17.สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
ประวัติ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
พุทธศักราช ๒๕๑๕-๒๕๑๖
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พระประวัติในเบื้องต้น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
มีพระนามเดิมว่า “ปุ่น สุขเจริญ” พระนามฉายาว่า “ปุณฺณสิริ”
ทรงเป็นชาวสุพรรณบุรี ประสูติเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๓๙
ตรงกับวันอังคาร แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๔ ปีวอก เวลา ๒๔ นาฬิกาเศษ
ณ ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
โยมบิดามีนามว่า “เน้า สุขเจริญ” โยมมารดามีนามว่า “วัน สุขเจริญ”
ทรงเป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้องร่วมตระกูลทั้งหมด ๘ คน
ในเบื้องต้นทรงเล่าเรียนภาษาไทยกับโยมบิดา
จนสามารถอ่านหนังสือแบบเรียนเร็ว เล่ม ๑-๒ ได้จบ
ต่อมาโยมบิดาจึงพาไปฝากเป็นศิษย์ พระอาจารย์หอม แห่งวัดสองพี่น้อง
ซึ่งเป็นญาติกัน จากนั้นจึงทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลีอักษรขอม
และ คัมภีร์มูลกัจจายน์ ที่เรียกกันว่า หนังสือใหญ่
กับ พระอาจารย์หอม และ พระอาจารย์จ่าง ปุณฺณโชติ
ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น พระครูอุภัยภาดารักษ์
และเมื่อตกเย็นก็ทรงต่อสวดมนต์กับพระอาจารย์ ที่เรียกว่า ต่อหนังสือค่ำ
พระรูปเมื่อครั้งยังทรงเป็นสามเณร พ.ศ. ๒๔๕๔
โยมมารดา “วัน สุขเจริญ”
พ.ศ. ๒๔๕๔
เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐ พรรษา
พระอาจารย์หอมได้พามาฝากเป็นศิษย์อยู่วัดมหาธาตุ
กับ พระอาจารย์ป่วน ผู้เป็นญาติฝ่ายโยมมารดา
(ภายหลังย้ายไปอยู่วัดพระเชตุพน ต่อมาได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น
พระครูบริหารบรมธาตุ เจ้าอาวาสวัดนางชี ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ)
ทรงบรรพชาและอุปสมบท
พ.ศ. ๒๔๕๕
พระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ย้ายมาอยู่กับ พระอาจารย์สด จนฺทสโร
(ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่
พระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ)
ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ณ วัดพระเชตุพน
และในปีนั้น ได้ทรงกลับไปบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสองพี่น้อง
ตำบลต้นตาล อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี อันเป็นภูมิลำเนาเดิม
โดยมี พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต)
เจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์สด จนฺทสโร
พ.ศ. ๒๔๕๖
ต้องทรงลาสิกขาออกไปช่วยครอบครัวทำนาอยู่ระยะหนึ่ง
เพราะท่านบิดาป่วย ครั้นพระชนมายุ ๑๘ พรรษา
ก็กลับบรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งหนึ่ง
แล้วทรงกลับมาอยู่ วัดพระเชตุพน เพื่อทรงศึกษาเล่าเรียนต่อ
พ.ศ. ๒๔๖๐
พระชนมายุ ๒๒ พรรษา ทรงกลับไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสองพี่น้อง
อันเป็นภูมิลำเนาเดิม โดยมี พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต)
เจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง และเจ้าคณะอำเภอสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์โหน่ง อินฺทสวณฺโณ วัดสองพี่น้อง
(ต่อมาย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ตำบลดอนมะดัน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระศากยปุตติยวงศ์ (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) วัดพระเชตุพน
(สุดท้ายได้รับสถาปนาเป็นที่ สมเด็จพระวันรัตน) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง
พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินทฺโชโต) พระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์โหน่ง อินฺทสวณฺโณ พระกรรมวาจาจารย์
การศึกษาพระปริยัติธรรม
เมื่อเข้ามาอยู่ วัดพระเชตุพน แล้ว
จึงทรงเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างจริงจังในสำนักของ
สมเด็จพระวันรัตน (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่
พระศากยปุตติยวงศ์ และกับ พระมหาปี วสุตฺตโม
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ เป็นต้นมา สอบไล่ได้นักธรรม
และเปรียญชั้นต่างๆ มาเป็นลำดับ ดังนี้
สมเด็จพระวันรัตน (เผื่อน ติสฺสทตฺโต ป.ธ. ๙) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่
พระศากยปุตติยวงศ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระอนุสาวนาจารย์
พ.ศ. ๒๔๕๖
สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ. ๒๔๕๘
สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ขณะทรงเป็นสามเณร
พ.ศ. ๒๔๖๒
สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ. ๒๔๖๓
สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๖๖
สอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๐
สอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค
นอกจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว
ยังทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาภาษาต่างประเทศด้วย
เท่าที่จะทรงมีโอกาสศึกษาได้ กล่าวคือ
ทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับ หลวงประสานบรรณวิทย์
และทรงศึกษาภาษาจีนกับ นายกมล มลิทอง
พระรูปเมื่อครั้งยังทรงเป็นพระเปรียญ ๖ ประโยค
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
สมณศักดิ์และภาระหน้าที่
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงรับภาระหน้าที่ทางการคณะสงฆ์
มาแต่ทรงเป็นพระเปรียญ
เริ่มแต่หน้าที่ภายในพระอาราม
ไปจนถึงหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ ดังนี้
พ.ศ. ๒๔๖๓
เมื่อทรงเป็นเปรียญ ๔ ประโยค
ทรงเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ชั้นไวยากรณ์
พ.ศ. ๒๔๖๗
เมื่อทรงเป็นเปรียญ ๕ ประโยคแล้ว
ทรงเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมชั้นประโยค ๓
ทรงทำหน้าที่เป็นครูในสำนักเรียนวัดพระเชตุพนอยู่นานถึง ๒๕ ปี
พ.ศ. ๒๔๘๓
เมื่อยังทรงเป็นพระเปรียญเป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎก
เป็นภาษาไทย แผนกพระวินัย
พ.ศ. ๒๔๘๔
เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน
เป็นพระคณาจารย์เอกทางเทศนา
และในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์
เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอมรเวที
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่พระอมรเวที
พ.ศ. ๒๔๘๖
เป็นเจ้าคณะตรวจการภาคบูรพา
(สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด)
เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค ๒
(พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี
อุทัยธานี นครสวรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร สุพรรณบุรี)
เป็นกรรมการสังคายนาพระธรรมวินัย
พ.ศ. ๒๔๘๗
เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๔๘๘
เป็นสมาชิกสังฆสภา
พ.ศ. ๒๔๘๙
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุธี
พ.ศ. ๒๔๙๐
สมเด็จพระวันรัตน (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ถึงมรณภาพ
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชสุธี
จึงได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน
เป็นกรรมการสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
และในคราวเดียวกันได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์
เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที
พ.ศ. ๒๔๙๑
เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ ๑ เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน)
เป็นกรรมการและเลขาธิการ ก.ส.พ. (กรรมการสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ)
ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมดิลก
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมดิลก
พ.ศ. ๒๔๙๒
เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค ๒
(สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร
ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด)
เป็นสภานายกสภาพระธรรมกถึก
คณะสังฆมนตรีในวันเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต)
ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๘
พ.ศ. ๒๔๙๓
เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ ๒)
พ.ศ. ๒๔๙๔
เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ ๓)
เป็นสังฆมนตรีและสังฆมนตรีสั่งการแทนสังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่
(สมัยที่ ๔)
เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค ๗
(สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม สุพรรณบุรี
ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์)
เป็นประธาน ก.จ.ภ. (กรรมการเจ้าคณะตรวจการภาค)
เป็นอนุกรรมการอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรมแก่ข้าราชการและประชาชน
(ก.อ.ช.)
พ.ศ. ๒๔๙๖
เป็นประธานกรรมการสงฆ์แห่งโรงพยาบาลสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๙๗
เป็นประธานทอดผ้าป่าวันโรงพยาบาลสงฆ์
โดยทรงริเริ่มในนามสภาพระธรรมกถึก
เป็นกรรมการวิทยุกระจายเสียงวันธรรมสวนะ
พ.ศ. ๒๔๙๘
เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการทำนุบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๙๙
ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระธรรมวโรดม
เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การสาธารณูปการ (สมัยที่ ๕)
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมวโรดม
พ.ศ. ๒๕๐๐
เป็นกรรมการ ก.ส.พ.
เป็นกรรมการอุปถัมภ์กิตติมศักดิ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๐๑
เป็นประธานกรรมการปรับปรุงตลาดเฉลิมโลก
พ.ศ. ๒๕๐๒-๘
เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
พ.ศ. ๒๕๐๓
เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่ (สมัยที่ ๖)
พ.ศ. ๒๕๐๔
ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระวันรัตน
เป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรการศึกษาปริยัติธรรม แผนกบาลี
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัตน
พ.ศ. ๒๕๐๖
เป็น กรรมการมหาเถรสมาคม
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งประกาศใช้แทนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
เป็น ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๗
พ.ศ. ๒๕๐๘
เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
และรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก หนเหนือ และหนใต้
เป็น กรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๐๙
เป็นแม่กองงานพระธรรมทูต
พ.ศ. ๒๕๑๐
เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
ในระหว่างที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฺฐายีมหาเถร)
สมเด็จพระสังฆราชเสด็จเยือนศรีลังกาเป็นทางการ
ระหว่างวันที่ ๑๐-๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๐
เป็น ประธานจิตตภาวันวิทยาลัย
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายีมหาเถร)
พ.ศ. ๒๕๑๕
เป็นเจ้าคณะนครหลวงกรุงเทพธนบุรี
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร)
สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ที่ ๑๗
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. ๒๕๑๕
ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕ นี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาสมเด็จพระวันรัตน (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ขึ้นเป็น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สืบต่อจาก สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายีมหาเถร) วัดมกุฏกษัตริยาราม
ดังมีสำเนาประกาศสถาปนาดังนี้
อาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
ประกาศสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
ภูมิพลอดุลยเดช ปร.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี
จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราซ บรมนาถบพิตร
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรตกระหม่อมให้ประกาศว่า
โดยทื่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ว่างลง
เป็นการสมควรที่จะสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ
ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อจักได้บริหารการพระศาสนาให้สมบูรณ์
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕
และตามระเบียบราชประเพณีสืบไป
และโดยที่ได้ทรงสดับคำกราบบังคมทูลของหัวหน้าคณะปฏิวัติ
และสังฆทัศนะในมหาเถรสมาคมโดยเอกฉันทมติ
จึงทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระวันรัตน เป็นพระมหาเถระ
เจริญในสมณคุณเนกขัมมปฏิบัติ
สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตร รัตตัญญูมหาเถรกรณธรรม
ดำรงสถาพรอยู่ในสมณพรหมจรรย์ตลอดมาเป็นเวลาช้านาน
ได้ประกอบกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่พุทธจักร
และอาณาจักรอย่างไพศาล ดั่งมีอรรถจริยาปรากฏเกียรติสมภาร
ตามความพิสดารในประกาศสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ มหาสังฆนายก
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๔ แล้วนั้น
ครั้นต่อมา สมเด็จพระวันรัตน ยิ่งเจริญด้วยอุตสาหวิรยาธิคุณมิได้ท้อถอย
สามารถประกอบพุทธศาสนกิจยังการพระศาสนา
ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเป็นลำดับตลอดมา
ในการปกครองคณะสงฆ์ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕
สมเด็จพระวันรัตน ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม
เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นเจ้าคณะนครหลวงกรุงเทพธนบุรี
และเป็นแม่กองงานพระธรรมทูต ตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
อนึ่ง ในคราวที่สมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปเยือนประเทศศรีลังกา
เป็นทางราชการ ตามคำกราบทูลอาราธนาของรัฐบาลประเทศนั้น
สมเด็จพระวันรัตก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์พุทธศักราช ๒๕๑๐
ในการปริยัติศึกษา เป็นกรรมการพิจารณาร่างหลักสูตรพระปริยัติธรรม
แผนกภาษาบาลี ตั้งแต่ชั้นเปรียญตรีถึงชั้นเปรียญเอก
ในฐานะนายกสภาแห่งสภาพระธรรมกถึก
ได้จัดตั้งทุนไว้สำหรับส่งเสริมให้พระภิกษุผู้สำเร็จการศึกษา
จากมหาวิทยาลัยสงฆ์ ไปศึกษาวิชาเพิ่มเติม ณ ต่างประเทศ
เป็นผู้อุปถัมภ์อภิธรรมมูลนิธิวัดพระเชตุพนฯ
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาพระอภิธรรมแก่ประชาชน
และได้จัดสร้างอาคารเรียนขึ้น ๑ หลัง
สำหรับใช้เป็นสถานศึกษาพระอภิธรรม
ในการปกครองพระอาราม ก็ได้เอาใจใส่ควบคุมดูแลระวังรักษา
และจัดการบูรณะปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมปูชนียวัตถุ
และสิ่งก่อสร้างในพระอาราม ซึ่งชำรุดทรุดโทรมเสียหาย
ทั้งในบริเวณพุทธาวาสและสังฆาวาส
ให้กลับคืนดีในสภาพมั่นคงถาวรสะอาดเรียบร้อยดีขึ้นตลอดมา
ดังเป็นที่ปรากฏอยู่แล้ว
อนึ่ง สมเด็จพระวันรัตน ไต้จัดตั้งมูลนิธิขึ้นไว้เป็นทุนถาวร
สำหรับบูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามเริ่มตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ เป็นต้นมา
มูลนิธินี้ ได้รับพระราชทานนามว่า “มูลนิธิทุนพระพุทธยอดฟ้า ๑”
นับว่า สมเด็จพระวันรัตน เป็นผู้ทรงคุณธรรม
มีปรีชาสามารถในการปกครองพระอารามหลวงที่สำคัญเป็นอย่างดียิ่ง
สมพระราชประสงค์ในการส่งเสริมการศึกษาของชาติ
ในฐานะนายกสภาแห่งสภาพระธรรมกถึก
ได้จัดพระภิกษุไปเป็นครูสอนศีลธรรมแก่นักเรียนโรงเรียนต่างๆ
ในส่วนกลางตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งถึงปีที่ห้า
นอกจากนั้น สมเด็จพระวันรัตยังได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นประธานดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนสงเคราะห์เด็กอนาถา
ที่ วัดศรีจันทรประดิษฐ์ จังหวัดสมุทรปราการ
ที่ วัดสันติการาม และที่ วัดป่าไก่ จังหวัดราชบุรี อีกด้วย
ส่วนการพระศาสนาในต่างประเทศ
สมเด็จพระวันรัตน ได้ไปเป็นประธานสงฆ์ในการผูกพัทธสีมา
วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย
แล้วเลยไปสังเกตการณ์พระศาสนา ณ ประเทศเนปาล
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ ไปเป็นประธานสงฆ์ในการผูกพัทธสีมา
วัดเชตวัน สหพันธ์มาเลเซีย
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ ไปเยี่ยม วัดพุทธปทีป ประเทศอังกฤษ
แล้วเลยไปสังเกตการณ์พระศาสนา
ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม
ลักเซมเบอร์ก เยอรมนี สวิส และ อิตาลี
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ไทย
ไปร่วมงานถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกัมพูชา
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ และในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕
ได้รับอาราธนาจากรัฐบาลอเมริกัน ให้ไปเยือนสหรัฐอเมริกา
และสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขแห่งศาสนาคาทอลิก
ได้อาราธนาให้ไปเยือน สำนักวาติกัน
เพื่อเป็นการส่งเสริมสัมพันธไมตรีและความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
บัดนี้ ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า สมเด็จพระวันรัตน
เป็นผู้เจริญยิ่งด้วยพรรษายุกาลรัตตัญญูมหาสถาวีรธรรม
มั่นคงในพระพุทธศาสนา เป็นอจลพรหมจริยาภิรัต
สงเคราะห์พุทธบริษัท ปกครองคณะสงฆ์
ดำรงตำแหน่งสมณศักดื้ติดต่อกันมาเป็นเวลาช้านานได้เป็นครู
และอุปัธยาจารย์แห่งมหาชนเป็นอันมาก
มีศิษยานุศิษย์แพร่หลายไพศาล
เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกบริษัททั่วสังฆมณฑล
ตลอดจนอาณาประชาราษฎรทั่วไป
สมควรจะสถาปนาขึ้นเป็น
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานาธิบดีแห่งสังฆมณฑล
เพื่อเป็นศรีศุภมงคลแด่พระบวรพุทธศาสนาสืบไป
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดสถาปนา
สมเด็จพระวันรัตน ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
อาลักษณ์จารึกพระสุพรรณบัฏพระนามสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร)
ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง
สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกกลาสุโกศล วิมลคัมภีรญาณ
ปุณณสิริภิธานสังฆวิสุตปาวจนุตตมสิกขวโรปการ
ศีลขันธสมาจารยสุทธิปฏิบัติ พุทธบริษัทคารวสถาน
วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณอดุลธรรมวิสารสุนทร
บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช
เสด็จสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง
เป็นประธานในสังฆมณฑลทั่วราชอาณาจักร
ขออาราธนาให้ทรงรับธุระพระพุทธศาสนา
เป็นภาระสั่งสอนช่วยระงับอธิกรณ์
และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในสังฆมณฑลทั่วไป
โดยสมควรแก่พระอิสริยยศ ซึ่งพระราชทานนี้
จงทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดึ่
จิรัฏฐิติวิรุฬหิไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาเทอญ
ให้ทรงมีพระราชาคณะและพระครูฐานานุกรมประดับพระอิสริยยศ ๑๕ รูป
คือ พระทักษิณคณาธิกร สุนทรธรรมสาธก
พุทธปาพจนดิลกมหาเถรกิจการี คณาธิบดีศรีรัตนคมกาจารย์
พระราชาคณะปลัดขวา ๑
พระอุดรคณาภิรักษ์ อัครศาสนกิจบรรหาร มหาเถราธิการธุรการี
สมุหบดีศรีธรรมภาณกาจารย์
พระราชาคณะปลัดซ้าย ๑
พระครูธรรมกถาสุนทร ๑ พระครูวินัยกรณ์โสภณ ๑
พระครูพรหมวิหาร พระครูพระปริต ๑ พระครูฌานวิสุทธิ์ พระครูพระปริต ๑
พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูพิมนสรภาณ พระครูคู่สวด ๑
พระครูพิศาลสรคุณ พระครูคู่สวด ๑ พระครูพิบูลบรรณวัตร ๑
พระครูพิพัฒน์บรรณกิจ ๑ พระครูสังฆบริหาร ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑
ขอให้พระคุณผู้ได้รับตำแหน่งทั้งปวงนั้น
มีความสุขสิริสวัสดิ์สถาพรในบวรพุทธศาสนาเทอญ
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
เป็นปีที่ ๒๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
ริ้วกระบวนเชิญพระสุพรรณบัฏ พัดยศ เครื่องยศสมณศักดิ์ พระตราประจำตำแหน่ง
จากพระบรมมหาราชวังสู่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธ กล่าว “สงฺฆราชฏฐปนานุโมทนา”
ใบกำกับพระสุพรรณบัฏ
ให้สถาปนา สมเด็จพระวันรัต ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
มีพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ
และให้ทรงมีพระราชาคณะและพระครูฐานานุกรมประดับพระอิสริยยศ ๑๕ รูป
คือ พระทักษิณคณาธิกร สุนทรธรรมสาธก พุทธปาพจนดิลกมหาเถรกิจการี
คณาธิบดีศรีรัตนคมกาจารย์ พระราชาคณะปลัดขวา ๑
พระอุดรคณาภิรักษ์อัครศาสนกิจบรรหาร มหาเถราธิการธุรการี
สมุหบดีศรีธรรมภาณกาจารย์ พระราชาคณะปลัดซ้าย ๑
พระครูธรรมกถาสุนทร ๑ พระครูวินัยกรณ์โสภณ ๑ พระครูพรหมวิหาร
พระครูพระปริต ๑ พระครูฌานวิสุทธิ์ พระครูพระปริต ๑ พระครูวินัยธร ๑
พระครูธรรมธร ๑ พระครูพิมลสรภาณ พระคู่สวด ๑ พระครูพิศาลสรคุณ
พระครูคู่สวด ๑ พระครูพิบูลบรรณวัตร ๑ พระครูพิพัฒน์บรรณกิจ ๑
พระครูสังฆบริหาร ๑พระครูใบฎีกา ๑
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถวายพัดยศและเครื่องสมณศักดิ์แด่สมเด็จฯ
ในงานพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ขออาราธนาให้ทรงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน
ช่วยระงับอธิกรณ์และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในสังฆมณฑลทั่วไป
ตามสมควรแก่พระอิสริยยศ ซึ่งพระราชทานนี้
และจงทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิจิรัฏฐิติ
วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ
ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
เป็นปีที่ ๒๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ปร.
สมเด็จพระราชาคณะถวายศีลในการพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร)
การพระศาสนาต่างประเทศ
ในด้านการพระศาสนาต่างประเทศนั้น
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ทรงรับภาระปฏิบัติมาเป็นลำดับ
เริ่มแต่ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมดิลก กล่าวคือ
พ.ศ. ๒๔๙๗
ร่วมในคณะผู้แทนแห่งคณะสงฆ์ไทย
ไปร่วมใน การประชุมฉัฏฐสังคายนา ณ ประเทศพม่า
และในศกเดียวกันเดินทางไปสังเกตการณ์พระศาสนา ณ ประเทศกัมพูชา
พ.ศ. ๒๔๙๙
ไปร่วม ฉลองพุทธชยันตี (ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ) ณ ประเทศศรีลังกา
แล้วเดินทางไปนมัสการ สังเวชนียสถาน ในประเทศอินเดีย
และแวะสังเกตการณ์ พระศาสนา ณ ประเทศสิงคโปร์
พ.ศ. ๒๕๐๒
ไปร่วมพิธีเปิด วัดไทยพุทธคยา ณ เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย
พ.ศ. ๒๕๐๖
ไปเยือนวัดไทยในรัฐเคดาห์ ปินัง ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์
พ.ศ. ๒๕๐๙
ไปเป็นประธานใน พิธีผูกพัทธสีมาวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย
จากนั้นไปสังเกตการณ์พระศาสนา ณ ประเทศเนปาล
พ.ศ. ๒๕๑๐
ไปเป็นประธาน ผูกพัทธสีมาวัดเชตวัน กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พ.ศ. ๒๕๑๑
ไปเยือน วัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
และไปสังเกตการณ์ พระศาสนา ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส
เบลเยี่ยม ลักเซมเบอร์ก เยอรมันนี สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลี
พ.ศ. ๒๕๑๕
เสด็จเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ตามคำอาราธนาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
และในโอกาสเดียวกัน ก็เสด็จเยือน สำนักวาติกัน ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี
เยือน วัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เยือนเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และสเปน]
พระราชาคณะวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ในสมัยสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) ทรงเป็นอธิบดีสงฆ์
โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
การก่อสร้างปฏิสังขรณ์
ตั้งแต่ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นต้นมา
การก่อสร้างปฏิสังขรณ์ในพระอารามสิ้นเงินประมาณ ๒๐ ล้านบาท
สร้าง พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗
ณ วัดสุวรรณภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี
สร้าง โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗
ณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
สร้าง ตึกสันติวัน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยทุนส่วนพระองค์
และผู้ที่ถวายในคราวเสด็จเข้ารับการผ่าตัด
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ รวมเป็นเงิน ๔๐๘,๒๐๐ บาท
พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗
ณ วัดสุวรรณภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี
และยังทรงบริจาคสมทบสร้าง
ตึกศัลยกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ๕๐,๐๐๐ บาท
เครื่องทำความเย็นตึกกายภาพบำบัด ๕๐,๐๐๐ บาท
เป็นทุนค่าอาหาร ๓๐,๐๐๐ บาท
ทุน ตึกจงกลนีวัฒนวงศ์ ๒๐,๐๐๐ บาท
สร้าง โรงเรียนสมเด็จพระวันรัต ตลาดสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
สร้าง หอสมเด็จ วัดวิมลโภคาราม อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นประธานสร้างโรงเรียนสงเคราะห์เด็กอนาถา
วัดศรีจันทร์ประดิษฐ์ จังหวัดสมุทรปราการ และ วัดป่าไก่ จังหวัดราชบุรี
ตึกสงฆ์อาพาธ ในโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗
มูลนิธิที่ทรงบริจาคและริเริ่มก่อตั้ง
พ.ศ. ๒๔๙๒
ศึกษานิธิวัดพระเชตุพน
พ.ศ. ๒๕๐๕
มูลนิธิ “ทุนพระพุทธยอดฟ้า” ในพระบรมราชูปถัมภ์ (๑๙,๐๔๑,๒๒๖.๖๒ บาท)
พ.ศ. ๒๕๑๐
เป็นประธาน มูลนิธิอภิธรรม มหาธาตุวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๑๒
มูลนิธิสมเด็จพระพุทธโคดม วัดไผ่โรงวัว อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
โดยรับพระราชทานทุนของนางละมุน บุรกรรมโกวิท ๑๐๐,๐๐๐ บาท
(๑๖๓,๓๗๖.๕๗ บาท)
ตำหนักพระรูป (ใหม่) ที่ประดิษฐานพระรูปสมเด็จฯ
ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
พ.ศ. ๒๕๑๕
มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗
อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี (๑๒,๐๐๐.๐๐ บาท)
พ.ศ. ๒๕๑๖
มูลนิธิศูนย์โภชนาการช่วยเหลือเด็กวัยก่อนเรียน
อำเภอหางน้ำสาคร จังหวัดชัยนาท โดยทุนทรงบริจาค
และของพระภิกษุ พล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ อีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท
(๑๒๕,๙๐๐.๐๐ บาท)
พ.ศ. ๒๕๑๖
มูลนิธิห้องสมุดสันติวัน วัดพระเชตุพน (๑๖๙,๕๐๐.๐๐ บาท)
ทรงฉาย ณ บริเวณพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓
เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งคณะกรรมการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
งานพระนิพนธ์ “สันติวัน” หรือ “ศรีวัน”
นอกจากทรงแต่งและเรียบเรียงพระธรรมเทศนาแล้ว
โดยที่ทรงสนใจในการประพันธ์มาตั้งแต่ยังทรงเป็นสามเณร
โปรดการอ่านหนังสือ และสะสมหนังสือต่างๆ
ทั้งเคยทรงเขียนบทความเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ ในพระนามว่า “ป.ปุณฺณสิริ”
และยังทรงนิพนธ์หนังสืออีกจำนวน ๒๐ กว่าเรื่อง
ประเภทวิชาการ
เมื่อทรงเป็น เลขาธิการ ก.ส.พ.
ได้ทรงรวบรวมระเบียบข้อบังคับคณะสงฆ์พิมพ์เป็นเล่ม
ชื่อ ประมวลอาณัติคณะสงฆ์
ประเภทสารคดี
บันทึกการเสด็จไปยังที่ต่างๆ คือ สู่เมืองอนัตตา พุทธชยันตี
อินเดีย-เนปาล สู่สำนักวาติกัน และนิกสัน
และพระนิพนธ์เรื่องสุดท้าย คือ บ่อเกิดแห่งกุศลคือโรงพยาบาล
ประเภทธรรมนิยาย
เช่น จดหมายสองพี่น้องสันติวัน พรสวรรค์ หนี้กรรมหนี้เวร
ไอ้ตี๋ ดงอารยะ เกียรติกานดา คุณนายชั้นเอก ความจริงที่มองเห็น
ความดีที่น่าสรรเสริญ อภินิหารอาจารย์แก้ว กรรมสมกรรม
ในพระนาม สันติวัน หรือ ศรีวัน
นอกจากนี้ ยังได้ทรงเขียนเป็นบทความต่างๆ อีกมาก
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร)
ทรงประทับ ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พระเมตตาคุณและพระเกียรติคุณ
เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงเจริญอยู่ในพรหมวิหารธรรม
ทรงเป็นครุฐานียอภิปูชนียบุคคล
เป็นที่รักเป็นที่เคารพบูชาสักการะอย่างยิ่งแห่งปวงบรรพชิตและคฤหัสถ์
ทรงได้รับยกย่องพระเกียรติคุณเป็นอย่างสูง
จนมีพระนามที่ชาวไทยต่างเรียกเป็นพิเศษว่า “สมเด็จป๋า”
เพราะมีพระทัยเมตตากรุณาแก่ทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ
เปรียบประดุจบิดามีเมตตาต่อบุตร ห่วงใยเอื้ออาทรรักใคร่เสมอหน้า
พระเครื่องและเหรียญพระรูป ที่ทรงสร้างขึ้นในวาระต่างๆ
หรือที่มีผู้มาขออนุญาตพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานกุศล
ปรากฏว่าเป็นที่นิยมกันมาก
๑. พระเครื่อง “สมเด็จแสน” ทรงพิมพ์พระองค์แรกเป็นปฐมฤกษ์
มีจำนวน ๑๗๐,๐๐๐ องค์ แจกในงานบำเพ็ญกุศลพระชนม์ ๗๒ ปี
๒. พระกริ่ง “สมเด็จฟ้าลั่น” และ “สมเด็จฟ้าแจ้ง” (ธรรมจารี)
ทรงเททองหล่อในวันคล้ายวันประสูติ พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๖
จำนวน ๑,๗๐๐ องค์
๓. เหรียญพระรูป “เหรียญ ๖๐” “เหรียญ ๗๒” “สมเด็จรอบโลก”
“เหรียญทรงฉัตร” ทั้งหมดพิมพ์ประมาณหกแสนเหรียญ
๔. วัด ส่วนราชการ องค์การกุศล ที่ทรงโปรดอนุญาตให้พิมพ์เหรียญพระรูป
เท่าที่รวบรวมได้ ๕๕ แบบพิมพ์ จำนวนประมาณหนึ่งล้านเหรียญ
๕. เหรียญพระรูปเหรียญสุดท้าย “สมเด็จเพิ่มบารมี”
เป็นที่ระลึกในวันครบปีสถาปนา จำนวนหนึ่งแสนเหรียญ
พระรูปที่ทรงฉายกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ในกรอบ
ณ ตำหนักพระรูป (ใหม่) ร.พ.สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
การประชวร
พ.ศ. ๒๔๙๒
ประชวรหนักเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๙
ทรงประสบอุบัติเหตุรถยนต์ที่ประทับหลบรถโดยสารตกลงไปค้าง
ที่คลองข้างวัดศรีสำราญ ถนนเพชรเกษม ทรงบาดเจ็บเล็กน้อย
ประทับรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๐๒
เสด็จประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลสงฆ์
โดยปกติเมื่อประชวร พ.ท.นิตย์ เวชชวิศิษฐ์ เป็นผู้ถวายการรักษาเป็นประจำ
พ.ศ. ๒๕๑๐
แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวาน ทรงได้รับการรักษาจาก
นายแพทย์ปราโมทย์ ศรศรีวิชัย แห่งเทศบาลกรุงเทพฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ
จึงทรงกรุณาโปรดดกล้าฯ ให้ แพทย์หญิงคุณหญิงศรีจิตรา บุนนาค
ผู้เชี่ยวชาญโรคเบาหวาน แห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
และ นายแพทย์สิโรตม์ บุนนาค
เป็นแพทย์ถวายการรักษาพยาบาลประจำพระองค์
ตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ และได้เสด็จไปประทับ
ณ ตึกจงกลนีวัฒนวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เพื่อทรงรับการตรวจเป็นประจำทุกๆ ปี
พ.ศ. ๒๕๑๕
ก่อนเสด็จไปต่างประเทศก็ทรงได้รับการตรวจพระอาการทั่วไป
ครั้นต้นเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕
ได้เสด็จไปรับการตรวจพระอาการ เมื่อตรวจทางเอ็กซเรย์
ปรากฏว่าพระปับผาสะ (ปอด) ข้างซ้ายผิดปกติ
จึงต้องเสด็จไปประทับ ณ ตึกจงกลนีฯ
เพื่อให้คณะแพทย์ตรวจพระอาการโตยละเอียด
คณะแพทย์พบว่า ปอดข้างซ้ายเป็นเนื้องอก (มะเร็ง)
จำต้องรักษาโดยการผ่าตัดโดยด่วน
เมื่อความได้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะแพทย์ถวายการรักษา
ในทางที่เห็นว่าดีและปลอดภัยมากที่สุด
คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
หลังจากถวายการผ่าตัดแล้วพระอาการดีขึ้นโดยลำดับ
จนเสด็จกลับวัดได้เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕
คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกสามเดือน
ตลอดเวลาที่พักอยู่นั้น
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้จัดบุรุษพยาบาลและเจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด
มาเฝ้าปฏิบัติและถวายการรักษาเป็นประจำ
จนเสด็จประชุมมหาเถรสมาคมและเสด็จไปกิจนิมนต์ได้
สิงหาคม ๒๕๑๖
ทรงมีพระอาการผิดปกติ
แพทย์ประจำพระองค์ได้มาถวายการตรวจและถวายยา
วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๑๖
ทรงรู้สึกพระองค์ว่า ต่อไปคงจะเทศน์ไม่ได้อีกแล้ว ความจำไม่ดี
แพทย์ประจำพระองค์ได้กราบทูลอาราธนาให้เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาล
เพื่อตรวจพระอาการ ทรงกำหนดเสด็จไปวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๖
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐
หลังจากทรงทำอุโบสถสังฆกรรมแล้ว
คณะแพทย์ได้ตรวจพระอาการ
ปรากฏว่าโรคมะเร็งขึ้นสมองด้านซ้าย
จึงทำให้พระวรกายทางซีกขวาอ่อน เคลื่อนไหวไม่ได้
ครั้นเมื่อถวายการรักษาทางยาและฉายรังสีโคบอลท์
พระอาการดีขึ้นจนกระทั่งพระหัตถ์ข้างขวาเคลื่อนไหวได้และทรงอักษรได้บ้าง
วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๑๖
ประชวรพระวาโย ต้องเชิญเสด็จประทับห้องฉุกเฉิน
ตั้งแต่นั้นมา พระอาการก็มีแต่ทรงกับทรุด
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๑๖
มีพระโลหิตอกจากกระเพาะอาหาร
คณะแพทย์ต้องถวายการผ่าตัด เมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น.
หลังจากนั้นพระอาการดีขึ้นเล็กน้อย
วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖
พระอาการน่าวิตก
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน เวลา ๒๐.๐๐ น.
พระอาการทรุดหนักลง
ต่อแต่นั้นมา พระอาการมีแต่ทรุดลงเป็นลำดับ
และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒๒.๒๕ น.
โดยมีคณะแพทย์ พยาบาล และ นายแพทย์อุดม โปษะกฤษณะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
พร้อมด้วย พระเถรานุเถระ ศิษยานุศิษย์
เฝ้าพระอาการอยู่ตลอดเวลา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์
ในการรักษาพยาบาลตลอดมา
และมีคณะแพทย์กราบบังคมทูลถวายรายงานการประชวร
ให้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทุกระยะ
ตั้งแต่ยังทรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวันรัต
ตราบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ในระหว่างประชวร
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เชิญเครื่องเสวยมาถวายหลายครั้ง
ในการประชวรครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง
แม้คณะแพทย์จะได้กราบบังคมทูลถวายรายงาน
ให้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาททุกระยะแล้วก็ดี
ก็ยังมีพระราชหฤทัยกังวลถึง ได้ทรงพระมหากรุณาเสด็จเยี่ยม ดังนี้
วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๖ เวลา ๑๖.๔๕ น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประมาณ ๒๕ นาที
วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๑๖ เวลา ๑๗.๒๐ น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประมาณ ๕ นาที
วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๑๖ เวลา ๑๒.๒๐ น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าฯ ทั้งสองพระองค์
เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประมาณ ๑ ชั่วโมง
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ เวลา ๑๗.๒๐ น.
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประมาณ ๔๐ นาที
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร)
พระอวสานกาล
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้มีแถลงการณ์ในการสิ้นพระชนม์ ดังนี้
“สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เสด็จเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๖
ด้วยพระอาการเวียนพระเศียร ความทรงจำเสื่อม
พระวรกายทางซีกขวาอ่อน เคลื่อนไหวไม่ได้
คณะแพทย์ลงความเห็นว่า พระอาการทั่วไปทั้งหมด
เนื่องมาจากการที่พระองค์ทรงประชวรเป็นเนื้องอกในปอดข้างซ้าย
ซึ่งคณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๑๕
และต่อมาได้กระจายไปที่สมอง
คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยรังสีโคบอลท์ พระอาการดีขึ้นบ้าง
ต่อมาวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มีพระโรคแทรก คือ
มีพระโลหิตออกจากกระเพาะอาหาร
คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัด
เพื่อระงับมิให้มีการสูญเสียพระโลหิตทางพระลำไส้อีก
และถวายการผ่าตัดเพื่อมิให้มีพระอาการขึ้นอีก
นับตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นต้นมา
พระอาการทางสมองมากขึ้น จนครึ่งพระวรกายซีกขวาเคลื่อนไหวไม่ได้
ทรงมีพระอาการไข้ขึ้นสูงตลอดมา ปอดบวม
มีพระอาการทั่วไปอ่อนเพลียลงตามลำดับ
ในที่สุดสิ้นพระชนม์ลง
เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๑๖ เวลา ๒๒.๒๕ น. ด้วยพระอาการอันสงบ”
คณะแพทย์ได้พยายามเยียวยาถวายการรักษาพระองค์
อย่างสุดความสามารถจนถึงสิ้นพระชนม์
ในตอนกลางคืนวันสิ้นพระชนม์
มีพระสงฆ์เข้าเยี่ยมพระอาการประมาณ ๓๐๐ รูป
คฤหัสถ์ประมาณ ๒๐๐ คน
พระรูปที่ประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์ในตำหนักพระรูป (ใหม่)
ณ ร.พ.สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
การพระศพ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระศพถวายพระเกียรติ
ตามพระราชประเพณีทุกประการ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๑๖.๐๐ น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินมาถวายน้ำสรงพระศพ ณ ตึกกวี เหวียนระวี
แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระโกศประดิษฐานเหนือชั้นแว่นฟ้า
ประกอบพระลองกุดั่นใหญ่ แวดล้อมด้วยเครื่องประดับพระเกียรติยศ
ณ หอประชุมสงฆ์ วัดพระเชตุพน
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระพิธีพระเกียรติยศ
ณ หอประชุมสงฆ์ วัดพระเชตุพน
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทั้งกลางวันกลางคืน
รับพระราชทานฉันเช้าวันละ ๘ รูป เพลวันละ ๔ รูป กำหนด ๗ วัน
ทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวาย
เมื่อครบ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กำหนดการพระราชกุศลออกพระเมรุ และพระราชทานเพลิง
วันที่ ๒๒-๒๓-๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗
ในการบำเพ็ญกุศลถวายพระศพนี้
มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาค
คณะรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม สมาคม พ่อค้า ประชาชน ศิษยานุศิษย์
คณะสงฆ์จีน คณะสงฆ์ญวน สมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย
สมาคมศรีครุสิงห์สภา ฮินดูสมาส ฮินดูธรรมสภา และในต่างประเทศ
ก็มีพระภิกษุสงฆ์พร้อมด้วยพุทธบริษัทจากฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย
ได้โดยเสด็จพระราชกุศลมาจนถึงวันพระราชทานเพลิงศพ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน เป็นองค์ที่ ๑๑
เป็นเวลา ๒๖ ปี ๘ เดือน ๓๐ วัน
ทรงดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช เป็นเวลา ๑ ปี ๔ เดือน ๑๖ วัน
สิริพระชนมายุได้ ๗๗ พรรษา ๘ เดือน ๘ วัน
พระราชทานเพลิงพระศพ ณ
พระเมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ สุสานหลวง
วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗
ตำหนักเดิมที่ประดิษฐานพระรูปสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๗
รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
- หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณฺสิริ)
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
- ๑๙ สมเด็จพระสังฆราช กรุงรัตนโกสินทร์,
โกวิท ตั้งตรงจิตร, สวีริยาศาสน์ จัดพิมพ์, ๒๕๔๙
http://www.dharma-gateway.com/
http://mahamakuta.inet.co.th/
http://mbu.ac.th/