พระสมเด็จฯของชาวอุบลราชธานี ๒๔๘๒ ห่วงเชื่อม-wison - webpra
VIP
สมัครเล่นครับ เรียนรู้จากของแท้เท่านั้น

หมวด พระเกจิภาคอีสานเหนือ

พระสมเด็จฯของชาวอุบลราชธานี ๒๔๘๒ ห่วงเชื่อม

พระสมเด็จฯของชาวอุบลราชธานี ๒๔๘๒ ห่วงเชื่อม - 1พระสมเด็จฯของชาวอุบลราชธานี ๒๔๘๒ ห่วงเชื่อม - 2พระสมเด็จฯของชาวอุบลราชธานี ๒๔๘๒ ห่วงเชื่อม - 3
ชื่อร้านค้า wison - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง พระสมเด็จฯของชาวอุบลราชธานี ๒๔๘๒ ห่วงเชื่อม
อายุพระเครื่อง -
หมวดพระ พระเกจิภาคอีสานเหนือ
ราคาเช่า 2,100 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 0819460502
อีเมล์ติดต่อ wison41505@gmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ พร้อมเช่า
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ ส. - 22 พ.ค. 2553 - 17:13.54
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ พ. - 16 มี.ค. 2554 - 07:46.42
รายละเอียด
พระสมเด็จฯของชาวอุบลราชธานี ๒๔๘๒ ห่วงเชื่อม

เหรียญนี้ออกในวาระที่ท่านได้รับพระราชทานตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์" เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๒
นับเป็นเหรียญที่ระลึกของคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวจังหวัดอุบลราชธานี
ในบรรดาหมู่ศิษย์สายพระกรรมฐานลึก ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ แล้วย่อมต้องมีนามของสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (ติสโส อ้วน) วัดบรมนิวาส อยู่ด้วย เพราะแม้ว่าท่าจะมีตำแหน่งชั้นสมเด็จ แต่ก็ให้ความเคารพต่อพระอาจารย์มั่น และยังให้การสนับสนุนพระกรรมฐานรูปต่อ ๆ มาไม่ว่าจะเป็นลพ.ลี วัดอโศการาม ตลอดจนให้ความช่วยเหลือในการจัดสร้างเสนาสนะต่าง ๆ เช่น วัดป่าสาละวัน จนลุล่วงไปด้วยดี
และเป็นที่ทราบกันครับว่าพระสายกรรมฐานจะไม่ค่อยเน้นการจัดสร้าง วัตถุมงคลเท่าไหร่ เพราะมุ่งเน้นการเผยแพร่และการปฏิบัิติธรรม แต่มีการจัดสร้างเหรียญในนามของสมเด็จฯ (ติสโส อ้วน) ขึ้นมาในปี ๒๔๘๒ ซึ่งถือว่าเป็นเหรียญนิยมของสายพระกรรมฐานเช่นกัน พิธีปลุกเสกยิ่งใหญ่ที่วัดบรมนิวาส มีพระสายอาจารย์มั่นมาร่วมพิธีกันมากมาย จึงเรียกได้ว่าเป็น "ของดี" ที่คนรู้ประวัติน้อยไม่งั้นคงจะขึ้นอันดับเหรียญหลักหมื่นไปแล้ว

ประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

๏ ชาติภูมิ
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) มีนามเดิมว่า “อ้วน” นามสกุล “แสนทวีสุข” เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๐๐ ณ บ้านแคน ตำบลดอนมดแดง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โยมบิดาเป็นกรมการเมืองชื่อ เพี้ยเมืองกลาง (เคน แสนทวีสุข) โยมมารดาชื่อ บุตสี แสนทวีสุข

๏ ชีวิตเยาว์วัยและการศึกษาเบื้องต้น
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ท่านเคยเล่าชีวิตเมื่อเยาว์วัยให้มหาไชย จันสุตะ ฟังว่า เมื่อยังเด็กท่านชอบมีเพื่อนฝูงมาก เพื่อนฝูงทั้งหลายมักตั้งท่านให้เป็นหัวหน้า และเมื่อท่านทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแล้ว เพื่อนฝูงจะเชื่อฟัง ท่านจัด ท่านแบ่งอะไรทุกคนพอใจ ไม่เคยโต้แย้ง ท่านมีแววของความเป็นผู้นำมาตั้งแต่เยาว์ทีเดียว
นอกจากลักษณะของความเป็นผู้นำแล้ว สมเด็จฯ ยังสนใจในทางศาสนา ตั้งแต่เด็กท่านจะช่วยโยมมารดาทำบุญตักบาตรทุกๆ เช้าที่หน้าบ้านเสมอ

๏ การบรรพชาและอุปสมบท
สมเด็จฯ ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๙ ปี ณ วัดสว่าง อำเภอวารินชำราบ ใกล้กับบ้านเกิดของท่าน ภายหลังได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดศรีทอง โดยมีท่านเทวธัมมี เป็นอุปัชฌาย์ และท่านโชติปาโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สมเด็จฯ ได้ศึกษาปริยัติธรรมและเคร่งครัดต่ออุปัชฌายวัตรเป็นอย่างมาก

๏ การศึกษา
หลังจากพระอุปัชฌาย์ท่านได้มรณภาพแล้ว สมเด็จฯ ได้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมกับ เจ้าคุณอาจารย์พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อครั้งเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูวิจิตรธรรมภาณี ณ วัดพิชยญาติการาม สำนักพระศาสนาโศภณ เป็นเจ้าอาวาส

๏ การเรียนพระปริยัติธรรม
สมเด็จฯ เป็นนักเรียนมหามกุฎราชวิทยาลัย สาขาวัดพิชยญาติการาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ อันเป็นโรงเรียนซึ่ง สมเด็จพระ มหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) ทรงเริ่มตั้งและขยายสาขาออกไปตามวัดธรรมยุตอื่นๆ เป็นโรงเรียนสาขาโรงเรียนพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จฯ ได้ค่าภัตตาหารเดือนละ ๒ บาท
พ.ศ. ๒๔๓๙ สมเด็จฯ ย้ายจากวัดพิชยญาติการามมาเรียนต่อที่วัดเทพศิรินทราวาส กับท่านอาจารย์อื่นอีก และสอบได้เปรียญธรรมชั้นตรี
พ.ศ. ๒๔๔๒ ท่านสอบได้เปรียญธรรมชั้นโท

๏ ตำแหน่งและสมณศักดิ์
๑. ภัณฑารักษ์ วัดเทพศิรินทราวาส ได้รับแต่งตั้งจากท่านเจ้าอาวาส
๒. ครูฝ่ายภาษาบาลี ที่วัดสุปัฎนาราม เป็นครั้งแรกที่มีโรงเรียนเปิดสอนตามแบบมหามกุฎราชวิทยาลัย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงมีพระภิกษุสามเณรทั้งใกล้-ไกล ตลอดมณฑลอุดรก็อุตส่าห์มาเล่าเรียน
๓. พ.ศ. ๒๔๔๒ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑลอีสาน
๔. พ.ศ. ๒๔๔๗ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอีสาน ต่อมาต้นรัชกาลที่ ๖ ได้แยกมณฑลอีสานเป็น ๒ มณฑล คือมณฑลอุบล และมณฑลร้อยเอ็ด ท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะว่าการทั้งสองมณฑล
๕. พ.ศ. ๒๔๖๖ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอุดรอีกตำแหน่งหนึ่ง
๖. ต้นรัชกาลที่ ๗ ทางราชการได้รวมมณฑลอุบล ร้อยเอ็ด และนครราชสีมา เป็นมณฑลนครราชสีมา ท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา
๗. พ.ศ. ๒๔๘๕ ดำรงตำแหน่งสังฆนายกองค์แรกแห่งประเทศไทย ตามประกาศตั้งสังฆนายก ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๘๕

สมเด็จฯ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ตามลำดับดังนี้
พ.ศ. ๒๔๔๗ พระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระศาสนดิลก
พ.ศ. ๒๔๕๔ พระราชาคณะเสมอชั้นราช ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. ๒๔๕๕ พระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชมุนี
พ.ศ. ๒๔๖๔ พระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเมธี
พ.ศ. ๒๔๖๘ พระราชาคณะชั้นเทพพิเศษที่ พระโพธิวงศาจารย์
พ.ศ. ๒๔๗๒ พระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมปาโมกข์
พ.ศ. ๒๔๗๕ ชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระพรหมมุนี
พ.ศ. ๒๔๘๒ สมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

๏ การปกครองวัด
พ.ศ. ๒๔๔๗ เจ้าอาวาสวัดสุปัฎนาราม อำเภอเมืองอุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๔๗๐ เจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา มณฑลนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๔๗๕ เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๘๔ เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ

๏ ตำแหน่งพิเศษ
๑. แม่กองธรรมสนามมณฑลตลอดระยะที่ยังมิได้ยุบมณฑล
๒. รองแม่กองธรรมสนามหลวง
๓. กรรมการตรวจข้อสอบพระปริยัติธรรมสนามหลวง
๔. กรรมการมหาเถระสมาคม
๕. กรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัย
๖. กรรมการฝ่ายศึกษาประชาบาล เขตปทุมวัน
๗. รองเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต
๘. เจ้าคณะตรวจการภาค ๓, ๔, ๕
๙. องค์ประธานคณะวินัยธร ชั้นฎีกา ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
๑๐. สังฆนายกรูปแรกแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔

๏ การทำคุณประโยชน์
๑. ตั้งโรงเรียนภาษาไทย-บาลี
ได้ตั้งโรงเรียนสอนบาลี-นักธรรม ที่วัดสุทธจินดา ได้รวบรวมหนังสือเก่าแก่ และโบราณวัตถุของชาวอีสานขึ้นไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่วัดสุปัฎนารามจังหวัดอุบลราชธานี จนได้เปิดเป็นสาขาหอสมุดแห่งชาติขึ้นที่วัดสุทธจินดา เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๔๗๘
๒. ถาวรวัตถุและการก่อสร้าง
สร้างอาคารเรียน “โรงเรียนอุบลวิทยาคม” ที่วัดสุปัฎนาราม จังหวัดอุบลราชธานี สำเร็จด้วยแรงงานของพระภิกษุสงฆ์ ได้รับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงธรรมการ ๘๐๐ บาท นอกนั้น สมเด็จฯ จัดหาเองทั้งสิ้น
สร้างอาคารเรียน ๒ ชั้น สำหรับนักธรรมคณะจังหวัดอุบลราชธานี
หล่อพระพุทธรูป “พระสัพพัญญูเจ้า” อันเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุปัฎนาราม
สร้างพระอุโบสถวัดสุปัฎนาราม จังหวัดอุบลราชธานี กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๓๔ เมตร สูง ๒๒ เมตร ชั้นบนเป็นทรงไทย ชั้นกลางทรงเยอรมัน และชั้นล่างเป็นทรงขอม โบราณแบบนครวัด เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๐ สำเร็จใน พ.ศ. ๒๔๗๓ สิ้นค่าก่อสร้าง ๗๐,๐๐๐ บาท
๓. ด้านการพิมพ์และคำสอน
สมเด็จฯ ได้นิพนธ์ความเรียงเป็นคำสอนประเภท ธรรมเทศนา โอวาท บทความ สารคดี เรื่องต่างๆ ไว้มากว่า ๔๖ เรื่อง นิพนธ์เรื่องที่เป็นที่นิยมและสนใจของสาธุชนและประชาชนทุกระดับชั้น ยกตัวอย่างบทนิพนธ์ของสมเด็จฯ บางเรื่องที่ดีเด่นจริงๆ คือ
เรื่อง เงินเดือน เงินดาว เงินดิน ว่าด้วยการการแนะนำคนให้รู้จักการครองตนครองชีพ
เรื่อง “หลักชูชาติ” ว่าด้วยการเพราะปลูก การช่าง การชื้อขาย
เรื่อง “แว่นใจ” ว่าด้วยการทรัพย์ในดิน สินในน้ำ
เรื่อง “สอนหนุ่มน้อย” เป็นเรื่องตักเตือนให้เด็กเร่งศึกษาแต่เยาว์วัย
เรื่อง “สอนนายนาง” ว่าด้วยลูกอุปถัมภ์บำรุง พ่อ แม่ และหน้าที่ของสามี ภรรยา
เรื่อง “หลักครู” แนะวิธีการเป็นครูและการสอน
เรื่อง “โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก” อันเป็นคติพจน์ของสมเด็จ
การสั่งสอนอบรมพุทธศาสนิกชน สมเด็จฯ ท่านได้เที่ยวเทศนา อบรมโปรดพุทธศาสนิก ชนทุกภาค และให้คำขวัญ ซึ่งคือว่าเป็นการสร้างสรรค์ให้ชาวไทยสามัคคี ไม่แบ่งแยกกันพุทธศาสนิกชนถือเป็นอมตะคำขวัญ คือ
“ถิ่นไทยงาม” ได้แก่ ภาคพายัพของประเทศไทย
“ถิ่นไทยอุดม” ได้แก่ ภาคใต้ของประเทศไทย
“ถิ่นไทยดี” ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
“ถิ่นจอมไทย” ได้แก่ ภาคกลางของประเทศไทย
บทนิพนธ์ทุกเรื่องสมเด็จฯ มอบให้เป็นลิขสิทธิ์ วัดบรมนิเวศ วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร วัดสุทธจินดา จังหวัดนครราชสีมา และวัดสุปัฎนาราม จังหวัดอุบลราชธานี สาธุชนผู้ประสงค์จะพิมพ์เผยแพร่ให้ติดต่อขออนุญาตจากเจ้าอาวาส

๏ การมรณภาพ
สมเด็จฯ ท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๔๙๙ ณ วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ โดยอาการสงบด้วยโรคชรา รวมสิริอายุได้ ๘๙ ปี นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการบริหาร การปกครอง คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวจังหวัดอุบลราชธานี
.............................................................
ที่มา :http://www.dharma-gateway.com/



พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top