็นแต่ไกล 
ตรงกลางประดิษฐานพระเจดีย์ที่คะเนว่าสูงจากฐานประมาณ ๔ เมตรกว่า 

พระเจดีย์องค์นี้มีฐานกลม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 
สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ 
หุ้มกระเบื้องสีทองในรัชกาลปัจจุบัน รอบฐานพระเจดีย์มี ศาลาจีนและซุ้มจีน 
ส่วนด้านข้างของพระเจดีย์มี พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔ ประดิษฐานอยู่ 
โดยทั่วไปไม่สามารถเข้าไปชมด้านในองค์พระเจดีย์ได้ 
เนื่องจากทางวัดจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในวันสำคัญๆ เท่านั้น

สำหรับพระเจดีย์ที่น่าสนใจอีกองค์หนึ่งก็คือ พระเจดีย์ไพรีพินาศ 
ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน เจดีย์องค์นี้เป็นที่ประดิษฐาน พระไพรีพินาศ 
พระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญและมีชื่อเสียงของวัด 
แม้ว่าทางวัดจะไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าสักการะพระไพรีพินาศ
แต่ว่าทางวัดก็ได้สร้างพระไพรีพินาศจำลองไว้ให้สาธุชนกราบไหว้แทน

 

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
(สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

 

ข้างหลังพระเจดีย์กลมออกไปเป็น พระวิหารเก๋งจีน 
ข้างในมีภาพเขียนฝีมือช่างจีน เทคนิคและฝีมืออยู่ในเกณฑ์ดี 

ถัดจากพระวิหารเก๋งจีนเป็น พระวิหารพระศาสดา 
ซึ่งเป็นพระวิหารขนาดใหญ่แบ่งเป็น ๒ ห้อง มีประตูทะลุผ่านกันได้ 
มุขหน้าประดิษฐาน พระศาสดา พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๔ 
โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ 
เชื่อกันว่าเมื่อได้สักการบูชาแล้วจะมีอำนาจบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ 
ปกปักรักษาจากสิ่งชั่วร้ายให้กับผู้ประพฤติธรรม 

ส่วนมุขหลังประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์ หรือพระไสยา 
กล่าวกันว่า งดงามที่สุดในบรรดาพระไสยาสน์ในเมืองไทย 
เป็นพระศิลาลงรักปิดทองศิลปะสุโขทัย สร้างขึ้นราว พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๘๙๓
ยาวแต่พระบาทถึงพระจุฬา (พระเกศ) ๖ ศอกคืบ ๕ นิ้ว พระรัศมี ๑ คืบ 
เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพายหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย

 

พระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

พระรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ 
(สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

 

พระพุทธไสยาสน์ หรือพระไสยา เป็นพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๔ 
ทรงทอดพระเนตรเห็นเมื่อครั้งยังทรงผนวช 
และเสด็จไปประพาสวัดพระพายหลวง เมืองสุโขทัย 
ด้วยลักษณะเป็นพระไสยาศิลาลงรักปิดทองที่งามกว่าพระไสยาองค์อื่น 
ดังนั้นเมื่อเสด็จมาประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร 
จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารเดียวกันกับพระศาสดา 

โดยเรื่องนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
ทรงนิพนธ์ถึงเรื่องของพระองค์นี้ไว้ในหนังสือตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร 
ความตอนหนึ่งว่า 

“พระศิลาอย่างนี้ไม่ได้ทำไว้เพื่อประดิษฐานเป็นพระศิลาอย่างเดิม 
ทำพอเป็นแกนที่เป็นพระใหญ่ต่อเป็นท่อน เพราะอย่างนี้จึงได้ลงรักปิดทอง...” 


ภายหลังเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงสิ้นพระชนม์ 
จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระอัฐิไปบรรจุไว้ในฐานพระไสยาองค์นี้ 
เชื่อกันว่า การกราบไหว้พระไสยาจะทำให้เป็นผู้ใจสงบ มีสมาธิ คนรักใคร่ 

ภายในพระวิหารพระศาสดามีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง
อายุนับร้อยๆ ปี เรื่องพระพุทธประวัติ ชาดก และเหล่าเทวดา ฯลฯ 
อันวิจิตรงดงาม มีสีสันสดสวย ทรงคุณค่าและประมาณค่ามิได้

 

พระศาสดา ประดิษฐาน ณ พระวิหารพระศาสดา

พระศาสดา ประดิษฐาน ณ พระวิหารพระศาสดา

 

ในบริเวณพุทธาวาสนั้นยังมีศิลปกรรมน่าสนใจอีกหลายอย่างเช่น 
ศาลาพระพุทธบาท เป็นศาลาห้องกระจก ตั้งอยู่ข้างพระอุโบสถ 
ที่ภายในศาลาแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน รอยพระพุทธบาทจำลอง 
เป็นรอยพระพุทธบาทของเก่าแก่โบราณสมัยสุโขทัยที่อายุราว ๑ พันปี 
ซึ่งเป็นแผ่นศิลาขนาดใหญ่สลักรอยพระพุทธบาทคู่ 

ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ได้ทรงอัญเชิญมาจากจังหวัดชัยนาท 
นับว่าต่างจากรอยพระบาททั่วไปที่จะมีเพียงรอยพระบาทเดี่ยว 
บนรอยพระพุทธบาทจำลองมีเหรียญต่างๆ วางอยู่ข้างบน
เนื่องจากผู้คนที่แวะเวียนมามักจะวางเหรียญเพื่อเป็นการสักการบูชา 
เชื่อกันว่าเมื่อได้สักการบูชาแล้วจะพ้นจากภัยพาลเคราะห์ร้าย

อีกทั้ง พลับพลาเปลื้องเครื่อง ซึ่งสร้างขึ้นเป็นเครื่องแสดงว่า
วัดแห่งนี้ได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค 
ที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จเปลื้องเครื่องทรงในศาลานี้ก่อนเสด็จเข้าวัด

 

พลับพลาเปลื้องเครื่อง

พลับพลาเปลื้องเครื่อง

 

นอกจากนี้ ตรงประตูทางเข้าวัดบวรนิเวศวิหาร
ด้านหน้าพระอุโบสถ มี “ประตูเซี่ยวกาง” 
ศิลปะทวารบาลที่ได้รับอิทธิพลจากจีนมาอย่างเด่นชัด 
โดยประตูเซี่ยวกางแห่งนี้เป็นรูปเทวดาผี ใช้ไม้แกะเป็นรูปเทวดา 
หนวดเครายาว ปิดทองเหลืองอร่าม ตนหนึ่งมือซ้ายถือสามง่าม มือขวาถือกริช 

เหยียบบนหลังจระเข้ อีกตนหนึ่งมือขวาถือโล่ มือซ้ายถือดาบ เหยียบบนหลังมังกร 
มีตำนานอยู่ในลัทธิมหายานว่า เป็นจอมแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตูวัด 
ซึ่งกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ 
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามคตินิยมแบบจีน 
คำว่าเซี่ยวกาง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “เซ่ากัง” ที่แปลว่า ยืนยาม นั่นเอง 

ส่วนที่แปลกและสะดุดตาของคนที่เดินทางผ่านไป-มา ก็คือ 
บริเวณปากของ “เซี่ยวกาง” นายทวารบาล จะมีสีดำ 
ซึ่งแม่ค้าพวงมาลัยหน้าประตูวัดเล่าว่า สมัยก่อนยุคที่เมืองไทยยังดูดฝิ่น
ได้มีชาวจีนคนหนึ่งติดฝิ่นงอมแงม 
พอต่อมาทางการได้ปราบทำลายโรงงานยาฝิ่นจนหมดสิ้น 
เมื่อแกหาฝิ่นดูดไม่ได้ สุดท้ายเลยไปลงแดงตายตรงประตูนี้

 

“ประตูเซี่ยวกาง” ที่มีปากสีดำอันโดดเด่นของวัดบวรนิเวศวิหาร

“ประตูเซี่ยวกาง” ที่มีปากสีดำอันโดดเด่นของวัดบวรนิเวศวิหาร

 

หลังจากเมื่อทางวัดมาพบจึงได้ทำพิธีกงเต๊กให้ 
ต่อมาชาวจีนคนนั้นได้ไปเข้าฝันสมเด็จท่านเจ้าอาวาส
ว่าให้ทำที่ให้แกอยู่แล้วแกจะเฝ้าวัดให้ ทางวัดจึงได้สร้างกำแพงทำซุ้มประตู
แล้วอันเชิญดวงวิญญาณชาวจีนคนนั้นมาสถิตย์อยู่ ณ ประตูแห่งนี้ 

ต่อมาก็มีเรื่องเล่ากันว่าของในวัดที่เคยถูกขโมยไปหลายครั้ง 
ล้วนได้คืนกลับมาหมดด้วยความศักดิ์สิทธิของดวงวิญญาณคนจีนที่คอยเฝ้าวัด 
ทำให้เกิดการสักการบูชาประตูเซี่ยวกางขึ้น ซึ่งหลายๆ คนต่างเชื่อกันว่า
ถ้าบนอะไรแล้ว ก็จะได้สิ่งนั้นตามที่ขอหมด 
โดยนิยมนำฝิ่นมาป้ายปาก และนำถุงโอยัวะกับพวงมาลัยมาแขวนบูชา 

ในช่วงรัชกาลที่ ๒ หรือรัชกาลที่ ๓ พวกคนจีนเข้ามาในเมืองไทยมาก
เพื่อมาเป็นแรงงาน คนจีนพวกนี้ส่วนมากจะสูบฝิ่นติดฝิ่น 
แล้วอาจจะมาขอหวยอะไรทำนองนี้ แล้วปรากฏว่าถูก 
คิดว่าเราเองชอบฝิ่น เจ้าก็คงชอบเหมือนกัน เลยเอาขี้ฝิ่นดิบมาป้ายปาก 
ปากก็เลยมีสีดำ แต่ในปัจจุบันความเชื่อมันก็เริ่มกลายไป 
กลายเป็นว่าท่านโปรดของดำทั้งหมดเลย เหมือนพระราหู 
พอเราผ่านไปก็เลยเห็นเป็นถุงโอยัวะบ้าง 
ถุงโอเลี้ยงบ้าง ถุงซุปไก่ดำบ้าง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

 

ศาลาพระพุทธบาท ที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง

ศาลาพระพุทธบาท ที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง

 

รอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็นแผ่นศิลาสลักรอยพระพุทธบาทคู่

รอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็นแผ่นศิลาสลักรอยพระพุทธบาทคู่

 

พระตำหนักปั้นหยา

พระตำหนักปั้นหยา

 

ศิลปกรรมล้ำค่าในเขตสังฆาวาส 

ศิลปกรรมในเขตสังฆาวาสส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ 
เพื่อเป็นพระตำหนักที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะทรงผนวชในวัดนี้ 
พระตำหนักต่างๆ ที่อยู่ในคณะพระตำหนัก ประกอบด้วย พระตำหนักปั้นหยา 
พระตำหนักจันทร์ พระตำหนักเพ็ชร์ พระตำหนักทรงพรต พระตำหนักใหญ่ 
พระตำหนักซ้าย พระตำหนักล่าง พระตำหนักบัญจบเบญจมา และหอสหจร 

ความเป็นมาของพระตำหนักต่างๆ เริ่มจาก พระตำหนักปั้นหยา 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างพระราชทาน 
พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏฯ เมื่อทรงอาราธนาให้เสด็จมาประทับที่วัดแห่งนี้ 
และประทับอยู่ที่พระตำหนักปั้นหยาตลอดระยะเวลาแห่งการผนวช 
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาจากสวนขวาในพระบรมมหาราชวัง 
ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒

 

พระตำหนักจันทร์ (พระตำหนักเดิม)

พระตำหนักจันทร์ (พระตำหนักเดิม)

 

ต่อมา พระตำหนักนี้ได้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ 
และเจ้านายทุกพระองค์ที่ทรงผนวชและเสด็จประทับอยู่ที่วัดแห่งนี้ 
รูปทรงของพระตำหนักเป็นตึก ๓ ชั้น สถาปัตยกรรมแบบยุโรป 
ก่ออิฐถือปูน หน้าจั่วประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ 

ภายในแบ่งเป็นห้องพระ ห้องพระบรรทม และห้องทรงพระอักษร 
อีกทั้งยังมีคำจารึกที่แผ่นศิลาในพระตำหนักปั้นหยาชั้นล่าง 
พระตำหนักปั้นหยาตั้งอยู่ทางซ้ายมือของคณะพระตำหนักต่างๆ 
เป็นเขตหวงห้ามสำหรับสตรี คือห้ามมิให้สตรีเพศขึ้นพระตำหนักนี้

 

ที่ประทับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระตำหนักจันทร์ (พระตำหนักเดิม)

ที่ประทับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ 
ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระตำหนักจันทร์ (พระตำหนักเดิม)

 

ถัดจากพระตำหนักปั้นหยาคือ พระตำหนักจันทร์ (พระตำหนักเดิม) 
เป็นพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ทรงสร้างด้วยทรัพย์ส่วนพระองค์ของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ 
เจ้าฟ้าจันทราสรัทธาวาส กรมขุนพิจิตเจษฐฃฏาจันทร์
 

ถวายเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส 

ในบริเวณพระตำหนักจันทร์ด้านทิศตะวันออก ติดกับรั้วเหล็กมีศาลาเล็กๆ 
มีพาไล ๒ ด้าน ฝาล่องถุนก่ออิฐถือปูน โถงเป็นเครื่องไม้ หลังคามุงกระเบื้อง 
ศาลาหลังนี้เดิมเป็นพลับพลาที่ประทับของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี 
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสร้างไว้ในสวนพระราชวังเดิม 
แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาปลูกไว้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒

 

พระตำหนักเพ็ชร

พระตำหนักเพ็ชร

 

พระตำหนักเพ็ชร ตั้งอยู่ทางขวามือเมื่อเข้าจากทางหน้าวัด 
เป็นพระตำหนัก ๒ ชั้นแบบฝรั่ง มุขหน้าประดับด้วยลวดลายไม้ฉลุงดงาม 
พระตำหนักนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ 
เมื่อครั้งยังทรงผนวช ได้สร้างถวายด้วยพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 
เพื่อให้เป็นที่ทรงงาน และเป็นท้องพระโรงสำหรับรับแขกของ 
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
โดยมีการฉลองพระตำหนักเพ็ชร เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ 

ภายในห้องพระโรงเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔ 
ซึ่งปั้นขึ้นมาเป็นต้นแบบขนาดเท่าพระองค์จริงเป็นองค์แรก 
และได้กลายเป็นต้นแบบของพระบรมรูปหล่อต่างๆ ในเวลาต่อมา 

ปัจจุบัน พระตำหนักเพ็ชรใช้เป็นสถานที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม 
และเป็นสถานที่เก็บรักษาตู้พัดยศ พัดรอง กล่องงาแกะสลักรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า 
เครื่องบริขารสงฆ์ เครื่องใช้ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนๆ 

พระตำหนักทรงพรต เป็นพระตำหนักที่ทรงเคยประทับ 
ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน 
ครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร 

อย่างไรก็ตามศิลปกรรมและถาวรวัตถุของวัดบวรนิเวศวิหาร
ยังมีอีกมากมายหลายอย่างซึ่งส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพดี

นอกจากนี้ในเขตสังฆาวาสยังเป็นที่ประดิษฐาน พระไพรีพินาศจำลอง 
พระพุทธรูปปางประทานพร ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระเจดีย์กลมมากนัก 
เมื่อเดินเข้าไปจะมีป้ายบอกทางชี้บอกไว้ 
เดินตรงไปเรื่อยๆ จนสุดทางข้ามสะพานข้ามน้ำเล็กๆ
มองไปทางขวามือก็จะเห็น ศาลาพระไพรีพินาศจำลอง

 

พระไพรีพินาศจำลองประดิษฐานอยู่ในเขตสังฆาวาส

พระไพรีพินาศจำลองประดิษฐานอยู่ในเขตสังฆาวาส

 

พระตำหนักเพ็ชร

พระตำหนักเพ็ชร

 

ความสำคัญของวัดบวรนิเวศวิหาร

ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย 
วัดบวรนิเวศวิหาร ถือเป็นวัดที่มีความเคลื่อนไหว
ทางศาสนาที่สำคัญๆ หลายประการ ถือกำเนิดขึ้น อาทิ

- ความพยายามในการปฏิรูปสงฆ์ไทย ซึ่งทำให้เกิด “นิกายธรรมยุต” ขึ้นมา 

- ความพยายามในการก่อตั้งวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรก ได้แก่ 
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 
สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 

- ความพยายามในการริเริ่มตรวจชำระคัมภีร์ภาษาบาลี 
โดยความริเริ่มของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

ตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

ตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

 

- ความพยายามในการก่อตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกที่คนไทยเป็นเจ้าของ 
จนวิวัฒนาการมาเป็น โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ดังในปัจจุบัน 

- ความพยายามในการรื้อฟื้นมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 
โดยมีวัดบวรนิเวศวิหารสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง 
จนประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยสงฆ์ไว้ผลิตศาสนทายาทที่เหมาะสมแก่สมัย

- ความพยายามในการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐแห่งแรกของประเทศ 

- วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่ตั้งของ “พระตำหนักเพ็ชร” 
ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

 

เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ วัดบวรนิเวศวิหารยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช
องค์พระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย ถึง ๔ พระองค์ ด้วยกัน ได้แก่ 

(๑) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ 
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร 
และสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 

(๒) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร 
และสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 

(๓) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ 
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๓ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร 
และสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 

(๔) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) 
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร 
และสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ พระองค์ปัจจุบันแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

 

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ เมื่อครั้งทรงเป็น “พระอภิบาล”  ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน  ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ เมื่อครั้งทรงเป็น “พระอภิบาล” 
ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน 
ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

 

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) 
พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค 
แต่ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเน้นหนักในด้านจิตตภาวนา 
โดยได้ทรงฝึกสมาธิจิตทั้งสมถและวิปัสสนากรรมฐาน 
ตามแนวทางปฏิบัติของพระป่ามาเป็นระยะเวลานาน 

ครั้นต่อมา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ 
(ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต)
 วัดบวรนิเวศวิหาร พระราชอุปัธยาจารย์

ของ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน 
ทรงเลือกพระองค์เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระโศภณคณาภรณ์ 
ให้เป็น “พระอภิบาล” (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร 
โดยเสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักปั้นหยา หนึ่งคืนตามพระราชประเพณี 
แล้วจึงเสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักทรงพรต ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ 

ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 
ที่เสด็จออกทรงพระผนวชขณะทรงครองราชย์อยู่
(พระองค์แรกคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕)
และทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 
ที่ได้เสด็จออกทรงพระผนวชต่อจากพระบูรพกษัตราธิราชเจ้ารัชกาลที่ ๔-๗

 

“ปัญจมหาราชา” ๕ พระบูรพกษัตราธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์  คือรัชกาลที่ ๔-๗ และรัชกาลที่ ๙ ภายใต้ร่มเงาเศวตฉัตรแห่งพระบวรพุทธศาสนา

“ปัญจมหาราชา” ๕ พระบูรพกษัตราธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 
คือรัชกาลที่ ๔-๗ และรัชกาลที่ ๙ ภายใต้ร่มเงาเศวตฉัตรแห่งพระบวรพุทธศาสนา

 

ดังนั้น พระบูรพกษัตราธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 
ภายใต้ร่มเงาเศวตฉัตรแห่งพระบวรพุทธศาสนา ปัจจุบันมี ๕ พระองค์
เรียกว่า “ปัญจมหาราชา” ประกอบด้วยรัชกาลที่ ๔-๗ และรัชกาลที่ ๙ 

ในระหว่างทรงผนวช พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
ได้ทรงดำรงสมณเพศ ประทับทรงปฏิบัติพระธรรมวินัย 
อยู่ในสำนักสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอด ๑๕ ราตรี 
ระหว่างวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ถึง วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ 

ทรงลาผนวชเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๙
แม้เมื่อทรงลาผนวชแล้ว พระองค์ยังคงเสด็จมาประทับ 
นั่งสมาธิกรรมฐานเป็นครั้งคราว ณ พระตำหนักทรงพรต 

อนึ่ง วัดบวรนิเวศวิหารยังเป็นที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 
ซึ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ เป็นสถานศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ 
ต่อมา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ 
ได้ทรงประกาศตั้งสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย 
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ 
ซึ่งนับเป็นสถาบันการศึกษาสงฆ์ระดับมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย

 

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต)  ทรงประทับหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงฉายเมื่อพระชนมายุ ๗๔ พรรษา

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) 
ทรงประทับหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงฉายเมื่อพระชนมายุ ๗๔ พรรษา

 

หลังจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย
ก็ประกาศตั้งมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในวัดมหาธาตุฯ

ในปัจจุบัน วัดบวรนิเวศวิหารยังเป็นที่พำนักของพระภิกษุนาคหลวง
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายรูป 
และยังเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งทรงผนวช 
รวมทั้ง เป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ อาทิเช่น 
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ครั้งทรงผนวชอีกด้วย

ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงผนวช
และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
ประติมากรของกรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร 
โดยทรงเสด็จพระราชดำเนินหล่อพระพุทธรูป เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ 
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธนาราวันตบพิตร”

 

พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน  ทรงประทับหน้าใบเสมาพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร  เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙

พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน 
ทรงประทับหน้าใบเสมาพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร 
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙

 

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทรงฉายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
ทรงฉายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ

 

การศึกษาปริยัติธรรมในวัดบวรนิเวศวิหาร

วัดบวรนิเวศวิหารได้ส่งเสริมการศึกษาภาษาบาลีมาตั้งแต่เริ่มมีวัดนี้ 
โดยเฉพาะในยุคที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองวัด 
กล่าวกันว่าทรงเน้นให้ศึกษาอย่างเข้มงวด 
จนกระทั่งว่าศิษยานุศิษย์ของพระองค์สามารถสนทนาภาษาบาลีได้เพราะ 
ทรงจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาบาลีแก่พระภิกษุสามเณรภายในวัด
อย่างแตกฉานเพื่อให้สามารถอ่านคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฯลฯ 
ได้จากต้นฉบับใบลาน หลังจากนั้น เป็นต้นมา 

วัดบวรนิเวศวิหารก็ได้เป็นสดมภ์หลักในการตรวจชำระคัมภีร์ใบลานภาษาบาลี
แล้วจัดพิมพ์ออกมาในรูป พระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ฯลฯ 
ออกมาเผยแผ่ไปทั่วประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานของคณะศิษยานุศิษย์
ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทั้งนั้น

 

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)

 

มีการกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ 
ระหว่างทรงผนวช ในหนังสือตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร เล่ม ๑ หน้า ๒๒ ว่า

ทรงทำนุบำรุงการเรียนพระปริยัติธรรมให้รุ่งเรือง 
ทรงบอกพระปริยัติธรรมเอง มีภิกษุสามเณรเป็นศิษย์เข้าแปลในสนามหลวง 
ได้เป็นเปรียญประโยคสูงถึงประโยค ๙ ก็มีหลายรูป พระสำนักอื่นมาขอเรียนบ้างก็มี 
ทรงเป็นหลักอยู่ในการไล่หนังสือพระองค์หนึ่ง 

ครั้งนั้น พระเปรียญพูดมคธได้คล่อง 
มีพระลังกาเข้ามาจึงต้องทรงมีหน้าที่เป็นผู้รับรองในราชการ 
มีคณะไว้สำหรับพระลังกาที่วัด 


วัดบวรนิเวศวิหารเคยมีชื่อเสียงโด่งดังด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมมาก
สามเณรสา ปุสฺสเทโว หรือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ 
สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
 ในกาลต่อมา 

ผู้สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ถึง ๒ ครั้ง ก็เคยอยู่วัดแห่งนี้ 
ครั้งแรกเมื่อสอบได้เปรียญ ๙ ประโยค ยังเป็นสามเณรสา ที่วัดราชาธิวาสวิหาร 
ครั้งที่ ๒ มาสอบได้เปรียญ ๙ ประโยคอีกครั้ง ที่วัดบวรนิเวศวิหารนี้เอง

 

ตึกมนุษยนาคมานพวิทยาทาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

ตึกมนุษยนาคมานพวิทยาทาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

 

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
ผู้ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลี
ก็เคยทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร 
ระหว่างทรงครองวัดในฐานะเจ้าอาวาส 
พระองค์ก็ทรงจัดพิมพ์ตำรับตำราภาษาบาลีมากมาย 
ระยะหลังมีประชาชนจำนวนมากมีศรัทธาเลื่อมใสเข้ามาบวช
อยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารระยะสั้นตลอดทั้งปี 

เนื่องจากวัดบวรนิเวศวิหารรับภาระในการจัดอบรมหลักสูตรนวกะระยะสั้น
เสียเป็นส่วนมาก ดังนั้นเสนาสนะจึงค่อนข้างจำกัด 

ในที่สุด วัดบวรนิเวศวิหารจึงหันมาเน้นให้การศึกษาอบรมแก่ผู้บวชระยะสั้น 
ทั้งในพรรษาและนอกพรรษา ปริมาณผู้สอบเปรียญบาลีสูงๆ ได้จึงลดลงมาก

 

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ประดิษฐาน ณ ตึกมนุษยนาคมานพวิทยาทาน วัดบวรนิเวศวิหาร

พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 
ประดิษฐาน ณ ตึกมนุษยนาคมานพวิทยาทาน วัดบวรนิเวศวิหาร

 

แต่ในยุคสมัยที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ 
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบันทรงครองวัด พระองค์ได้ทรงแต่งตั้ง 
พระพรหมมุนี (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต ป.ธ. ๙) 
เป็นผู้อำนวยการสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารเพื่อดูแลการศึกษาพระปริยัติธรรม 

และก็มีพระภิกษุสามเณรสอบเปรียญธรรมได้ทุกๆ ปีไม่เคยขาด 
โดยมีวัดธรรมยุตอีกประมาณ ๙ วัดขึ้นกับสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร 
อาทิ วัดดวงแข, วัดเขมาภิรตาราม, วัดบวรมงคล, วัดตรีทศเทพ, 
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม, วัดบุรณศิริมาตยาราม
 ฯลฯ


นอกจากนั้น ในยุคสมัยของพระองค์ยังมีผู้สอบเปรียญ ๙ ประโยคได้ 
ขณะยังเป็นสามเณรและได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นนาคหลวง 
อุปสมบทในพระบรมราชานุเคราะห์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม 
ในพระบรมมหาราชวัง จำนวน ๒ รูป คือ 

สามเณรปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ และสามเณรฉัตรชัย มูลสาร 
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
และจัดงานมุทิตาเนื่องในวันประสูติของพระองค์แก่สามเณรทั้งสองรูป

 

พระแท่นที่บรรทมสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

พระแท่นที่บรรทมสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

พระแท่นที่บรรทมสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

 

ทัศนียภาพวัดบวรนิเวศวิหาร

ทัศนียภาพวัดบวรนิเวศวิหาร

 

วัดบวรนิเวศวิหารกับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา

วัดบวรนิเวศวิหารได้เป็นที่มั่นที่สำคัญ
ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งปริยัติและปฏิบัติ 

ในฝ่ายปฏิบัตินั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงสร้างวัดอีกวัดหนึ่ง
คู่กับวัดบวรนิเวศวิหาร คือ “วัดบรมนิวาส ราชวรวิหาร” 
ไว้เป็นสถานที่สำหรับฝึกวิปัสสนาจารย์โดยเฉพาะ
ในกรณีที่ศิษยานุศิษย์ของพระองค์ประสงค์จะฝึก 

ต่อมา วัดบรมนิวาสแห่งนี้ยังกลายเป็นวัดที่พระวิปัสสนาจารย์รุ่นแรกๆ 
อาทิ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นต้น
ได้มาพำนักอาศัยและศึกษาเพิ่มเติม 
จนกลายเป็นพระวิปัสสนาจารย์สายวัดป่าที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ

 

ทัศนียภาพวัดบวรนิเวศวิหาร

 

ด้วยเหตุนี้พระป่าสายธรรมยุตจึงยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ว่า
เป็นผู้วางรากฐานการปฏิบัติสายพระป่าไว้อย่างมั่นคง 
เพราะทรงเน้นศิษยานุศิษย์ของพระองค์ที่อยู่วัดบวรนิเวศวิหาร
และอยู่ที่วัดบรมนิวาสให้มีศีลสิกขาอย่างเคร่งครัดก่อนจะลงมือปฏิบัติ 
หมายความว่ามีความรู้ปริยัติที่ถูกต้องก่อนลงมือปฏิบัตินั่นเอง 

ส่วนฝ่ายปริยัตินั้น วัดบวรนิเวศวิหารก็มีการอบรมทั้งพระนวกะ
และผู้ประสงค์จะศึกษาภาษาบาลีระยะยาวอยู่ทุกๆ ปี

ปัจจุบันนี้ วัดบวรนิเวศวิหารยังขยายการเผยแผ่ไปยังต่างประเทศ 
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ 
ทรงกระตุ้นให้เกิดการแปลคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
เป็นภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นมากมาย ทำให้หลักสูตรนักธรรมและธรรมศึกษา
มีการเผยแผ่ไปยังต่างประเทศด้วย

 

ทัศนียภาพวัดบวรนิเวศวิหาร

 

ตำราที่พระองค์ทรงบุกเบิกให้แปลเป็นภาษาอังกฤษนั้นมีจำหน่ายที่ 
มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

นอกจากนั้น วัดบวรนิเวศวิหารยังเป็นที่ตั้งสำนักงานของ 
มูลนิธิแผ่นดินธรรม ซึ่งผลิตรายการธรรมะออกเผยแผ่พุทธธรรม 
ทุกวันอาทิตย์ เวลา ๐๖.๓๐-๗.๐๐ น. และทุกวันพฤหัสบดี 
เวลา ๑๔.๐๐-๑๔.๓๐ น. ทางโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง ๕ 

อีกทั้งยังเป็นสำนักงานที่ตั้งของ 
ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย 
ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริมและพิทักษ์พระพุทธศาสนาอีกด้วย

 

น้ำพุด้านข้างพระตำหนักเพ็ชร

น้ำพุด้านข้างพระตำหนักเพ็ชร

 

 

รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก :: 
หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ : 
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์) 
วัดบวรนิเวศวิหาร, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑. 
http://www.dharma-gateway.com/
http://mahamakuta.inet.co.th/ 
http://www.mbu.ac.th/
http://www.watbowon.org/ 
http://www.watbowon.com/

 

นำมาจากเว็บธรรมจักร www.dhammajak.net

Top