เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓-wison - webpra
VIP
สมัครเล่นครับ เรียนรู้จากของแท้เท่านั้น

หมวด เหรียญปั๊ม ก่อนปี 2520

เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓

เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓ - 1เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓ - 2เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓ - 3เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓ - 4เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓ - 5
ชื่อร้านค้า wison - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓
อายุพระเครื่อง 56 ปี
หมวดพระ เหรียญปั๊ม ก่อนปี 2520
ราคาเช่า -
เบอร์โทรติดต่อ 0819460502
อีเมล์ติดต่อ wison41505@gmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ พระโชว์
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ ส. - 11 ก.ค. 2552 - 21:22.15
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ พ. - 09 มิ.ย. 2564 - 18:18.39
รายละเอียด
เหรียญพระอาจารย์ลี ๒๕๐๓ ท้องถิ่นเขาเรียกเหรียญกิโล บล็อกแตก นิยม สภาพสวย รมดำอยู่เกือบครบ เหรียญนี้พ่อผมรับมาจากมือท่านพ่อลี โดยไม่ผ่านมือคนอื่นเลย ตั้งแต่วันที่พ่อนำผมไปถวายให้เป็นลูกท่าน ท่านก็รู้ล่วงหน้าโดยสั่งให้ลูกศิษย์เตรียมข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ พอสั่งเสร็จก็เปรยว่า "วันนี้จะได้ลูกชายคนหนึ่ง.." ลูกศิษย์แอบมากระซิบให้แม่ผมฟังหลังจากเสร็จพิธีกรรมต่างๆแล้ว กำลังจะลาท่านกลับ ท่านก็มอบเหรียญนี้ให้แล้วก็เก็บมาจนถึงทุกวันนี้

ท่านพ่อลี ธัมมธโร "รู้วันตาย..ทำไมต้องตาย"

พระพุทธเจ้า ตั้งแต่วันที่พระองค์ตรัสรู้มาก็ทรงทราบแล้วว่าจะปรินิพพานในวันไหน แต่พระองค์เลือกที่จะบอกก่อนตาย ๓ เดือนแก่พระอานนท์ว่า “อานนท์....อีก ๓ เดือนเราตถาคต จักปรินิพพาน”

แม้พระอรหันต์รูปอื่นๆ ท่านก็สามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้เช่นกัน
สมัยปัจจุบันท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺโต ก็ได้บอกล่วงหน้าแก่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโนว่า “อายุ ๘๐ ปี จะนิพพาน”
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า “๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด”
หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก บอกวันตายล่วงหน้าได้ถึง ๒ ปี
แม้ ท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม พระอาจารย์จวน กุลเชฎฺโฐ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโรก่อนจะรับนิมนต์แล้วประสบอุปัทวเหตุเครื่องบินตกมรณภาพที่ทุ่งรังสิต จังหวัดปทุม นี้ก็ได้บอกเป็นนัยแก่สานุศิษย์ว่า “การเดินทางไปคราวนี้จะมิได้กลับมา”

สำหรับท่านพ่อลี ธมฺมธโร มีบทสนทนาเป็นเรื่องราว การบอกวันเวลาตายล่วงหน้าเป็นอย่างดี

... กลางคืนวันหนึ่ง หลังงานฉลองกึ่งพุทธกาลจบลง ณ กุฎีปุณณสถาน ที่วัดอโศการาม ท่านพ่อลียังร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ท่านได้ปรารภกับพระอาจารย์แดง ธมฺมรกฺขิโต ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ เรื่องอายุขัยคือการสิ้นสุดแห่งชีวิตว่า

“ท่านแดง อายุ ๕๕ ปี ผมต้องตาย ชีวิตถึงคราวสิ้นสุดให้ท่านอยู่ช่วยดูแลหมู่คณะที่วัดอโศฯ เมื่อผมตายไปแล้ว ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งพาอาศัยของหมู่เพื่อน”การกล่าวในครั้งนี้ ท่านกล่าวก่อมรณภาพเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งมาถึงปี พ ศ ๒๕๐๔ ท่านพ่อลีได้ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า ธนบุรี ท่านเรียกพระอาจารย์แดงมาหาแล้วกล่าวย้ำว่า

"เราอายุ ๕๕ จะลาตายแล้ว”

"ตายยังไงครับ ท่านพ่อ”

"ก็ตายขาดลมหายใจนะสิ ถามได้ ก็เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือ”

"ผมลืมไปแล้ว แต่เมื่อท่านพ่อทักขึ้นผมก็จำได้ ทำไมท่านพ่อจะต้องตายด้วย ไม่ตายไม่ได้หรือ?”

“เรา ได้รับนิมนต์เขาแล้ว เสียดายที่จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้นาน เกิดมาได้มีโอกาสช่วยพระศาสนาน้อยเหลือเกิน คิดแล้วก็ยังไม่อยากตายเลย เพราะเห็นแก่ประโยชน์คนอื่น ส่วนเราเองไม่สู้มีปัญหาในการเกิดการตาย”

“รับนิมนต์ใคร"

รับนิมนต์เทวดา เขาอาราธนา"

“เขาอาราธนาไปทำไม"

“เขาอาราธนาไปสอนมนต์ให้"

“ไปสอนมนต์อะไรครับ ช่วยสอนให้ผมด้วย"

“มนต์ก็ไม่มีอะไรมาก พรหมวิหาร ๔ ของเรานี้แหละ แต่คนอื่นสอนมันไม่ขลัง ต้องให้เราสอนมันถึงขลัง เขาบอกอย่างนี้

"ผมขออาราธนาท่านพ่อไว้ อย่าเพิ่งตายเลย"

"เราได้ตกลงรับอาราธนาเขาแล้ว อยู่ไมได้"

"ท่านพ่อครับ ไม่มีวิธีอื่นบ้างเลยหรือ ที่จะสามารถต่ออายุไปได้อีก"

ท่านพ่อลีเล่าถึงรอยต่อแห่งชีวิตอันมีความเป็นความตายเป็นเครื่องเดิมพันว่า..

" วิธีนั้นมี แต่เรื่องมันผ่านเป็นอดีตไปแล้ว เราจะหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้ หลักธรรมหลักความจริงท่านใช้ปัจจุบันเป็นเครื่องตัดสิน

พวกเธอจำได้ไหม? ในสมัยประชุมคณะกรรมการจะสร้างเจดีย์ และโบสถ์ เราปรารภให้สร้างพระเจดีย์เสียก่อน แต่ไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้ารับงานนี้

บางคนเขาคิดเอาเองว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วเราจะหนีเข้าป่าบ้างตายบ้าง (เพราะท่านไม่ได้บอกพวกเขาถึงเหตุว่าการสร้างพระเจดีย์จะต่ออายุท่านได้)

กรรมการ ที่ประชุมมีความเห็นว่า สร้างโบสถ์ก่อน ก็เป็นอันตกลง ซึ่งเขาไม่รู้จักจุดลึกในชีวิตของเรา การที่จะมาแก้ในสิ่งที่ล่วงเลยมา มันก็สายเสียแล้วแล้ว”

ท่านพ่อลีกล่าวย้ำว่า “..ก็พวกเธอเกาไม่ตรงที่คัน ต่อให้มีโบสถ์ตั้ง ๒๐ หลัง ก็ไม่เท่ากับสร้างพระเจดีย์เพียงหนึ่งองค์..ท่านเอ๊ย!”

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดหวังในชีวิตของท่านพ่ออีกต่อไป

พระอาจารย์แดงจึงเรียนท่านว่า “เมื่อตายไปแล้ว ก็ขอให้ท่านพ่อมาช่วยเหลือวัดอโศการาม”

ท่าน พ่อลีก็หัวเราะ ฮึ ๆ ตอบวา “เราก็เป็นห่วงเหมือนกันคิดว่าจะคายอะไรไว้ให้เขากินกัน แต่ชีวิตก็จวนเสียแล้ว ก็ให้พวกยังอยู่หากินกันไป ถ้าไม่มีปัญญาก็ช่างมัน”

และได้เรียนถามท่านอีกว่า “ท่านพ่อมีคาถาอะไรดี ๆ ก็สอนให้ผมด้วย”

ท่าน พ่อลีตอบว่า”คาถานั้นมีอยู่ แต่สู้ใจเราไม่ได้ ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จคุณธรรม เมื่อเราทำความเพียรอย่างสูงสุด เสียสละชีวิตแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน”

นี้เป็นเพียงบทสนทนาสั้น ๆ (ฉบับเต็มจะตีพิมพ์ในหนังสืองานฉลองพระธุตังคเจดีย์) แต่เต็มไปด้วยความหมายแห่งผู้ปฏิบัติธรรมได้เต็มขั้นเต็มภูมิ

ชีวิตพระอริยเจ้าจึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ

ท่านไม่ได้นอนรอความตาย

ท่านทราบเรื่องความตาย

ตายแล้วไปไหน หลังจากตายจะไปทำอะไร

ได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

และคำว่า “พระนิพพานเป็นอย่างไร สุขสบายดีไหม ท่านรู้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องคิดหาคำตอบมาถกเถียงให้เมื่อยกราม

เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ท่านประสบพบเห็นเองอยู่

ท่านมีชีวิตอยู่ก็เป็น “สอุปาทิเสสนิพพาน”

ตายไปก็เป็น “อนุปาทิเสสนิพพาน”

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พระนิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล แต่เป็นของรู้ได้เฉพาะตน”

“...ผู้บรรลุพระนิพพาน.. จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน ถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก ...เพราะมองเห็นที่หมายข้างหน้าแล้ว

... ความตายเรา (ตถาคต) ก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งร่างกายนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ มีสติมั่น ...เรารอท่าเวลาตายเหมือนคนรับจ้างทำงานเสร็จแล้ว รอรับค่าจ้าง ... (เสร็จกิจพรหมจรรย์ รอตายไปอนุปาทิเสสนิพพาน)

ในเรื่องบางอย่างพวก เราผู้เป็นปุถุชนไม่รู้ แต่จะไปอวดเก่งกว่าท่านผู้รู้จริงไม่ได้ อย่างเรื่องท่านพ่อลี ถ้าบรรดาศิษย์เชื่อฟังท่านเสียหน่อย ท่านก็ยังจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังอย่างนี้

คน ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลก ส่วนมากล้วนตายไปกับความมืดบอด ตอนยังมีชีวิตก็หลงมัวเมาสนุกสนานเพลิดเพลินในการอยู่การกิน หัวเราะร้องไห้กันไป ตามแต่จะประสบสุขทุกข์ รักและชัง ปล่อยตัวปล่อยใจให้ชีวิตเดินไปตามยถากรรม โดยไม่สนใจที่จะคิดสร้างกรรมดีขึ้นด้วยจิตใจและเรี่ยวแรงตามกำลังสติปัญญา ที่มี ปล่อยให้วันคืนล่วงไปเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ที่เขาเลี้ยงอย่างอ้วนพี แล้วก็นำไปสู่โรงฆ่า ..ช่างน่าเวทนาเสียจริงๆ !

แล้วก็สรุปเอาเองว่า “เป็นเพราะโชคชะตา เป็นเพราะพรหมลิขิต”

ที่จริงเป็นเพราะการกระทำของตนนั้นเอง !

โค ที่ถูกเขานำไปสู่โรงฆ่าไม่ใช่เป็นเพราะความที่เกิดมาเป็นโค แต่เป็นเพราะจิตดวงนี้ไมได้สร้างคุณงามดีไว้ในชาติปางก่อน เมื่อความดีน้อย จึงมาเกิดเป็นโค เป็นหมู หรือเป็นสัตว์อื่น ๆ ในภพภูมิอื่นๆ ที่ตกต่ำ ถ้าความดีมาก ก็เกิดเป็นมนุษย์ เทวดาพรหม ความดีมากสุดได้ถึงวิมุตติพระนิพพานเป็นพระอรหันต์

ในชาติปัจจุบัน ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายจึงเวียนว่ายในห้วงน้ำคือการเทียวเกิดเทียวตายไม่มีที่สิ้นสุด

..เหมือนดวงอาทิตย์ ใครจะอ้อนวอนขอร้องให้คงอยู่กับที่ยอมเป็นไปไม่ได้

..เหมือนคนคร่ำครวญร้องไห้อ้อนวอนพระอาทิตย์ว่าอย่าอัสดงเลย ..ผู้ร่ำไห้จักต้องมีน้ำตาเจิ่งนองเป็นสายเลือดและตายไปเปล่า ๆ

..ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครหยุดยั้งการตายได้

พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกเท่านั้นที่สามารถหยุดการเกิดตายได้

ความตายสำหรับท่าน เป็นทางแห่งแสงสว่าง เพราะท่านตายอย่างสมประสงค์ ไปสู่แดนอันเกษมคือพระนิพพาน

นอกจากนี้ท่านยังสามารถรู้วันเกิดตาย เนื่องในอดีตซาติของท่านเองและคนอื่น

ความตายกับท่านเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและซับซ้อนเลย

แต่สำหรับปุถุชนคนหนาปัญญาหยาบแล้ว ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่ลี้ลับ ยากที่ใคร ๆ จะสามารถไขปริศนาในมุมมืดนี้ได้

พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top