หมวด พระสมเด็จทั่วไป
พระสมเด็จฐาน 7 ชั้น หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี อายุครบ 96 ปี ปี 2516 มวลสารผงพุทธคุณผสมเส้
ชื่อร้านค้า | ศิลป์เจริญพร - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | พระสมเด็จฐาน 7 ชั้น หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี อายุครบ 96 ปี ปี 2516 มวลสารผงพุทธคุณผสมเส้ |
อายุพระเครื่อง | 49 ปี |
หมวดพระ | พระสมเด็จทั่วไป |
ราคาเช่า | - |
เบอร์โทรติดต่อ | (ไม่แสดงเบอร์ เนื่องจากรายการนี้ไม่ได้ปล่อยเช่า) |
อีเมล์ติดต่อ | เนื่องจากมีลูกค้าติดต่อขอเช่าพระมาจำนวนมากต่อวัน ดังนั้นเช่าผ่านLINE จะติดต่อง่ายและสะดวกสุดครับ |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ | |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | จ. - 18 ม.ค. 2559 - 21:24.10 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | พ. - 30 พ.ย. 2565 - 12:30.03 |
รายละเอียด | |
---|---|
**รหัส ศ.ร.๕๖๙๗ พระสมเด็จฐาน 7 ชั้น หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี อายุครบ 96 ปี ปี 2516 มวลสารผงพุทธคุณผสมเส้นเกศา สภาพสวย หายากครับ พระเก่าพุทธคุณหลักล้านในราคาหลักร้อย ที่ยังพอบูชาเป็นเจ้าของได้ครับ ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ ร่างไม่เปียกฝน ขณะที่หลวงปู่ปักกลดเจริญภาวนาอยู่ที่ป่าบ้านหนองปลาดุก(จากบันทึกไม่ทราบว่าเป็นจังหวัดใด) ครั้งนั้นมีหลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงษ์ ร่วมธุดงค์ไปด้วย เกิดพายุฝนตกหนักน้ำป่าไหลบ่ามาทางท่านและพระภิกษุทั้งสอง หลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงส์ได้หนีน้ำป่าละจากกลดที่ท่านพักอยู่เดินมายังกลดหลวงปู่คำมี ท่านทั้งสองได้พบกับความแปลกใจ น้ำป่ามิได้ไหลเข้ามาบ่าท่วมทำลายกลดของหลวงปู่คำมีแต่อย่างใดไม่ อีกทั้งจีวรของหลวงปู่คำมีก็มิได้เปียกฝนอย่างเช่นพระภิกษุทั้งสอง ย่นระยะทาง คราวที่ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ใหม่ วัดดงจำปา ได้มานิมนต์ท่านไปฉันท์เพลที่บ้าน หลวงปู่สั่งให้ผู้นิมนต์เดินทางล่วงหน้าไปก่อน เมื่อผู้นิมนต์กลับไปถึงบ้านถึงกับตกตลึงเมื่อเห็นหลวงปู่กำลังตักน้ำล้างเท้า สร้างความสงสัยให้แก่พวกเขายิ่งนัก ว่าท่านมาได้อย่างไรแซงพวกเขาขึ้นมาตอนไหน เพราะทางแถวนั้นเป็นป่าทั้งหมดมีทางเดินเพียงทางเดียว เสกปูนให้จืด ทุกครั้งที่ก่อนจะเข้าพิธีหลวงปู่จะขอปูนแดงที่กินกับหมาก ก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือมาทำการเสกให้จืดเสียก่อนเพื่อเป็นเคล็ดในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เคยมีผู้ทดลองชิมปูนแดงที่หลวงปู่เสกแล้วปรากฏว่าจืดสนิท หายตัวได้ พระอาจารย์หวาน หลวงพี่จันทร์ พระทั้งสองซึ่งจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำมี ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์เล่าให้ฟังว่า ได้มีญาติโยมหลวงปู่และพระในวัดไปฉันท์เพลที่บ้านดงน้อย ทางไปบ้านดงน้อยนั้นต้องอาศัยเพียงการเดินเท้าไปเพราะทางเดินเป็นป่าและทุ่งนา ขากลับจากฉันท์เพลผ่านสระน้ำ อากาศวันนั้นร้อนมาก หลวงปู่ได้บอกกับพระทั้งสองว่า ท่านขอสรงน้ำสักครู่ขอให้ท่านทั้งสองรออยู่ก่อน ในขณะที่ท่านสรงน้ำนั้นปรากฏว่าพระทั้งสองรูปไม่สามารถมองเห็นหลวงปู่ จึงเที่ยวตามหาในบริเวณนั้น เป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบ พระทั้งสองรูปจึงปรึกษากันว่าหลวงปู่คงไปจากที่นั้นเสียแล้วจึงได้ชวนกันกลับวัด เมื่อพระทั้งสองรูปมาถึงที่วัดก็ถึงกับตกตลึงเมื่อพบหลวงปู่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลวงปู่บอกพระทั้งสองรูปว่าเห็นพระทั้งสองตามหาท่าน ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ไปไหน พระอาจารย์หวาน เป็นศิษย์สืบทอดวิชาท่านหนึ่งของหลวงปู่ ปัจจุบันมรณภาพแล้ว ส่วนหลวงพี่จันทร์ได้กลับไปจำพรรษาที่บ้านเกิดของท่านคือ วัดศรีพิมล ต.บ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น ขโมยของไม่ได้ จ่าสำราญ (ขอสงวนนามสกุล) ท่านเป็นทหารปืนใหญ่อยู่ในจังหวัดลพบุรี เล่าให้ฟังตอนไปทำบุญที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถ จ่าสำราญแกได้รับแจกเหรียญหลวงปู่คำมีมาเหรียญหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้านได้วางเหรียญของหลวงปู่ไว้บนหลังโทรทัศน์และลืมสนิทเนื่องจากแกไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องเครื่องรางของขลังใดๆ เวลาต่อมาหลายวันหลังจากนั้น ได้มีขโมยได้งัดบ้านแกเข้าไปขโมยของภายในบ้าน ขโมยคนนั้นได้เข้าไปพยายามยกโทรทัศน์แต่ยกไม่ขึ้น โดยช่วยกันยกทั้งสองคนแต่ก็ยกไม่ขึ้น จ่าสำราญแกรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นขโมยทั้งสองกำลังพยายามยกโทรทัศน์กันเป็นสามารถแต่ยกไม่ขึ้น ทั้งที่ความจริงโทรทัศน์เครื่องนั้นไม่ได้หนักมากแต่อย่างใด ลำพังคนเดียวก็สามารถยกขึ้นได้ และเมื่อขโมยเห็นเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมาจึงชักปืนยิงจ่าสำราญ โดยยิงเท่าไรก็ไม่ออก เสียงดัง แชะ แชะ อยู่อย่างนั้น จ่าสำราญได้สติจึงชาร์จเข้าไปหวังจะจัดการเจ้าขโมยสองคนนั้น ขโมยทั้งสองคนเห็นว่าจ่าสำราญยิงไม่ออกจึงขวัญหนีโกยแน่บโดยไม่ได้อะไรไปแม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าถามว่าจ่าแกมีอะไรดีปืนถึงยิงไม่ออก ก็ขอบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวแกนอกจากเสื้อผ้าแล้วไม่มีอะไรเลย นอกจากเหรียญหลวงปู่คำมีที่วางอยู่บนหลังโทรทัศน์ที่เจ้าขโมยสองคนนั้นพยายามยกอยู่เท่านั้น เชือกคาดเอว เรื่องนี้เกิดกับตัวจ่าวิทย์ บ้านอยู่ดงจำปา สังกัด ร.พัน ๖ จังหวัดลพบุรี จ่าวิทย์นับถือหลวงปู่คำมีเป็นอย่างมาก แกนำเชือกคาดที่หลวงปู่คำมีมอบให้กับมือใช้คาดเอวอยู่ตลอด ตัวจ่าวิทย์แกมีมอร์เตอร์ไซค์คู่ชีพอยู่คันหนึ่ง แกบิดไปทำงานทุกเช้า-เย็น วันหนึ่งแกบิดเจ้าพาหนะคู่ชีพไปทำงานตามปกติ ได้มีรถยนต์มาอัดก็อปปี้อย่างแรง ตัวจ่าวิทย์ ไม่มีส่วนใดของร่างกายบาดเจ็บแม้แต่น้อย ส่วนเจ้ามอเตอร์ไซค์คู่ชีพพังยับเยินใช้การไม่ได้อีกต่อไป เป็นปรากฏการณ์เนื้อแข็งกว่าเหล็กที่เกิดจากพระพุทธานุภาพและบารมีของหลวงปู่อย่างแท้จริง อีกเรื่องหนึ่งเกิดกับเจ้าคำหิง ท่านอยู่ที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว ได้ย้ายมาอยู่ประเทศไทยแถวปากช่อง ท่านได้มากราบนมัสการหลวงปู่คำมี หลวงปู่ท่านได้มอบเชือกคาดให้หนึ่งเส้น ท่านจ้าคำหิงได้ใช้ติดตัวตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งเจ้าคำหิงไปทำธุระที่โคราชพร้อมกับญาติๆ ขากลับมาจากโคราชยางรถเกิดระเบิดรถเสียหลักตกไปกลิ้งโค่โร่ในเหวข้างถนน ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องตายหมดทุกคนเนื่องจากพบกับเหตุการณ์นี้บ่อยๆในถนนเส้นนี้ ถ้าหากมีอุบัติเหตุในถนนสายนี้ แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าคนทั้งรถไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งรถมีเชือกคาดเอวหลวงปู่คำมีที่เจ้าคำหิงใช้ติดตัวอยู่เพียงเส้นเดียว เรื่องเชือกคาดของท่านอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้จ่าบัติประสบมาด้วยตนเอง โดยแกเล่าว่าเมื่อสมัยที่แกยังหนุ่มมีปลัดอำเภอเมืองลพบุรี (ขอสงวนนาม) ทราบกิตติศัพท์ของหลวงปู่ได้มาพาพวกของตนมาบูชาเชือกคาดของหลวงปู่มาลองยิง โดยแขวนไว้ที่ต้นมะพร้าวแล้วชักปืนออกมายิงเสียงดัง แชะ แชะ ไม่ยักดังโป้ง เมื่อหลวงปู่ทราบเรื่องจึงให้เด็กวัดไปบอกปลัดฯท่านนั้นว่า ขืนยิงต่อไปอีกหากเป็นอะไรไปจะไม่รับผิดชอบ ลูกน้องปลัดฯและปลัดท่านนั้นต้องมากราบขอขมาต่อหน้าหลวงปู่ สีผึ้งยังยิงไม่ออก รายนี้ไม่เข้าใจอุปเท่ห์ของเครื่องรางหรืออย่างไรก็เหลือที่จะคาดเดา ท่านขอสงวนนาม อยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นำสีผึ้งสีปากของหลวงปู่ที่ท่านมอบไปให้ไว้บูชา มาทดลองยิงโดยใช้ปืนขนาด .๓๘ ยิงจนหมดโม่ ปรากฏว่ายิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว พอหันกระบอกปืนออกไปทางอื่นกลับยิงออกทุกนัด ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ยังมีอีกมากมาย แต่ขอกล่าวแต่เพียงเท่านี้ เพื่อเป็นการเจริญศรัทธา อีกทั้งเรื่องเหล่านี้นับเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง คือ รู้ได้เฉพาะตน ผู้ที่ไม่ทราบด้วยตนเองอาจปรามาสหลวงปู่ได้ หลวงปู่ท่านได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิตของท่าน ด้วยระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่บรรพชาเป็นสามเณร จวบจนมรณภาพที่ โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ รวมอายุท่านได้ ๑๐๕ ปี ๘๐ กว่าพรรษา บรรดาศิษยานุศิษย์ได้เคลื่อนย้ายสังขารของท่านมาไว้ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี ตามคำสั่งของท่านที่ว่า เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ห้ามนำร่างของท่านไปเผา หรือฝังเด็ดขาด และเกิดปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อบรรดาพุทธศาสนิกชนว่า สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย และมีเส้นผมงอกขึ้นมาอีกด้วย |