หลวงพ่อเรื่อง ชินนปุตโต วัดใหม่พินสุวรรณ(ประวัติฉบับเรื่องเล่า) - webpra

หลวงพ่อเรื่อง ชินนปุตโต วัดใหม่พินสุวรรณ(ประวัติฉบับเรื่องเล่า)

บทความพระเครื่อง เขียนโดย punch18

punch18
ผู้เขียน
บทความ : หลวงพ่อเรื่อง ชินนปุตโต วัดใหม่พินสุวรรณ(ประวัติฉบับเรื่องเล่า)
จำนวนชม : 13044
เขียนเมื่อวันที่ : พ. - 12 ส.ค. 2558 - 14:10.00
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : อ. - 06 ต.ค. 2558 - 21:58.10
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

หลวงพ่อเรื่อง ชินนฺปุตโต วัดใหม่พิณสุวรรณ

          วัดใหม่พิณสุวรรณ ตั้งอยู่ที่เลขที่50 บ้านวัดใหม่พิณสุวรรณ ม.1 ต.บ้านแหลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย

เนื้อที่27ไร่1งาน84ตารางวา

วัดใหม่พิณสุวรรณตั้งเมื่อปีพ.ศ.2451ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อพ.ศ.2509

ลำดับเจ้าอาวาส 

1 หลวงพ่อปิ่น เป็นเจ้าอาวาส รูปแรก

2 หลวงพ่อเรื่อง (ฉายาครั้งแรก ชินฺปุต์โต ครั้งที่สอง รตนวณฺโณ นามสกุล วงษ์วิจารณ์) 

3 พระครูกัลยาสุวรรณคุณ (ทองเลื่อน กลฺยาณธมฺโม)

4 พระอธิการสมพงษ์ อุตฺตมปญโญ

5 รูปปัจจุบัน พระอธิการวรพจน์ กิตฺติโสภโณ (ขันธควร) เป็นเจ้าอาวาส 

         หลวงพ่อเรื่อง ชินนฺปุตโต ท่านเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2425 ในละแวกวัดใหม่พิณสุวรรณนั้นเอง

บิดาของท่านชื้อทับ-มารดาของท่าน ชื่อเรียง

ในยามเป็นเด็กและวัยรุ่นนั้น หลวงพ่อเรื่อง จะมีอุปนิสัยอย่างไรก็ไม่สามารถสืบถามได้ แต่เข้าใจว่าท่านคงประกอบอาชีพทำนา

เหมือนกับชาวบ้านในย่านนั้นเป็นส่วนมาก(ท่านมีที่ดินเป็นที่นาเป็นมรดกภายหลังได้ยกให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดใหม่พิณสุวรรณในปัจจุบัน)

        จวบจนพุทธศักราช2446 หลวงพ่อฯ มีอายุครบบวช จึงได้อุปสมบท ณ.พัธสีมาวัดแก้วตะเคียนทอง อ.บางปลาม้า

และได้อยู่ศึกษาธรรมวินัย และวิปัสสนากรรมฐาน ณ.วัดแก้วตะเคียนทองนี้ กับหลวงพ่อแสง เจ้าอาวาสในขณะนั้น

ต่อมาได้ไปศึกษาต่อยัง วัดเจ้าเจ็ด จ.อยุธยา จนถึงปี2450 หลวงพ่อฯได้ย้ายกลับมาจำพรรษา ณ.วัดใหม่พิณสุวรรณ

อันเป็นปีแรกของการเริ่มสร้างวัด ท่านมาช่วยสร้างวัดและศึกษาทั้งวิปัสสนากรรมฐาน และแพทย์แผนโบราณ

กับ หลวงพ่อปิ่น เจ้าอาวาสวัดใหม่พิณสุวรรณในขณะนั้น กระทั่งมีความชำนาญ

ต่อมา หลวงพ่อปิ่น มรณภาพ หลวงพ่อเรื่องได้ขึ้นรับตำแหน่งเจ้าอาวาส ใช้วิชาความรู้ที่ได้ศึกษามาช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป

        วัดใหม่พิณสุวรรณในยุคที่หลวงพ่อเรื่องเป็นสมภารนั้น มีคนมาขึ้นกับท่านมากมาย ทั้งคนในพื้นที่วัดใหม่ฯ

และคนต่างตำบลอื่นๆคนไกลๆก็มาหาท่าน  เพราะท่านเป็นพระที่ดีมีคนเคารพมาก รวมถึงท่านมีวิชาแพทย์แผนโบราณ

สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านได้อย่างแท้จริง

คุณยายตุ ซึ่งทันหลวงพ่อในสมัยสาวๆ ได้เล่าให้ฟังว่า ในสมัยหลวงพ่อเรื่องนั้น มีคนมารอรับการรักษาจากหลวงพ่อเต็มใต้ถุนศาลาเลยทีเดียว

บางคนก็มาขอรับพระจากท่านก็มี คนเยอะแยะไปหมด

       อ.มนัส โอภากุล (นักเขียนและนักสะสมพระเครื่องสายสุพรรณ) ได้เขียนถึงหลวงพ่อเรื่องไว้ส่วนหนึ่งว่า

หลวงพ่อเรื่อง เจ้าอาวาสวัดใหม่พิณสุวรรณต.ตะค่าอ.บางปลาม้าสุพรรณบุรีเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานและแพทย์แผนโบราณ

รักษาคนป่วยตลอดจนคนบ้าหายมานับพันนับหมื่นรายโดยไม่เรียกค่ารักษาใดๆ ทั้งสิ้นจนถูกคนอิจฉา

และได้ต่อสู้กับความอยุติธรรมจนเป็นผลสำเร็จ...

       หลวงพ่อเรื่องมีวิชาในทางแพทย์แผนโบราณที่น่าทึ่ง และสามารถรักษาโรคได้หลากหลาย

แม้กระทั่งคนวิกลจริต ก็สามารถรักษาให้หายได้ มีหลักฐานการักษาคนที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้

เป็นกระดูกห่านส่วนหน้าแข้ง มีลักษณะเป็นรูและงอนเล็กน้อยบางแต่แข็ง ใช้สำหรับเป่ายาผงที่ทำให้คนไข้สลบ

ภายหลังท่านได้จารเป็นตะกรุด และมอบให้คุณย่าเมือง เมื่อคราวคลอดบุตร และทางครอบครัวได้ใช้ทำน้ำมนต์รักษาวัวควายเป็นโรค

และธรณีศาลหรือเวลาคลอดลูก (ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของทายาทท่านสืบมา)

      นอกจากคนที่มาเพื่อขอรับการรักษา ก็ยังมีผู้ที่ต้องการจะบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ก็มักจะมานิมนต์หลวงพ่อเรื่องไปเป็นอุปัชฌาย์

เพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้บวช และจะได้ชื่อว่าเป็นสัทธิวิหาริกของท่าน ซึ่งคนเหล่านี้เมื่อภายหลังสึกไปแล้ว ก็นับถือท่านเป็นดั่งอาจารย์

แวะเวียนกลับมาหาท่าน แม้มิได้มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรทำให้กิติศัพท์ของท่านแผ่ไปไกล

      ในสมัยนั้นไม่มีอุปัชฌาย์ที่แน่นอน เจ้าภาพศรัทธาองค์ไหน ก็ไปนิมนต์ ขอให้มีพรรษามาก ก็เป็นอุปัชฌาย์ได้

ดังนั้นหลวงพ่อเรื่องจึงแทบจะผูกขาดการเป็นอุปัชฌาย์ในถิ่นนั้น รวมถึงต่างตำบลไกลๆ ก็ยังมานิมนต์ท่าน

กระทั่งวัดต่างๆ จะสร้างโบสถ์ วิหาร ก็ยังมานิมนต์ท่านไปช่วย ไม่เฉพาะในเขตสุพรรณเท่านั้น ยังรวมถึงจังหวัดใกล้เคียง

ในจังหวัดสุพรรณเช่นวัดบ่อคู่ อ.อู่ทอง (เท่าที่พอทราบ) จังหวัดราชบุรีก็มี วัดท่าเรือ อ.ดำเนินสะดวก

ดังปรากฏในหนังสือของหลวงพ่อมหาวีระ วัดท่าซุงเล่าไว้ว่า (ย่อ)

    “อย่างคราวหนึ่งจะไปสร้างโบสถ์ที่ราชบุรี ก็มีงานวางศิลาฤกษ์ หลวงพ่อเรื่องกับหลวงพ่อเล็กก็มาร่วมงานด้วย ก็ไม่มีอะไรกันมาก

ท่านไปหาเสามาปักเล็กๆเข้า เป็นเขตสำหรับเป็นที่สร้างโบสถ์เท่านั้น     พอถึงกลางคืน ตามธรรมดาแล้ว

เราจะมองเห็นดาวอยู่สูงและไกลมาก แต่ที่นั่นไม่เป็นอย่างนั้น ใครเข้ามาในเขตวัดจะมองเห็นดาวสูงแค่เสาที่ปักเป็นเขตสร้างโบสถ์เท่านั้น

มองดูสุกสว่างมาก ถ้าเดินเข้าไปใกล้ๆเสา ดาวจะหายไปเลย ต้องถอยหลังออกไปประมาณสัก ๒ เมตร จึงจะมองเห็นได้เหมือนเดิม

ทีนี้แหละ...มึงก็มา กูก็มา ดูมั่งทำบุญมั่ง กลางวันคนมาเรื่อยๆ พอถึงกลางคืนคนเต็มเลย ดี

กว่ามีลิเก ละคร เสียอีก”

(อ่านเรื่องเต็มได้ที่ http://www.web-pra.com/Article/Show/1762)

     ความที่มีคนมานับถือหลวงพ่อเรื่อง มากนี้เอง รวมถึงการนั่งอุปัชายะ ที่ใครๆก็จะนิมนต์แต่ท่าน ทำให้พระผู้ใหญ่ในแขวงนั้น

ไม่พอใจ ขัดใจ และได้กลั่นแกล้งท่าน หลายอย่าง จนในที่สุด ได้กล่าวหาตั้งอธิกรณ์ ข้อปาราชิกกับท่าน

ว่ามีสตรีอิงนอนอยู่ในวัด โดยไปกล่าวโทษท่านถึงที่วัด และมีผู้นำสตรีวิกลจริต ไม่สวมเสื้อผ้า ไปไว้ในกุฏิของหลวงพ่อ เป็นการเตรียมการเอาไว้แล้ว

เมื่อทางคณะที่กล่าวโทษท่าน ไปถึงที่วัด ก็พบหลักฐานว่ามีสตรีเปลื้องผ้าอยู่ในกุฏิท่าน จึงได้กล่าโทษตั้งอธิกรณ์ ท่านว่าปาราชิกทันที

อันปาราชิกนั้นมี4ข้อ คือ

1.เสพเมถุน ไม่ว่ากับคนหรือสัตว์

2.ลักทรัพย์ราคา1มาสกขึ้นไป

3.ฆ่ามนุษย์

4.อวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน

        พระผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น ถือว่าขาดจากความเป็นพระทันที ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์อื่นได้ บวชใหม่ไม่เป็นผล

เมื่อพบหลักฐานประจักษ์ ตามที่คณะตั้งอธิกรณ์กล่าวหา หลวงพ่อได้กล่าวชี้แจงยืนยันความบริสุทธิ์ของท่านว่า

มิได้ล่วงประเวณีหรือกระทำการใดๆให้ผิดวินัยของสงฆ์ตามที่กล่าวหา

เหตุที่มีสตรีอิงนอนอยู่ในวัด ก็เพราะหลวงพ่อรักษาคนวิกลจริต ไม่รู้สติ(คนบ้า) แล้วมานอนแก้ผ้าในกุฏิ แต่ท่านมิได้ทำอะไรสตรีนั้นเลย

ในคืนก่อนหน้าที่เขาจะมากล่าวหา ท่านก็มิได้จำวัดที่กุฏิ ท่านจำวัดอยู่ที่ศาลาทำยา(ศาลารักษาคน) มีผู้ยืนยันได้

แต่ทางพระผู้ใหญ่มีอคติ ไม่ฟังความหลวงพ่อ บอกว่าหลักฐาน(เท็จ)แน่นหนา ท่านปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแล้ว ให้สึกและออกจากวัดไปทันที

เมื่อเหตุการณ์บีบคั้นดังนี้ หลวงพ่อจึงสึกกับต้นโพธิ์ แล้วขานวาจาว่า

     “เขาอยากให้เราสึก เราก็สึกแต่ทางกาย แต่ใจเราไม่สึก”

แล้วหลวงพ่อก็เปลื้องผ้าเหลือง ห่มผ้าขาวแทน แล้วเดินทางมากับนายไปล่ลูกผู้น้อง

(นายไปล่หรือคุณทวดไปล่ สมัยนั้นเป็นวัยรุ่น และได้เดินทางไปหาหลวงพ่อเรื่องเช้ามืดวันนั้นพอดี)

        หลังจากออกมาจากวัด หลวงพ่อได้ไปพักอาศัยที่บ้านโพธิ์ พักใหญ่

โดยยังปฏิบัติตนแบบพระทุกอย่างแต่ว่าห่มผ้าขาวแทน

หลังจากนั้นนายไปล่ ก็ไปหาท่าน และบอกว่าให้ท่านมาอยู่ที่บ้านผมก็ได้

ครั้งนั้นนายไปล่กำลังจะปลูกบ้าน หลวงพ่อก็มาก่อน ท่านมาบอกว่า

“กูอยู่ไม่นานหรอก เสร็จเรื่องแล้ว กูก็จะไป”

นายไปล่ถามว่า ท่านจะไปไหน

ท่านตอบว่า ธุดงค์เรื่อยไป

“ในประเทศบวชให้เป็นพระสมบูรณ์ไม่ได้ บวชประเทศอื่นก็ได้ เป็นพระเหมือนกัน”

ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปธุดงค์ ท่านได้ทำมงคลหัวเสาเอกให้นายไปล่ไว้ และให้พระบูชา1องค์เป็นมงคลกับบ้าน

วันที่ท่าจะจากไป ท่านให้ไปส่งท่าน จากปากคลองสองพี่น้อง เอาเรือไปส่งท่านที่ปากคลองบางสาม ท่านจะไปนครชัยศรี

และจะธุดงค์ไปทางประเทศลาวต่อไป ท่านบอกว่า

“ถ้าในประเทศไทยบวชไม่ได้ ท่านจะไปบวชที่ลาวและจะกลับมาแน่นอน”

แล้วท่านก็จากไป หายไปหลายปี

(เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าและข้อมูลจากคุณทวดไปล่ เสถียรอินทร์ บันทึกไว้โดยหลานของท่าน)

        ท่านหายไปหลายปี และกลับมาในสภาพที่บวชเป็นพระ แต่เป็นพระที่ไม่มีสังกัด อยู่วัดไหนไม่ได้

ไม่มีใครทราบว่าท่านไปบวชที่ไหน แต่ในช่วงที่ท่านหายไปท่านธุดงค์ไปในป่าของประเทศลาว และเขมร

ท่านอาจไปบวชกับพระอุปัชฌาย์ทางนั้น

เมื่อท่านกลับมาเป็นพระไร้สังกัด ท่านบอกว่า

“วัดอยู่ไม่ได้ เราก็สร้างวัดของเราเอง”

      ท่านมีที่นา2ไร่เป็นสมบัติจากโยมแม่ของท่าน ที่นานี้ติดกับวัด ท่านก็สร้างกุฏิ อยู่ปฏิบัติตัวเหมือนพระแต่อยู่ในที่ของท่าน

เมื่อท่านกลับมาอยู่ได้ประมาณ2ปี คณะที่เคยกล่าวหาท่าน (ที่ยังเหลืออยู่) ก็ตามมาสึกท่านอีก โดยให้เหตุผลว่า ท่านปาราชิกแล้ว

บวชใหม่ไม่เป็นผล ห้ามแต่งกายเลียนแบบพระ กลั่นแกล้งท่านต่างๆนาน

ท่านก็ยอม แต่บอกว่าอธิกรณ์นี้ขอให้หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก เป็นผู้ตัดสิน ไปตัดสินกันที่นครปฐม

ได้ตัดสิน ยกอธิกรณ์ทั้งหมดว่าท่านไม่มีความผิดใดๆ สำหรับการไปบวชที่ลาว ท่านว่าให้หลวงพ่อบวชใหม่

โดยมีสมภารวัดเจ้าเจ็ด(น่าจะเป็นหลวงพ่อยิ้ม) เป็นอุปัชฌาย์ให้

เมื่อบวชแล้วต่อมา ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์ สามารถบวชกุลบุตรได้เหมือนแต่ก่อน

ในการรับรองครั้งนั้นมี

1.หลวงปุ่บุญ วัดกลางบางแก้ว 2.หลวงพ่อ 3.หลวงพ่อวัดเจ้าเจ็ด

หลังจากนั้นคณะที่กล่าวหาท่าน ก็ค่อยๆล้มหายตายจากไป ไม่มีใครมากลั่นแกล้งท่านอีก

         ภายหลังจากที่หลวงพ่อพ้นอธิกรณ์ ก็ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ เป็นอย่างดี เห็นได้จากการที่ท่านได้รับนิมนต์ไปงานพุทธาภิเศกต่างๆมากมาย

ซึ่งในการทำกิจของสงฆ์นั้น ถ้ามีพระที่ปาราชิกเข้าร่วม พิธีนั้นไม่เป็นผล(แม้แต่การบวช)

การที่หลวงพ่อเรื่อง ได้รับการนิมนต์เข้าร่วมงานพิธีต่างๆอย่างมากมาย เป็นข้อการันตีต่อภายนอกว่าคณะสงฆ์เชื่อมั่นว่าท่านเป็นพระผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

สำหรับงานที่หลวงพ่อรับนิมนต์ไปร่วมนั้น เท่าที่พอจะมีข้อมูลเป็นตัวอักษร เหลือให้พอติดตามได้มีดังนี้(เชื่อว่ามีมากว่านี้)

       1..พิธีวัดพระปฐมเจดีย์2476

       2.พิธีแหวนมงคลเก้าวัดราชบพิตร 2481

       3.พิธีแหวนของขวัญมงคลศรี วัดราชบพิตร2484

       4.พิธีชินราชอินโดจีน วัดสุทัศน์2485

       5.พิธีสร้าง เหรียญหล่อโบราณพิมพ์พระประจำวัน 2487 วัดพระปฐมเจดีย์

       6.พิธีสร้างเหรียญหล่อวัดห้วยสุวรรณ 2495

       7.พิธีวัดประสาทปี2506 หลวงพ่อมอบชนวนหล่อพระวัดเบญจมบพิตรให้ แต่ไม่ทราบว่าท่านไปร่วมปลุกเสกหรือไม่

         เพราะท่านชราภาพมากแล้ว

    สำหรับพิธี วัดบางหลวง วัดระฆัง วัดสุทัศน์ วัดวิหารเบิก วัดท่าเรือ ราชบุรี หรือพิธีวัดพระปฐมปีอื่นๆเช่น

การเสกชนวนพระท่ากระดานวัดบางช้างเหนือปี2497 ที่วัดพระปฐม ฯลฯ ผมยังหาหลักฐานเป็น

อักษรไม่เจอ แต่ก็ทราบข้อมูลมาบ้าง จะได้ค้นหาต่อไป

 

      หลวงพ่อเรื่อง ชินนฺปุตโต ท่านเป็นพระที่มีวิชามีอภินิหารแปลกๆ มากมาย หลวงพ่อมหาวีระ วัดท่าซุงเคยเล่าถึงท่านไว้ว่า

“หลวงพ่อเรื่อง โอ๊ะ...ท่านเก่งมาก เก่งรองจากหลวงพ่อปาน ท่านเป็นรุ่นน้องหลวงพ่อปาน สำหรับหลวงพ่อเรื่องนี้ ท่านมีอภินิหารแปลกๆเยอะ”

“อาจจะเป็นอานุภาพของหลวงพ่อเรื่องก็ได้ หลวงพ่อเรื่องนี่ท่านเก่งมาก เป็นพระรุ่นน้องของหลวงพ่อปาน มีวิชาอาคมดีมาก กรรมฐานก็ดีมาก มีความเป็นทิพย์ของจิตอย่างประเสริฐ”

“หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเล็กวัดบางนมโค หลวงพ่อเรื่องวัดใหม่พิณสุวรรณ พระคณาอาจารย์ทั้งสามท่านนี่เป็นพระอริยะทั้งนั้น อาตมาอยู่ใกล้ แน่ใจว่าเป็นพระอริยะเจ้า”

     นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องเล่าจากผู้ที่เคยใกล้ชิด หรือได้รับวิชาจากท่านดังนี้

 1.มีลุงอยู่คนหนึ่งชื่อลุงมุบ  คุณลุงได้บอกกับคนละแวกใกล้วัดใหม่พิณสุวรรณว่าตัวเขาไม่ต้องห้อยพระหลวงพ้อก็เหนียวได้(คงกะพัน) 

เพียงแค่ระลึกถึงหลวงพ่อแค่นั้นและลุงมุบก็ได้ลองให้แก่คนละแวกนั้นได้ดูเป็นบุญตา

ด้วยการใช้มือผ่าไม้รวกที่ผ่าปากกระบอกไว้เป็นท่อนๆแบบข้าวหลามแล้วใช้มือรุดลงไปจนสุดปรากฏว่า

เลือดไม่มีให้เห็นสักนิดคุณลุงมุบเป็นศิษย์หลวงพ่อตอนนี้ไม่อยู่แล้วแล้ววิชานี้ ตอนนี้ได้ตกอยู่กับท่านๆหนึ่งที่อยู่ข้างวัดใหม่

 

 2.นายชุบ ช่างเคหะ เป็นชาวบ้านทองประดิษฐ์ อ.สองพี่น้องได้ออกหาปลาในคลองหลวงพ่อเรื่องได้มาเรี่ยไรด้วยเรือหางยาวหาเงินไปสร้างวัดบ่อคู่

นายชุบเขาเป็นคนชอบในด้านการสักยันต์ มากเลยนิมนท่านแล้วถามท่านว่ามีคาถาอะไรบางครับที่เหนียวๆๆๆๆครับ

หลวงพ่อท่านก็บอกว่าเออเดี๋ยวกูให้มันยาวนะมึงจะจำได้เปล่า

นายชุบตอบจะตั้งใจจดจำให้ได้ครับหลวงพ่อเลยบอกว่ามึงตั้งใจนะกูจะบอกให้

นายชุบตอบครับหลวงพ่อให้คาถาว่า นะ มะ อะ อุ เวลามึงจะใช้ให้ภาวนาว่า

นะกิโลโหติจงเกิดเป็นนะมะกิโลโหติจงเกิดเป็นมะ

อะกิโลโหติจงเกิดเป็นอะ

อุกิโลโหติจงเกิดเป็นอุ      แล้วนึกถึงกู

นายชุบ ช่างเคหะเป็นบุคคลที่คนวัดทองประดิษฐ์รู้กันดีว่ามีวิชาอาคมครับท่านเล่าให้ผมฟังว่าหลวงพ่อไม่ธรรมดาคาถาแปลกๆๆเยอะเเต่จะลงท้ายว่าให้นึกถึงกู

จะเห็นได้ว่าเรื่องทั้ง2(คนละที่มา) มีความคล้ายคลึงกันตรงที่ สุดท้ายแล้ว ให้นึกถึงหลวงพ่อเรื่อง เหมือนกันครับ

 

 3.มีลูกศิษย์ของท่านได้บริจาคเงินให้หลวงพ่อสร้างวัด และไปซื้อไม้กับท่าน ในขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลก

เรือพายที่นำคณะซื้อไม้ ได้ผ่านไปในจุดที่มีการยิงต่อสู้กัน แต่ละฝ่ายอยู่คนละฝั่งคลอง ยิงต่อสู้กัน ลูกศิษย์ที่พายเรือ

ได้บอกหลวงพ่อด้วยความกลัวว่า “หลวงพ่อ กลับเหอะ เขายิงกันใหญ่แล้ว”

หลวงพ่อได้ตอบว่า “มึงไปกลัวทำไมวะ มึงมากับกู มึงกลัวด้วยเหรอะวะ พายเรือฝ่าไปเลย”

เมื่อหลวงพ่อท่านสั่งดังนั้น คณะพายเรือจึงรีบจ้ำพายฝ่าไปอย่างเร่งรีบ ลูกศิษย์ท่านนั้นได้เล่าว่า

พายเรือฝ่าไปได้ยินเสียงเขายิงกันดังโป้ง ป้าง แต่ลูกกระสุนของทั้ง2ฝ่ายไปไม่ถึงกัน ได้ยินเสียงกระสุนตกลงน้ำอยู่ข้างเรือ

และไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ จนพายเรือเลยไป

 

 4.เขมรลองวิชา เรื่องนี้รับข้อมูลมาจากเพื่อนที่สุพรรณ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปฉันเพล

ในการนี้เขานิมนต์ไปเพื่อลองของโดยเฉพาะ โดยเอาหนังควายไปแอบวางไว้ใต้อาสนะที่ท่านจะนั่ง

เพื่อที่เวลาท่านนั่งแล้วจะทำพิธีไสยศาสตร์ ย่อหนังควายเสกให้เข้าตัวท่านทางทวาร เมื่อหลวงพ่อมานั่งแล้ว

เขาก็จะเริ่มทำพิธี แต่ฉับพลัน หลวงพ่อยกมือไหว้ไปในอากาศ แล้วเป่าพวดลงไปตรงที่ท่านนั่ง หนังควายผืนนั้น

กระเด็นหลุดออกมาจากใต้อาสนะทันที คนที่จะทำของถึงกับตกใจร้องทันที ว่า “นี่สิพระไทย นี่สิพระไทย ของแท้”

เรื่องนี้ผมไม่ทราบ พ.ศ.ที่เกิดเรื่อง เพราะเป็นเรื่องเล่าต่อกันมาในหมู่ชาวบ้านใกล้วัดใหม่ฯ

บางทีอาจเป็นตอนที่ท่านออกธุดงค์ก็เป็นได้ครับ เพราะคนที่ทำเป็นชาวเขมร

 

 5.เรื่องเล่าจากพระครูโกมุทสุคนธศีลหรือ หลวงพ่อผวล ปิยธโร วัดลาดบัวหอม อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณ

ท่านเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญมากแต่หน้าเสียดายท่านมรณภาพไปแล้ว

ผมรู้จากคนบ้านโพธิ์ซึ่งเคยไปรักษาโรคกับหลวงพ่อเรื่องเขาบอกว่า หลวงพ่อผวลน่ะรู้ดีท่านไปเรียนวิชายาอยู่พักใหญ่

ผมเลยไปกราบท่านที่วัดลาดบัวหอมตอนอายุท่านนั้น๙๓หนึ่งปีก่อนท่านมรณภาพ

ท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อท่านดุ ทำอะไรเเปลกๆ เเต่ทำได้คาถาก็แปลกๆ  แต่ท่านจะสอนตอนคนไม่เยอะ

ครั้งที่ไปเรียนกับท่าน วิชาเเรกเลยฉันละขนลุกกลัวๆกล้าๆ(หลวงพ่อพูดบัวไม่ช้ำเลยท่านพูดเพราะยิ้มเก่ง)

ท่านให้คาถาเรามาสองสามคำคาถาก็แปลกๆ แล้วให้ไปนั่งในที่รกๆ ตอนพลบค่ำ งูก็ชุม กลัวก็กลัว

หลวงพ่อบอกเอาน่าของดีๆ ต้องลองเรา  ก็ไปนั่งกระเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเเหละมาเลยตัวไม่ใช้น้อยงูๆ งูสองตัวสติเเตกเลยเราเอาไงดีว่ะ ไอ้จะลุกฉันโดนเเน่ หลวงพ่อเอาไม้ตะพดตีเเน่

หลวงพ่อบอกว่าทำใจให้นิ่งมันมารอท่านแล้ว  นิ่งใว้ๆ ท่องไปงูมันก็แผ่แม่เบี้ย

ฉันก็เอาวะๆเป็นไงเป็นกันถ้าลุกมันฉกแน่ ลองกันสักตั้ง

ท่องจนนิ่งพักเดียวมันนอนนิ่ง เลยเราก็คิดว่า เราคงไม่กระดิกตัวมันเลยนิ่ง

หลวงพ่อบอกอีกว่าลองอีกทีวะให้มันกระจ่าย(ให้มั่นใจ)

แผ่เมตาเเล้วลูบหัวมันเอานะ มึงเชื่อกู

หลวงพ่อคิดในใจเอาก็เอาวะเป็นไงเป็นกันเฮยๆ

มันนิ่งเสียก็ไม่มีตัวละอ่อนเลย

หลวงพ่อก็บอกเราว่า มันเป็นไม้ท้อน

แล้วหัวเราะ แล้วหลวงพ่อก็บอกกับหลวงพ่อผวลว่า

ใช้ในทางจำเป็นของจะดีอยู่ที่ใจเรานิ่งพอหรือยัง ใจเป็นหลักใจนิ่งกระทู้ยังเหาะได้เลย

(เรื่องนี้ได้อนุรักษ์สำนวนที่หลวงพ่อผวนท่านเล่าไว้เดิมๆ จึงอาจมีศัพท์โบราณอยู่บ้าง เช่นไม้ท้อนคือตัวแข็ง  / ไม้กระทู้คือไม้ลำที่มาทำสะพานเป็นส่วนโคนต้น)

6.พึมๆๆพำๆๆๆ

ในสมัยที่หลวงพ่อเรื่องยังอยู่นั้นถ้าใครไปหาท่านหรือผ่านไปจะเห็นท่านนั่งพึมพัมๆ อยู่คนเดียวตลอด

ทำไมหลวงพ่อจึงมีคนเห็นแบบนั้นเป็นการเจริญกรรมฐานครับ หลวงพ่อฉันหมากแล้วภาวนาด้วยพุทธคุณธรรมคุณ

และสังฆคุณจนเป็นนิสัย ภาวนาจนหมากเปร้ยวกันคุณ และของเดรฉานวิชาครับ โดยหลวงพ่อจะภาวนาตั้งเเต่กระบันหมาก

นายมา เล่าให้ฟังว่ากระบันหลวงพ่อยาวเป็นศอกกระบันไปด่าไป   เขาเลยถามหลวงพ่อว่าด่าใครครับหลวงพ่อตอบว่า

ผีในป่าช้ามันให้กูมาให้ด่าเเละไจะไม่อดวัดจะมีคนมาทำบุญ  ลูกวัดจะมีกินและ ได้ผลมันก็รอกินกรวดน้ำให้มันเรื่อย

มันได้ผมว่ะกูนึกว่ามันจะหลอกกูซะเเล้ว  หลวงพ่อท่านพูดกูเคี้ยวไป

เลยต้องเอาพุทธคุณช่วยเดียวมันลองของจะเป็นอันตรายเอา เป็นเรื่องเล่านายมา บ้านตะค่า

เขาเล่าให้ฟังตอนผมไปงานศพพี่สาวอ.ชะอ้อน หงษ์โตเมื่อปีที่แล้วครับ

 

  สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อเรื่องนั้น มีมากมายหลายแบบ เช่น ผ้ายันต์ ตะกรุด แหวนแขน แหวนนิ้ว แหวนงู

ผ้ายันต์ชายธง มงคล รูปกระจก รูปบูชา พระเนื้อดินหลายสิบพิมพ์ พระเนื้อเมฆพัตร พระเนื้อแร่ พระหล่อเนื้อโลหะ

พระผงใบลาน พระสมเด็จว่านยา ดำ-แดง เหรียญปี2499 และ2509 (ทันหลวงพ่อ)

พระเครื่องเหล่านี้มีหลายสิบแบบ มีทั้งที่ท่านได้รับจากงานที่ไปร่วมปลุกเสก

และที่ท่านนำมาถอดพิมพ์เทด้วยเนื้อที่เป็นของท่านเอง  บางพิมพ์ก็แกะเป็นเอกลักษณ์ของท่าน

ซึ่งจะได้รวบรวมรายละเอียดต่อไป

   หลวงพ่อเรื่อง ชินนฺปุโต ได้อยู่ปกครองวัดใหม่พิณสุวรรณ และเป็นที่พึ่งของประชาชนชาวบ้านเรื่อยมาจน ถึงปีมะเส็ง พ.ศ.2508

วันนั้นหลวงพ่อได้ขึ้นเทศน์บนธรรมมาสน์ ที่วัดใหม่พิณสุวรรณ มีคนมาฟังเทศน์กันมากมาย

ท่านเทศน์สอนชาวบ้านที่รักนับถือท่านเป็นพิเศษในวันนั้น เมื่อเทศน์จบหลวงพ่อได้บอกว่า

“วันนี้เป็นการเทศน์ครั้งสุดท้าย แล้วเราจะไม่อยู่แล้ว”

    เสร็จแล้วหลวงพ่อเข้ากุฏิ ปิดห้อง และมรณภาพในกุฏิของท่านอย่างสงบ เป็นการจบกิจในพระพุทธศาสนา สิ้นสุดในวัฎสงสาร อย่งสิ้นเชิง

เหมือนที่ท่านได้บอกกับนายโปรด ศิษย์ของท่าน ที่ท่านรักษาโรคทางสมอง ให้จนหายสนิท จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์รับใช้คอยขับเรือให้

ท่านได้กล่าวกับนายโปรด (คุณปู่โปรด) ก่อนมรณภาพไม่นานว่า

“เราจะไปแล้วนะ จะไม่มา เวียนว่ายตายเกิดแล้ว” ……..

 

       ปัจจุบันที่วัดใหม่พิณสุวรรณ ยังมีรูปหล่อของท่าน ทีสร้างครั้ง ท่านยังไม่มรณภาพ(ประมาณปี 2497-2498)

ทำการหล่อที่วัดใหม่ฯ ช่างมาจากนครปฐมขึ้นหุ่นที่วัดและหลวงพ่อนั่งเป็นแบบ

และทำพระเครื่องหนึ่งรุ่นมี๗พิมพ์เป็นโลหะทองเหลืองแจงในงานเททองคือ

เหรียญหล่อพระประจำวันหลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยว เกิดสิ่งอัศจรรย์คือมีดาวตอนกลางวันและฟ้าร้องโดยไม่มีเค้าฝน

และมีอัฐิธาตุส่วนหนึ่งอยู่ในรูปหล่อหลวงพ่อ และแหวนนิ้วกันงู

อัฐิของหลวงพ่อ ภายหลังทางวัดได้พบว่าแปรสภาพเป็นเม็ดๆ คล้ายเม็ดถั่วเขียว (ใช้วิจารณญาณนะครับ)

 

ข้อมูลที่ได้รวบรวมมาทั้งหมดนี้ต้องขอขอบพระคุณ คุณศ.ศุภกิจจ์ ซึ่งได้รวบรวม และแสวงหาข้อมูลจากหลายๆที่

เช่น หลวงพ่อผวน วัดลาดบัวหอม หลวงตา วัดใหม่ คุณทวดไปล่ ฯลฯ

รวมถึงผู้ที่ให้ข้อมูลจากจังหวัดสุพรรณอีกหลายท่าน ขอขอบพระคุณมากครับ

ความดีใดๆที่จะเกิดขึ้นมาจากบทความนี้ขออุทิศถวายแด่หลวงพ่อเรื่อง ชินนฺปุโต หลวงพ่อผวน ปิยธโร

รวมถึงลูกศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลายๆท่านที่กล่าวถึง

ความผิดพลาดและคลาดเคลื่อนใดๆ ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้และยินดีปรับปรุง กรุญาติดต่อเพื่อแจ้งความบกพร่องหรือแนะนำข้อมูลเพิ่มเติม

ผมได้ทางเฟสบุค หนึ่งสมุทร สาคร  0847013974 ขอขอบพระคุณมากครับ

 

 

 

 

 

 

 

 ******************บทความอยู่ในระหว่างการแก้ไขข้อมูล กรุณาอย่านำไปอ้างอิง*******************************

 

หลวงพ่อเรื่อง ชินนปุตโต วัดใหม่พินสุวรรณ(ประวัติฉบับเรื่องเล่า)
หลวงพ่อเรื่อง ชินนปุตโต วัดใหม่พินสุวรรณ(ประวัติฉบับเรื่องเล่า)
Top