ประวัติ เมืองราชบุรี - พระกรุ - webpra

เมืองราชบุรี

ประวัติ พระกรุ


ศาลหลักเมืองราชบุรีจังหวัดราชบุรีมีชื่ออันเป็นมงคลยิ่ง หมายถึง "เมืองพระราชา”  ราชบุรีเป็นเมือง

 

           เป็นถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของคนหลายยุคหลายสมัย และมีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีต จากหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุมากมายที่ขุดพบ  อาทิเช่น ขวานหิน ลูกปัด เครื่องปั้นดินเผา ทำให้เชื่อได้ว่ามีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้ตั้งแต่ยุคหินกลาง อายุประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว
           พื้นที่ในเขตจังหวัดราชบุรี เป็นแหล่งที่ตั้งชุมชนโบราณ และเป็นเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ ในสมัยประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาจากการเดินเรือ และการติดต่อค้าขายระหว่างจีนกับอินเดีย มีการขยายตัวมากขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา ชาวอินเดียได้เข้ามาทำการค้า และตั้งหลักแหล่งอยู่กับชาวพื้นเมือง ในอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความอุดมสมบูรณ์จนได้ชื่อว่า สุวรรณภูมิ หรือสุวรรณทวีป ได้นำเอาวัฒนธรรมและศาสนาเข้ามาเผยแพร่ ทำให้คาบสมุทรอินโดจีนกลายเป็นทางผ่าน และจุดแลกเปลี่ยนสินค้า ระหว่างชาวตะวันตก อันได้แก่ อินเดีย ลังกา อาหรับ เปอร์เซีย กรีก โรมัน กับชาวตะวันออก ได้แก่จีนและประชาชนตามแว่นแคว้นต่าง ๆ ในเขตทะเลจีนใต้
           ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 ชนชาวพื้นเมืองบริเวณตอนล่างของคาบสมุทรอินโดจีน ได้รวมตัวกันก่อตั้งแคว้นฟูนันขึ้น   เมื่อล่วงมาถึงพุทธศตวรรษที่ 8 - 9 จึงเริ่มมีศูนย์การค้าแห่งใหม่ ในดินแดนลุ่มแม่น้ำท่าจีนทางด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงชุมชนจากสังคมหมู่บ้านไปสู่สังคมเมือง ในพุทธศตวรรษที่ 10 - 11 ภายใต้แม่แบบจากอารยธรรมอินเดีย เกิดกลุ่มวัฒนธรรมสมัยประวัติศาสตร์ระยะแรกขึ้นในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 - 15 ที่เรียกชื่อว่า ทวาราวดี ในส่วนของจังหวัดราชบุรีคือ เมืองโบราณคูบัว ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 ได้มีวัฒนธรรมเขมรจากประเทศกัมพูชา แพร่ขยายเข้ามาแทนที่
           ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ได้พบหลักฐานทางโบราณคดี เนื่องในวัฒนธรรมทวาราวดี กระจายอยู่ทั่วไปตามสองฟากฝั่งแม่น้ำแม่กลอง โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมือง ฯ อำเภอวัดเพลง และอำเภอบ้านโป่ง แหล่งโบราณคดีที่สำคัญได้แก่
          เมืองบ้านคูบัว อยู่ในเขตตำบลคูบัว อำเภอเมือง ฯ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน กว้างประมาณ 800 เมตร ยาวประมาณ 2,000 เมตร ขนาดของพื้นที่และลักษณะการวางผังเมืองคล้ายคลึงกันกับเมืองโบราณนครชัยศรี หรือนครปฐมโบราณ จากร่องรอยของหอยทะเลหลายชนิดในชั้นดินแสดงว่า เมืองโบราณคูบัวตั้งอยู่ใกล้ทะเลเป็นพื้นที่ที่น้ำทะเลเคยท่วมถึงอยู่หลายแห่ง
            สภาพเมืองโบราณคูบัวมีลักษณะเป็นเนินดินธรรมชาติสูงประมาณ 5 เมตร จากระดับน้ำทะเล และสูงกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ 1-2 เมตร มีคูน้ำ 1 ชั้น และคันดิน 2 ชั้นล้อมรอบ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลาดสูงขึ้นไปจนต่อเนื่องกับเนินเขาด้านทิศตะวันตก ส่วนริมของที่ราบลาดสู่ฝั่งทะเล ด้านเหนือติดต่อกับลำห้วยคูบัวที่ถูกดัดแปลงให้เป็นคูเมือง ด้านทิศใต้เป็นพื้นที่ราบลุ่มชายฝั่ง ด้านทิศตะวันออกมีแม่น้ำอ้อมซึ่งเป็นแม่น้ำแม่กลองสายเก่า ด้านทิศตะวันตกมีลำห้วยชินสีห์ ที่แยกจากลำห้วยคูบัวเป็นคูเมือง ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือปรากฏร่องรอยแม่น้ำใหญ่ที่เรียกกันว่า อู่เรือ มีลำรางเป็นแนวไปสู่แม่น้ำอ้อมทางทิศตะวันออก ต่อมาจนถึงบริเวณกลางเมืองโบราณ สันนิษฐานว่าเดิมคงเป็นท่าจอดเรือสมัยโบราณ
            โบราณวัตถุส่วนใหญ่ที่พบ มีทั้งที่ทำขึ้นเนื่องในความเชื่อในทางศานา และที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับโบราณวัตถุที่ทำขึ้นจากความเชื่อทางศาสนา นอกจากจะเป็นประติมากรรมดินเผา และปูนปั้นประดับอาคารโบราณสถานแล้ว ยังพบพระพุทธรูปที่ทำด้วยดินเผา และปูนปั้นอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท มีฐานเป็นรูปดอกบัวรองรับพระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้นบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระในปางปฐมเทศนา ในขณะที่พระพิมพ์ทำขึ้นเพื่อเป็นการอุทิศบุญกุศลในการสืบทอดพระพุทธศาสนา เป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ ปางมารวิชัย หรือปางปฐมเทศนา ภายในซุ้มเรือนแก้วหรือซุ้มแบบพุทธคยา และเป็นพระพุทธรูปแดงยมกปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี   พระพิมพ์บางชิ้นมีคาถา เย ธมฺมา ภาษาบาลีจารึกอยู่ด้านหลัง นอกจากนั้นได้พบพระพิมพ์ที่สลักจากหินชนวนสีขาว เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิภายใต้พระกลด หรือฉัตร ด้านข้างขนาบด้วยพระสถูป และธรรมจักรที่ตั้งอยู่บนเสา เป็นพระพิมพ์ในวัฒนธรรมทวาราวดีที่หายากที่สุดชิ้นหนึ่งของไทย นอกจากนั้นยังพบชิ้นส่วนพระธรรมจักรที่สลักจากหินอีกด้วย

  ในด้านประติมากรรมรูปคนที่ทำด้วยดินเผา และปูนปั้นที่พบ แสดงให้เห็นถึงลักษณะรูปร่างหน้าตาการแต่งกาย และการดำรงชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น มีลักษณะใบหน้าที่ค่อนข้างกลมแบน คิ้วโก่ง ตาโปนยาว โหนกแก้มสูง จมูกแบนใหญ่ ปากกว้าง และริมฝีปากหนา
           โบราณวัตถุที่พบได้แก่เครื่องปั้นดินเผาที่ทำเป็นภาชนะ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น แว ตะคันเบี้ย ตะเกียงที่ประดับลวดลาย ลูกกระสุน เครื่องโลหะที่ทำเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องใช้และอาวุธ เครื่องประดับแก้วที่ส่วนใหญ่เป็นลูกปัด เครื่องใช้เครื่องประดับที่ทำจากหิน เช่นที่ลับมีด ก้อนเส้าแทนเตา เครื่องบดสมุนไพร ลูกปัด เครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภาชนะดินเผา มีหม้อ ไห ชาม กาน้ำ ซึ่งขึ้นรูปด้วยหม้อ และใช้แป้นหมุน มีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด มีลายประดับและไม่มีลายประดับ ตะเกียงที่มีต้นแบบมาจากตะเกียงสำริด ที่ชาวตะวันตกนำเข้ามา โลหะที่พบมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่  สำริด  ตะกั่ว  เหล็ก  ทองคำ และทองแดง
           แหล่งโบราณคดีบนเทือกเขางู ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองราชบุรี อยู่ในเขตตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง ฯ หลักฐานที่พบในถ้ำทั้ง 4 แห่ง สันนิษฐานว่าได้ทำขึ้นในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 เพื่อใช้เป็นสถานที่พระภิกษุมาจำพรรษา ปฏิบัติธรรมที่ห่างไกลจากผู้คน ถ้ำทั้ง 4 แห่งได้แก่ ถ้ำฤาษี ถ้ำจีน ถ้ำจาม และถ้ำฝาโถ ในแต่ละถ้ำจะมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เช่น ปางปฐมเทศนาในถ้ำฤาษี ถ้ำจีนและถ้ำจาม พระพุทธรูปปางแสดงยมกปาฏิหาริย์ ปางสมาธิและปางปรินิพพานที่ถ้ำจาม และพระพุทธรูปปางปรินิพพานที่ถ้ำฝาโถ
           นอกจากแหล่งโบราณคดีทั้งสองแห่งที่กล่าวแล้ว ยังพบหลักฐานในวัฒนธรรมทวาราวดี ในเขตจังหวัดราชบุรีอีกหลายแห่ง ในเขตอำเภอต่าง ๆ ได้แก่ อำเภอเมือง ฯ อำเภอวัดเพลง อำเภอบ้านโป่ง และอำเภอจอมบึง
           ในเขตอำเภอเมือง ฯ พบที่วัดมหาธาตุ ตำบลหน้าเมือง ที่ฐานชั้นล่างสุดทางด้านทิศใต้ ขององค์ปรางค์ประธาน มีการใช้อิฐแบบทวาราวดีเรียงเป็นแนวยาว พระพุทธรูปหลายองค์มีลักษณะพุทธศิลปแบบทวาราวดี เช่นมีจารึกคาถาหัวใจพระพุทธศาสนา เย ธมฺมา เป็นอักษรปัลลวะ ภาษาบาลีที่เบื้องพระปฤษฎางค์เศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีพระพักตร์เป็นแบบพื้นเมือง พระขนงโก่งยาวต่อกันเป็นรูปปีกกา พระนาสิกใหญ่แบน พระโอษฐ์หนา ขมวดพระเกศาเป็นลายก้นหอยเวียนขวาขนาดใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของพระพุทธรูปในพุทธศิลปแบบทวาราวดี ที่วัดเขาเหลือพบเทวรูปพระอิศวร มีลักษณะพระพักตร์และขมวดพระเกศา คล้ายกับประติมากรรมในศิลปอินเดียสมัยคุปตะ และรูปพระโพธิสัตว์ที่ทำขึ้นในช่วง
พุทธศตวรรษที่ 12 - 13 ในบริเวณวัดเขาสะดึง พบชิ้นส่วนประติมากรรมหินขนาดเล็กรูปคชลักษมีเป็นภาพแสดงกำเนิดของพระลักษมี นอกจากนี้ยังพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161 - 1450) เป็นแจกันเคลือบสีเขียวมีหูจับ
           ในเขตอำเภอวัดเพลง ทั้งสองฝั่งแม่น้ำอ้อม พบร่องรอยชุมชนโบราณที่มีแนวคูน้ำคันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในวัฒนธรรมทวาราวดีหลายแห่ง โดยเฉพาะตั้งแต่บริเวณโคกพริกถึงเวียงทุน ที่พบเนินดินโบราณกระจายอยู่ทั่วไป ที่โคกพริกเคยพบซากสถูปและเครื่องประดับประเภทลูกปัดจำนวนมาก ในแม่น้ำอ้อมเคยพบซากเรือจม ภายในเรือมีเครื่องปั้นดินเผาสมัยต่าง ๆ
           ในเขตอำเภอบ้านโป่ง ที่บริเวณวัดขุนสีห์ ตำบลบ้านม่วง พบร่องรอยเนินดินที่มีเศษภาชนะดินเผา เนินดินมีลักษณะเป็นซากสถูป พบชิ้นส่วนประดับสถาปัตยกรรมทั้งที่เป็นดินเผา และปูนปั้นในศิลปทวาราวดีเป็นจำนวนมาก
           ในเขตอำเภอจอมบึง พบที่ถ้ำพระพิมพ์บริเวณเชิงเขาสำประแจ พบพระพิมพ์เป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาภายใต้สถูปแบบพุทธคยา มีสถูปขนาดเล็กอยู่โดยรอบ ที่ฐานมีจารึกคาถาหัวใจพระพุทธศาสนา เย ธมฺมา
           วัฒนธรรมทวาราวดีเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรีประมาณ 500 ปี ก็เสื่อมสลายลง และอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร ได้แพร่ขยายเข้ามาแทนที่ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 16 เมืองคูบัวซึ่งเคยมีความสำคัญยิ่งเมืองหนึ่ง ในภาคกลางของประเทศไทย ก็ถูกทิ้งร้างไป และเกิดศูนย์กลางการค้าแห่งใหม่บนคาบสมุทรภาคใต้ของไทย เช่นที่เมืองไชยา นครศรีธรรมราช และเมืองสทิงพระในจังหวัดสงขลา
           เมืองราชบุรีปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง ฯ อยู่ทางริมฝั่งด้านตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง ฟากเดียวกันกับเมืองโบราณคูบัว และเทือกเขางู มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 750 เมตร ยาวประมาณ 1,250 เมตร ตัวเมืองแต่เดิมมีกำแพงล้อมรอบสามด้านคือด้านทิศเหนือ ด้านทิศใต้ และด้านทิศตะวันตก ส่วนด้านทิศตะวันออกใช้แม่น้ำแม่กลองเป็นคูเมือง และใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำ ภายในเมืองมีวัดมหาธาตุตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยทวาราวดีในห้วงเวลาเดียวกับการสร้างเมือง ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 16 ต่อมาเมื่อวัฒนธรรมขอมแพร่ขยายเข้ามา จึงได้มีการสร้างศาสนสถานที่เรียกว่า ปราสาท ซ้อนทับในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางเมืองตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาลของขอม เมื่อปราสาทชำรุดหักพังลงจึงได้สร้าง พระปรางค์ ตามลักษณะและรูปแบบสมัยอยุธยา
           อิทธิพลวัฒนธรรมขอมที่สำคัญได้แก่ ทับหลังเหนือกำแพงแก้วที่ก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางเรียงซ้อนกันล้อมองค์พระปรางค์ ทั้ง 4 ด้าน สลักจากหินทรายสีชมพู เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิประทับในซุ้มเรือนแก้ว ต่อเนื่องกันเป็นแนวยาวตลอดความยาวของกำแพง อันเป็นศิลปขอมแบบบายน (ประมาณ พ.ศ. 1720 - 1760) รูปครุฑยุดนาคประดับราวบันไดทางเข้าระเบียงคด ล้อมรอบองค์ด้านทิศตะวันออก สลักจากหินทรายแดง ด้านหน้าเป็นรูปครุฑยุดนาคสามเศียรอยู่ตอนกลาง ล้อมรอบด้วยนาคห้าเศียรอีกชั้นหนึ่ง ด้านหลังเป็นรูปนาคห้าเศียรไม่มีรูปครุฑประกอบ คล้ายกับศิลปบายนของขอม พระพิมพ์ดินเผาที่ขุดพบที่ฐานพระปรางค์ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แบ่งออกได้เป็นสามแบบคือ แบบแรกเป็นภาพพระพุทธรูปปางสมาธิ องค์เดียวประทับภายในซุ้ม แบบที่สองเป็นภาพพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยสามองค์ ประทับในซุ้มเรือนแก้ว และแบบที่สามเป็นภาพพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัย เรียงเป็นแถวอยู่ด้านล่างในซุ้มเรือนแก้ว ลักษณะพระพุทธรูปในพระพิมพ์เหมือนแบบพระพิมพ์ในศิลปขอมแบบบายน ที่พบทั่วไปในบริเวณภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
           เมืองโบราณโกสินารายณ์  ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลอง ในเขตตำบลท่าผา อำเภอบ้านโป่ง ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างยาวด้านละประมาณ 950 เมตร พบร่องรอยแนวกำแพงเมืองเหลืออยู่เฉพาะทางด้านทิศเหนือ ด้านทิศใต้และด้านทิศตะวันออกเป็นคันดินสูงประมาณ 60 เซนติเมตร  กว้างประมาณ 10 เมตร ด้านตะวันตกถูกรื้อทิ้งไปแล้ว นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดใหญ่กว้างประมาณ 200 เมตร ยาวประมาณ 400 เมตร เรียกว่า สระโกสินารายณ์ ถือว่าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ และนำมาใช้เป็นชื่อเรียกเมืองโบราณด้วย ภายในตัวเมืองมีซากโบราณสถานขนาดใหญ่เรียกว่า จอมปราสาท ตั้งอยู่บริเวณเกือบกึ่งกลางเมือง มีขนาดกว้างประมาณ 85 เมตร ยาวประมาณ 100 เมตร สูงประมาณ 1 เมตร มีสระน้ำอยู่ภายในตัวเมืองรวม 4 สระ สระนาค อยู่ทางด้านทิศตะวันออก สระจรเข้ อยู่ทางด้านทิศตะวันตก สระมังกร และสระแก้ว อยู่ทางด้านทิศเหนือใกล้กำแพงเมือง สระนาคและสระโกสินารายณ์มีคลองขนาดเล็กเชื่อมต่อกันกับแม่น้ำแม่กลอง นอกตัวเมืองมีเนินโบราณสถานขนาดเล็ก กระจายอยู่อีกหลายแห่ง ลักษณะของผังเมืองตลอดจนองค์ประกอบภายในได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมขอม
           จอมปราสาทที่ตั้งอยู่กลางเมือง สันนิษฐานว่า เดิมรูปทรงเป็นปราสาทที่นิยมสร้างในวัฒนธรรมขอม โดยส่วนฐานก่อด้วยศิลาแลง มีมุขยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน ภายในใช้หินและทรายบดอัดเป็นฐานราก มีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เปล่งรัศมีสลักจากหินทราย สูงประมาณ 155 เซนติเมตร พระวรกายตอนบนมีรูปพระอมิตาภะปางสมาธิสลักโดยรอบพระอุระ และมีรูปนางปรัชญาปารมิตาประทับนั่งถือดอกบัวอยู่ที่บั้น พระองค์สามองค์และเบื้องพระอุระอีกหนึ่งองค์ พระวรกายเบื้องล่างทรงผ้าโจงกระเบนสั้น เป็นลักษณะของประติมากรรมในศิลปขอมแบบบายน
           ลวดลายปูนปั้นที่ใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งส่วนต่าง ๆ ของโบราณสถานจอมปราสาท ทำเป็นรูปเทวดาหรือกษัตริย์ มนุษย์ อมนุษย์ และรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น นาค สิงห์ สิงห์ ช้าง ฯลฯ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ชิ้นส่วนลวดลายปูนปั้นเหล่านี้ส่วนมากมีรูปแบบที่ผสมผสาน ระหว่างวัฒนธรรมขอมกับทวาราวดี และบางชิ้นมีลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมจีน ที่แพร่เข้ามาในเวลานั้น
           พระพุทธรูปสำริดปิดทองทรงเครื่องปางประทานธรรม สูงประมาณ 112 เซนติเมตร พบบริเวณกลางทุ่งนาในเขตอำเภอเมือง ฯ เป็นปางที่นิยมสร้างมาตั้งแต่วัฒนธรรมทวาราวดี ส่วนเครื่องทรงตลอดจนส่วนประกอบอื่น ๆ เป็นศิลปะขอมแบบนครวัด นอกจากนั้นยังมีเทวรูปพระอิศวรปางมหาฤาษี พบที่วัดสระกระเทียม อำเภอบ้านโป่งเป็นแบบที่นิยมกันในศิลปขอมแบบนครวัด - บายน
           จากร่องรอยหลักฐานต่าง ๆ ทางโบราณคดีที่กล่าวมาแล้ว แสดงให้เห็นว่า ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 อันเป็นช่วงระยะเวลาที่อาณาจักรขอมเรืองอำนาจ ชาวเมืองราชบุรี และโกสินารายณ์ก็ได้รับเอาวัฒนธรรมขอมมาผสมผสานกับวัฒนธรรมทวาราวดี อันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมในหลาย ๆ ด้าน เช่นระบบการวางผังเมืองที่เปลี่ยนจากรูปวงรี มาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือสี่เหลี่ยมจตุรัส การสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ไว้กลางเมือง ระบบชลประทานที่มีการขุดสระน้ำไว้ใช้ภายในตัวเมือง และบริเวณใกล้เคียง นอกเหนือไปจากการขุดคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ำเพื่อนำน้ำมาใช้ในตัวเมือง การก่อสร้างอาคารที่นำเอาหินทรายและศิลาแลง มาใช้ในการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่แทนการก่ออิฐถือปูนขนาดเล็ก และมีการตกแต่งอาคารด้วยการสลักลวดลายบนชิ้นส่วน ประกอบสถาปัตยกรรมที่เป็นหินทรายเพิ่มเติม จากการประดับตกแต่งลวดลายปูนปั้น รวมทั้งการผสมผสานรูปแบบศิลปกรรมทวาราวดีกับ ศิลปกรรมขอมเข้าด้วยกัน
           ในด้านคติความเชื่อในศาสนา พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนิกายวัชรยานตามแบบวัฒนธรรมขอม ซึ่งเน้นการสร้างศาสนสถาน และรูปเคารพขนาดใหญ่ มีการประกอบพิธีกรรมที่สลับซับซ้อน โดยมีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นประติมากรรมที่ได้รับการเคารพบูชา ในช่วงเวลาเดียวกันได้มีศิลปะจีนแทรกเข้ามาในศิลปขอมด้วย ดังจะเห็นได้จากเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ ซุ่ง และสมัยราชวงศ์ หยวน ได้พบแผ่นดินเผาจารึกอักษรจีนอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 - 19 เอ่ยพระนามพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรร่วมกับเหรียญกษาปณ์จีน ที่เรียกว่าอีแปะอีกด้วย กล่าวได้ว่าเมืองราชบุรีในช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันตกของไทย รวมทั้งเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าจากชุมชนภายนอก เข้าไปยังชุมชนที่อยู่ลึกเข้าไปในภูมิภาค โดยอาศัยลำน้ำที่มีเครือข่ายถึงกัน
           อิทธิพลของวัฒนธรรมขอมมีความเจริญรุ่งเรืองในจังหวัดราชบุรี รวมทั้งดินแดนในภูมิภาคอื่น ๆ ของไทยเป็นอยู่ประมาณ 300 ปี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 หลังจากนั้นก็เสื่อมลง บรรดาเมืองและนครรัฐต่าง ๆ ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มมีการรวมตัวกันเป็นปึกแผ่น และได้มีการพัฒนาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมตนเองขึ้น ก่อตัวเป็นต้นเค้าของวัฒนธรรมไทยมาตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 17
           ในช่วงสมัยสุโขทัย เมืองราชบุรีมีรายชื่อเป็นหัวเมืองในราชอาณาจักรสุโขทัย และน่าจะมีสภาพเป็นเมืองท่าบนเส้นทางติดต่อการค้า และการคมนาคมระหว่างหัวเมืองในเขตที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ไปยังเมืองตะนาวศรี ซึ่งเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลอันดามัน ในบริเวณอ่าวมะตะบัน
           ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวแคว้นสุพรรณภูมิ เจริญรุ่งเรืองควบคู่กับแคว้นละโว้ ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา และเมืองราชบุรีจัดเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง ของแคว้นสุพรรณภูมิ เช่นเดียวกับเมืองเพชรบุรี และเมืองสิงห์บุรี ก่อนที่แคว้นละโว้จะรวมกับแคว้นสุพรรณภูมิเป็นอาณาจักรอยุธยา เห็นได้จากร่องรอยหลักฐานทางศิลปกรรม ทั้งที่โบราณสถานและโบราณวัตถุ เช่น เจดีย์ประธานวัดเจติยาราม หรือวัดเจดีย์หัก ในเขตตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมือง ฯ ลักษณะของเจดีย์ที่ก่ออิฐไม่สอปูน มีฐานแปดเหลี่ยมรองรับองค์ระฆังกลม รูปทรงสูงเพรียว มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มเจดีย์แบบเมืองสรรค์ ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท และกลุ่มเจดีย์ในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่เรียกว่า แบบสุพรรณภูมิ เช่นที่วัดศรีรัตนมหาธาตุ วัดพระรูป วัดพระอินทร์ รวมทั้งเจดีย์แบบอโยธยา เช่นที่วัดบางกระซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
           เมื่อสมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงรวบรวมแคว้นสุพรรณภูมิ และแคว้นละโว้เข้าด้วยกัน และสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองราชบุรีก็ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา จัดเป็นเมืองในมณฑลราชธานี ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงขยายการปกครองราชธานีครอบคลุมเมืองใหญ่ที่เป็นเมืองหน้าด่านทั้งสี่ เช่น ลพบุรี สุพรรณบุรี นครนายก ทำให้เมืองชั้นในอย่างราชบุรี ถูกลดฐานะลงเป็นเมืองจัตวา มีผู้ปกครองเรียกว่า ผู้รั้ง ขึ้นตรงต่อราชสำนัก ไม่มีอำนาจสั่งการเช่นเจ้าเมืองในสมัยก่อน มีกรมการเมืองชั้นรองลงมาเรียกว่าจ่าเมือง ทั้งผู้รั้งและจ่าเมืองต้องทำตามคำสั่งของต้นสังกัด ทั้งฝ่ายกลาโหมและฝ่ายจตุสดมภ์

           ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์ (พ.ศ. 2091 - 2111) โปรดให้สร้างเมืองใหม่แขวงเมืองราชบุรี จึงถูกแบ่งพื้นที่บางส่วน รวมกับพื้นที่บางส่วนของแขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี เพื่อรองรับพลเมืองไทยที่หนีสงครามระหว่างไทยกับพม่า ที่เริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช (พ.ศ. 2077 - 2089) ไปอยู่ตามป่าเขา ให้กลับเข้ามาเป็นกำลังของพระนครยามมีศึก
           ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์ จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2091 - 2231) เมืองราชบุรีมีเจ้าเมืองที่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา เป็นเมืองที่รวบรวมพลเพื่อป้องกันพระนคร และเป็นเมืองที่มีกองทัพประจำอยู่พร้อม ที่จะทำศึกได้ทันที ในคราวศึกกับพม่าเมื่อปี พ.ศ. 2098 เจ้าเมืองราชบุรีพร้อมกำลังพลเข้ามารักษาคูเมือง และป้อมประตูกำแพงกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พม่ายกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ในเขตเมืองกาญจนบุรี พระยาอมรินทรฤาไชย เจ้าเมืองราชบุรีได้รับคำสั่งให้คุมพล 500 คนเป็นกองโจรคอยดักซุ่มตัดเส้นทางลำเลียง และรื้อสะพานสัญจรของกองเสบียงพม่า ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พม่ายกกองทัพตามครัวมอญเข้ามาในปี พ.ศ. 2203 พระยาราชบุรีเป็นกองหนุนของทัพหลวง ทำการขับไล่พม่าออกไปได้สำเร็จ
           ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. 2231 - 2246) เมืองฝ่ายใต้ซึ่งน่าจะรวมถึงเมืองราชบุรีด้วย อยู่สังกัดของสมุหกลาโหมทั้งกิจการฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือน หลังรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา หัวเมืองฝ่ายใต้ในสังกัดของกรมท่า ซึ่งสังกัดฝ่ายพระคลังในกำกับดูแลของเจ้าพระยาโกษาธิบดีผู้ทำหน้าที่ติดต่อควบคุมการค้ากับต่างชาติ
           ในสมัยธนบุรี เมืองราชบุรีเปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านที่เป็นสมรภูมิสำคัญ ในการทำสงครามกับพม่า เนื่องจากอยู่ติดกับด่านเจ้าเขว้า อันเป็นด่านสำคัญด่านหนึ่งที่กองทัพพม่าสามารถยกเข้ามาถึงเมืองราชบุรีได้ง่าย ด่านดังกล่าวตั้งอยู่ริมห้วยบ้านด่าน อันเป็นสาขาของแม่น้ำภาชี ในเขตตำบลชัฏป่าหวาย อำเภอสวนผึ้ง ปัจจุบันยังหลงเหลือร่องรอยคล้ายเนินดินของป้อมค่าย และร่องรอยของหลุมขวาก หลุมหลบภัย ตลอดจนเศษเครื่องถ้วยไทยจีนปะปนอยู่กับอาวุธประเภทหอก และดาบสมัยอยุธยาตอนปลาย และต้นรัตนโกสินทร์
           เส้นทางเดินทัพของพม่าผ่านเข้ามาทางเมืองทวาย ด่านบ้องตี้ ในเทือกเขาตะนาวศรีในเขตตำบลเมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี แล้วเลียบชายเขาลงมาทางใต้เข้าเขตราชบุรี โดยตัดข้ามแม่น้ำภาชีในบริเวณด่านเจ้าเขว้าผ่านช่องเขาชนแอก และเขาสน มาถึงเขตอำเภอจอมบึงก่อนถึงทุ่งเขางู ที่เป็นสมรภูมิใกล้ตัวเมืองราชบุรี สงครามระหว่างไทยกับพม่าในช่วงเวลานี้ที่สำคัญได้แก่ สงครามในปี พ.ศ. 2311 พม่ายกทัพเข้ามาทางเมืองทวาย ผ่านเมืองไทรโยค เมืองราชบุรี เข้าล้อมค่ายทหารจีนที่บางกุ้ง เขตติดต่อระหว่างเมืองราชบุรีกับเมืองสมุทรสงคราม พระมหามนตรีคุมทัพหน้าของฝ่ายไทยเข้าตีทัพพม่าที่บางกุ้งแตก กลับไปทางด่านเจ้าเขว้า อีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2317 ในศึกบางแก้วครั้งนั้น พระยาเจ่งหัวหน้าครัวมอญพาครอบครัวหนีมาไทย ทางด่านเจดีย์สามองค์ พม่าจึงให้งุยอคงหวุ่นคุมกำลังมาถึงบ้านบางแก้วเพื่อปล้นทรัพย์จับเชลยในแขวงเมืองราชบุรี สมุทรสงครามและเพชรบุรี ได้ตั้งค่ายขึ้นสามค่าย ฝ่ายไทยล้อมพม่าไว้ถึง 47 วัน พม่าขอเจรจากับไทย 7 ครั้ง ในที่สุดต้องยอมแพ้ออกมาอ่อนน้อมต่อไทยทั้งสามค่าย
           สภาพทางเศรษฐกิจของเมืองราชบุรี ในสมัยธนบุรีซบเซาไปมากด้วยสาเหตุหลายประการ ที่สำคัญคือการสงครามไทยกับพม่า ซึ่งมีชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในไทย เมื่อปี พ.ศ. 2313 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า
           "การค้าในราชอาณาจักรนี้แต่เดิมเจริญรุ่งเรืองมาก มีเรือนับเป็นพันลำทั้งที่มาจากประเทศจีน และประเทศในยุโรปเข้ามาในกรุงสยามในแต่ละปี แต่ปัจจุบันจะเข้ามาสักสิบลำก็แทบไม่มี บรรดาพวกแขกอิสลาม ชาวญี่ปุ่น และชาวยุโรปได้สร้างฐานะขึ้นในประเทศนี้ได้อย่างรวดเร็ว"
           ผู้คนในเมืองราชบุรีก็ลดจำนวนลงอย่างมากอันเป็นผลจากสงครามเช่นกัน จากการอพยพหลบภัยและจากการถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย จนต้องมีการนำชนชาติกลุ่มใหญ่เข้ามาอยู่อาศัยหลายเผ่าพันธุ์ด้วยกัน ที่สำคัญได้แก่ มอญ เขมร และลาวกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ ลาวทรงดำ (ลาวโซ่ง) ลาวเวียง (ลาวตี้) โดยเข้ามาอยู่ปะปนกับชาวพื้นเมืองเดิม
           ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะนั้นเมืองราชบุรียังรวมอยู่กับเมืองกาญจนบุรี รวมเรียกว่า หัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก มีเจ้าพระยามหาเสนาฝ่ายกลาโหมปกครองดูแล ต่อมาเมื่อเกิดสงครามเก้าทัพ เมื่อปี พ.ศ. 2328 ครั้งนั้นเจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด) กับเจ้าพระยายมราชได้รับพระบรมราชโองการให้คุมกำลังมาตั้งรับพม่าที่เมืองราชบุรี เพื่อรักษาเส้นทางลำเลียงเสบียงของ สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่คุมทัพใหญ่มาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี แม่ทัพไทยที่มารักษาเมืองราชบุรีประมาท ทำให้พม่าสามารถยกทัพเข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งจอมบึง และด่านเจ้าเขว้าริมแม่น้ำภาชี จนกองทัพไทยมีชัยชนะที่ลาดหญ้า แล้วจึงได้ยกกำลังมาตีค่ายพม่าที่ตั้งอยู่นอกเขางูแตกหนีกลับไปเมืองทวาย
           ในปี พ.ศ. 2345 พระเจ้าปดุงได้ยกทัพเข้ามาตีเมืองเชียงใหม่ กองทัพจากวังหลวงได้ขึ้นไปตีเมืองเชียงแสน ร่วมกับกองทัพจากเมืองลำปาง น่าน เชียงใหม่ และเวียงจันทน์ ตีทัพพม่าแต่พ่ายไป จากนั้นได้อพยพครอบครัวชาวโยนกเชียงแสน (ไท - ยวน) กว่า 23,000 คน จัดแบ่งครัวเรือนออกเป็นห้าส่วนแบ่งให้ไปกับกองทัพเมืองลำปาง น่าน เชียงใหม่ เวียงจันทน์ และกองทัพวังหลวงกองทัพละส่วน กองทัพวังหลวงได้อพยพครัวเรือนชาวโยนก เชียงแสน ลงมากรุงเทพ ฯ แล้วให้บางส่วนไปตั้งหลักแหล่งที่เมืองสระบุรี ที่บริเวณอำเภอเสาไห้ในปัจจุบัน ส่วนที่เหลือให้ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองราชบุรี เป็นบรรพบุรุษของชาวไท - ยวน ในจังหวัดราชบุรีสืบมาถึงทุกวันนี้
           รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้พระยาราชบุรี (แสง) เป็นเจ้าพระยาวงษาสุรศักดิ์ที่สมุหกลาโหม ราชนิกุลสายบางช้าง รับราชการอยู่ที่เมืองราชบุรี และเมืองสมุทรสงครามต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตัดท้องที่บางส่วนของเมืองราชบุรี และเมืองสุพรรณบุรีไปรวมอยู่ในเขตเมืองกาญจนบุรีที่ตั้งขึ้นใหม่ ที่ตำบลปากแพรกต้นแม่น้ำแม่กลอง และได้โปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายตัวเมืองราชบุรีจากฝั่งขวาไปอยู่ ฝั่งตรงข้ามทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง เนื่องจากทรงเห็นว่า ที่ตั้งเมืองเดิมไม่เหมาะสมในทางยุทธศาสตร์ เมื่อทำศึกกับพม่าที่สมรภูมิทุ่งเขางู หากฝ่ายไทยเสียที่จะถอยลำบากเพราะมีแม่น้ำขวางอยู่ ได้มีการวางศิลาฤกษ์ผังหลักเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2360 แล้วได้ก่อสร้างกำแพงเมืองและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ เมืองใหม่นี้มีความกว้างประมาณ 200 เมตร ยาวประมาณ 800 เมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงก่ออิฐถือปูนตรงกลางมีป้อม และประตูเมืองหกด้าน (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกรมการทหารช่าง และจังหวัดทหารบกราชบุรี)
           รัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีเหตุการณ์ที่สำคัญ
           รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขุดคลองดำเนินสะดวก เชื่อมต่อระหว่างเมืองสมุทรสาคร เมืองสมุทรสงคราม และเมืองราชบุรี โดยเริ่มจากปากคลองบางยางแม่น้ำท่าจีนที่เรียกว่ามหาชัย เชื่อมต่อกับคลองบางนกแขวกแม่น้ำแม่กลอง แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2411 โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง  บุนนาค) ซึ่งขณะนั้นเป็นพระประสิทธิ์ที่สมุหกลาโหม เป็นผู้อำนวยการขุดคลอง
           รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเมืองราชบุรีถึง 10 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเพื่อประกอบพระราชพิธีเปิดสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ ข้ามแม่น้ำแม่กลองช่วงที่ผ่านตัวเมืองราชบุรี ในปี พ.ศ. 2444 ครั้งที่สองเป็นการเสด็จพระราชดำเนินนำทหารมาฝึกที่ค่ายหลุมดินในปี พ.ศ. 2446 และเป็นการเสด็จประพาสต้น 2 ครั้งในปี พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2452
           ในการเสด็จประพาสไทรโยคเมื่อปี พ.ศ. 2416 ทรงบรรยายลักษณะของตลาดโพธารามในสมัยนั้นไว้ว่า
           " ...มีเรือนสองฟากเป็นตลาด ฟากข้างริมน้ำนั้นเป็นเรือนต่ำ ๆ เหมือนเรือนแพ ปลูกริมตลิ่งที่เดียวข้างในก็เป็นเรือนตลาดอีกแถวหนึ่ง ฝากระดานมากกว่าที่เป็นฝาจากไปตามทางข้างขวามือ ประมาณ 8 เส้น 9 เส้น มีร้านขายของต่าง ๆ ร้านเหล้า ร้านไซ่หู ที่โกนผม และขายของเครื่องใช้สรอยมีร่มรองเท้าเป็นต้น ขนมมีขายมากมายหลายอย่างมีสาคู และขนมถ้วยตาไล ทั้งเล็กทั้งใหญ่เป็นอย่างมาก ไปจนตลอดถนนแล้วกลับมา พ้นจากทางที่จะลงมาหาดสักหน่อยหนึ่ง เลี้ยวขวามือมีโรงตีเหล็ก แล้วถึงวัดโพธารามมีกำแพงล้อมรอบ เข้าไปในนั้นมีศาลาคู่หนึ่งแล้วไปถึงการเปรียญ พระสงฆ์อยู่ที่นั่น..."
           ทรงบรรยายถึงผู้คนชาวเมืองราชบุรีไว้ว่า
           "...คนในพื้นเมืองเป็นไทย จีนมีเป็นพื้น เขมรและมอญมีหลายพวกหลายเหล่ามาก มอญเจ็ดเมืองก็อยู่ในแขวงเมืองราชบุรีทั้งนั้น เขมรนั้นเป็นเขมรเชลยแต่ครั้งแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาก ลาวก็มีบ้าง แต่ถึงดังนั้นคนยังน้อยกว่าที่แผ่นดินอยู่มาก..."
           ในการเสด็จพระราชดำเนิน เมื่อปี พ.ศ. 2452 ทรงบรรยายลักษณะของเมืองราชบุรีไว้ว่า
           "...เมืองราชบุรีแลเห็นแปลกกว่าแต่ก่อนนั้นคือตึกตลาดที่ทำแล้วเสร็จ ถัดไปก็ศาล ๆ นี้ใหญ่โตสูงตระหง่านผิดกว่าที่อื่น ตามแถบที่ตั้งเตาปูนแต่ก่อนราย ๆ กันอยู่นั้น เดี๋ยวนี้ติดตั้งกันตลอดคุ้งน้ำ ซ้อนกัน 2 ชั้น 3 ชั้น ฟากตะวันออกก็มี เห็นจะเป็นปูนขาวที่ใช้การที่กรุงเทพ ฯ มากขึ้น จึงได้เผาปูนทวีขึ้นหลายเท่า
           " ...เวลาเช้าได้ขึ้นรถเจ็กไปดูแถวตลาดถนนริมน้ำ ตั้งแต่หน้าบ้านเทศาไปได้ถมศิลาเขาหลามลงแน่นเรียบร้อยดีตลอด ตลอดจนที่ว่าการมณฑล... ตึกตลาดพระคลังข้างที่นั้นติดแน่นหนาดีมาก ตัวตลาดของวัดยังไม่พอที่จะขยายยังติดเกะกะต่าง ๆ ด้านหลังเป็นตึกเก่าที่จะต้องรื้อ ด้านหน้าก็เป็นโรงตำรวจภูธร ซึ่งจะย้ายไปไหนก็ยังไม่ได้ ที่พักมิชชันนารีเข้าไปอยู่ระหว่าง ...พิเคราะห์ดูตึกรามที่ทำ ๆ ไว้ ก็เป็นเรื่องน่าสังเวช แต่จะทนสู้เรือนฝากระดานก็ไม่ได้ เพราะเหตุที่ทำตึก แต่ไม่รู้วิธีทำตึก ปลูกสร้างขึ้นเหมือนยังเรือนไม้ง่อนแง่น กำมะลอไปทั้งนั้น ตึกสมเด็จเจ้าพระยาซึ่งเป็นที่ว่าการทั้งใหญ่ทั้งโต ก็ต้องมุงจากทับกระเบื้อง..."
           เมื่อได้มีการจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2437 เรียกว่าระบอบมณฑลเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี ประกอบด้วยเมือง 6 เมืองด้วยกันคือ เมืองราชบุรีเป็นที่ตั้งศาลาว่าการมณฑล เมืองกาญจนบุรี เมืองสมุทรสงคราม เมืองเพชรบุรี เมืองปราณบุรี และเมืองประจวบคีรีขันธ์
           รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินเมืองราชบุรีหลายครั้ง เพื่อกิจการซ้อมรบเสือป่า นอกจากนั้นในช่วงต้นรัชสมัยของพระองค์ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยุบหัวเมืองในมณฑลราชบุรีให้เหลือ 5 หัวเมือง โดยรวมเมืองปราณบุรีเข้ากับเมืองประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2458 มีการรวมมณฑลต่าง ๆ เข้าเป็นภาค โดยมีอุปราชเป็นผู้บังคับบัญชาและมีอำนาจเหนือสมุหเทศาภิบาล บริหารงานขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มณฑลราชบุรีจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาคกลางของประเทศไทย
           รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการประกาศยุบมณฑลมาเป็นจังหวัด ทำให้ราชบุรีเปลี่ยนสภาพมาเป็นจังหวัดตั้งแต่นั้นมา

ที่มา : หอมรดกไทย

ข้อมูลอ้างอิง : http://www.baanjomyut.com/76province/center/ratchaburi/history.html



 

พระท่ากระดานกรุวัดใหม่อีจาง
พระกรุยอดนิยมอันดับหนึ่งของ จ.ราชบุรี

พระท่ากระดานกรุวัดใหม่อีจาง 

          กรุวัดใหม่อีจาง พระท่ากระดานกรุวัดใหม่อีจาง แตกกรุออกมาเมื่อประมาณก่อนปี2500 พบพระโดยการตัดทางและขุดคลองชลประธานผ่านวัด บังเอิญรถขุดขุดไปเจอพอดี พระที่พบมีจำนวนไม่ถึง 100 องค์ ส่วนมากพระจะชำรุดและหัก มีแค่บางองค์ที่สวยสมบรูณ์ แต่ก็มีน้อย พระท่ากระดานที่พบ จะเป็นพระเนื้อตะกั่วสนิมแดงทั้งหมด มีทั้งลงรักชาดแดงและปิดทองเดิม คราบกรุจะเป็นคราบคราบหินปูนแบบผนังถ้ำ มีรอยย่นเป็นจุดดาวกระจาย พระท่ากระดานกรุวัดใหม่อีจาง จะมีเนื้อตะกั่วสนิมแดงอย่างเดียว องค์พระตัดขอบชิดทุกองค์ แบบที่ไม่ตัดขอบชิดมีน้อย แต่ต้องเป็นเนื้อตะกั่วสนิมแดงอย่างเดียวครับ ถึงจะเป็นกรุของวัดใหม่อีจาง

พระท่ากระดานกรุวัดหลวง 

          วัดหลวงเป็นวัดที่ตั้งอยู่ติดกับวัดใหม่อีจาง ห่างกันประมาณ 2 ก.ม. วัดหลวงเป็นวัดเก่าวัดหนึ่ง ที่สร้างขึ้นในสมัยอู่ทองตอนปลาย และสมัยอยุธยาตอนต้น มีหลักฐานการสร้างวัด อยู่ที่ กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนไว้ สันนิฐานว่าเป็นวัดสำคัญในสมัยนั้น ในวัดมีพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง สมัยอยุธยา และเจดีย์เก่า สมัยอู่ทอง สมัยอยุธยา อีกเช่นกัน ต่อมาวัดได้เสื่อมโทรมลง เจดีย์เก่าได้ถูกขุดเจาะหาของมีค่าออกไป ทั้งพระเครื่องและพระบูชาได้ออกจากวัดไปอยู่ในสนามพระหมด คนพื้นที่แทบจะไม่ได้รู้กันเลยว่าที่วัดหลวงมีพระพิมพ์อะไรบ้าง คนที่พอรู้จักก็เก็บไว้ได้เพียงส่วนน้อยก็มีไม่กี่คนส่วนมากจะเสียชีวิตไป แทบไม่เหลือแล้ว คนแถวนั้นรู้ว่ามีพระกรุแต่ก็ไม่รู้ว่ามีพระอะไรบ้าง เห็นที่พวกเขารู้จักกันก็มีเพียงพิมพ์เดียว คือพิมพ์เข่ารู แต่ก็หาของแท้ยากเพราะพิมพ์นี้เขาก็เอาไปขาย เล่นเป็นกรุวัดตะไกร ส่วนใหญ่เป็นเนื้อชินเงินทั้งหมด ส่วนพิมพ์อื่นๆที่ไม่เคยเห็นก็เล่นกันกลายเป็นพระพิมพ์ของวัดอื่นหมดไปแล้ว ผมเสาะหามานานหลายปีสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ที่นั้น ก็จะไม่ค่อยได้ความรู้ มีเพียงไม่กี่คนที่พอจะรู้บ้าง จริงๆแล้วพระกรุวัดหลวงมีอยู่เยอะหลายพิมพ์ มีทั้งพระบูชาและพระเครื่องสมัยอู่ทอง,สมัยอยุธยาผมขอพูดเฉพาะพระเครื่อง พิมพ์ที่พอจะเห็นผ่านมาบ้างไม่กี่พิมพ์บางองค์หารูปมาลงไม่ได้พระเจ้าของหวง มากๆ

            1.พระพิมพ์โคนสมอ เนื้อชินเงิน,ชินเขียว

            2.พระพิมพ์แก้บนมารวิชัย เนื้อชินตะกั่ว

            3.พระพิมพ์ยอดธง เนื้อชินกรอบ

            4.พระพิมพ์อู่ทองฐานร่องชั้นเดียว เนื้อชินเงิน พิมพ์กลาง

            5.พระพิมพ์เข่ารู เนื้อชินเงิน

            6.พระพิมพ์นางพญาพิมพ์ใหญ่ เนื้อดินพระพิมพ์นี้พบในฐานตักบาตรเก่าเป็นพระฝากกรุ                          

7.พระพิมพ์อู่ทองฐานร่องพิมพ์ใหญ่ เนื้อตะกั่วแก่ชินเงิน หลังตัน เเละหลังร่องเเอ่งมีเเท่งเข็ม ตัดปีกกว้างเเละตัดชิดองค์พระมีทั้งปิดทองและไม่ปิดทอง(พิมพ์นี้น่าเล่นหาเป็นกรุวัดหนองอีจาง)

 

ทำไมที่พบเห็นพระท่ากระดานกรุวัดใหม่อีจางถึงมี 2 เนื้อ
ในวงการพระเครื่องที่เล่นหากันมีพบอยู่ 2 เนื้อ

1.เนื้อตะกั่วสนิมแดงตัดขอบชิด (กรุวัดอีจาง)

2.เนื้อตะกั่วแก่ชินเงินไม่ตัดขอบข้าง หลังตันเเละหลังร่องเเอ่งมีเเท่งเข็ม ในองค์ที่ตัดชิดก็มี  ส่วนเเม่พิมพ์นั้นเป็นเเม่พิมพ์อันเดียวกับวัดหลวงอีจางเเน่นอนต่างกันตรงเนื้อที่มีส่วนผสมเเก่ตะกั่วสนิมเเดง  เเละเนื้อเเก่ชินเงินคราบไขเหลือง  ส่วนเเม่พิมพ์ด้านหลังนั้นก็พิมพ์เดียวกัน   ในองค์ที่หลังตันนั้นสันนิฐานว่าเเม่พิมพ์หลังน่าชำรุดก่อนจึงเทหล่อเป็นหลังตัน   จนเเม่พิมพ์ด้านหน้าชำรุด    จำนวนพระจึงมีน้อยองค์ (กรุวัดหลวง)

ที่ผมเขียนมานี่แหละครับ ผมขอบอกว่า

            พระท่ากระดานเนื้อตะกั่วแก่ชินเงินเป็นพระของวัดหลวงแต่ทุกคนก็เล่นหากัน เป็นพระท่ากระดานกรุวัดใหม่อีจางเพราะคนสมัยนั้นเวลาเอาพระไปออกต่อจะบอกผู้ ซื้อว่าได้มาจากกรุวัดหลวงอีจางทำให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าเป็นพระกรุวัดหนองอี จางทำให้ซื้อขายง่ายไม่ต้องสืบเสาะหาที่มา ทุกวันนี้ครับพระจึงหมุนเวียนกันหลายองค์( ส่วนของเก๊ ของเลียนแบบก็มี ) จริงๆแล้วไม่สำคัญว่ากรุวัดไหนหรอกครับ เพราะสร้างยุคสมัยเดียวกัน ขอให้แท้อย่างเดียวก็พอแล้วครับพระท่ากระดานกรุวัดหลวงพิมพ์นี้น่าจะมีอยู่ราวๆไม่เกินร้อยองค์ครับ

ผมขอเขียนบทความนี้ตามความรู้ที่ได้มา จากที่ผมเคยไปทำมาค้าขายแถวนั้นมา 12 ปีได้ครับ หากข้อความไม่ตรงหรือผิดพลาดผมขออภัยด้วยครับ ผมไม่มีผลประโยชน์อะไรในการเขียนบทความนี้ เพียงเพื่อต้องการออกความคิดเห็นในส่วนที่ผมรู้ เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนผู้ที่ชอบศึกษาและสะสมพระเครื่องด้วยกัน จะได้มีแนวทางสะสมที่ถูกต้องต่อไปครับ ท้ายบทความนี้ขอให้ท่านทุกๆคนโชคดีได้ของแท้สะสมไว้ครอบครอง และสมปรารถนาทุกประการ

โดย
: คุณ อำนวย ดวงทองคำ
ข้อมูลอ้างอิง : http://www.web-pra.com/Article/Show/654
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://pralanna.com/boardpage.php?topicid=32024

Top