
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน)

ประวัติ วัดบรมนิวาส จ.กรุงเทพฯ
ชาติภูมิ
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์นามเดิม "อ้วน" นามสกุล "แสนทวีสุข" เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2400 ณ บ้านแคน ตำบลดอนมดแดง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี บิดาเป็นกรมการเมืองชื่อเพี้ยเมืองกลาง (เคน) มารดาชื่อบุตสี
ระยะเยาว์วัยและการศึกษาเบื้องต้น
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ท่านเคยเล่าชีวิตเมื่อเยาว์วัยให้มหาไชย จันสุตะ ฟังว่า เมื่อ ยังเด็กท่านชอบมีเพื่อนฝูงมาก เพื่อนฝูงทั้งหลายมักตั้งท่านให้เป็นหัวหน้า และเมื่อท่านทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแล้ว เพื่อนฝูงจะเชื่อฟัง ท่านจัด ท่านแบ่งอะไรทุกคนพอใจ ไม่เคยโต้แย้ง ท่านมีแววของความเป็นผู้นำมาตั้งแต่เยาว์ทีเดียว นอกจากลักษณะของความเป็นผู้นำแล้ว สมเด็จฯ ยังสนใจในทางศาสนาตั้งแต่เด็กท่านจะช่วยแม่ทำบุญตักบาตรทุก ๆ เช้าที่หน้าบ้านเสมอ
บรรพชาอุปสมบท
สมเด็จฯ ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 19 ปี ณ วัดสว่าง อำเภอวารินชำราบ ใกล้กับบ้านเกิดของท่าน ภายหลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดศรีทอง มีท่านเทวธัมมี เป็นอุปัชฌาย์ ท่านโชติปาโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สมเด็จฯ ได้ศึกษาปริยัติธรรมและเคร่งครัดต่ออุปัชฌาย์วัตรเป็นอย่างมาก
การศึกษา
หลังจากพระอุปัชฌาย์ท่านได้มรณภาพแล้ว สมเด็จฯ ได้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม กับเจ้าคุณอาจารย์ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อครั้งเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ยังเป็นพระครูวิจิตรธรรมภาณี ณ วัดพิชยญาติการาม สำนักพระศาสนาโศภณ เป็นเจ้าอาวาส
การเรียนพระปริยัติธรรม
สมเด็จฯ เป็นนักเรียนมหามกุฎราชวิทยาลัย สาขาวัดพิชัยญาติการาม อันเป็นโรงเรียนซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิญานวโรรสทรงเริ่มตั้งและขยายสาขาออกไปตามวัดธรรมยุตอื่น ๆ เป็นโรงเรียน สาขาโรงเรียนพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จฯ ได้ค่าภัตตาหารเดือนละ 2 บาท
พ.ศ. 2439 สมเด็จฯ ย้ายจากวัดพิชัยญาติการามมาเรียนต่อที่วัดเทพศิรินทราวาสกับท่านอาจารย์อื่นอีก และสอบได้เปรียญตรี
พ.ศ. 2442 ท่านสอบปริยัติธรรม สอบได้เปรียญโท
ตำแหน่งและสมณศักดิ์
1. ภัณฑารักษ์ วัดเทพศิรินทราวาส ได้รับแต่งตั้งจากท่านเจ้าอาวาส
2. ครูฝ่ายภาษาบาลี ที่วัดสุปัฎนาราม เป็นครั้งแรกที่มีโรงเรียนเปิดสอนตามแบบมหามกุฎราชวิทยาลัย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงมีพระภิกษุสามเณรทั้งใกล้ - ไกล ตลอดมณฑลอุดรก็อุตส่าห์มาเล่าเรียน
3. พ.ศ. 2442 ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑลอีสาน
4. พ.ศ. 2447 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอีสาน ต่อมาต้นรัชกาลที่ 6 ได้แยกมณฑลอีสานเป็น 2 มณฑล คือมณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด ท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะว่าการทั้งสองมณฑล
5. พ.ศ. 2466 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอุดรอีกตำแหน่งหนึ่ง
6. ต้นรัชกาลที่ 7 ทางราชการได้รวมมณฑลอุบล ร้อยเอ็ดและนครราชสีมา เป็นมณฑลนครราชสีมาท่านก็ได้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา
7. พ.ศ. 2485 ดำรงตำแหน่งสังฆนายกองค์แรก แห่งประเทศไทย ตามประกาศตั้งสังฆนายก ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2485
สมเด็จฯ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ตามลำดับดังนี้
พ.ศ. 2447 พระราชาคณะที่ พระศาสนดิลก
พ.ศ. 2454 ทรงให้มีสมณศักดิ์เสมอชั้นราชในนามเดิม
พ.ศ. 2455 พระราชมุนี
พ.ศ. 2464 พระเทพเมธี
พ.ศ. 2468 ชั้นเทพพิเศษที่พระโพธิวงศาจารย์
พ.ศ. 2472 พระธรรมปาโมกข์
พ.ศ. 2475 ชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระพรหมมุนี
พ.ศ. 2482 สมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์
การปกครองวัด
พ.ศ. 2447 เจ้าอาวาสวัดสุปัฎนาราม อำเภอเมืองอุบลราชธานี
พ.ศ. 2470 เจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา มณฑลนครราชสีมา
พ.ศ. 2475 เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
พ.ศ. 2484 เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ
ตำแหน่งพิเศษ
1. แม่กองธรรมสนามมณฑลตลอดระยะที่ยังมิได้ยุบมณฑล
2. รองแม่กองธรรมสนามหลวง
3. กรรมการตรวจข้อสอบพระปริยัติธรรมสนามหลวง
4. กรรมการมหาเถระสมาคม
5. กรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัย
6. กรรมการฝ่ายศึกษาประชาบาล เขตปทุมวัน
7. รองเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต
8. เจ้าคณะตรวจการภาค 3 , 4 , 5
9. องค์ประธานคณะวินัยธร ชั้นฎีกาตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484
10. สังฆนายกรูปแรกแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484
การทำคุณประโยชน์
1. ตั้งโรงเรียนภาษาไทย - บาลี
ได้ตั้งโรงเรียนสอนบาลี - นักธรรม ที่วัดสุทธจินดา ได้รวบรวมหนังสือเก่าแก่ และโบราณวัตถุของชาวอีสานขึ้นไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่วัดสุปัฎนารามจังหวัดอุบลราชธานี จนได้เปิดเป็นสาขาหอสมุดแห่งชาติขึ้นที่วัดสุทธจินดา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2478
2. ถาวรวัตถุและการก่อสร้าง
สร้างอาคารเรียน "โรงเรียนอุบลวิทยาคม" ที่วัดสุปัฎนาราม จังหวัดอุบลราชธานี สำเร็จด้วยแรงงานของพระภิกษุสงฆ์ ได้รับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงธรรมการ 800 บาท นอกนั้น สมเด็จฯ จัดหาเองทั้งสิ้น
สร้างอาคารเรียน 2 ชั้น สำหรับนักธรรมคณะจังหวัดอุบลราชธานี
หล่อพระพุทธรูป "พระสัพพัญญูเจ้า" อันเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุปัฎนาราม
สร้างพระอุโบสถวัดสุปัฎนาราม จังหวัดอุบลราชธานี กว้าง 20 เมตร ยาว 34 เมตร สูง 22 เมตร ชั้นบนเป็นทรงไทย ชั้นกลางทรงเยอรมัน และชั้นล่างเป็นทรงขอม โบราณแบบนครวัด เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2460 สำเร็จใน พ.ศ. 2473 สิ้นค่าก่อสร้าง 70,000 บาท
3. ด้านการพิมพ์และคำสอน
สมเด็จได้นิพนธ์ความเรียง เป็นคำสอนประเภท ธรรมเทศนา โอวาท บทความ สารคดี เรื่องต่าง ๆ ไว้มากว่า 46 เรื่อง นิพนธ์เรื่องที่เป็นที่นิยมและสนใจของประชาชนทุกระดับชั้น ยกตัวอย่างบทนิพนธ์ของสมเด็จฯ บางเรื่องที่ดีเด่น จริง ๆ คือ
เรื่อง เงินเดือน เงินดาว เงินดิน ว่าด้วยการการแนะนำคนให้รู้จักการครองตนครองชีพ
เรื่อง "หลักชูชาติ" ว่าด้วยการเพราะปลูก การช่าง การชื้อขาย
เรื่อง "แว่นใจ" ว่าด้วยการทรัพย์ในดิน สินในน้ำ
เรื่อง " สอนหนุ่มน้อย" เป็นเรื่องตักเตือนให้เด็กเร่งศึกษาแต่เยาว์วัย
เรื่อง "สอนนายนาง" ว่าด้วยลูกอุปถัมภ์บำรุง พ่อ แม่ และหน้าที่ของสามี ภรรยา
เรื่อง "หลักครู" แนะวิธีการเป็นครูและการสอน
เรื่อง "โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก" อันเป็นคติพจน์ของสมเด็จ
การสั่งสอนอบรมพุทธศาสนิกชน สมเด็จฯ ท่านได้เที่ยวเทศนา อบรมโปรดพุทธศาสนิก ชนทุกภาค และให้คำขวัญ ซึ่งคือว่าเป็นการสร้างสรรค์ให้ชาวไทยสามัคคี ไม่แบ่งแยกกันพุทธศาสนิกชนถือเป็นอมตะคำขวัญ คือ
"ถิ่นไทยงาม" ได้แก่ภาคพายัพ ของประเทศไทย
"ถิ่นไทยอุดม" ได้แก่ภาคใต้ ของประเทศไทย
"ถิ่นไทยดี" ได้แก่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
"ถิ่นจอมไทย" ได้แก่ภาคกลาง
บทนิพนธ์ทุกเรื่องมอบให้เป็นลิขสิทธิ์ วัดบรมนิเวศ วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร วัดสุทธจินดา จังหวัดนครราชสีมา และวัดสุปัฎนาราม จังหวัดอุบลราชธานี ผู้ประสงค์จะพิมพ์เผยแพร่ให้ติดต่อขออนุญาตจากเจ้าอาวาส
การมรณภาพของสมเด็จฯ
ท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2499 ณ วัดบรมนิวาส โดยอาการสงบด้วยโรคชรา สิริอายุได้ 89 ปี นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการบริหาร การปกครอง คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวจังหวัดอุบลราชธานี
ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com