พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
ประวัติ วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
อัตโนประวัติ
พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานีผ
โทร (๐๘๒) ๒๔๕–๔๘๘
เกิด 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2478
อุปสมบท 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2504
มรณภาพ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
พรรษา 47
อายุ 73
วัด วัดป่าบ้านค้อ
จังหวัด อุดรธานี
ตำแหน่งทางคณะสง เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านค้อ
บทนำ
พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ เป็นบุตรของนายอุทธา – นางจันทร์ นนฤาชา เป็นบุตรคนที่ ๕ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๑๐ คน คือ
๑. นายโฮม นนฤาชา (ถึงแก่กรรม)
๒. นางติ่ง ร่วมจิต
๓. นางปุ่น โสมา (ถึงแก่กรรม)
๔. นางบุญน้อย นามคุณ (ถึงแก่กรรม)
๕. พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
๖. นางบับพา อาร้อน
๗. พระบุญมา สิริธมโม
๘. นายโสภา นนฤาชา
๙. นางบุญหนา ขันธวิชัย
๑๐. นางบัวเงิน กองอำไพ
ภูมิลำเนาเดิม
เกิด ณ บ้านหนองค้อ ตำบลดอนหว่าน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เกิดเมื่อวันจันทร์ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อแม่ได้อพยพมาอยู่ที่บ้านหนองแวง (แก้มหอม) ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี และได้จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียนบ้านหนองแวงนี้เอง การเข้าเรียนแต่ละชั้น เพื่อน ๆ ในชั้นเรียนเดียวกัน ได้ตั้งให้เป็นหัวหน้า ในชั้นเรียนทุกชั้นไป เมื่อขึ้นชั้นประถมปีที่ ๔ เด็กชายทูลได้รับความไว้วางใจจากครูว่ามีการศึกษาดี จึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยสอนนักเรียนในชั้นประถม ก. กา และประถมปีที่ ๑ และได้รับเลือกให้เป็น หัวหน้านักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนนั้น เพราะในสมัยนั้นมีครูอยู่เพียง ๒ คน คือ คุณครูหัส และคุณครูอักษร เมื่อครูมีน้อยการสอนไม่ทั่วถึง เด็กชายทูลจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยสอนนักเรียนด้วยกันเอง และเป็นที่ ยอมรับของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เพราะเด็กชายทูลมีความซื่อสัตย์ต่อเพื่อน ๆ ไม่ลักเอาของเพื่อน และยังเก็บของเพื่อนนักเรียนที่ทำตกหายมาแจ้งครูให้ประกาศมารับของคืนไป จึงเป็นที่ไว้ใจ แก่เพื่อนนักเรียนทุกคน
เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ แล้ว ครูทั้งสองมีความหวังดีต่อเด็กชายทูลเป็นอย่างมาก จึงได้มาขอต่อพ่อแม่ ว่า อยากให้เด็กชายทูลไปเรียนต่อที่จังหวัด แต่พ่อแม่ยังไม่พร้อม จึงได้พูดว่า เพิ่งมาอยู่บ้านใหม่ อะไรยังไม่สมบูรณ์เลย เด็กชายทูลเลยหมดโอกาสที่จะได้เรียนต่อ จึงทำให้เรียนจบ เพียงชั้นประถมปีที่ ๔ เท่านั้น ต่อมาก็ได้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่บ้านหนองแวง ๑ ปี แล้วลาสิกขาออกมา ทำไร่ทำนาช่วยพ่อแม่ต่อไป
แม่ได้เล่าเรื่องอดีตให้ฟัง
ในช่วงนี้เอง แม่และพี่ ๆ ได้เล่าเรื่องอดีตให้ฟังว่าชีวิตของตนเป็นมาอย่างไร แม่เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเกิด ในคืนหนึ่ง ขณะที่นอนหลับไป ได้ฝันเห็นสิ่งใส ๆ ลอยเข้ามาในห้องนอน มีแสงเหมือนกับแสงหิ่งห้อยขนาดใหญ่ แม่ก็คว้ามือไปเพื่อจะจับเอาแต่ก็จับไม่ได้ เมื่อตื่นนอนขึ้นมา ตาก็มองหาสิ่งที่ใส ๆ ที่ลอยอยู่นั้นก็ไม่เห็น เลยคิดแปลกใจว่านี่เป็นแสงอะไร จะว่าแสงหิ่งห้อยหรือก็ใหญ่ไป และผิดปกติจากแสงหิ่งห้อยทั่ว ๆ ไป แต่ก็ไม่กลัวอะไร คิดว่าเป็นความฝันธรรมดา จึงได้นอนต่อไป
หลายวันต่อมา แม่มีความฝันที่แปลก ๆ เกิดขึ้นอีก ฝันว่าตัวเองได้แต่งตัว ด้วยเครื่องประดับประดา สวยงามมาก มีทั้งเพชรนิล สร้อยทองห้อยตามคอ ผูกข้อมือ ผูกตามแขน มีแหวนสวมนิ้วมือ เครื่องนุ่งห่ม มีแต่ความแพรวพราวทั้งหมด ทั้งผิวพรรณก็มีความสดใสเป็นประกายออกมารอบตัว ศีรษะก็มีชฎาสวมใส่ และสวมรองเท้าสวยงามมาก ในขณะนั้น เหมือนกับว่าจะเดินไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เมื่อเดินไปก็มีคนมากั้น ร่มฉัตรขนาดใหญ่ให้ และมีฝูงชนเดินห้อมล้อมเป็นจำนวนมาก ทุกคนแสดงความเคารพต่อแม่ เป็นอย่างมาก ทุกคนพร้อมกันโห่ร้องว่า จะยกแม่ขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่ชนทั้งหลาย ขอแม่เจ้า จงเป็นที่พึ่ง ให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด เสียงนี้จะประกาศกันเป็นระยะ ๆ จากนั้น แม่ก็ได้ตื่นขึ้นมา
ความกังวลของแม่
เมื่อแม่ตื่นนอนขึ้นมา เกิดความตกใจไม่สบายใจเลย กลัวว่าตัวเองจะตายจากพ่อและลูก ๆ ไป เข้าใจว่าวิญญาณของตัวเองได้ออกจากร่างไป และมีคนจำนวนมากมารับเอาไป จึงคิดไปว่าตัวเองจะตายในเร็ว ๆ นี้ พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ได้เรียกพ่อกับลูกที่โตแล้วมารวมกัน แล้วเล่าเรื่องความฝันที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมด พ่อกับลูกก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แม่บอกว่าถ้าฝันอย่างนี้ ชีวิตก็จะอยู่กับพ่อและลูก ๆ ต่อไปไม่นาน ก็คงจะตายจากพ่อกับลูก ๆ ไป แม่สั่งต่อไปอีกว่า เมื่อแม่ตายไปแล้ว พ่อจะไปหาเมียใหม่มาเลี้ยงลูกก็จงพิจารณาให้ดี อย่าให้แม่ใหม่มาบังคับลูกเก่า พ่อเองก็อย่าหลงใหลในเมียใหม่ลูกใหม่จนเกิดความแตกแยกกัน ให้พ่อเป็นคนกลาง ให้มีความรักกันทั้งสองฝ่าย อบรมลูกใหม่ลูกเก่าให้เข้าใจกัน มีความสามัคคีกัน และสั่งลูก ๆ ว่าต้องฟังคำสั่งสอนของพ่อ ให้เป็นผู้ที่ว่านอนสอนง่าย เพื่อให้พ่อเกิดความสบายใจ ให้มีความขยันช่วยการงานที่พอจะทำได้ และลูกที่โตแล้วก็อย่าไปบังคับน้องผู้น้อย น้องผู้น้อย ก็ต้องฟังคำสั่งสอนของพวกพี่ ๆ อย่าทะเลาะตบตีกัน ให้มีความรักกัน มีอะไรก็ให้แบ่งกัน ในขณะที่แม่ได้สั่งเสียพ่อลูก น้ำตาก็ไหลและสะอึกสะอื้นไปด้วย นึกในใจอยู่ว่าอายุยังไม่มาก ไม่ควรจะตายจากพ่อจากลูกนี้ไปเลย เมื่อแม่ตายไปไม่รู้ว่าลูก ๆ จะอยู่กันอย่างไร นอนกันอย่างไร อยู่กันกันอย่างไร ความอาลัยอาวรณ์ในระหว่างแม่กับลูก จึงเป็นบรรยากาศที่ซบเซาเศร้าโศก เหมือนกับว่าต้นไม้ที่เคยให้ความร่มเย็นต่อเรา มาบัดนี้ จะต้องโค่นไปเสียแล้ว จะให้ลูก ๆ ได้พึ่งพิงอิงอาศัยใครกันหนอ
คำพยากรณ์ของพ่อ
ในช่วงที่แม่เล่าความฝันไป พ่อก็ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ พิจารณาเหตุแห่งความฝันตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ กลับมีความเห็นตรงกันข้ามกับแม่ทีเดียว จากนั้น พ่อก็ได้พูดออกมาในประโยคแรกว่า บ้า ความฝันที่แม่ฝันไปนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของความตายหรอก ลักษณะในความฝันอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของคนจะมีลูก และเป็นลูกที่บุญญาวาสนาจะมาเกิดด้วย ลูกนั้นจะเป็นที่พึ่งแก่ญาติ ๆ ทั้งหลาย และเป็นที่ยอมรับแก่คนทั้งหลายด้วย ฉะนั้น ขอแม่อย่าไปคิดว่าตัวเองจะตายไปเลย ส่วนแม่ก็หยุดฟังทั้งไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ว่า ตัวเองจะตายไป หรือตัวเอง จะตั้งครรภ์ แต่ก็อยู่ด้วยความไม่ประมาท จากนั้นมาไม่นาน แม่ก็มีอาการตั้งครรภ์ขึ้นมา ตามที่พ่อได้พูดเอาไว้ แม่ก็เกิดความโล่งใจขึ้นมา คิดว่ายังไม่ได้ตายจากพ่อและลูก ๆ ไป ส่วนพ่อพูดว่า ฝันอย่างนี้คนจะมีลูกนั้น ก็เพราะพ่อได้เรียนโหราศาสตร์เรื่องทำนายความฝันต่าง ๆ มาแล้ว ที่ทำนายว่าความฝันอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น ความฝันอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ส่วนใหญ่พ่อจะทำนายถูก เป็นส่วนมาก จากนั้นมา ก็ได้พูดกันในเครือญาติว่า ดูซิ เมื่อแม่ฝันในลักษณะอย่างนี้แล้วตั้งครรภ์ขึ้นมา ลูกที่เกิดมาจะเป็นอย่างไร จะมีสิ่งที่ผิดแปลกอย่างไรบ้าง
จากนั้นมา แม่ก็มีอาการผิดแปลกเป็นอย่างมากทีเดียว นั่นคือ มีอาการแพ้ท้องและ แพ้ท้องไม่เหมือน ครั้งก่อน ๆ มีลูกคนอื่นก็ไม่มีอาการแพ้ท้องอย่างนี้ เมื่อลูกคนนี้เข้ามาอยู่ในท้อง อะไรหลาย ๆ อย่างมีอาการเปลี่ยนไป เช่น มีอาการเหม็นคาวสัตว์ทุกชนิด เพราะที่บ้านมีวัวควายอยู่ใต้ถุนบ้าน จึงเกิดอาเจียน เนื่องจากกลิ่นวัวควายนั่นเอง จึงจำเป็นต้องเอาวัวควายออกจากใต้ถุนบ้านให้หมด อาการเหม็นคาวก็หมดไป แต่ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่แม่เบื่อที่สุด เห็นไม่ได้และกินไม่ได้เลย นั่นคืออาหารคาวทุกชนิด นับแต่ปลาร้าขึ้นมา ตลอดจนถึงเนื้อสัตว์ทุกประเภท จะเกิดอาการเบื่อทั้งหมด จะมากินข้าวร่วมสำรับกับพ่อลูกไม่ได้เลย เมื่อเห็นอาหารคาวหรือได้กลิ่นอาหารคาวก็จะอาเจียนทันที ฉะนั้น แม่จึงได้สั่งลูกไว้ว่า ให้เอาข้าวในก้นหวดใส่กล่องข้าวเอาไว้เป็นพิเศษ อย่าให้ใครไปกินข้าวในกล่อง นั้นเลย เอาไว้ให้แม่กินคนเดียว อาหารที่กินได้มีกล้วยกับเกลือเท่านั้น อย่างอื่นกินไม่ได้เลย แม่ตั้งครรภ์มาจนครบกำหนด จึงได้คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย เมื่อออกมาก็มีลักษณะแปลกไปอีก นั่นคือ สายรกพันตัวออกมาเป็นสายสะพาย เมื่อพ่อเห็นอย่างนั้นก็นึกในใจแล้วว่า ลูกคนนี้จะเป็นนักบวชอย่างแน่นอน จากนั้น แม่ก็กินอาหารได้อย่างปกติ วัวควายก็เอามาเข้าคอกได้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เชิญญาติผู้ใหญ่มาตั้งชื่อร่วมกัน
การตั้งชื่อนั้น ก็มุ่งประเด็นของความฝันของแม่เป็นหลัก ในครั้งที่แม่ฝันว่ามีฝูงชนยกแม่ให้เป็นใหญ่ ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น จุดนี้เอง ญาติ ๆ จึงได้ลงมติว่าความฝันนี้เป็นลักษณะเทิดทูน หรือยกขึ้นไว้ในที่สูง จึงให้ชื่อไปตามความฝันนั้น จึงให้ชื่อว่า ทูล นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นมา ญาติ ๆ ก็จับตามองมาตลอดว่าเด็กชายทูลต่อไปนี้ จะมีลักษณะแปลกอย่างไร จะมีนิสัยอย่างไร ญาติ ๆ ต้องคอยสังเกตดูเด็กชายทูลอยู่อย่างใกล้ชิดว่า จะมีอาการแสดงออกมาอย่างไร
ชีวิตวัยเด็ก
ในช่วงที่ยังเป็นเด็กอ่อนกินนมแม่อยู่ ก็เหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป ในช่วงที่กินอาหารได้เอง ก็เริ่มแสดงความแปลกออกมาให้คนได้เห็น นั่นคือ ไม่ยอมร่วมกินข้าวในสำรับเดียวกันกับพ่อแม่และพี่ ๆ ถ้าจะให้กินร่วมก็ต้องแบ่งอาหารกัน ส่วนอาหารของเด็กชายทูลห้ามใคร ๆ มาแตะต้อง ห้ามหยิบเป็นเด็ดขาด กระติบข้าวก็ห้ามใคร ๆ มาหยิบร่วมเช่นกัน ถ้าใครฝืนข้อห้ามนี้ สำรับข้าวก็จะพังกระจายทันที ถ้วยจานก็จะถูกเหวี่ยง ถูกขว้างไปหมด อาหารก็หก ถ้วยดินก็แตกกระจัดกระจาย ทำให้พ่อแม่และพี่ ๆ เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน จากนั้น พ่อแม่ก็ได้วางแผนเสียใหม่คือ จัดที่กินข้าวให้เด็กชายทูลอยู่นอกวง ให้กินอยู่คนเดียว มีอาหารก็แบ่งออกมาใส่ถ้วยพิเศษ และเป็นอาหารที่สุกด้วย กระติบข้าวก็แยกเป็นพิเศษ ห้ามใคร ๆ มาหยิบด้วยเช่นกัน แต่ก็มีพี่สาวคนถัดไป เป็นคนสำคัญมาก ชอบมาแกล้งอยู่เสมอ เมื่อพ่อแม่เผลอก็ยื่นมือเข้าหยิบเอาอาหารของเด็กชายทูล เด็กชายทูลก็แสดงความไม่พอใจทันที นั่นคือ ยกถ้วยอาหารขึ้นกระแทกกับพื้นกระดานแตกกระจาย เพราะสมัยนั้นเป็นถ้วยดิน จะเหลืออะไร กระติบข้าวก็โยนทิ้ง ไม่ยอมกินข้าวอีก ทุก ๆ ครั้งต้องเป็นอย่างนี้
พ่อเห็นท่าไม่ดี ต่อไปถ้วยจานจะแตกหมด จึงได้ตัดกระบอกไม้ไผ่ขังข้อทำเป็นถ้วยใส่อาหารให้เด็กชายทูลกินเป็นพิเศษ เมื่อพี่สาวมาหยิบเอาอาหารอีกก็จะทำตามเดิม คือทุบให้แตก ถ้าไม่แตกก็โยนทิ้งไป พ่อแม่จำเป็นต้องตามเก็บมาล้างเพื่อใส่อาหารให้เด็กชายทูลกินในวันต่อไป เด็กชายทูลจะมีนิสัยอย่างนี้มาแต่เด็ก จะทำอะไรจะต้องทำให้ได้ตามที่ตั้งใจ ไม่ให้ใครมาขัดขวาง จะเอาของสิ่งใดก็จะเอาให้ได้ตามใจทุกอย่าง ถ้าไม่ได้ก็จะร้องไห้ไม่ยอมหยุด ครั้งหนึ่งพอจำได้ ครั้งนั้นอยากได้กล้วยตาก แต่บังเอิญกล้วยตากหมด มีแต่กล้วยสุกธรรมดา แม่เอากล้วยสุกให้ก็ไม่ยอมเอา ตั้งใจจะเอากล้วยตากก็ต้องเอากล้วยตากให้ได้ กล้วยตากไม่มีก็จะบังคับให้แม่หามาให้ได้ แม่จำเป็นต้องอุ้มไปดู ให้เห็นว่ามีแต่กระจาดเปล่า ๆ ในขณะนั้นไม่ทราบว่าอะไรบันดาลใจ จึงได้เกิดความสำนึกได้ว่า เรานี้ทำไมจึงเป็นผู้เอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้ กล้วยตากไม่มีก็จะบังคับให้มีซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย ในขณะนั้น ดูสีหน้าของแม่แล้ว มีลักษณะไม่สบายใจเลย แม่ก็อุ้มเด็กชายทูลเดินไปมาปลอบใจอยู่ตลอดเวลา จึงนึกในใจว่า สิ่งที่ไม่มีเราจะบังคับให้สิ่งนั้นมีเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทั้งกล้วยสุกก็มีรสหวานเหมือนกัน กินทดแทนกันได้ จากนี้ไป เราจะไม่ทำให้แม่มีความยุ่งยากกับเราอีกเลย จากนั้นมาก็ไม่เคยขอกล้วยตากแห้งจากแม่อีก มีกล้วยอะไรที่แม่เอาให้กินก็กินได้หมด ในช่วงนั้น เด็กชายทูลยังเด็กมาก ผ้าก็ยังไม่ได้นุ่ง อายุก็ประมาณปีกว่าเท่านั้น จากนั้นมา ก็รู้ตัวเองว่าจะไม่เอาแต่ใจตัวเองเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ก็ยังมีอีกสองอย่างที่เป็นนิสัยมาแต่กำเนิด เป็นธรรมชาติที่เป็นเองเกิดขึ้นเฉพาะตัว นั่นคือ อาหารดิบ และมังสะ ๑๐ อย่าง ทั้งสองอย่างนี้ ใครจะมาหลอกให้กินไม่ได้ เช่น เอากุ้งดิบมาตำให้ละเอียดผสมกับอาหารสุก หรือเอาเนื้องู เนื้อม้า มาหลอกให้กินไม่ได้ เมื่อเอาสิ่งเหล่านี้เข้าในปาก ก็จะเกิดอาเจียนทันที นิสัยอย่างนี้มีประจำตัว ถึงจะโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้วก็ยังเป็นนิสัยอย่างนี้ตลอดมา
ในครอบครัวนี้ พ่อแม่และพี่ ๆ ชอบกินอาหารดิบ ๆ กันทั้งนั้น เช่น ลาบก้อย เนื้อดิบ ลาบปลาดิบ ลาบกุ้งดิบ ลาบหอยดิบ ฯลฯ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารดิบทั้งนั้น จึงมีแต่เด็กชายทูลคนเดียวเท่านั้นที่กินอาหารสุก พ่อแม่เองก็คงเกิดความรำคาญเรื่องทำอาหารสุกให้กิน จำเป็นต้องบังคับเด็กชายทูลให้กินอาหารอย่างพี่ ๆ เขา แต่ก็กินไม่ได้ บางทีถึงกับต้องลงไม้เรียวบังคับให้กิน แต่ก็กินไม่ได้อยู่นั่นเอง ในช่วงยังเป็นเด็กนี้ รู้สึกว่ามีความทุกข์กับการกินอาหารอยู่มาก อยากกินลาบกับพี่ ๆ เขาก็กินไม่ได้ อยากจนน้ำลายไหลก็ได้แต่มองหน้าพี่ ๆ เขากินกัน จำเป็นก็ต้องอดทน เพราะตัวเองทำอาหารกินไม่เป็น วันไหนเห็นหม้อต้มกระดูก เด็กชายทูลก็พอได้กินกับพี่ ๆ อยู่บ้าง เมื่อคิดเรียบเรียงชีวิตในอดีตที่เป็นมาของตัวเองแล้ว เป็นชีวิตที่ต่อสู้อดทนมาตั้งแต่เด็ก ๆ พี่ ๆ ก็หาวิธีกลั่นแกล้งหลอกให้กินอาหารดิบอยู่เสมอ เช่น เอาตั้งไฟนิดเดียวเขาก็ว่าสุกแล้ว เอามาให้กิน แต่ก็เกิดอาเจียนออกมา จึงรู้ว่าอาหารนั้นยังไม่สุกจริง พี่ ๆ เขาได้กุ้ง ปลา หอย เขาก็พากันทำลาบดิบกินกันหน้าตาเฉย ทำให้เด็กชายทูลนั่งกลืนน้ำลายดูพี่ ๆ เขากินแทบไม่กะพริบตา มิหนำซ้ำ พี่ ๆ ยังพูดเยาะเย้ยไปว่า ใครไม่เข้ามากินก็แสดงว่าไม่อยาก ถ้าอยากจริงก็เข้ามาเลย ที่จริงพี่เขาก็รู้อยู่เต็มใจว่าเด็กชายทูลกินของดิบไม่ได้ แต่พยายามวางแผนฝึกให้เด็กชายทูลกินของดิบให้ได้ แผนของพ่อแม่และพี่ ๆ ที่วางไว้นั้น ไม่สามารถหลอกให้เด็กชายทูลหลงกลได้เลย เมื่ออาหารนั้นไม่สุกจริง ก็จะเกิดอาเจียนออกมาทันที นี้เป็นนิสัยเดิมของเด็กชายทูลมาตั้งแต่กำเนิด จึงได้เล่าให้ฟังว่าชีวิตเป็นมาอย่างนี้ ให้จินตนาการดูก็แล้วกัน ถ้าเป็นเราจะมีความรู้สึกอย่างไร
ในช่วงต่อมา ข้าพเจ้าอายุได้ ๔ ขวบ เกิดภัยแล้งเป็นอย่างมาก และแล้งเป็นบริเวณกว้าง ขวางหลายอำเภอ ทุกคนต้องดิ้นรนแสวงหาข้าวปลาอาหาร ส่วนใหญ่จะไปขอทานกัน โดยหาบตะกร้าแล้วก็พากันไปเป็นหมู่ หมู่ละ ๒ - ๕ คน โดยไม่มีอะไรไปแลกเปลี่ยนเลย เมื่อไปถึงบ้านไหนแล้วก็พากันนั่งลง ยกมือใส่หัวแล้วก็พรรณนาความทุกข์ความลำบากต่าง ๆ เจ้าของบ้านก็ให้ข้าวสารหรืออาหารตามสมควร แล้วก็ไปขอบ้านใหม่ต่อไป ในวันหนึ่ง เด็กชายทูลอยู่บ้านกับน้องเล็ก ๆ ตามลำพัง พ่อแม่พี่ ๆ ออกไปหาน้ำมันยางในป่า เพื่อจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นข้าวสารหรือข้าวเปลือกที่บ้านอื่น ในวันนั้น มีคนขอทาน ๕ คนมานั่งอยู่หน้าบ้านแล้วขอทาน ข้าพเจ้าได้ฟังเขาขอทานเท่านั้น เกิดความสงสารเขาเป็นอย่างมาก จึงได้เรียกเขาเหล่านั้นขึ้นมาบนบ้าน แล้ว ก็เอาตะกร้าทั้งหมดไปใส่ข้าวสารที่พ่อแม่หามาไว้ จนข้าวที่อยู่ในถังหมด เมื่อเขาขอปลาร้า พริก เกลือ ก็ขนออกมาให้เขาจนหมด ในขณะนั้น รู้ตัวเองว่ามีความสุขมาก เมื่อเขาเหล่านั้นไปแล้ว พ่อแม่และพี่ ๆ ก็มาถึงและจะจัดเตรียมทำอาหารกินกัน เมื่อไปดูข้าวในถังก็ไม่มี ปลาร้า พริก เกลือ ก็หมด เมื่อพี่ ๆ ถามหาก็บอกว่าให้ทานไปหมดแล้ว พี่ ๆ เขาก็ด่า พ่อแม่รู้เข้าก็จับมาตีจนหลังลายทั้งตัว และพ่อแม่ได้สั่งไว้ว่า จากนี้ไป อย่าเอาข้าวหรืออะไรทั้งหมดให้คนขอทานอีกต่อไป
เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อแม่ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ที่บ้านหนองแวง (แก้มหอม) ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น ในช่วงเป็นเด็กอยู่ในโรงเรียนนั้น ก็ช่วยพ่อแม่ในการทำไร่ทำนาตามกำลัง วันเสาร์อาทิตย์ก็เป็นผู้เลี้ยงควายตามประสาเด็กบ้านนอก
ความอัศจรรย์ครั้งแรก
ในช่วงอายุ ๑๑ ขวบ ยังไปโรงเรียนอยู่ ได้เกิดความอัศจรรย์ขึ้นในตัวเป็นอย่างมาก ในวันนั้น ได้ไปเลี้ยงควายตามปกติในที่แห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า นาหนองจาน และไปคนเดียว ในขณะนั้น ได้นอนเล่นอยู่ใต้ร่มไม้ตามลำพัง ใช้สายตาเพ่งดูใบไม้เล่นอยู่ ในขณะที่เพ่งดูอยู่นั้น เกิดเห็นใบไม้นั้นชัดเจน สายตาและใจก็ได้จดจ่อดูอยู่กับใบไม้นั้นไม่กะพริบตา ในขณะที่เพ่งดูใบไม้นั้น มีความเบากายเบาใจผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เมื่อเพ่งดูใบไม้นั้นนาน ๆ เข้า เหมือนกับใบไม้นั้นเข้ามาติดอยู่กับตาเห็นได้ชัดเจนทีเดียว จากนั้น ปรากฏว่าใบไม้นั้นเล็กลง ๆ ทุกที ทั้งสายตาและใจก็กำหนดจดจ้องดูอยู่กับใบไม้นั้นไม่มีเผลอ จนใบไม้นั้นเล็กลงจนมองไม่เห็นและหายไปในที่สุด เมื่อใบไม้หายไป ก็มีอาการวูบวาบเกิดขึ้นภายในใจ แล้วมีแสงสว่างพุ่งออกมารอบตัวเอง เป็นแสงสว่างที่นุ่มนวลน่าอัศจรรย์ แล้วขยายตัวออกไปกว้างไกลมาก เมื่อความสว่างพุ่งไปถึงไหน ความรู้เห็นตามแสงสว่างนั้นก็อยู่ด้วยกัน เมื่อคิดว่าอยากเห็นของสิ่งใดอยู่ในที่ใด กำหนดจิตไปดูก็จะปรากฏเห็นของสิ่งนั้นทั้งหมด ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้หรือไกลจะเห็นได้อย่างชัดเจน คิดอยากดูคนในหมู่บ้านว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ก็รู้เห็นทั้งหมดว่าคนนั้นทำอย่างนั้น คนนี้ทำอย่างนี้ โดยไม่มีอะไรปิดบัง อาการลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นไม่รู้ว่าเกิดอยู่นานเท่าไร จากนั้น ความสว่างก็ค่อย ๆ จางลง ๆ และก็หายไปในที่สุด แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นมา จากนั้น ก็ได้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ดูใบไม้ว่าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและเป็นอะไร ในขณะนั้น มีความสุขใจเป็นอย่างมาก โดยไม่เคยเห็นและไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย เมื่อลุกเดินไปกายก็เบาเหมือนจะไม่เหยียบดิน การหายใจออกหายใจเข้าก็ผิดปกติจากธรรมดา มีลักษณะโล่งโปร่งเบา เบาทั้งกายและเบาทั้งใจ ในวันนั้น มีความสุขใจสดชื่นอยู่ตลอดวัน
เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อแม่ฟัง
เมื่อพ่อแม่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าแล้ว พ่อแม่มีกิริยาที่ตกใจและพูดขึ้นว่า จากนี้ไป อย่าไปนอนที่แห่งนั้นอีก นี่คือผีอำคน แต่ยังโชคดีผีไม่ทำให้เราตาย เมื่อพ่อแม่บอกว่า ผีอำ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง เลยมาคิดว่าถ้าผีอำจริง ๆ ทำไมเราจึงมีแสงสว่างออกรอบตัวและใจก็มีความสุขด้วย จึงไม่เชื่อว่าผีอำ แต่ก็ไม่ได้เถียงออกมาทางวาจา เพียงแต่เถียงอยู่ภายในใจและรับฟังไปเท่านั้น จากนั้นมา ก็เป็นในลักษณะอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เล่าให้พ่อแม่ฟังอีกเลย และก็ไม่เล่าให้ใคร ๆ ฟังด้วย ลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นในตัวจนมีความเคยชินและเกิดขึ้นได้รวดเร็วมาก เพียงใช้ตามองสิ่งใดและมองในที่นั้นเป็นจุดเดียว ใจก็กำหนดรู้ตามในสิ่งที่ตามองเห็น ประมาณไม่ถึง ๕ นาที อาการดังกล่าวมาก็จะเกิดขึ้นทันที มีลักษณะกายเบาใจเบาดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ถ้าไม่อยากให้ลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นก็ไม่ยาก เพียงลุกเดินหนีไปไม่สนใจในสิ่งนั้น ๆ ใช้สายตาดูไปในที่อื่น คิดเรื่องอื่นไปเสีย อาการดังกล่าวนั้นก็จะหายไป หรือใช้วิธีกระดิกมือกระดิกเท้าแกว่งแขนขา ทำท่าโคลงตัวไปมาก็หายได้เหมือนกัน แต่ส่วนมากชอบทำในลักษณะนี้จนเป็นนิสัย เพราะมีความสุขกายสุขใจดี
ในบางครั้งเกิดขึ้นจากเสียง
ในการเกิดขึ้นจากเสียงนี้ ต้องกำหนดใจฟังเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยตั้งใจฟังเสียงให้ชัดเจน แต่ต้องเป็นเสียงที่ดังติดต่อกันไปเรื่อย ๆ เมื่อกำหนดจิตฟังเสียงอย่างจดจ่อแล้ว เสียงนั้นก็จะได้ยินเบาลง ๆ และเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย เรียกว่าเสียงละเอียดอ่อน ใจที่กำหนดรู้ตามเสียงนั้นก็มีความละเอียดอ่อนไปด้วยกัน เมื่อเสียงนั้นหมดไปเวลาใด ก็จะเกิดอาการวูบวาบภายในใจ ความสว่างนั้นก็จะเกิดขึ้นทันที ความรู้เห็นในสิ่งต่าง ๆ ก็เป็นเหมือนกับดังที่เคยเป็นมา อาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้จะเป็นอยู่ในช่วงวัยเด็ก เพราะเด็กยังไม่มีอารมณ์เกี่ยวกับกามคุณ ใจยังไม่มีความเศร้าหมอง
ต่อมาเมื่ออายุของข้าพเจ้าได้ ๑๕ ปีขึ้นไป อาการที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก ต้องใช้ความพยายามเต็มที่ เพราะช่วงนี้เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม ใจก็มีอารมณ์ทางโลกเข้ามาแฝง เพื่อนชายเพื่อนหญิงมีมากเท่าไร อารมณ์ของใจก็เปลี่ยนแปลงไป อาการที่เกิดขึ้นก็หมดสภาพไปเอง ถ้าหากมีครูอาจารย์สอนที่ถูกต้อง การปฏิบัติมีความต่อเนื่องกันมาตลอด ผลของการปฏิบัติอย่างแท้จริงก็คงหายสงสัยไปแล้ว นี่ข้าพเจ้าไม่มีผู้นำในการปฏิบัติเลย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดดังอธิบายมานี้ เพราะไม่เคยศึกษาในหลักธรรมมาก่อน จึงไม่ทราบว่ามีความหมายเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำ ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นเรียกว่าอะไร
การเล่าเรื่องส่วนตัวมานี้ อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อย เพื่อให้ท่านได้สำนึกได้ว่าบางทีท่านอาจเป็นอย่างนี้มาแล้ว ถ้าหากท่านเป็นลักษณะอย่างนี้อยู่แล้ว ขอให้ท่านได้ไปปรึกษาครูอาจารย์ เพื่อให้ท่านได้ชี้แนะแนวทางออกให้เรา ดีกว่าเราจะมัวเมาเล่นอยู่กับแสง เสียง สี อยู่อย่างนี้ให้เสียเวลา และห่างจากมรรคผลนิพพานไปมากทีเดียว เมื่อท่านมีอภิญญา มีฌานสมาบัติเพิ่มขึ้นมาอีก ท่านก็จะเกิดความหลงเพิ่มขึ้นอีก โอกาสที่จะเข้าสู่มรรคผลนิพพานนั้นยากมาก และท่านเองก็จะเกิดมานะทิฏฐิ ไม่ยอมฟังเหตุผลของใคร ๆ ทั้งนั้น ถือว่าตัวเองรู้ ถือว่าตัวเองฉลาด ถือว่าตัวเองเก่งกาจในการปฏิบัติธรรม หรืออาจพยากรณ์ตัวเองว่าเป็นพระอริยเจ้าขั้นใดขั้นหนึ่งก็เป็นได้ นี่เป็นคำเตือนสติให้เราได้เกิดความสำนึกแก่ตัวเองเท่านั้น เมื่อเด็กชายทูลออกจากโรงเรียนแล้ว ก็ได้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดบ้างหนองแวงนั้นเอง
ฝังใจในพระกรรมฐานครั้งแรก
ในครั้งที่ข้าพเจ้าได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่บ้านหนองแวง การบรรพชาในครั้งนั้นก็เป็นไปตามประเพณีนิยมเท่านั้น เพราะคนอีสานในสมัยนั้นถือกันว่า ถ้าเป็นผู้ชายต้องบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือบวชจูงพ่อแม่ไปสวรรค์ ความเชื่อถืออย่างนี้มีความฝังลึกในหัวใจของคนอีสานมายาวนาน และยังมีความเชื่อถือกันอยู่อย่างนี้จนถึงปัจจุบัน และยังจะเชื่อถือกันอย่างนี้ต่อไปอีกยาวนานทีเดียว นี่ก็เป็นความเชื่อถือที่ดีมีประโยชน์ทั้งสามอย่าง คือ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน และประโยชน์อย่างยิ่งคือได้ทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา มีการศึกษาธรรมวินัยได้เป็นอย่างดี ในช่วงที่ข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรอยู่นั้น มีภิกษุท่านหนึ่งได้บวชเป็นพระธรรมยุต ภาวนาปฏิบัติกรรมฐานมาแล้วสามปี มีนามว่าพระอาจารย์สม ในช่วงนั้นท่านได้มาเยี่ยมบ้านและได้พักอยู่ในวัดบ้านหนองแวงนั้นเอง ท่านได้อบรมสั่งสอนให้แนวทางปฏิบัติพอสมควร แต่ก็หาเวลาปฏิบัติกับท่านไม่ได้ เพราะกำลังศึกษาในปริยัติธรรมอยู่ แต่ก็ได้ปรนนิบัติท่านด้วยการรับบาตรและล้างบาตรให้ท่านทุกวัน แต่ท่านก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนเรื่องมรรคผลนิพพานให้ฟังเลย เพียงสอนให้นึกคำบริกรรมว่า พุทโธ เท่านั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่สนใจในคำบริกรรมนี้ มีแต่การศึกษาธรรมวินัยอย่างเดียว แต่ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านอยู่มากทีเดียว เพราะท่านมีความสำรวมดี มีกิริยา กาย วาจาที่อ่อนโยน จะเดินไปมา นั่ง ยืน นอน ท่านมีความสำรวมดีมากทีเดียว เวลาท่านฉันในบาตรก็สำรวมในการฉันเป็นอย่างดี และยังฉันมื้อเดียวด้วย เมื่อฉันเสร็จท่านก็ใช้ไม้สีฟันแปรงฟันให้สะอาด ข้าพเจ้าเป็นนักสังเกตอยู่แล้ว เมื่อเห็นกิริยาของท่านอย่างนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมากขึ้น ในวันหนึ่ง เอากระโถนท่านไปล้าง ได้มองเห็นไม้สีฟันที่ท่านใช้แล้วอยู่ในกระโถน จึงจับขึ้นมาดูและพิจารณาว่า พระกรรมฐานทำไมจึงใช้ไม้สีฟันอย่างนี้ เหลาและทุบให้เป็นแปรงได้เป็นอย่างดี คิดต่อไปว่าพระกรรมฐานคงมีความเพียรมากทีเดียว ขนาดไม้สีฟันก็ยังทำให้ละเอียดสวยงามได้ถึงเพียงนี้ การปฏิบัติภาวนาก็คงมีความละเอียดมากกว่านี้ และก็คิดในใจอยู่ว่า เมื่อเราได้ศึกษาจบแล้ว จะออกปฏิบัติกับท่านอย่างแน่นอน
ต่อมาอีกไม่กี่วัน ท่านก็ได้ตัดเอาไม้ไผ่มาเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ ๙ นิ้ว แล้วเอามาผ่าเป็นซีก ๆ กองกันเอาไว้ แล้วท่านก็ได้บอกว่า เณรทูล ๆ มานี่ เมื่อเข้าไปหาท่าน จึงได้ถามไปว่า เรียกกระผมมาธุระอะไร ท่านก็บอกว่าไปหามีดมาเหลาไม้ ช่วยกันนะ เมื่อได้มีดมาก็เหลาไม้ช่วยท่านไป ท่านก็บอกว่าให้เหลาอย่างนี้ ๆ นะ เลยถามท่านไปว่า ท่านอาจารย์ครับ จะเหลาไม้ไผ่นี้ไปทำอะไร ท่านก็บอกว่า มีที่ทำอยู่นั่นแหละ เหลาไปเถอะ เมื่อเหลา ๆ ไปก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ก็ถามท่านไปอีก ท่านก็พูดว่า เหลาไปเถอะ เดี๋ยวรู้เอง ทั้งเหลาไปด้วยพิจารณาไปด้วยว่า จะเหลาไม้นี้ไปทำอะไรกันนะจึงเหลาสวยงามขนาดนี้ เมื่อเหลาเสร็จก็มัดเป็นกำ ๆ ขนาดใหญ่แล้วก็ให้ท่านไป ในวันที่ ๒ ข้าพเจ้าไปห้องส้วม พอดีไปพบไม้ไผ่ที่เหลานั้นอยู่ในห้องส้วมและมีปี๊บใบหนึ่งวางอยู่ด้านข้าง มีไม้ชำระทิ้งอยู่ในปี๊บนั้นสองอัน จึงได้คิดขึ้นมาว่า พระกรรมฐานมีความละเอียดอ่อนขนาดนี้หรือนี่ ขนาดไม้ชำระและไม้สีฟันก็ยังเหลาให้สวยงาม จุดเริ่มแรกที่เกิดมีความฝังใจในพระกรรมฐาน ก็คือในห้องส้วมนั้นเอง
จากนั้นมา ก็มีความสนใจในท่านมากขึ้น จึงได้คิดเปรียบเทียบกันในระหว่างพระที่ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติอยู่เสมอ แต่ก็น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้สอนธรรมปฏิบัติหมวดอื่น ๆ ให้ฟัง ถ้าหากท่านได้สอนแนวทางปฏิบัติให้ตรงต่อมรรคผลนิพพานในครั้งนั้นแล้ว คิดว่าคงจะไม่ได้เป็นฆราวาสอีกแน่นอน
ในวันต่อมา ท่านให้ไปทำทางเดินจงกรมให้ เมื่อทำเสร็จแล้วท่านก็พูดว่า ในคืนนี้จะพามาเดินจงกรมที่นี่นะ เมื่อรับคำแล้วก็ต้องทำตามท่าน พอถึงเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม เป็นคืนที่แสงเดือนกำลังสว่างพอดี ท่านก็บอกว่าให้เณรทูลเดินจงกรมจากนี่ไปนี่นะ ท่านก็ชี้มือไปในเส้นทางที่ไปห้องส้วมนั่นเอง ซึ่งพอดีจะต้องผ่านกอไผ่ขนาดใหญ่ไป ในที่แห่งนี้มีผีเปรตหลอกพระเณรที่ไปห้องส้วมอยู่ประจำ ไม่กี่วันมานี้ก็มีผีเปรตหลอกพระจนร้องเสียงหลงมาแล้ว ถึงเราไม่เคยเห็นผีเปรต แต่ก็กลัวเอาไว้ก่อน ท่านอาจารย์ก็เดินทางจงกรมของท่านไป สามเณรทูลก็ได้เดินจงกรมเส้นทางที่มีผีเปรต เดินใหม่ ๆ ก็กลัวจนหัวเข่าอ่อนไปหลายครั้ง แต่ก็ตั้งมั่นอยู่ในคำบริกรรมว่า พุทโธ ๆ อยู่เสมอ
เมื่อเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะไม่เคยเดินจงกรมเลย เรียกว่าเดินจงกรมในครั้งแรกของชีวิตนั่นเอง ครั้นจะหยุดเดินหรือก็กลัวอาจารย์จะว่าไม่มีความอดทน อย่างไรเสียก็ต้องฝืนเดินต่อไป ถึงจะเหนื่อยก็ต้องอดทนต่อสู้เดินต่อไป ประมาณ ๑ ชั่วโมงผ่านไปท่านก็ยังไม่หยุด สามเณรทูลก็ต้องกัดฟันอดทนเดินสู้ต่อไป ในช่วงนั้นเอง สามเณรทูลได้รับความสุขทางใจมากที่สุด ในขณะที่เดินจงกรมอยู่นั้น จิตมีความสงบวูบไปนิดเดียว ความเบากาย ความเบาใจ ก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เกิดมีความสุขใจความอิ่มเอิบใจมากทีเดียว เดินจงกรมไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด มีแต่ความขยันขันแข็ง จะเดินจงกรมจนถึงสว่างก็ยังได้เลย ครั้นได้เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ท่านก็เรียกให้พักแล้วพาไปกุฏิ แหม ในคืนนั้นไม่อยากไปกุฏิเลย อยากเดินจงกรมอยู่ที่นั่นตลอดคืน แต่เมื่อท่านเรียกก็ต้องไปตามท่าน เมื่อท่านเข้าห้องจำวัด สามเณรทูลกกลับนอนไม่ได้เลย ต้องออกมาเดินจงกรมที่ลานวัดคนเดียว เมื่อดึกมากแล้วจึงเข้าพักในห้องได้ จากนั้นมา ก็เห็นคุณค่าในการเดินจงกรมว่าเป็นผลอย่างนี้ ๆ มาแล้ว
วันต่อมา ท่านมีธุระจะไปกราบพระอาจารย์บุญจันทร์ ที่บ้านจำปา ท่านจึงได้ชวนไปด้วย เมื่อรับคำท่านแล้วก็ไปลาโยมพ่อโยมแม่ เดินทางกับท่านอาจารย์ไป การเดินทางในครั้งนี้เป็นทุกข์มากทีเดียว บาตรขนาดใหญ่ไม่รู้ว่ามีสัมภาระอะไรบ้าง เต็มไปหมด ทั้งบาตร ทั้งกลด ท่านอาจารย์ให้สามเณรทูลแบกสะพายของทั้งหมด สะพายไปได้ประมาณ ๔ กิโลเมตร รู้สึกว่าบาตรนั้นหนักขึ้นทุกที ท่านก็ไม่หยุดพักเอาบ้างเลย ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ทั้งหิวข้าวเพล จนสามเณรทูลมีน้ำตาไหลออกมาทีเดียว คิดว่าจะบอกท่านอาจารย์ให้หยุดพักก็กลัวท่านว่าไม่มีความอดทน จำเป็นต้องต่อสู้อดทนเดินตามท่านไป ไปได้ประมาณ ๖ กิโลเมตร ท่านก็หยุดพักพอหายเหนื่อยได้นิดหนึ่ง จากนั้นท่านก็พาเดินทางต่อไป เมื่อไปถึงวัดป่าบ้านจำปา ก็เป็นเวลาพระเณรกำลังปัดกวาดลานวัดพอดี เมื่อเข้าไปถึง มีสามเณรออกมารับบาตรไปที่ศาลา ดูพระเณรทุกองค์ถือผ้าย้อมแก่นขนุนกันทั้งนั้น มีสามเณรทูลองค์เดียวถือผ้าสีแตกต่างกันกับหมู่คณะ เมื่อเข้าไปในวัดเห็นความสะอาดในที่ต่าง ๆ เรียบร้อยสวยงามดี จึงทำให้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระกรรมฐานเป็นอย่างมาก ทุกองค์มีความสำรวมเหมือน ๆ กัน การพูดก็มีเสียงเบาเพียงกระซิบกระซาบรู้เรื่องกันเท่านั้น
ในขณะนั้น สามเณรทูลหิวน้ำขึ้นมา คิดว่าจะไปฉันน้ำในตุ่ม เมื่อเดินไปดูก็ไม่มีขันและแก้วน้ำที่จะตักกินเลย เพียงไปเห็นกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่เท่าขา มีผ้ามัดติดอยู่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงได้ไปหาขันในศาลาจะเอามาตักน้ำในตุ่มฉัน แต่พอดีมีเณรอีกองค์หนึ่งเดินมาพบ จึงได้บอกว่า อย่าเอาขันตักน้ำในตุ่มนี้นะ ให้เอา ธมกรก กรองเอา สามเณรทูลก็ไม่รู้จักเลยว่าธมกรกเป็นอย่างไร มีแต่กระบอกไม้ไผ่ห้อยอยู่ที่นั้น ๒ - ๓ อันเท่านั้น สามเณรทูลก็จับมาดูแล้วคิดว่านี่หรือเปล่าหนอธมกรก แล้วก็จุ่มลงในตุ่มน้ำ ดึงขึ้นมาน้ำก็ไหลออกหมด สามเณรนั้นก็มาเห็นอีกแล้วถามว่า กรองน้ำไม่เป็นหรือ ก็บอกไปว่ากรองไม่เป็น เณรองค์นั้นก็กรองน้ำให้ดู เมื่อฉันน้ำอิ่มแล้วก็มานั่งคิดรำพึงถึงวิธีฉันน้ำอีก นี่ พระกรรมฐานทำไมมีความละเอียดถึงขนาดนี้ เพียงน้ำธรรมดาก็กรองฉัน เครื่องบริขารอื่น ๆ ส่วนตัว เช่น กาน้ำ แก้วน้ำ บาตร กระโถน ล้วนแต่สะอาดหมดจดกันทั้งนั้น จึงได้มาคิดถึงความเป็นอยู่ของตัวเองในวัดบ้านว่ามีความแตกต่างกันทั้งหมด เรื่องวัดบ้านมีความเป็นอยู่อย่างไรไม่ต้องพรรณนาก็รู้กัน
จากนั้นก็ถึงเวลาค่ำ สามเณรที่วัดก็จัดกุฏิพิเศษให้นอนองค์เดียว ห่างจากศาลาไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นป่าดงดิบหนาแน่น มีต้นไม้ใหญ่นานาชนิดมากมาย มีทางเล็ก ๆ ไปหากุฏิที่สร้างใหม่ มีพื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาอย่างดี เป็นกุฏิที่ใหม่เอี่ยม ยังไม่มีใครไปนอนในกุฏินี้มาก่อนเลย ใต้กุฏิพูนดินขึ้นมาพอสมควร มีถาดใบเล็ก ๆ มีถ้วยอาหารวางอยู่ในที่นั้นด้วย แต่คิดว่าเป็นประเพณีสร้างกุฏิใหม่ของพระกรรมฐาน คงทำเลี้ยงเจ้าที่ไปเท่านั้น ในกุฏิมีกล้วยน้ำว้าสองเครือผูกห้อยอยู่ สุกเหลืองทั้งสองเครือ ในคืนนั้น สามเณรทูลนอนแทบไม่หลับเลย เพราะหิวข้าวนั่นเอง ท้องร้องจ๊อก ๆ มองไปเห็นกล้วยสุกอยู่ข้างที่นอน ถ้าเป็นท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ ในคืนนั้น สามเณรอดทนไม่ได้ ก็ลุกขึ้นไปจับกล้วยสุกทันที กำลังจะปลิดเอามาฉัน ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่ทูล เราเป็นสามเณรรักษาศีล ๑๐ นะ เราเคยรักษาศีลให้มีความบริสุทธิ์มานานแล้ว จะมาให้ศีลขาดไปในขณะนี้ไม่ได้นะ เมื่อนึกได้อย่างนี้ก็ไม่กล้า จึงกลับมานอนดูกล้วยสุกต่อไป ในคืนนั้น ได้ลุกขึ้นไปจับกล้วยสุกว่าจะฉันถึงสามครั้ง แต่ก็สำนึกตัวเองได้ทันทุกครั้งไป ในคืนนั้นได้หลับนิดเดียว เพราะความหิวเป็นเหตุนั้นเอง
ตื่นเช้าไปศาลา อาจารย์ก็จัดบาตรให้บิณฑบาตกับหมู่พระเณรธรรมดา อาจารย์ได้บอกว่า เณรทูล การบิณฑบาตให้ไปตามหลังเณรอื่นเขานะ เดินบิณฑบาตต้องมีความสำรวมตัวให้ดี อย่ามองซ้ายและมองขวา ให้สายตาอยู่กับขาของเณรที่เดินก่อน เมื่อมีคนใส่บาตรก็อย่าไปดูหน้าเขา ให้จ้องตาดูแต่ในบาตร ดูปั้นข้าวเขาตกลงในบาตรแล้วจึงปิดฝาบาตร แล้วค่อยเดินตามหลังเขาไป สามเณรทูลก็ทำได้จริง ๆ ด้วย บิณฑบาตอยู่ในบ้านจำปานั้น ๑๐ วัน ไม่เคยเห็นหน้าใครเลย เพราะความสำรวมของสามเณรทูลนั้นมีความระวังมาก เวลาฉันท่านก็จัดภาชนะให้เป็นพิเศษ จากนั้น อาจารย์ก็ถามว่ากลัวผีไหม ก็ตอบท่านไปว่ากลัว ท่านอาจารย์พูดว่า ที่นี่เป็นป่าช้าของชาวบ้านทั้งหมด กุฏิทุกหลังที่ปลูกเอาไว้ล้วนแต่ปลูกครอบหลุมศพทั้งนั้น กุฏิที่เณรทูลอยู่นั้นก็เป็นหลุมศพผู้หญิงคลอดลูกตายใหม่ ๆ นี่เอง เมื่อสามเณรทูลได้ยินก็เกิดความกลัวมากพอสมควร แต่ก็หนีไม่ได้ ถึงจะกลัวเท่าไรก็ต้องอดทน จึงคิดถึงเณรอื่นเขาว่าเณรอื่นก็เล็ก ๆ เท่ากันกับเรา เขาก็อยู่องค์เดียวได้ กุฏิเณรนั้นก็มีหลุมศพเหมือนกันกับกุฏิเรา เมื่อเขาอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้เช่นกัน จากนั้นมาหลายวัน อาจารย์ก็ได้มาส่งที่วัดบ้านหนองแวง แล้วท่านอาจารย์ก็พูดว่าจะไปงานศพของหลวงปู่มั่นต่อไป
จากนั้น ก็ได้สึกออกมาทำไร่ทำนาช่วยพ่อแม่ต่อไป เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้บวชเป็นพระอยู่ในวัดบ้านอีก การบวชทั้งสองครั้งที่ผ่านมาเป็นเพียงบวชตามประเพณีนิยมเท่านั้น การศึกษาเล่าเรียนก็เรียนไปตามหลักสูตรที่วางเอาไว้ แต่ไม่มีครูอาจารย์องค์ใดพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมเลย บวชได้อีก ๑ ปี ก็สึกออกมาอีก ในช่วงต่อมา ได้ไปเที่ยวอำเภอบ้านผือ ตามคำชักชวนของเพื่อน ๆ (ไปอยู่บ้านดงหวาย) จึงชวนกันไปทำไร่อ้อยที่ดงไม้เรียว ตัวเองทำบ้างและจ้างคนงานช่วยทำบ้าง ในวันหนึ่ง มีเพื่อนคนงานถามถึงครอบครัว ก็บอกเขาว่ายังไม่มี เหตุที่ไม่ยอมมีครอบครัวเนื่องจากสาเหตุใดก็อธิบายให้เพื่อน ๆ ฟังว่า ยังไม่พบผู้หญิงที่ถูกใจ ผู้หญิงที่ถูกใจนั้น คือเป็นผู้ไม่กินอาหารดิบที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด และเป็นผู้มีศีล ๕ ประจำตัว พอพูดจบก็มีเพื่ออีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า หญิงสาวที่ไม่กินอาหารดิบและมีศีล ๕ นั้นมีอยู่ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องนี้บ่อย ๆ และตัวเองก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีหญิงสาวลักษณะนี้จริงจะยอมแต่งงานด้วย จากนั้น ก็มาคอยดูกันอยู่ที่วัดป่าธรรมยุตแห่งหนึ่งที่บ้านโนนสมบูรณ์ โดยมีอาหารมาทำบุญด้วย การมานี้เพื่อมาดูหญิงสาวเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาบวชแต่อย่างใด
ใจเปลี่ยนไปในทางบวช
เมื่อไปถึงวัดแล้ว ใจเริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือไปเห็นวัดมีความสะอาดร่มเย็นดี เดินไปไหนรู้สึกว่าเป็นสถานที่น่าอยู่ จากนั้น ก็ขึ้นมาศาลารวมกันกับคณะศรัทธาทั้งหลาย เมื่อไปเห็นพระเณรภายในวัดมีความสงบเสงี่ยมสำรวมดี ก็ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เมื่อมองเห็นหลวงพ่อองค์หนึ่ง มีความสำรวมดีมาก ข้าพเจ้าได้เฝ้าสังเกตดูท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านนั่งเรียบร้อยเหมือนกับหุ่นขี้ผึ้ง และพระเณรองค์อื่น ๆ ก็เรียบร้อยดี จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า นี่เราเคยบวชมาแล้ว การบวชของเรานั้นเหมือนกับว่าเอาผ้าเหลืองคลุมตอไม้เอาไว้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราจะต้องบวชเป็นพระนักปฏิบัตินี้อย่างแน่นอน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งชาติ เราจะไม่ให้เสียชาติเกิดของเราเลย การบวชในครั้งนี้เราจะบวชตลอดไป ความตั้งใจว่าจะมีครอบครัวนั้นให้ถือว่าเป็นความฝันก็แล้วกัน จากนั้น ก็กลับมาคิดทบทวนเรื่องการบวชของตัวเองว่า การบวชของเราครั้งนี้ จะไม่กลับคืนสู่ฆราวาสอีก จะเป็นอย่างไรก็ขอมอบกายถวายชีวิตไว้กับผ้ากาสาวพัสตร์จนตลอดวันตาย เมื่อคิดทบทวนไปมาหลายครั้งหลายหน ก็มีความกังวลขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าบวชไปแล้ว บางทีอาจเกิดความสงสัยในทางโลกขึ้นมา จะไม่มีข้อมูลแก้ตัวเลยว่า ทางโลกเราได้ผ่านมาแล้ว ความคิดนี้จะเข้าข้างตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าพระองค์ก็เคยผ่านทางโลกมาแล้ว นี่เราก็จะเอาแบบอย่างของพระพุทธเจ้าบ้าง จากนั้นก็วางแผนเสียใหม่เพื่อให้หายความสงสัยในทางโลก และตั้งใจไว้ว่าเราจะผ่านโลกชั่วคราวเท่านั้น จากนั้น ก็จะออกบวชอย่างแน่นอน ในที่สุด ก็เสียรู้ให้แก่กิเลสตัวนี้จริง ๆ ถึงจะเสียรู้เราก็ไม่ลืมตัว ใช้ปัญญาสอนตัวเองอยู่เสมอว่าเราจะไม่อยู่สร้างโลกตลอดไป จึงให้สัจจะสัญญาไว้กับตัวเองอย่างมั่นคง ในช่วงนี้ยังไม่รู้จักคำว่าภาวนาเลย และยังไม่เคยได้ยินในคำว่า ปฏิบัติ จากใคร ๆ เพราะไปอยู่ในที่นี่ ไม่กี่วัน การปรับตัวเข้าในครอบครัวเขาก็ยังไม่เรียบร้อยดี
วันหนึ่ง ได้ไปวัดในวันพระ หลวงพ่อบุญมาได้สั่งว่า ทูล เย็น ๆ วันนี้ออกมาหาด้วยนะ เมื่อได้รับคำท่านแล้ว ก็ออกมาหาท่านตามนัดหมายเอาไว้ เวลาก็ประมาณ ๖ โมงเย็น เมื่อมาถึงท่านก็พาขึ้นไปที่กุฏิ ยังไม่ได้คุยอะไรกันท่านก็ลงนอน แล้วบอกว่าจับเส้นให้หน่อย ตัวเองจับเส้นไม่เป็นเลย แต่ก็จับไปอย่างนั้นแหละ จากนั้นท่านก็ถามบ้านอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร จึงได้มาอยู่ที่นี่ ก็ได้เล่าถวายท่านไป เมื่อจับเส้นให้ท่านพอสมควรแล้ว ท่านอาจจะเกิดความรำคาญในการจับเส้นนี้ก็เป็นได้ แล้วท่านก็ลุกขึ้นมานั่ง พูดประโยคแรกออกมาว่าอยากฟังเทศน์ไหม ก็ตอบท่านว่าอยากฟังครับ ท่านว่าให้ตั้งใจฟังนะ เกิด-ดับ เกิด-ดับ ท่านพูดว่า ฟังรู้เรื่องไหม ตอบท่านว่า รู้ครับ ท่านก็เทศน์อีกว่า เกิด-ดับ เอาละกลับบ้านเสีย เมื่อได้ยินคำแรกว่า เกิด-ดับ เท่านั้น เกิดความซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ใจมีความเบิกบานจนบอกไม่ถูก เหมือนใจได้รู้เรื่องการเกิดดับนี้ทั้งหมด จากนั้น ก็กราบลาท่านกลับบ้าน เมื่อลงจากกุฏิท่านมา ความรู้เห็นในสิ่งที่เกิดดับก็เริ่มกระจ่าง ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เกิดดับเหมือนกันไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีวิญญาณครอง หรือไม่มีวิญญาณครองก็ตาม ทุกอย่างมีการเกิดขึ้นแล้วดับไปในที่สุด ในขณะเดินทางกลับบ้าน ก็ใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งที่เกิดดับมาตลอด และคิดแปลกใจตัวเองว่า ความคิดนี้เกิดจากอะไร ทำไมเราจึงคิดในเรื่องการเกิดดับต่อเนื่องกันได้ดีขนาดนี้ แต่ก่อนมา เราไม่เคยคิดในเรื่องเหล่านี้เลย ยิ่งคิดเท่าไร ความเข้าใจในการเกิดดับก็ขยายกว้างออกและมาเข้าใจอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็ดับไปตามธรรมชาติของมัน หรือสิ่งที่มนุษย์เราก่อสร้างให้เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ หรือมีการดับไปด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง แม้ตัวมนุษย์เองก็มีการเกิดดับเหมือนสิ่งทั่ว ๆ ไป
เมื่อไปถึงบ้านแล้ว ก็นอนคิดตรึกตรองในสิ่งที่เกิดดับอย่างต่อเนื่อง เหมือนในโลกนี้มีแต่สิ่งที่เกิดดับเท่านั้น บางอย่างก็เกิดขึ้นช้าดับไปช้า บางอย่างก็เกิดขึ้นเร็วและดับไปเร็ว หรือบางอย่างเกิดขึ้นช้าดับเร็ว บางอย่างเกิดขึ้นเร็วแต่ดับช้า เมื่อมีการเกิดขึ้นแล้ว จะดับช้าดับเร็วนั้น มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยในตัวมันเอง เหมือนตัวมนุษย์เรา ตลอดทั้งสัตว์ดิรัจฉานทุกประเภท เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ได้ตายพร้อมกันทั้งหมด บางคนตายช้า บางคนก็ตายเร็ว นี่ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล เมื่อคิดไปในเรื่องการเกิดดับอยู่นั้น เหมือนกับชีวิตเราจะอยู่ต่อไปอีกไม่นานมันก็จะดับไป เมื่อมารู้ตัวว่าชีวิตจะดับไปอยู่แล้ว เราจะมามัวเมาประมาทไม่ได้เลย ความดีที่เราควรจะรีบสร้างเอาไว้ก็รีบทำเสียในช่วงเรามีชีวิตอยู่ โอกาสเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เมื่อลมหายใจหมดไปเมื่อไร โอกาสในการสร้างคุณความดีก็สิ้นสุดลงทันที ในคืนนั้นไม่ได้หลับเลย มีแต่คิดเพลินในการเกิดดับตลอดคืน ในเช้าวันใหม่ ก็คิดในเรื่องการเกิดดับต่อไป ยิ่งคิดเท่าไร ความเข้าใจในเรื่องการเกิดดับก็รู้เห็นชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น จนเกิดมีความเข้าใจในตัวเองว่า นี่เป็นความเห็นที่ถูกต้องในหลักสัจธรรมแน่นอน เรียกว่า ปัญญาความเห็นชอบอย่างแท้จริง
ในวันต่อมา ได้ยินนักปฏิบัติธรรมหลายคนพูดกันเรื่องสมาธิภาวนาว่า จิตมีความสงบอย่างนั้น มีความสงบอย่างนี้ ลักษณะของจิตเป็นอย่างนั้น มีความสุขกายสุขใจอย่างนี้ เมื่อถามเขาในเรื่องการทำสมาธิ เขาก็ให้คำตอบเหมือนกัน คือ นึกคำบริกรรมว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้า นึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ให้มีสติตั้งมั่นอยู่กับ พุทโธ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่า ที่เขาพูดมานั้นจะถูกต้องหรือไม่ จากนั้น ก็ออกไปถามหลวงพ่อบุญมาด้วยตนเอง ท่านก็พูดเหมือน ๆ กันกับโยมเขาพูดกัน เมื่อเรียนวิธีในการทำสมาธิจากท่านแล้ว ตัวเองก็เริ่มทำตามวิธีที่ท่านสั่งสอนมา เมื่อทำไปในครั้งแรกก็ได้รับผลในคืนนั้น ใจมีความสงบนิ่งแน่วแน่เป็นอย่างดี มีความสุขกายและสุขใจเป็นอย่างมาก จากนั้นมา ก็เริ่มทำสมาธิทุกวัน แต่นิสัยที่เคยใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องการเกิดดับมาก่อนนั้น ก็ยังฝังลึกอยู่ในจิตใจ ในช่วงนั้น หลวงพ่อบุญมาก็ไม่ได้สอนเรื่องการเจริญวิปัสสนา และตัวเองก็ยังไม่รู้เรื่องการเจริญวิปัสสนาเลยว่า การเจริญวิปัสสนามีวิธีการเจริญอย่างไร แต่ก็มีความแปลกใจอยู่อีกอย่างหนึ่งว่า ทำไมหลังจากการทำสมาธิแล้ว ใจมันชอบคิดนึกตรึกตรองเรื่องการเกิดดับอยู่เสมอ ยิ่งพิจารณาเรื่องการเกิดดับมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ใจรู้เห็นได้ชัดเจนขึ้น และใจก็เริ่มเกิดความแยบคาย ความเข้าใจในหลักความเป็นจริงก็ยิ่งมีความแจ่มใสชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำให้ใจเกิดความศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นในการปฏิบัติว่าเป็นอุบายวิธีที่ถูกต้องแน่นอน
ในวันต่อมา ก็ได้ไปเล่าวิธีการปฏิบัตินี้ให้หลวงพ่อบุญมาฟัง ท่านก็พูดหนักแน่นว่าถูกแล้ว ๆ ให้ทำอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ จิตก็จะค่อย ๆ ละวางในสิ่งที่จิตมีความยึดมั่นถือมั่นออกไปได้ ท่านก็สั่งให้ขยันหมั่นเพียรภาวนาให้มาก จากนั้นมา ก็พยายามเพิ่มความเพียรให้มากขึ้น และรู้ตัวเองอยู่ว่าการงานที่เราทำประจำวันอยู่นั้นมีมาก จะไปนั่งนึกคำบริกรรมทำสมาธินาน ๆ นั้นไม่ได้ ถ้าจะทำสมาธิก็ทำในช่วงพักผ่อนในการทำงานนั้น ๆ จากนั้น ก็เริ่มจับด้ามจอบด้ามขวานทำงานต่อไป ในช่วงขณะที่ทำงานอยู่นั้น ก็ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องการเกิดดับอยู่เสมอ ทำงานไปด้วยพิจารณาการเกิดดับไปด้วย ทำให้จิตมีความเพลิดเพลินไปในตัว หาอุบายธรรมต่าง ๆ มาสอนตัวเองอยู่เสมอว่า นี่เราทำไมจึงมีความหลงงมงายติดอยู่กับโลกอยู่อย่างนี้ ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราที่แน่นอน แม้ตัวเราเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ทุกสิ่งเป็นเพียงอาศัยซึ่งกันและกันเท่านั้น สักวันหนึ่งก็ดับสลายจากกันไป พืชผลที่ได้มาจากการเพาะปลูกทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดดับด้วยกันทั้งนั้น นี่เราจะมาเอาอะไรให้เป็นสาระแก่นสารในวัตถุสมบัติทั้งหมดนี้ไม่ได้เลย การได้มาจากวัตถุสมบัตินี้ เพียงเอามาบำรุงรักษาก้อนธาตุของตัวเองให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น ถึงจะอยู่ได้ก็ไม่นาน ธาตุและสังขารนี้ก็จะดับไปตามเหตุปัจจัยในตัวมันเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ ทำไมตัวเองจึงได้มาหลงยึดติดกับวัตถุสมบัติเหล่านี้ เพราะทั้งหมดนี้เป็นวัตถุธาตุของโลก มีอยู่ประจำโลก ตัวเองก็เป็นสัตว์โลก เกิดมาในโลกและมาอาศัยวัตถุธาตุของโลกนี้อยู่เท่านั้น โลกนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้มานานแล้ว แม้ปัจจุบันนี้ก็เป็นอยู่อย่างนี้ และจะมีอีกในอนาคตต่อไปหาที่สุดมิได้ ถ้าหากเราได้มาเกิดอีกทีก็จะพบกับความเป็นอยู่อย่างนี้อีกตลอดไป
ฉะนั้น การปฏิบัติของฆราวาส ถ้าเรามีสติปัญญาที่ดี จะไม่มีอุปสรรคในการปฏิบัติแต่อย่างใด จะทำความเพียรในที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นจะเลือกกาลและสถานที่ เราอยู่ที่ไหน แห่งใด ไม่ว่าขณะทำงานหรือหยุดงาน พยายามทำใจให้มีความรู้จริงและทำใจให้มีความเห็นจริงในสิ่งนั้น ๆ อยู่เสมอ เพราะความรู้จริงเห็นจริง จึงเป็นจุดเด่นในการปฏิบัติธรรม และเป็นจุดเด่นของความเพียรที่เราจะเข้าให้ถึง นั่นคือ สัจธรรม เพราะสัจธรรมเป็นศูนย์รวมแห่งธรรมะทั้งหลาย ถึงสัจธรรมนั้นจะหลายแง่หลายหมวดหมู่ แต่ก็อยู่ในขอบเขตของ ไตรลักษณ์ทั้งนั้น ถ้าหากใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมใด ก็ให้รวมลงสู่ไตรลักษณ์ทุกครั้ง ถ้าปฏิบัติในลักษณะอย่างนี้อยู่ ก็อย่าได้เกิดความกังวลและอย่าไปสงสัยว่าเราปฏิบัติผิดแต่อย่างใด นี่แหละคือความถูกต้องของการปฏิบัติอย่างแท้จริง แม้ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ได้รับผลมาจากการปฏิบัติด้วยอุบายอย่างนี้มาแล้ว จึงได้ชี้แนะอุบายนี้ไว้แก่พวกเราทั้งหลาย เพื่อจะได้เป็นอุบายในการปฏิบัติต่อไป ไม่ใช่ว่าจะมานึกคำบริกรรมทำสมาธิแต่อย่างเดียว แต่ก็ไม่ละทิ้งสมาธิเมื่อมีเวลาว่าง ใจต้องการพักผ่อนก็กำหนดทำสมาธิไปตามกาลเวลานั้นๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เสมอ อุบายที่จะนำมาพิจารณานั้น ต้องเป็นอุบายในเหตุผลของตัวเอง ถ้าฝึกตัวเองได้อย่างนี้ จึงนับได้ว่าเป็นผู้ไม่จนมุม มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นย่อมแก้ปัญหานั้นได้ด้วยตนเอง ฝึกปัญญาให้มีความฉลาดรอบรู้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วแก้ปัญหาให้ทันต่อเหตุการณ์ จึงเป็นอุบายภาวนาปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
อุบายการปฏิบัติที่ข้าพเจ้าได้เอามาเป็นหลักยืนตัว คือ วัตถุสมบัติและธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยพิจารณาให้เป็นไปตามไตรลักษณ์ที่เป็นหลักความจริง ถึงจะมีอุบายปัญญาอื่น ๆ อยู่บ้างก็เป็นเพียงอุบายประกอบเท่านั้น ส่วนอุบายการปฏิบัติหลัก คือ เรื่องวัตถุสมบัติกับธาตุ ๔ นั่นเอง จะอยู่ที่ไหน ไปที่ใด ก็ใช้ปัญญาปรารภเรื่องวัตถุสมบัติกับธาตุ ๔ พิจารณาอยู่เสมอ เพราะส่วนนี้เป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ง่าย ถึงจะเป็นอุบายธรรมส่วนหยาบ ๆ ก็ขอให้รู้เห็นด้วยสติปัญญาของเราโดยตรง จึงจะเป็นผลดี และดีกว่าที่จะไปเลียนแบบจากคนอื่นเล่าให้ฟัง ส่วนใหญ่นักปฏิบัติชอบพูดกันอยู่เสมอว่า ธรรมหมวดนั้นก็รู้ ธรรมหมวดนี้ก็เข้าใจ นั่นก็จริงอยู่ แต่ความรู้ที่รู้มานั้นเป็นความรู้เลียนแบบจากผู้อื่นมารู้เท่านั้น หนังสืออธิบายไปอย่างไรก็รู้ไปตามนั้น หรือครูอาจารย์อธิบายให้ฟังอย่างไร ก็รู้ไปตามนั้น ความรู้ลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงความรู้ในชื่อของธรรมเท่านั้น แต่ตัวที่เป็นธรรมจริง ๆ ยากที่จะรู้ได้ เพราะเป็นความรู้ที่ลุ่มลึก เป็นความรู้ที่ได้ผ่านความเห็นที่เป็นจริง จึงเรียกว่าเห็นก่อนรู้นั่นเอง หรือเรียกว่าเป็นความรู้ที่กลั่นกรองออกมาจากความเห็นมาแล้ว จึงนับได้ว่าเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ หรือเรียกว่า พุทโธ ก็คือ ความรู้ที่ผ่านจากความเห็นจริงนั่นเอง ฉะนั้น ความรู้จริงความเห็นจริงนั้น จึงมีน้อยคนที่จะปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับบุคคลที่มีความตั้งใจจริง ถ้ามีความตั้งใจปฏิบัติจริง ความรู้จริงความเห็นจริงก็จะเป็นผลตอบแทนให้แก่เราอย่างแน่นอน
สามารถอ่านเพิ่มเติมทั้งหมดได้ที่ dharma-gateway.com
และ http://dhamma.vayoclub.com/index.php?topic=313.0
ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com