เมืองนครศรีธรรมราช
ประวัติ พระกรุ
เมืองนครศรีธรรมราช
บริเวณภาคใต้ตอนบนระหว่างจังหวัดชุมพรลงมาจนถึงนครศรีธรรมราชนั้นกล่าวได้ว่า มีชุมชนโบราณอยู่หลายแห่ง ซึ่งชุมชนเหล่านี้มีความเจริญในทางการค้าขายกับชนต่างชาติทั้งจีน อินเดีย อาหรับ และเปอร์เซีย เป็นต้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าบริเวณส่วนนี้มีภูมิประเทศที่เป็นอ่าวเหมาะแก่การเป็นท่าเรือ ซึ่งสามารถนำเรือเข้ามาจอดพักหลบพายุ ที่สำคัญก็คือ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ทั้งอาหารและน้ำจืด ตลอดจนของพื้นเมืองที่หายาก เพราะฉะนั้นดินแดนบริเวณส่วนนี้จึงเป็นเหมือนตลาดกลางที่จะซื้อขายสินค้าต่างๆได้โดยสะดวก
จากจดหมายเหตุของจีนในสมัยราชวงศ์ซุ่ง (พ.ศ.1503-1823) ได้เรียกชื่อลี่โฝซึ่งว่า สันโบไส หรือสันโฝซึ่งแคว้นสันโบไสตั้งอยู่ริมทะเล มีจุดสำคัญทางการค้าขายมากที่สุดหลายจุด และสามารถควบคุมเรือต่างๆที่จะไปมาค้าขายได้ และมีเมืองต่างๆที่ขึ้นอยู่กับแคว้นสันโบไสหลายเมือง ที่สำคัญคือ ต้าหม่าหลิง ปาลินฟง ชินดา ลันบี และหลานวูลิ สำหรับเมืองต้าหม่าหลิงนั้น สันนิษฐานว่า น่าจะตรงกับคำสันสกฤตว่าเมืองตามพรลิงค์ อันเป็นชื่อเสียงที่สำคัญในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-18 ชื่อนี้ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 24 จากวัดหัวเวียง อำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นชื่อเดิมของเมืองนครศรีธรรมราช ทั้งนี้พระราชาแห่งเมืองตามพรลิงค์ที่ปรากฏในศิลาจารึก พ.ศ. 1773 ทรงพระนามว่า “พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช”
จากจดหมายเหตุสมัยราชวงศ์ถึง (พ.ศ. 1161-1450) ได้กล่าวถึงต้าหม่าหลิงโดยเรียกว่าตงหลิงด้วยว่าเป็นประเทศราชของอาณาจักร ตูเหอหลอ หรือต้อหล่อ-เปอตี้ ซึ่งหมายถึงทวาราวดีนั่นเอง พุทธศตวรรษที่ 12 ต้าหม่าหลิงหรือตงหลิงเป็นเมืองแล้ว และมีความสัมพันธ์กับดินแดนในภาคกลางด้วย ต้าหม่าหลิง ตงหลิง หรือตามพรลิงค์จนมาถึงนครศรีธรรมราชน่าจะเป็นเมืองเดียวกันซึ่งเดิมตัวเมืองตั้งอยู่ที่บ้านเขาวัง อำเภอลานสกาในปัจจุบัน ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 12 ได้มีชาวอินเดียตอนใต้เดินทางเข้ามาตั้งชุมชนปะปนอยู่กับชนพื้นเมืองที่หาดทรายแก้ว และได้นำเอาศิลปวัฒนธรรม และศาสนาพราหมณ์เข้ามาเผยแพร่ด้วย จนกระทั่งต่อมาชุมชนแห่งนี้ได้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และกลายมาเป็นเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีเจ้าผู้ครองนครเมืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 14 เมืองนครศรีธรรมราชในรัชกาลของพระเจ้าธรรมาโศกราช ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 1773 ได้เป็นแคว้นอิสระ มีกษัตริย์ปกครองตนเองมาจนถึงปีพุทธศักราช 1837 จึงตกเป็นเมืองขึ้นของแคว้นสุโขทัยในสมัยสุโขทัย เดชานุภาพของกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงโดยเฉพาะพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้แผ่ขยายมาถึงเมืองนครศรีธรรมราชมีการติดต่อค้าขายและสืบทอดวัฒนธรรมและการศาสนา เช่น ศาสนาพุทธ ซึ่งเผยแพร่มาจากลังกามาสู่เมืองนครศรีธรรมราชและสุโขทัย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นอิสระและมีอำนาจเหนือสุโขทัย นครศรีธรรมราชก็ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาสืบมา และมีฐานะเป็นเมืองเจ้าพระยามหานคร ครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เมื่อปีพุทธศักราช 2310 บ้านเมืองไทยได้แตกแยกกัน ออกเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง 6 ก๊กด้วยกัน ในที่นี้พระปลัดหนู ผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราชก็ได้ตั้งต้นเป็นใหญ่เรียกกันว่า ก๊กเจ้าพระยานคร
เมืองนครศรีธรรมราชนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพระโดยชื่อของเมืองก็บอกอยู่แล้วว่าเมืองอันงามสง่าของพระราชาผู้ทรงธรรม กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ของเมืองนครศรีธรรมราชโบราณทุกพระองค์ ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติแห่งพระพุทธศาสนา
พระพุทธรูปเมืองนครศรีธรรมราช นับว่าได้รับอิทธิพลจากอินเดีย พระพุทธรูปและพระพิมพ์ยุคศรีวิชัยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ พระพุทธสิหิงค์ หนึ่งในสามพระพุทธสิหิงค์ต้นแบบของไทยที่เชื่อว่าอัญเชิญมาจากกรุงลังกา เมื่อ 800 ปี สมัยพระเจ้าธรรมาโศกราช เป็นต้น
สำหรับพระเครื่องนั้นเมืองนครศรีธรรมราช ก็มีมากพอสมควร แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ พระกรุวัดพะนังตราซึ่งเป็นพระสร้างในสมัยขอมเรืองอำนาจในภูมิภาคนี้ อีกกรุหนึ่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือ พระกรุท่าเรือซึ่งสร้างในสมัยสุโขทัยตอนปลายหรืออยุธยาตอนต้น
ข้อมูลอ้างอิง : คัดลอกมาจาก "หนังสือ อมตพระกรุ"
ทางทีมงานขอขอบคุณทางเจ้าของหนังสือมา ณ โอกาสนี้