พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
ประวัติ วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
นามเดิม
ฝั้น สุวรรณรงค์ เป็นบุตรของเจ้าไชยกุมาร (เม้า) และนางนุ้ย สุวรรณรงค์
เกิด
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ณ บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๖๘ ณ วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระรถ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมุก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ท่านมีอุปนิสัยสุขุม เยือกเย็น กว้างขวาง มีความขยันหมั่นเพียร อดทน ต่อสู่กับอุปสรรค หนักเอาเบาสู่ มีความแตกฉานในการเขียนจาร อ่านหนังสืออักษรตัวธรรม (เป็นหนังสือผูกใบลานซึ่งทานภาคอีสานใช้เรียน ในสมัยนั้น) มีความเฉลียวฉลาด กิริยามารยาทเรียบร้อย ท่านได้บูรณะวัดและซ่อมแซมกุฎิที่วัดป่าธานุนาเวง (วัดป่าภูธรพิทักษ์) จังหวัดสกลนคร และสร้างพระพุทธรูปบนหน้าผาร่วมกับพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ และพระครูอุดมธรรมคุณ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำพระ พ.ศ.๒๔๙๖ ท่านได้ค้นหา "ถ้ำขาม" ตามนิมิต ท่านจำพรรษา ณ วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ตั้งแต่พรรษาที่ ๔๐-๕๒ เป็นต้นมา (พ.ศ.๒๕๐๗ - ๒๕๑๙)
ข้อมูลอ้างอิง : http://sukkho.com/teacher/luangpufun.htm
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือกำเนิดในสกุล สุวรรณรงค์ เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีกุล ตรงกับวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2442 ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ซึ่งเป็นหลานของพระเสนาณรงค์ เจ้าเมืองพรรณานิคม มารดาชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของ หลวงประชานุรักษ์ จะเห็นได้ว่า เชื้อสายของท่าน เป็นขุนนางทั้งฝ่ายบิดาและฝ่ายมารดา เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าแก่ของหมู่ชน ที่เรียกว่า ผู้ไทย ซึ่งอพยพมาจากประเทศลาวในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระอาจารย์ฝั้น เคยเล่าว่า บรรพบุรุษของท่าน ได้ข้ามมาแต่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงเป็นครอบครัวใหญ่เรียกว่า ไทยวัง หรือไทยเมืองวัง (ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งอยู่ในเขตมหาชัยของประเทศลาว) บิดาของท่านพระอาจารย์ เป็นคนที่มีความเมตตาอารี ใจคอกว้างขวางเยือกเย็น เป็นที่นับหน้าถือตา จึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านม่วงไข่ ต่อมาบิดาของท่านได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ อีกหลายครอบครัว ไปตั้งหมู่บ้านใหม่ในที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม เพราะเป็นพื้นที่ที่มีลำห้วยอูน ผ่านทางทิศใต้ และลำห้วยปลาหาง อยู่ทางทิศเหนือ เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และเลี้ยงไหม ตั้งชื่อว่าบ้านบะทอง โดยมีบิดาของท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป
เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ พระอาจารย์มีความประพฤติเรียบร้อย นิสัยใจคอเยือกเย็น อ่อนโยน โอบอ้อมอารีกว้างขวาง เช่นเดียวกับบิดาของท่าน ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรคหนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลือกิจการงานของบิดามารดา และญาติพี่น้อง โดยไม่เห็นแก่ความลำบากยากเย็นใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านการศึกษา พระอาจารย์ฝั้นได้เริ่มเรียนหนังสือที่วัดบ้านม่วงไข่ (วัดโพธิ์ชัย) สอนโดย ครูหุน ทองคำ และครูตัน วุฒิสาร ตามลำดับ พระอาจารย์เมื่อครั้งนั้น เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอันมาก สามารถเขียนอ่านได้รวดเร็วกว่าเด็กอื่นๆ ถึงขนาดได้รับความไว้วางใจจากครูให้สอนเด็กคนอื่นๆ แทน ในขณะที่ครูมีกิจจำเป็น
พระอาจารย์ฝั้น เคยคิดจะเข้ารับราชการ จึงได้ตามไปอยู่กับนายเขียน อุปพงศ์ ผู้เป็นพี่เขย ซึ่งเป็นปลัดเมืองฝ่ายขวา ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไปชั้นสูงขึ้น ในช่วงนี้เองท่านได้พิจารณาเห็นความยุ่งเหยิงไม่แน่นอนของชีวิตคฤหัสถ์ ได้เห็นการปราบปรามผู้ร้าย มีการฆ่าฟันกัน มีการประหารชีวิต ครั้งนั้นพี่เขยได้ใช้ให้เอาปิ่นโตไปส่งนักโทษอยู่เสมอ ท่านได้เห็นนักโทษหลายคนแม้เคยเป็นใหญ่เป็นโต เช่น พระยาณรงค์ฯ เจ้าเมืองขอนแก่น ต้องโทษฐานฆ่าคนตาย นายวีระพงษ์ ปลัดซ้าย ก็ถูกจำคุก แม้แต่นายเขียน พี่เขยของท่าน เมื่อย้ายไปเป็นปลัดขวาอำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย ก็ต้องโทษฐานฆ่าคนตายเช่นกัน
สภาพของบรรดานักโทษที่ท่านประสบมา ทั้งโทษหนักโทษเบา นับได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านรู้จักปลง และประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ท่านได้สติบังเกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก จึงเลิกคิดที่จะรับราชการและตัดสินใจบวช เพื่อสร้างสมบุญบารมีในทางพุทธศาสนาต่อไป
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
ชีวิตสมณะของพระอาจารย์ ฝั้น อาจาโร เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2461 เมื่อท่านอายุได้ 19 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิ์ทอง บ้านบะทอง อำเภอพรรณานิคม และในปี พ.ศ.2462 ถัดมา ท่านได้อุปสมบทเป็นภิกษุฝ่ายมหานิกาย ที่วัดสิทธิบังคม ตำบลบ้านไร่ อำเภอพรรณานิคม มีพระครูป้อง นนตะเสน เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์นวลและพระอาจารย์สังข์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากออกพรรษาปีนั้น ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดโพธิ์ทอง บ้านบะทอง จึงได้ปฏิบัติธรรม อบรมกัมมัฏฐาน ตลอดจนการออกธุดงค์อยู่รุกขมูล กับท่านอาจารย์อาญาครูธรรม
ปีถัดมาพ.ศ. 2463 ท่านได้พบ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งได้เที่ยวธุดงค์มาพร้อมด้วยภิกษุสามเณรหลายรูป และพักที่ป่าช้าข้างบ้านม่วงไข่ (ปัจจุบันเป็นวัดภูไทสามัคคี) เมื่อได้ฟังธรรมจาก พระอาจารย์มั่น ท่านบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในสติปัญญาความสามารถของ พระอาจารย์มั่น จึงขอมอบตัวเป็นศิษย์พร้อมท่านอาญาครูดี และพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน เนื่องจากทั้งสามท่าน ยังไม่พร้อมในเครื่องบริขาร จึงยังไม่ได้ธุดงค์ตามอาจารย์มั่นไปในขณะนั้น
เมื่อทั้งสามท่านได้เตรียมเครื่องบริขารเรียบร้อยแล้ว ประจวบกับได้พบกับ พระอาจารย์ดูลย์ อตุโล ซึ่งเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่นมาก่อน และกำลังเดินธุดงค์ ติดตามหาพระอาจารย์มั่นเช่นกัน พระอาจารย์ฝั้นจึงได้ศึกษาธรรมเรียนวิธีฝึกจิตภาวนาเบื้องต้นจากพระอาจารย์ดูลย์ จากนั้นทั้งสี่ท่าน ได้ร่วมกันเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์ดูลย์เป็นผู้นำทาง จนได้พบพระอาจารย์มั่น ที่บ้านตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน ท่านทั้งสี่ได้ศึกษาธรรมกับ พระอาจารย์มั่นที่นั่น เป็นเวลา 3 วัน จากนั้นจึงได้ไปกราบนมัสการพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล (ผู้ซึ่งได้ร่วมเผยแพร่ธรรมกับพระอาจารย์มั่น) ที่บ้านหนองดินดำ แล้วจึงไปรับการอบรมธรรม จากพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่บ้านหนองหวายเป็นเวลา 7 วัน จากนั้นจึงไปที่บ้านตาลเนิ้ง และได้ไปรับฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่นเสมอๆ
เมื่ออาจารย์ฝั้น ได้รับการศึกษาอบรมธรรมะจากพระอาจารย์มั่น และได้ฝึกกัมมัฏฐาน จนจิตใจมั่นคงแน่วแน่ บำเพ็ญภาวนาได้ตลอดรอดฝั่ง โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ มารบกวนได้แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจ ทำการญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2468 ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์รถ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มุก เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้ไปจำพรรษาแรกกับพระอาจารย์มั่น ที่วัดอรัญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ร่วมกับเพื่อนสหธรรมิกหลายรูป เช่น พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน พระอาจารย์อ่อน ญาณศิริ และพระอาจารย์กว่า สุมโน ออกพรรษาปีนั้นท่านได้เดินธุดงค์ เลียบไปกับฝั่งแม่น้ำโขงเที่ยวธุดงค์ไปหลายแห่ง วกกลับมายังวัดอรัญวาสี แล้วธุดงค์ติดตาม และพบพระอาจารย์มั่น ที่บ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบัน อำเภอศรีสงคราม) ซึ่งท่านได้รับมอบหมายให้จำพรรษาและโปรดญาติโยมที่บ้านดอนแดงคอกช้าง อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
หลังออกพรรษาท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้ร่วมกับหมู่คณะออกเผยแพร่ธรรมทางจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้รับเอาโยมมารดาของพระอาจารย์มั่นไปอุบลฯ ด้วย ในปีพ.ศ. 2470 นี้ ท่านได้จำพรรษาที่บ้านบ่อชะเนง อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับอาจารย์กู่ เทศนาสั่งสอนญาติโยม ที่นั่น พ.ศ.2471 ท่านได้ไปจำพรรษาที่บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
หลังออกพรรษาท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมที่จังหวัดขอนแก่น ได้จำพรรษาที่จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา 3 ปี ระหว่างนั้นท่านได้อบรมสั่งสอนชาวบ้านให้เลิกนับถือผีเลิกกลัวผี ให้หันมานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือศีล 5 และภาวนาพุทโธ ท่านเป็นที่พึ่ง และให้ความอบอุ่นแก่ชาวบ้านทั่วไป คนคลอดลูกยาก คนไอไม่หยุด คนถูกผีเข้า คนมีมิจฉาทิฏฐิ หลอกลวงชาวบ้าน ท่านช่วยเหลือแก้ไขด้วยอุบายธรรมะได้หมดสิ้น
ตัวท่านเองบางครั้งก็อาพาธ เช่น ระหว่างที่จำพรรษาบนภูระงำ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ท่านปวดตามเนื้อตามตัวอย่างมาก ท่านก็ใช้ธรรมโอสถ โดยนั่งภาวนาในอิริยาบทเดียว ตั้งแต่ทุ่มเศษจนกระทั่ง 9 โมงเช้า ทำให้อาการอาพาธหายไปหมด พ้นจากการทุกข์ทรมาน และทำให้ท่านก้าวหน้าในทางธรรมเพิ่มขึ้นด้วย
ระหว่างปี พ.ศ.2475-2486 พรรษาที่ 8-19 ท่านได้จำพรรษาที่จังหวัดนครราชสีมาโดยตลอด แต่ในระหว่างนอกพรรษาท่านจะท่องเที่ยวไปเพื่อเผยแพร่ธรรมและตัวท่านเองก็ได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมด้วย เช่น ก่อนเข้าพรรษาปี 2475 ท่านพระอาจารย์ฝั้น พร้อมด้วยพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมอาการป่วย ของเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) โดยพักที่วัดบรมนิวาสเป็นเวลา 3 เดือน
เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ.2477 ท่านได้เดินธุดงค์ไปในดงพญาเย็น ท่านได้พบเสือนอนหันหลังให้ในระยะที่ใกล้มาก ท่านสำรวมสติเดินเข้าไปใกล้ๆ มัน แล้วร้องถามว่า "เสือหรือนี่?" เจ้าเสือผงกหัวหันมาตามเสียงแล้วเผ่นหายเข้าป่าไป เมื่อเดือน 3 พ.ศ.2479
พระอาจารย์ฝั้น พร้อมด้วยพระอาจารย์อ่อน ได้ไปนมัสการพระอาจารย์มั่นที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อได้อยู่ใกล้ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงได้เร่งความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน เล่ากันว่าท่านทั้งสองต่างสามารถมองเห็นกันทางสมาธิได้โดยตลอด ทั้งๆที่กุฏิห่างกันเป็นระยะทางเกือบ 500 เมตร
หลังออกพรรษาปี พ.ศ.2486 พระอาจารย์ฝั้น ได้ออกธุดงค์จากวัดป่าศรัทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ไปพักวิเวกภาวนาตามป่าเขาที่เห็นว่าสงบเงียบพอเจริญกัมมัฏฐานได้ ขณะเดียวกันก็สั่งสอนธรรมะ ช่วยเหลือชาวบ้านที่มีความทุกข์ยาก และพาชาวบ้านพัฒนาหมู่บ้าน และความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ท่านธุดงค์ผ่านไปเขาพนมรุ้งต่อไปจังหวัดสุรินทร์ จนกระทั่งถึงจังหวัดอุบลราชธานี โดยจำพรรษาปี พ.ศ.2487 ที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลฯ นี้เอง พระอาจารย์ฝั้นมีหน้าที่เข้าถวายธรรมแก่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ซึ่งกำลังอาพาธ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคชรา) และใช้ความรู้ทางด้านสมุนไพรรักษาโรคปอดแก่ท่านอาจารย์มหาปิ่น จนกระทั่งออกพรรษาปีนั้น ปรากฏว่าทั้งสมเด็จฯ และพระมหาปิ่นมีอาการดีขึ้น
ปี พ.ศ.2488-2496 ท่านพระอาจารย์ฝั้นได้จำพรรษาที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งเดิมชื่อวัดป่าธาตุนาเวง เป็นป่าดงดิบอยู่ห่างจากตัวเมือง 5 กิโลเมตรเศษ ท่านได้นำชาวบ้านและนักเรียนพลตำรวจพัฒนาวัดขึ้นจนเป็นหลักฐานมั่นคง ในพรรษา ท่านจะสั่งสอนอบรมทั้งศิษย์ภายใน (คือพระเณรและผ้าขาว) และศิษย์ภายนอก (คืออุบาสกอุบาสิกา) อย่างเข้มแข็ง ตามแบบฉบับของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ทุกวันพระ พระเณรต้องฟังเทศน์แล้วฝึกสมาธิและเดินจงกรมตลอดคืน อุบาสกอุบาสิกาบางคนก็ทำตามด้วย ช่วงออกพรรษาท่านก็มักจะจาริกไปกิจธุระ หรือพักวิเวกตามที่ต่างๆ เช่น บริเวณเทือกเขาภูพาน เป็นต้น ช่วงปี พ.ศ.2491 ท่านไปวิเวกที่ภูวัวและได้สร้างพระพุทธรูปบนหน้าผาที่สวยงามมาก ออกพรรษาปี พ.ศ.2492 ได้ติดตามพระอาจารย์มั่นถึงวัดสุทธาวาสที่จังหวัดสกลนคร และเฝ้าอาการพระอาจารย์มั่นจนถึงแก่มรณภาพ ออกพรรษา ปี พ.ศ.2493-2495 ท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมแถวภาคตะวันออกเช่นที่จันทบุรี บ้านฉาง (จ.ระยอง) และ ฉะเชิงเทรา ในระหว่างนั้นก็แวะเผยแพร่ธรรมไปตามที่ต่างๆ ด้วย เช่น ที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และวัดป่าศรัทธาราม นครราชสีมา เป็นต้น ราวกลางพรรษาปี พ.ศ.2496 ท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้ปรารถกับศิษย์ทั้งปวงเสมอว่าท่านได้นิมิตเห็นถ้ำแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเทือกเขาภูพาน เป็นที่อากาศดี สงบและวิเวก พอออกพรรษาปีนั้น เมื่อเสร็จกิจธุระต่างๆ แล้ว ท่านได้พาศิษย์หมู่หนึ่งเดินทางไปถึงบ้านคำข่า พักอยู่ในดงวัดร้างข้างหมู่บ้าน เมื่อคุ้นกับชาวบ้านแล้วท่านได้ถามถึงถ้ำในนิมิต ในที่สุดชาวบ้านได้พาท่านไปพบกับถ้ำขาม บนยอดเขายอดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พอใจของท่านมาก เพราะเป็นที่วิเวกจริงๆ ทิวทัศน์สวยงามมองเห็นถึงจังหวัดสกลนคร อากาศดี สงัดและภาวนาดีมาก ดัานหลังถ้ำเต็มไปด้วยต้นไม้
ออกพรรษาปี พ.ศ.2505 ท่านพระอาจารย์ได้ลงไปพักที่วัดป่าอุดมสมพร เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศและเพื่อจะได้สั่งสอนอบรมโปรดชาวบ้านพรรณา อำเภอพรรณานิคมบ้าง วัดป่าอุดมสมพรนี้ เดิมเป็นป่าช้าติดกับแหล่งน้ำชื่อหนองแวง ที่บ้านบะทอง ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นบ้านเดิมของท่าน ท่านเคยธุดงค์มาพักชั่วคราวเพื่อบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานแด่บุพการี ครั้งเมื่อออกพรรษาปี 2487 พร้อมด้วยพระอาจารย์อ่อน ญาณศิริ และพระอาญาครูดี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สถานที่แห่งนั้นก็ได้มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษามาโดยตลอด จนกระทั่งได้กลายเป็นวัดป่าอุดมสมพร
ด้วยนิสัยนักพัฒนา ช่วงที่พักที่วัดป่าอุดมสมพร (2505) ท่านพระอาจารย์ได้นำญาติโยม พัฒนาเส้นทางจากโรงเรียนบ้านม่วงไข่ไปถึงบ้านหนองโคก ท่านไปประจำอยู่กับงานทำถนนทั้งวัน อยู่หลายวัน จนอาพาธเป็นไข้สูง และต้องยอมเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสกลนคร และเดินทางไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ เมื่ออาการทุเลาแล้วจึงเดินทางกลับสกลนคร เนื่องด้วยท่านยังมีความดันเลือดค่อนข้างสูง แพทย์จึงได้ขอร้องให้ท่านงดขึ้นไปจำพรรษาบนถ้ำขาม เพราะสมัยนั้นยังต้องเดินขึ้น ดังนั้นท่านจึงจำพรรษาปี 2506 ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์
ช่วงปี พ.ศ.2507 จนถึงพรรษาสุดท้ายของท่านคือ ปี พ.ศ.2519 ท่านพระอาจารย์ฝั้น จำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพรโดยตลอด จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งอายุขัย ท่านได้พัฒนาวัดนั้นเป็นการใหญ่ มีการขุดขยายหนองแวง ให้กว้างและลึกเป็นสระใหญ่ สร้างศาลาใหญ่เป็นที่ชุมนุม สำหรับการกุศลต่างๆ สร้างกุฏิ โบสถ์น้ำ พระธาตุเจดีย์ ถังเก็บน้ำและระบบท่อส่งน้ำ ถึงแม้ว่าท่านจะจำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพร แต่วัดถ้ำขาม และวัดป่าภูธรพิทักษ์ ก็ยังอยู่ในความรับผิดชอบและอุปการะของท่าน ท่านยังคงไปๆ มาๆ ด้วยความห่วงใยอยู่เสมอ
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2519 องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทอดผ้าพระกฐิน ที่วัดป่าอุดมสมพร ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ และได้ทรงนิมนต์ท่านเข้าไปพักที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 22 เดือนเดียวกัน อีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ระหว่างที่พักในวัดบวรฯ ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ยังได้เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนและสนทนาธรรมกับท่าน นอกจากนั้นล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ ยังได้เสด็จไปเยี่ยมเยียนท่านที่วัดป่าอุดมสมพรเป็นการส่วนพระองค์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2518 อีกด้วย
กิจวัตรประจำวันตามปกติของท่านพระอาจารย์ฝั้น ท่านจะนำบิณฑบาตทุกๆ เช้า ไม่เคยขาดการบิณฑบาตเลย แม้มาระยะหลังๆ ท่านอาพาธ ก็ยังพยายามบิณฑบาตในวัด พระและเณรทุกๆรูป ก็ต้องออกบิณฑบาตเป็นกฎของวัด นอกเสียจากรูปใดเร่งความเพียร ตั้งสัจจะว่าจะไม่ฉันอาหารจึงไม่ต้องบิณฑบาต ในวันที่ไม่ฉัน ท่านอาจารย์ใหญ่จะรับแขกญาติโยมบนศาลา จนกว่าท่านจะเห็นสมควรขึ้นกุฏิ ส่วนพระเณรอื่นๆ นอกจากรูปไหนที่เป็นเวรคอยรับใช้ปรนนิบัติท่าน ก็ช่วยกันเก็บกวาดอาสนะให้เรียบร้อย และนำบาตร กระโถน กาน้ำ แก้วน้ำไปล้าง เสร็จแล้วไปคอยอาจารย์ใหญ่ อยู่บนกุฏิของท่าน เพื่อรับการอบรมจากท่านต่อไป เมื่อท่านอบรมแล้วใครมีปัญหาอะไร เป็นต้นว่า ภาวนาเห็นนิมิตอะไร หรือสงสัยปัญหาธรรมอะไร ขัดข้องตรงไหนจะเรียนถามท่านได้ ท่านจะคลายปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เมื่อถึงเวลาทำวัตรเย็น
(สวดมนต์เย็น) โดยอาจารย์ใหญ่ท่านจะเป็นผู้นำไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วท่านจะแสดงธรรมโปรด และนำนั่งสมาธิต่อจนถึงเวลา 23.00 น. บางครั้งก็ถึงเวลา 24.00 น. ถ้าเป็นวันพระ จะประชุมฟังธรรมจนสว่าง แต่ท่านจะหยุดพักเป็นระยะๆ เมื่อเหนื่อยก็อนุญาตให้พักเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำและฉันน้ำ เสร็จแล้วก็เดินจงกรมต่อ สำหรับอาจารย์ใหญ่ ท่านจะไม่ลงจากศาลาจนรุ่งเช้า สว่างแล้วก็แยกย้ายกันกลับกุฏิของตน ใครจะเดินจงกรมต่อหรือจะทำกิจวัตรสุดแต่อัธยาศัย
ธรรมโอวาท
“ ถ้าเราไม่ได้ทำความผิด 5 อย่าง (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
ไม่พูดเท็จ และดื่มน้ำเมา) อยู่ที่ไหนเราก็มีศีล อยู่ในป่าในดงก็มีศีล
อยู่ในรถในราก็มีศีล ให้เข้าใจศีลตรงนี้ ที่คอยจะรับจากพระนั้นไม่ใช่ ”
พระธรรมเทศนา (อาจาโรวาท)
บุญกุศลนั้นก็ไม่ใช่อื่นไกล ก็ได้แก่ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมีนี้แหละ ทานก็รู้อยู่แล้วคือการสละหรือการละการวาง ผู้ใดละมาก วางได้มาก ก็เป็นผลานิสงส์มาก ผู้ใดวางได้น้อย ละได้น้อย ก็มีผลานิสงส์น้อย มัจฉริยะความตระหนี่เหนียวแน่น นี้แหละคือความโลภ ต้องสละเสียให้เป็นผู้บริจาค ก็บริจาคทรัพย์สมบัติวัตถุทั้งหลายเหล่านั้น แหละไม่ใช่อื่นไกล แปลว่าทะนุบำรุงตน เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านจะสำเร็จมรรคผล ท่านก็ได้สร้างบารมีมา คือทานบารมี อันนี้นี่ให้เข้าใจไว้ ทานเป็นเครื่องเสบียงของเรา เมื่อเราได้ทำไว้พอแล้ว เราจะเดินทางไกลเราก็ไม่ต้องกลัว อุปมาเหมือนกับเดินทางมาวัดนี้แหละ ถ้าเราไม่ได้เตรียมอะไรมา มันก็ไม่มี ถ้าเตรียมมาแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวอดกลัวอยาก กลัวทุกข์กลัวยาก ของเก่าเราได้ทำมาไว้ ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำมาแล้ว เราก็ไม่ได้ อยากได้สิ่งโน้น อยากได้สิ่งนี้ อยากเป็นโน้น อยากเป็นนี่ เราไม่ได้ทำไว้ ไม่ได้สร้างไว้ อยากได้มันก็ไม่ได้ ถ้าได้ทำไว้แล้ว สร้างไว้แล้ว ไม่อยากได้มันก็ได้ นี่แหละทานบารมี เหตุนี้ให้พากันเข้าใจ
ศีลบารมีล่ะ คนเราเพียงแต่รับศีลไม่ได้รักษาศีล เข้าใจว่าศีลนั่นเป็นของพระ ถ้าพระไม่ให้แล้วก็ว่าเราไม่ได้ศีล อย่างนี้เป็นสีลัพพตปรามาส เพียงแต่ลูบคลำศีล แท้ที่จริงนั้น ศีลของเราเกิดมาพร้อมกับเรา ศีล 5 บริบูรณ์ตั้งแต่เกิดมา ขา 2 แขน 2 ศีรษะ 1 อันนี้คือตัวศีล 5 เราได้จากมารดาของเรา เกิดมาก็มีพร้อมแล้ว เมื่อเรามีศีล 5 บริสุทธิ์อย่างนี้ก็ให้เรารักษาอันนี้หละ รักษากายของเรา รักษาวาจา รักษาใจให้เรียบร้อย อย่าไปกระทำโทษน้อยใหญ่ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ของเรา
โทษ 5 คืออะไร คือ ปาณาติปาตา ท่านให้งดเว้น อย่าไปทำนั่นเป็นโทษ ไม่ใช่ศีล อทินนาทานา นั่นก็เป็นโทษ ไม่ใช่ศีล กาเมสุมิจฉาจารา นั่นก็ไม่ใช่ศีล เป็นแต่โทษ มุสาวาทา ท่านให้งดเว้น มันเป็นโทษไม่ใช่ศีล สุราเมรยมชฺชฯ อันนี้ก็เป็นแต่โทษ ถ้าเราไม่ได้ทำความผิด 5 อย่างนี้ อยู่ที่ไหนเราก็มีศีล อยู่ในบ้านในช่องก็มีศีล อยู่ในป่าในดงก็มีศีล อยู่ในรถในราเราก็มีศีล ให้เข้าใจศีลตามนี้ ที่คอยจะรับจากพระนั้นไม่ใช่ ท่านก็บอกว่าอย่าไปทำ 5 อย่างนั้นให้ละเว้น เมื่อเราละเว้นแล้ว อยู่ที่ไหนก็มีศีล เราก็เป็นคนบริสุทธิ์บริบูรณ์ ศีล 5 อย่างนั้นเราไม่อยากได้ ไม่ปรารถนา เหตุฉันใดจึงว่าไม่อยากได้พิจารณาดูซี่ สมมติว่ามีคนมาฆ่าเรา หรือมาฆ่าพี่ฆ่าน้องญาติพงษ์ของเรา เราดีใจไหมล่ะ เราไปฆ่าเขาล่ะ เขาดีใจไหม พิจารณาดูซี่ เราไม่ต้องการอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น โทษของเราก็ไม่มี เกิดมาอายุก็ยืนนาน ไม่ตายแต่น้อยแต่หนุ่ม ก็เพราะเราไม่ได้ทำปาณาติบาตไว้ในหลายภพหลายชาติ แม้ในชาตินี้ก็เหมือนกัน เราฟังธรรม ก็ฟังในชาตินี้ แล้วก็ปฏิบัติในชาตินี้ ในปัจจุบันนี้ เราไม่ต้องคำนึงถึงอดีตอนาคต เรากำหนดให้รู้เดี๋ยวนี้ เรานั่งอยู่นี่ ก็เป็นศีลอยู่ นี่ข้อสำคัญ
เหตุนั้นพระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนไว้ให้ละเว้นโทษที่เราไม่พึงปรารถนา เช่น อทินนาทานการขโมยอย่างนี้หละ เขามาขโมยข้าวขโมยของ ขโมยเล็กขโมยน้อยของเรา เราก็ไม่อยากได้ หรือโจรปล้นสะดมอย่างนี้ เราก็ไม่อยากได้ ท่านจึงให้ละ ถ้าเราไม่ได้ขโมยของใครไม่ว่าในภพใดภพหนึ่ง เราก็ไม่ถูกโจรไม่ถูกขโมย ไม่มีร้ายไม่มีภัยอะไรสักอย่าง เราละเว้นแล้ว โจรทั้งหลายก็ไม่มี โจรน้ำ โจรไฟ โจรลมพายุพัดก็ไม่มี นี่เป็นอย่างนี้
กาเมก็เช่นเดียวกัน เกิดมามีสามีภรรยามีบุตร ปรองดองกันอันเดียวกัน เกิดคนมาละเมิดอย่างนี้เราก็ไม่อยากได้ ว่ายากสอนยากหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน เราก็ไม่อยากได้ ถ้าเราละเว้นโทษกาเมนี้แล้ว มันก็ไม่มีโทษแหละ มุสาวาทาก็พึงละเว้น มีคนมาฉ้อโกงหลอกลวงเรา เราก็ไม่อยากได้ คิดดูซี เราไปหลอกลวงฉ้อโกงเขา เขาก็ไม่อยากได้ เช่นเดียวกัน
นี่แหละพระพุทธเจ้าท่าน จึงได้ละเว้น มันเป็นโทษ คนไม่ปรารถนา ถ้าเรารักษาศีลนี้แล้ว เราก็สบาย ไปไหนก็สบายซี่ ไม่มีโทษเหล่านี้แล้ว สุราการมึนการเมา เราละกันแล้ว เราก็ไม่อยากได้ภรรยาขี้เมา สามีขี้เมา ลูกขี้เมา พ่อแม่พี่น้องขี้เมา เราก็ไม่อยากได้ เมื่อไม่มีเมาแล้วจะทะเลาะเบาะแว้งกันที่ไหนเล่า เกิดมากรรมให้โทษ เช่น คนเป็นใบ้บ้าเสียจริตผิดมนุษย์เป็นลมบ้าหมู เราก็ไม่อยากได้ หูหนวกตาบอดเป็นใบ้อย่างนี้เราก็ไม่อยากได้ ขี้ทูดกุดถังกระจอกงอกง่อย เป็นคนไม่มีสติปัญญา เราก็ไม่อยากได้ พระพุทธเจ้า จึงได้ละเว้นโทษเหล่านี้ เมื่อเราทั้งหลายละเว้นแล้ว เราไปไหนก็อยู่เย็นเป็นสุขสนุกสบาย
ฉะนี้เมื่อเราสมาทานศีล
พระท่านจึงบอกว่า สีเลน สุคติ ยนฺติ
ผู้ละเว้นแล้ว มีความสุข
สีเลน โภคสมฺปทา
เราก็มีโภคสมบัติไปในภพไหนก็ได้
ในปัจจุบันก็ดี เป็นคนไม่ทุกข์
เป็นคนไม่จน ด้วยอำนาจของศีลนี้
สีเลน นิพฺพุติ ยนฺติ
จะไปพระนิพพานก็อาศัยศีลนี้เป็นต้น
ต่อไปนี้ให้ทำบุญโดยเข้าที่ภาวนา นั่งดูบุญดูกุศลของเรา จิตใจมันเป็นยังไง ดูให้มันรู้มันเห็นซี่ อย่าสักแต่ว่า สักแต่ทำ เอาให้มันเห็นจริงแจ้งประจักษ์ซี่ เราต้องการความสุขความสบาย แล้วมันได้ตามต้องการไหม เราก็มาฟังดูว่า ความสุขความสบายมันอยู่ตรงไหน เราก็นั่งให้สบาย วางกายของเราให้สบาย วางท่าวางทางให้สง่าผ่าเผยยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อกายเราสบายแล้ว เราก็วางใจให้สบาย รวมตาเข้าไปหาดวงใจ หูก็รวมเข้าไป เมื่อใจสบายแล้ว นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า อยู่ในใจ พระธรรมอยู่ในใจ พระอริยสงฆ์อยู่ในใจ เราเชื่อมั่นอย่างนั้นแล้ว จึงให้นึกคำบริกรรม ภาวนาว่า "พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ" 3 หน แล้วรวมเอาคำเดียวให้นึกว่า "พุทฺโธ พุทฺโธ" หลับตา งับปากเสีย ตาเราก็เพ่งเล็งดูตำแหน่งที่ระลึกพุทโธนั่น มันระลึกตรงไหน หูเราก็ไปฟังที่ระลึก พุทโธนั่น สติเราก็จ้องดูที่ระลึก พุทโธ พุทโธ จะดูทำไมเล่า ดูเพื่อให้รู้ว่าตัวของเรานี่เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ มันดีหรือมันชั่ว จิตของเราอยู่ในกุศลหรืออกุศลก็ให้รู้จัก ถ้าจิตของเราเป็นกุศล มันเป็นยังไง คือจิตมีความสงบ มันไม่ส่งหน้าส่งหลัง ส่งซ้ายส่งขวา เบื้องบนเบื้องล่าง ตั้งอยู่จำเพาะท่ามกลางผู้รู้ มันมีใจเยือกใจเย็น ใจสุขใจสบาย จิตเบากายมันก็เบา ไม่หนักไม่หน่วง ไม่ง่วงไม่เหงา หายทุกข์หายยาก หายความลำบากรำคาญ สบายอกสบายใจ นั่นแหละตัวบุญ ตัวกุศลแท้ นี่จะได้เป็นบุญ เป็นวาสนา เป็นบารมีของเรา เป็นนิสัยของเรา ติดตนนำตัวไปทุกภพทุกชาติ
นี่แหละให้เข้าใจไว้ จิตของเราสงบ เป็นสมาธิคือกุศล อกุศลเป็นยังไง คือจิตเราไม่ดี จิตทะเยอทะยาน จิตดิ้นรนพะวักพะวง จิตทุกข์จิตยาก จิตไม่มีความสงบมันเลย เป็นทุกข์ เรียกว่าอกุศล ธรรมทั้งหลาย กุศลธรรม อกุศลธรรม อันนี้เป็นกรรมในศาสนา ท่านว่ากรรมทั้งหลายไม่ได้อยู่ในที่อื่น
กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมนั้นเป็นของๆ ตน
กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ
เราทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือเป็นบาป
เราจะได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป
เราจะรู้ได้ยังไง กุศลกรรม พิจารณาดูซี่ กรรมทั้งหลายมันไม่ได้อยู่อื่น กายกรรม แน่ะ มันอยู่ในกายของเรานี้ มันเกิดจากกายของเรานี้ วจีกรรม มันเกิดจากวาจาของเรานี้ไม่ได้เกิดจากอื่นไกล มโนกรรม มันเกิดจากดวงใจของเรานี้แหละ ให้รู้จักไว้ ต่อไปเราไม่ต้องสงสัยว่ากรรมมันมาจากไหน ใครเป็นผู้ทำล่ะ เดี๋ยวนี้เรารู้ เราเป็นผู้ทำเอาเอง ไม่ใช่เทวบุตรเทวดาทำให้ เราทำเอาเอง ที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้แหละ เราทำบุญ บุญอันนี้เป็นอย่างเลิศอย่างประเสริฐแท้ คือเราให้ทานร้อยหนพันหนก็ตาม อานิสงส์ไม่เท่าเรานั่งสมาธิ นี้มีผลานิสงส์เหมือนทำบุญอย่างที่สุดแล้ว
ปัจฉิมบท
เมื่อครั้งที่พระอาจารย์ฝั้น ยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านได้เอาใจใส่ศึกษาและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอันมาก ถึงขนาดคุณย่าของท่านได้พยากรณ์เอาไว้ว่า "ในภายภาคหน้า ท่านจะเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าขมิ้นจนตลอดชีวิต ระหว่างนั้นจะสร้างแต่คุณความดีอันประเสริฐเลิศล้ำค่า จะเป็นผู้บริสุทธิ์ผ่องใส ประชาชนทุกชั้น ตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุด ทุกเชื้อชาติศาสนาที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของท่าน จะบังเกิดความเลื่อมใสในตัวท่านและรสพระธรรมที่ท่านเทศนาเป็นอันมาก"
คำพยากรณ์ของคุณย่าของท่านมิได้ผิดความจริงเลย เมตตาธรรมและคุณความดีของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาสานุศิษย์และบรรดาสาธุชนโดยทั่วไป ความเมตตาของท่านพระอาจารย์ แสดงออกตั้งแต่การให้ของเล็กๆ น้อยๆ หรือการยอมทำตาม คำขอร้องง่ายๆ ขึ้นไปจนถึงการให้ของที่สำคัญๆ และการกระทำที่ยากๆ แม้จนกระทั่งสิ่งที่ท่านเองไม่อยากกระทำ แต่ถ้าถึงขีดที่เป็นการผิดพระวินัย ท่านจะไม่ยอมเป็นอันขาด
ครั้งหนึ่งมีพระอธิการจากวัดหนึ่งในจังหวัดอื่น มาขออนุญาตทำของอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับตัวท่าน เพื่อเอาไปให้เช่าหารายได้ปรับปรุงวัด พยายามอ้อนวอนเท่าไรๆ ท่านก็ไม่ยอม เพราะท่านขัดข้องต่อการขายสิ่งมงคลต่างๆ ทั้งสิ้น นอกจากไม่อนุญาตแล้วท่านยังว่ากล่าวตักเตือนให้สังวรในพระวินัยให้เคร่งครัดอีกด้วย ซึ่งเป็นการแสดงเมตตาอีกแบบหนึ่ง คือช่วยไว้ให้พ้นจากอบายภูมิ
ตัวอย่างความเมตตาของท่านมีมากมาย แทรกอยู่ในประวัติของท่านทุกๆ ตอนไม่สามารถจะกล่าวได้หมดสิ้น เช่น
ช่วงที่ท่านพำนักอยู่ในป่าริมห้วยเสนง จังหวัดสุรินทร์ ได้มีพุทธบริษัทเลื่อมใสในตัวท่านเป็นอันมาก ผู้คนพากันไปฟังพระธรรมเทศนา และรับการอบรมจากท่านอย่างเนืองแน่นมิได้ขาด เมื่อท่านได้ทราบถึงความเจ็บป่วยของชาวบ้านบางคน ท่านได้ให้ลูกศิษย์หาเครื่องยามาประกอบเป็นยาดอง โดยมีผลสมอเป็นตัวยาสำคัญกับเครื่องเทศอีกบางอย่าง ปรากฏว่ายาดองที่ท่านประกอบขึ้นคราวนั้น มีสรรพคุณอย่างมหาศาล แก้โรคได้สารพัดแม้คนที่เป็นโรคท้องมานมาหลายปีรักษาที่ไหนก็ไม่หาย พอไปฟังพระธรรมเทศนารับพระไตรสรณคมน์ และรับยาดองจากท่านไปกิน เพียง 3 วัน โรคก็หายดังปลิดทิ้ง แม้คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็เช่นกัน ชาวสุรินทร์ถึงกับขนานนามท่านว่า "เจ้าผู้มีบุญ"
ช่วงเข้าพรรษาปี พ.ศ.2489 ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร เกิดฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านกลัวอดข้าวเพราะทำนาไม่ได้ จึงไปปรารภกับท่าน ท่านจึงได้แนะนำให้รักษาศีลให้เคร่งครัดโดยพร้อมเพรียงกัน ท่านกล่าวว่าหากยึดมั่นในพระรัตนตรัยแล้ว จะไม่อดตายอย่างแน่นอน กุศลความดีทั้งหลายจะรักษาผู้ปฏิบัติชอบเสมอ บรรดาญาติโยมทั้งหลายต่างพากันเข้าวัดปฏิบัติ ถือศีล 5 ศีล 8 กันอย่างมั่นคง ต่อมาวันหนึ่งพระอาจารย์ฝั้นให้ลูกศิษย์ปูเสื่อบนลานวัดกลางแจ้ง ท่านพร้อมกับพระภิกษุ 2 รูป สามเณร 2 รูป นั่งสวดคาถาท่ามกลางแสงแดดจ้า ไปได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าที่กำลังมีแดดจ้าพลันมีเสียงฟ้าคำราม บังเกิดมีก้อนเมฆกับมีฝนเทลงมาอย่างหนัก ท่านได้ให้พระและเณรหลบฝนไปก่อน ส่วนตัวท่านเองยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอีกนานจึงได้ลุกไป ฝนตกหนักเกือบ 3 ชั่วโมง เมื่อฝนหยุดแล้วท้องฟ้าก็แจ่มใสดังเดิม ในปีนั้นฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านได้ทำนาตามปกติโดยทั่วถึง
พระอาจารย์ฝั้น ท่านเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดกวดขันมาก คอยเคี่ยวเข็ญพระเณรตลอดจนผ้าขาวให้ปฏิบัติภาวนาโดยเข้มแข็งเสมอ ถ้าใครเกียจคร้านหรือเหลาะแหละ ท่านก็จะว่ากล่าวตักเตือนเช่นว่า บวชแล้วอย่าให้ชาวบ้านเปลืองข้าวเปล่าๆ หรือว่า พระกรรมฐานเป็นพระนั่ง ไม่ใช่พระนอน เป็นต้น ถ้าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านก็ชมเชยและเอาใจใส่อบรมเป็นพิเศษ เพื่อจะได้ก้าวหน้าไปไกลยิ่งขึ้นอีก
ท่านพระอาจารย์ฝั้นเป็นนักปฏิบัติธรรม เป็นนักพัฒนา เป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ มีความรอบรู้กว้างขวาง และมีปฏิภาณไหวพริบฉลาดเฉลียว จะเห็นได้จากในประวัติของท่าน ท่านมักจะได้รับมอบหมายให้ไปตัดสินปัญหาพิจารณาความเป็นธรรมอยู่เนืองๆ เช่น กรณีแก้มิจฉาทิฏฐิของไท้สุข กรณีแก้วิปัสนูปกิเลสของแม่ชีตัด กรณีระงับเหตุการณ์ไม่สงบที่วัดเทพนิมิตร จังหวัดฉะเชิงเทรา และการได้รับบัญชาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ให้อยู่ใกล้ชิด และคอยแนะนำเรื่องภาวนาที่วัดสุปัฏน์ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
การพัฒนาทางวัตถุของท่าน มีให้เห็นมากมาย ท่านได้ก่อตั้งและบูรณะวัดให้มีหลักฐานมั่นคงหลายวัด เช่น วัดป่าศรัทธาราม วัดป่าโยธาประสิทธิ์ วัดป่าภูธรพิทักษ์ สำนักสงฆ์ถ้ำขาม และวัดป่าอุดมสมพร ส่วนถาวรวัตถุอื่นๆ ที่เป็นสาธารณประโยชน์ก็มีมากมาย เช่น ถนนสายบ้านคำข่า-บ้านไร่ ถนนสายบ้านม่วงไข่-บ้านหนองโคก สะพานข้ามห้วยทราย เขื่อนกั้นน้ำอูน ตึกพิเศษสงฆ์ที่โรงพยาบาลสกลนคร และโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่อำเภอพรรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นต้น
ตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักพัฒนาก็คือ ในระหว่างพรรษา ปี พ.ศ.2498 ท่านจำพรรษาบนถ้ำขาม ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา บนไหล่เขาช่วงใกล้จะถึงยอดเขาถ้ำขาม มีที่ค่อนข้างราบอยู่ประมาณครึ่งไร่ ซึ่งมีดินขังอยู่ระหว่างก้อนหิน ท่านให้ชาวบ้านถางหญ้า แล้วหาหน่อกล้วยมาปลูก ชาวบ้านหลายคนค้านว่าที่อย่างนั้นปลูกกล้วยไม่ขึ้น เอามาปลูกก็เสียเวลา เสียของเปล่าๆ แต่ท่านพระอาจารย์บอกว่าไปหามาปลูกก็แล้วกัน ขึ้นหรือไม่ขึ้นก็จะรู้เอง พอปลูกแล้วก็งอกงามเป็นป่ากล้วยและยั่งยืนมาจนทุกวันนี้ ท่านถือป่ากล้วยนี้เป็นบทเรียน สำหรับชาวบ้านให้เห็นว่า การลงความเห็นว่า อ้ายโน่นทำไม่ได้ อ้ายนี่ทำไม่ได้ โดยไม่พยายามลองดูนั้น คือความโง่ และความเกียจคร้าน ซึ่งเป็นเหตุแห่งความทุกข์และยากจน ส่วนความสนใจ ใคร่ทดลองทำอย่างโน้นอย่างนี้ แม้ไม่เคยทำมาก่อน เป็นความฉลาดและความขยัน จะนำไปสู่ความสุขและความร่ำรวย ในปัจจุบันที่ตรงนั้นมีทั้งกล้วย มะม่วง และขนุน เป็นที่อาศัยของพระเณรและลูกศิษย์ ในบางโอกาสพวกลิงก็แห่กันมาเป็นฝูงๆ เพื่อขอแบ่งไปบ้าง
พระคุณของท่านพระอาจารย์ฝั้นไม่อาจจะบรรยายให้หมดสิ้นได้ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ควรจะถือเป็นแบบอย่าง เพื่อให้ตัวเอง สังคม และประเทศชาติ เจริญรุ่งเรือง อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ดั่งในโคลงดั้นวิวิธมาลี "อาจารศิรวาท" พระราชนิพนธ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่ง ความว่า
ใครเอยเคยกอบเกื้อ เอาภาร
แนะเรื่องประเทืองหทัย ทุกข์กั้น
เสาะแสวงสิทธิศานต์ สุขทั่ว
"อาจารย์" ท่านเดิม "ฝั้น" ตั้ง ต่อนาม
เมตตาบารมีธรรมของท่านอาจารย์ กว้างใหญ่ใหญ่ไพศาลขึ้นทุกที แต่ละปีที่ล่วงไป ผู้คนที่หลั่งไหลไปนมัสการท่าน เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกระทั่งในระยะหลังๆ บรรดาสานุศิษย์และนายแพทย์ ได้กราบวิงวอนท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ให้บรรเทาการรับแขกลงเสียบ้าง ท่านจะได้มีเวลาพักผ่อนมากยิ่งขึ้น เพราะนับวันที่ผ่านไปสังขารของท่านได้ทรุดโทรมลงไปมาก ทั้งยังล้มป่วยลงบ่อยๆ อีกด้วย แต่ท่านไม่ยอมกระทำตาม ซึ่งทุกคนก็ตระหนักดีในเหตุผลว่า เป็นการขัดต่อเมตตาธรรมที่ท่านยึดถือปฏิบัติมาตลอด
ความตรากตรำในการแผ่บารมีธรรมของท่านนี้เอง เป็นมูลเหตุสำคัญให้ท่านเกิดอาพาธอย่างฉับพลัน เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๙ จึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสกลนคร แต่อาการของท่านไม่ดีขึ้น จึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในกรุงเทพฯ อีกระยะหนึ่ง โดยอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อรักษาตัวอยู่ได้ระยะหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นก็ขอกลับวัด กลับมาคราวนี้ คณะศิษย์ได้ร่วมกันสร้างกุฏิหลังใหม่ให้ท่านพักอาศัย โดยยกพื้นขึ้นมาบนสระหนองแวง ข้างโบสถ์น้ำและทำรั้วกั้น เพื่อมิให้ผู้คนเข้าไปรบกวนท่านด้วย
แต่การของท่านก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุดอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๒๐ ได้เกิดอาการโรคแทรกซ้อนขึ้นอย่างรุนแรง และกะทันหัน ท่านจึงต้องทิ้งขันธ์ธาตุของท่านไปด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๑๙.๕๐ น. ของวันเดียวกัน ข่าวมรณภาพแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว สานุศิษย์และญาติโยมทั้งหลายต่างหลั่งไหลไปคารวะศพของท่าน แต่ละคนพบกันด้วยสีหน้าอันหม่นหมอง หลายต่อหลายคนบรรยายความรู้สึกในขณะนั้นด้วยน้ำตา เพราะไม่ทราบจะบรรยายถึงความเศร้าเสียใจให้สมบูรณ์ดีไปกว่านั้นได้อย่างไร
ท่านพระอาจารย์ฝั้น เป็นผู้มีระเบียบเรียบร้อย สมกับที่ท่านสืบตระกูลมาจากผู้สูงศักดิ์ นอกจากนั้นท่านมีความขยันหมั่นเพียรอย่างเอกอุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบำเพ็ญภาวนา การอบรมสั่งสอนศิษย์ หรือการก่อสร้างอาคารถนนหนทาง ท่านถือเอาการงานและหน้าที่ เป็นเรื่องสำคัญข้อแรก ส่วนความสะดวกสบายนั้น เป็นข้อรอง และท่านปฏิบัติเช่นนี้โดยสม่ำเสมอมาตั้งแต่หนุ่มจนถึงวัยชรา
อนุสรณ์สถานที่ถือว่าสำคัญที่สุดของท่านพระอาจารย์ฝั้น น่าจะเป็นวัดป่าอุดมสมพร ซึ่งห่างจากตัวเมืองสกลนครราว 34 กม. เป็นที่ที่ท่านได้จำพรรษาช่วงสุดท้ายของชีวิต เป็นเวลากว่า 12 ปี ท่านมรณภาพที่นี่เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2520 และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่านที่นี่ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2521 ในบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพได้มีการสร้างพระเจดีย์ พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร องค์พระเจดีย์สูง 27.9 เมตร ลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมยอดแหลม บรรจุพระอัฐิและพระอังคารพระอาจารย์ฝั้น ที่ส่วนยอดของพระเจดีย์
ฐานของพระเจดีย์ เป็นรูปซุ้มโดยรอบลดหลั่นกันลงมาเป็น 3 ชั้น ซึ่งซุ้มชั้นล่างหมายถึงศีล ชั้นกลางหมายถึงสมาธิ และชั้นยอดหมายถึงปัญญา ในองค์พระเจดีย์จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงเครื่องบริขารของท่าน ตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของท่าน ลานชั้นล่างรอบองค์เจดีย์ จัดเป็นลานพระธรรม มีซุ้มโดยรอบ 56 ซุ้ม ถ้ามองจากภายในลาน จะมีหินจารึกคำสอนธรรมะของท่าน ติดอยู่บนหลังซุ้ม หากมองจากภายนอก จะเป็นซุ้มแสดงประวัติของท่าน ซึ่งประดับด้วยประติมากรรมดินเผา เป็นเรื่องราวตั้งแต่ท่านถือกำเนิดมา บวชเรียนจนถึงมรณภาพ บริเวณโดยรอบ เป็นสวนป่าอันเงียบสงบ ร่มรื่น อันเป็นบรรยากาศของการปฏิบัติภาวนาโดยเฉพาะ
แม้บัดนี้ พระภิกษุผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้ารูปหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้แจ้งเห็นจริงในพระสัทธรรม ได้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ ละสังขารขันธ์พ้นโลกดับสูญไปแล้ว จะเหลืออยู่ก็แต่ร่องรอยแห่งเมตตาบารมีธรรมอันสูงส่งของท่าน ซึ่งจะจารึกอยู่ในความทรงจำของบรรดาสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปอย่างไม่มีวันลืมเลือน