05.สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)
ประวัติวัด วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ศาลาการเปรียญ วัดราชาธิวาส สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง
ประวัติและความสำคัญของวัดราชาธิวาส
วัดราชาธิวาส หรือ วัดราชาธิวาส ราชวรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร
เป็นวัดที่สร้างมานานแล้ว สันนิษฐานว่าสร้างสมัยกรุงละโว้
เดิมชื่อว่า วัดสมอราย รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชวิจารณ์ว่า
คำว่า “สมอ” นี้ มาจากภาษาเขมร ว่า “ถมอ”
ที่แปลว่า “หินถมอราย” ซึ่งหมายถึง “หินเรียงราย”
เมื่อรัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ ทรงปรารภว่า
วัดสมอรายเป็นที่ประทับระหว่างทรงผนวช
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)
และของกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
จึงพระราชทานนามเสียใหม่ว่า วัดราชาธิวาสวิหาร ในจุลศักราช ๑๒๑๓
แต่ในนามเอกสารต่างๆ เรียกวัดนี้ว่า วัดราชาธิวาส
ตลอดรัชกาลที่ ๔ และ ๕ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงอุปสมบท
แล้วเสด็จมาประทับที่วัดนี้ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
เมื่อทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์
ทรงผนวชแล้วก็เสด็จมาประทับด้วยพระองค์เอง
ซึ่งต่อมาภายหลังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี
พระเจ้ากรุงกัมพูชา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
และเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๓ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ หลังจากประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ
ทรงปฎิบัติอุปัชฌายวัตรตามพระวินัยแล้วก็เสด็จมาจำพรรษาที่วัดสมอราย
จนถึงสิ้นราชกาลที่ ๒ และยังประทับที่วัดนี้จนตลอดพรรษา
แล้วเสด็จประทับวัดมหาธาตุบ้าง วัดสมอรายบ้าง
จนถึง พ.ศ. ๒๓๗๒ จึงประทับที่วัดสมอรายเป็นการถาวร
โดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ
ทรงทราบแล้วจึงรับสั่งให้ปลูกพระตำหนักถวาย
พระอุโบสถวัดราชาธิวาส
ออกแบบโดยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ในรัชกาลที่ ๓ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ที่วัดนี้ด้วย
ได้มีการปฏิสังขรณ์ทั้งพระอาราม เมื่อรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ก็มีการปฏิสังขรณ์ต่อ
ครั้นต้นรัชกาลที่ ๕ ก็มีการปฏิสังขรณ์อีกใน ร.ศ. ๑๒๓
โปรดเกล้าๆ ให้รื้อและสร้างเสนาสนะขึ้นใหม่หลายสิ่ง คือ
พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ พระตำหนักพระจอมเกล้า หอสวดมนต์
ศาลาคู่หน้าพระอุโบสถ ปัจจุบันรื้อแล้ว
หมู่กุฏิจัดเป็น ๓ คณะ เขื่อนก่อด้วยอิฐ พระเจดีย์ดัดแปลงจากของ รั้วเสาหิน
เรียกว่าเสาอินทขีล ภูเขา และสระน้ำซึ่งถมระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๒-๒๔๖๘
หลังจากนั้นก็มีการปฏิสังขรณ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
พระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
สถิตย์สถานของสมเด็จพระสังฆราช ๔ พระองค์
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร
ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกชื่อว่า “วัดมหาธาตุ”
เป็นวัดโบราณสร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ “วัดสลัก” หรือ “วัดฉลัก”
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งเมืองธนบุรีเป็นราชธานี
ได้สร้างพระนครขึ้นทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
วัดสลักอยู่ในพระนครด้านฝั่งตะวันออก
จึงเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่พำนัก
ของพระราชาคณะมาตลอดสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ได้ย้ายพระนครข้ามฟากมาตั้งฝั่งตะวันออกฝ่ายเดียว
พระราชวังที่สร้างใหม่มีวัดอยู่ใกล้ชิด ๒ วัด คือ วัดโพธาราม
หรือวัดพระเชตุพนในปัจจุบัน อยู่ชิดพระบรมมหาราชวัง
ทางทิศใต้ของพระราชวังบวรสถานมงคล
(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ และโรงละครแห่งชาติ)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ได้สถาปนาวัดสลักขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๖ และได้ขนานนามว่า “วัดนิพพานาราม”
ครั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงปรารภพร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช
ให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกที่วัดนิพพานาราม
เพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ระหว่างพระราชวังหลวงกับวังหน้า
สะดวกในการเสด็จทั้ง ๒ พระองค์ แต่ก่อนจะถึงกำหนดการทำสังคายนา
ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า “วัดพระศรีสรรเพชญดาราม”
อนึ่ง การทำสังคายนาพระไตรปิฎก ที่วัดพระศรีสรรเพชญาดารามครั้งนั้น
นับว่าเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ได้ปรารภเหตุที่คัมภีร์พระไตรปิฎกที่สร้างขึ้นเป็นฉบับหลวง
ยังวิปลาสคลาดเคลื่อนเป็นอันมาก
เนื่องจากหนังสือที่หามาเป็นต้นฉบับ เป็นหนังสือที่สร้างขึ้นตามหัวเมืองไม่ได้ฉบับดี
สมควรประชุมสงฆ์ตรวจชำระพระไตรปิฎกฉบับหลวงที่ได้สร้างไว้แล้วนั้นถูกต้อง
การสังคายนา เริ่มเมื่อเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๓๑ ถึงกลางเดือน ๕ พ.ศ. ๒๓๓๒
เป็นเวลา ๕ เดือน จึงสำเร็จ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆัง
ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นประธาน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงเป็นองค์บรมราชูปถัมภก
ครั้นสังคายนาเสร็จแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้จารึกจำลองไว้เป็น
พระไตรปิฎกฉบับหลวงขึ้นใหม่ เรียกว่า “ฉบับทองทึบ” หรือ “ฉบับทองใหญ่”
เก็บรักษาไว้เป็นหลักฐานในหอพระพระมนเฑียรธรรม
วัดพระศรีรัตนศาสดารามจนถึงปัจจุบัน
พระประธาน ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
ครั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๖ สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ได้สวรรคต
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้ประชุมพระราชาคณะสอบไล่พระปริยัติธรรมพระภิกษุสามเณร
ที่วัดพระศรีสรรเพชรญดาราม
ในโอกาสนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามวัดใหม่ขึ้นอีกครั้งเป็น “วัดมหาธาตุ”
ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๓๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทรงบริจาคพระราชทานทรัพย์อันเป็นส่วนของ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
ซึ่งสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๗ อุทิศพระราชทานให้ปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ
ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นแล้ว แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มสร้อยต่อนามวัด
เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชนั้นว่า
“วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์” ซึ่งใช้มาตราบจนทุกวันนี้
วัดมหาธาตุฯ นั้นเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช
ตั้งแต่องค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ถัดมาจากสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆัง ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๗
เป็นลำดับมาถึงรัชกาลที่ ๔ จำนวน ๔ พระองค์ คือ
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) พระองค์ที่ ๒
สมเด็จพระสังฆราช (มี) พระองค์ที่ ๓
สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) พระองค์ที่ ๔
สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) พระองค์ที่ ๕
พระเจดีย์ทองศรีรัตนมหาธาตุ
ณ พระมณฑป วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
นอกจากนี้ วัดมหาธาตุยังเคยเป็นที่ประทับและศึกษาพระธรรมวินัย
ของสมเด็จบูรพมหากษัตริยาธิราชในอดีต เมื่อทรงผนวช
คือ ครั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงผนวชเป็นสามเณรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
แล้วเสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ๗ เดือน จึงทรงลาผนวช
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มีพระชันษาครบอุปสมบท
จึงได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์
โดยมี สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากประทับแรมอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๑ คืนแล้ว
จึงได้เสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เป็นเวลา ๑ ปี
แล้วเสด็จกลับมาประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุอีก ๕ ปี พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๓๗๒
รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
http://www.dharma-gateway.com/
http://mahamakuta.inet.co.th/
http://www.watsrakesa.com/