เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง)-ลภัส พระเครื่อง - webpra
VIP
***รับประกันความแท้ เก๊คืนเต็ม*** คัดเฉพาะพระแท้ให้ท่านพิจารณา สนใจราคาพิเศษโทรเลย 097-245-3619

หมวด พระเกจิภาคตะวันออก

เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง)

เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง) - 1เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง) - 2เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง) - 3เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง) - 4
ชื่อร้านค้า ลภัส พระเครื่อง - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
Lapas (13)
ชื่อพระเครื่อง เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง)
อายุพระเครื่อง 70 ปี
หมวดพระ พระเกจิภาคตะวันออก
ราคาเช่า 1,500 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 097-245-3619
อีเมล์ติดต่อ lapasamulet@gmail.com
สถานะ พร้อมเช่า
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ จ. - 02 ม.ค. 2566 - 17:29.53
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ ศ. - 17 ม.ค. 2568 - 08:21.54
รายละเอียด
เหรียญหลวงพ่อหอม เนื้อทองแดง ปี2498 วัดชากหมาก จ.ระยอง (มีบัตรรับรอง)

ประวัติ
หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค)
หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค) แห่งวัดชากหมาก หมู่ 2 ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ห่างจากตัวอำเภอบ้านฉางเข้าไปทางสี่แยกระยะทาง ประมาณ 9 กม. วัดชากหมาก (ป่าเรไร ) เป็นวัดเล็ก ๆ เงียบสงบ ในอดีตเคยเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางคุณวิเศษอันลือลั่น หลวงพ่อหอมซึ่งเป็น เจ้าอาวาสในสมัยที่มีชีวิต มักจะถูกอาราธนาไปร่วมในการประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่สำคัญ ทั้งราชพิธีและพิธีสามัญ สม่ำเสมอทั่วประเทศไทย ผู้นิยม วัตถุมงคลน้อยคนที่จะไม่ได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นผู้ทรงพุทธเวทย์ของท่าน จากวัตถุมงคลที่ได้ปลุกเศกไม่ว่าจะเป็นสิงห์งาช้าง ขี้ผึ้ง นางกวัก งาช้าง ไชมงคล พระกริ่งรูปเหมือน แหนบรูป เหมือน เหรียญรูปเหมือน แหวนทอง
เมื่อ 2500 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการจัดให้มีงานฉลอง 25 ปี พุทธศตวรรษขึ้นนับเป็นพิธีใหญ่ที่สุดในพุทธอาณาจักร โดยมีการจัดทำพระเครื่อง พระบูชา และวัตถุมงคล ไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมากหลวงพ่อหอมเป็น 1 ในจำนวน 108 รูปของพระเวทยาจารย์ผู้ทรง คุณวิเศษที่รัฐบาลอาราธนาไปร่วมพุทธาภิเษกในมลฑลพิธี ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ แม้เมื่อประกอบ พิธีเสร็จก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลไปขอพรไม่ขาดสาย จนศิษย์ต้อง ออกมาขอร้องให้หลวงพ่อ พักผ่อนบ้างแต่หลวงพ่อกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า "ช่างเขาเถอะลูก" และเป็นคำพูดที่ถูกใช้ติดปาก เรื่อยมาจนหลวงพ่อหมดสิ้นอายุขัย
การก่อสร้างวัดชากหมากเมื่อประมาณพ.ศ.2471 ชากหมากซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เสือ ช้าง หมูป่า หลวงพ่อได้พบเรือนไม้ หลังคุ้มไม้ไผ่ 2 หลัง สอบถามชาวบ้าน ได้ความว่า เป็น สำนักสงฆ์ ซึ่งพระอาจารย์ล้ำเคยอยู่มาก่อน แต่ปล่อยร้างมา 10 ปี หลวงพ่อหอมจึงตกลงใจ ฟื้นฟูสำนักสงฆ์นี้ให้เป็นวัดขึ้นมาและได้ออกป่าไปจำพรรษาที่ถ้ำเขานั่ง หย่อง แล้วก็ได้ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น
สิ่งมหัศจรรย์ที่ปรากฎมีช้าง เสือ และสัตว์ร้ายมาวนเวียนอยู่ใกล้หลวงพ่อตลอดเวลา แต่สัตว์ร้ายก็ไม่เข้ามาทำร้ายหลวงพ่อนานวันจนเกิดความคุ้นเคย สัตว์เหล่านั้นก็เชื่องและสามารถรับรู้คำพูด หลวงพ่อ ได้ เมื่อหลวงพ่อนำชาวบ้านมาช่วยกันตัดต้นไม้ในป่านั้นมาทำวัดได้แล้วก็เกิด ปัญหา ไม่สามารถ ชักลากไม้ลงมาได้ระยะทางก็ไกลกันถึง 7 กม. ชาวบ้านจึงลงจากเขามาปรึกษาหาทาง นำไม้ที่ตัดไว้ลงมาแต่หลวงพ่อกลับขึ้นไปบ้นเขาเพื่อสำรวจหา ช่องทางอีกครั้ง หลังจากนั้นชาวบ้านก็ต้องประหลาดใจเพราะพบท่อนไม้ที่ตัดไว้นั้น ลงมากองอยู่ที่เชิงเขาอย่างครบถ้วน และยังเห็น รอยเท้าช้างป่า ขนาดใหญ่อยู่รอบบริเวณนั้นมากมายคาดว่าน่ำจะเป็นช้างทีคุ้นเคยกับหลวงพ่อมา ช่วยกันชักลากลงมา เมื่อชาวบ้านรู้เข้าจึงทำให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาหลวงพ่อ นับเป็นต้นมา หลังสร้างวัดเสร็จไม่นานก็มีชาวบ้านใกล้ ๆ มาแจ้งหลวงพ่อว่ามีช้างป่าลงมากินพืชผักที่ปลูกไว้จนเสียหาย ตนจะยิงช้างก็เกรงใจหลวงพ่อ จึงขอให้หลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหลวงพ่อ ก็รับปากว่า จะช่วยพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนบริกรรมสักครู่ที่หน้าวัด แล้วร้อยตะโกนขึ้นว่า "ลูกหลาน พญาฉัททันต์อย่าไปเหยียบย่ำของเขาเลยเจ้าของเขาจะยิงเอา ของเรามีอยู่แล้วในแปลงขวามือไปกินได้" ซึ่งภายหลังก็ปรากฎว่าไม่มีช้าง เข้าไปรบกวนชาวบ้านอีกเลย แต่ปรากฎว่าพืชผักที่อยู่บริเวณวัดกลับไม่มีเหลืออยู่เลย
เมื่อประมาณ พ.ศ.2481 หลวงพ่อบวชได้ 12 พรรษาแล้ว มีนายพรานช้างมาขอพักที่วัดและบอกหลวงพ่อว่า จะมาล่าช้างในป่าแถบนี้แต่เวลาใกล้ค่ำ จึงขอพักเอาแรงที่วัดก่อนหลวงพ่อ ก็อนุญาต และ ไปยืนบริกรรมที่หน้าวัดสักครู่ เมื่อนายพรานออกป่าเพื่อล่าช้างก็ปรากฎว่าไม่พบช้างแเยแม้แต่ตัวเดียว
ต่อมาหลวงพ่อกับภิกษุอีก 4 รูป ได้ธุดงค์ไปเพื่อหากระเพรา 7 อ้อม เมื่อเดินไปถึง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณี ก็พบศาลายกพื้นสูงมากหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในป่าทึบมีข้อความเขียนไว้ว่า "ใครผ่านทางนี้ เมื่อมืดแล้วให้ขึ้นข้างบนเพราะมีสัตว์ชุกชุมมาก"แต่หลวงพ่อกลับบอกพระที่ไป ด้วยกันว่าเรา ปักกลดอยู่ข้างล่างนี้แหละ และทั้งหมดก็ปักกลดลงข้างล่างนั้นเอง เมื่อปักกลดแล้ว หลวงพ่อก็เสกทรายซัด ล้อมกลดไว้โดยรอบพร้อมสั่งพระที่ไปด้วยกัน ทั้งหมดว่าอย่าได้ออกนอกกลดเป็นอันขาดไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชวนกันนั้งสมาธิเจริญภาวนาแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ ในคืนนั้นเองก็มีสัตว์ร้าย หลายชนิดมาวนเวียนรอบ ๆ กลดแต่ไม่มีตัวใดเข้ามาทำร้ายหลวงพ่อและพระภิกษุอีก 4 รูปเลย จนรุ่งสางหลวงพ่อหอมจึงเดินทางต่อเมื่อเดินทางต่อไป หลวงพ่อเล่าว่าหนทางเป็นป่าเขา โดยตลอด เดินทาง 3 วัน ก็ไม่พบบ้านคนเลยต้องอดข้าวกันทั้ง 3 วัน จนกระทั้งวันที่ 4 จึงได้สวนทางกับชายคนหนึ่ง หาบขนบจีนผ่านมาแล้วเอาขนมจีนนั้นถวายทุกองค์ได้ฉันจนอิ่ม หลวงพ่อ ได้ถามชายคนนั้นว่า "ต่อจากที่นี่ไปอีกไกลมากไหมจึงจะถึงบ้านคน" ชายผู้นั้นตอบว่า "พอพลบค่ำก็จะเห็นแสงไฟบ้านคน" แล้วเดินหายไปในป่านั้น หลวงพ่อจึงชวนพระที่ไปด้วยออกเดินทางต่อ ซึ่งตลอดทาง ที่เดินผ่าน นั้นไม่พบบ้านคนจริงตามที่ผู้นั้นบอกไว้ จึงชวนพระ ที่ไปด้วยกันทั้งหมดปัก กลดพักที่บริเวณใกล้ ๆ กับหมู่บ้านนั้น แล้วก็เดินทางกลับ วัดชากหมากโดยไม่พบกระเพรา 7 อ้อม มาตามต้องการ ส่วนเรื่องที่พบคนนำขนมจีนมาถวายกลางป่าทั้ง ๆ ที่บริเวณใกล้ ๆไม่ม่บ้านคนเลยก็คง เป็นปริศนาให้ต้องแปลกใจอยู่ตลอด
วิทยาเวทย์ที่เป็นคุณวิเศษของหลวงพ่อหอมวัดชากหมากอีกประการหนึ่งที่ยังไม่ เคยได้เรียนรู้มาก่อน คือ "การต่อชะตาดิน" ซึ่งคุณวิเศษนี้ก็เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างมากที เดียว คือหากที่ดินของผู้ใดที่ เคยอยู่อาศัย หรือใช้ประกอบกิจการใดๆ มาก่อนเกิดอาการเสื่อมทรามลง หลวงพ่อก็จะไปทำพิธี "ฝังหิน" ให้แล้วกิจการบนที่ดินแห่งนั้น ก็จะกลับคืนเป็นคุณแก่เจ้าของดังเดิม อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งวิชาต่อชะตาดินนี้ได้เคยมีบรรดาศิษย์อยากจะขอเรียนจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็บอกว่าผู้ที่จะเรียนได้จะต้องเป็นภิกษุเท่านั้น และเมื่อเรียนแล้วก็จะต้อง ตั้งนโมปนิธาณ ด้วยว่า "จะบวชจนตายในผ้ากาสาวพัตร์" คือจะสึกออกไปครองเพศฆราวาสไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าผิดไปจากนี้แล้วจะต้องถูก "ฟ้าผ่า" ทันทีจึงไม่มีใครกล้าพอที่จะเรียนต่อจากท่าน เพราะการบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนานี้ไม่ใช่เป็นของง่ายนักที่ประกาศตนว่าจะไม่สึกไว้ล่วงหน้า
นอกจากหลวงพ่อหอมวัดชากหมากจะเป็นผู้มีวิทยาคุณในทางเครื่องลางของขลังแล้ว ท่านยังเป็นเชี่ยวชาญในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะท่านได้เคย ศึกษาเล่าเรียน มาจาก ทางบิดาของท่านซึ่งเป็นแพทย์ ประจำตำบลในสมัยเมื่อท่านยังเป็นฆราวาสอยู่นั้นตามธรรดาทุกๆวัน จะมีคนป่วยด้วยโรคต่างๆ มาหาท่านที่วัดเพื่อขอให้ท่านขจัดปัดเป่า โรคร้ายเหล่านั้น ให้หาย วันหนึ่งๆ ถึง 40-50 คน หลวงพ่อจึงเป็นภิกษุผู้ได้รับความเคารพนับถือ อย่างสูง ทั้งที่เป็นคนไทย จีน แขก ซิกส์ และฝรั่ง ดังจะเห็นได้จากเมื่อหลวงพ่อมรณภาพได้มีผู้หลั่งไหลกันไป เคารพศพของท่านอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะวันถวายน้ำสรงศพของท่าน เจ้าหน้าที่ได้จัดให้เรียงแถวกันเข้าไปต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง จึงหมดคนที่ไปถวายน้ำสรงท่าน
หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อดีตเจ้าอาวาสวัดชากหมาก หมู่ที่ 2 ตำบลสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เดิมชื่อ หอม ทองสัมฤทธิ์ เกิดวันจันทร์ เดือน 10 ปีขาล พุทธศักราช 2433 เป็นบุตร ของนายสัมฤทธิ์ กับนางพุ่ม ทองสัมฤทธิ์ เป็นชาวบ้านสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวักรอยง มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 3 คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้าย พี่ๆ สองคนเป็นหญิงคนโตชื่อนางวอน คนรองชื่อนางเชื่อม
เมื่อเยาว์วัยอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่บ้านเกิดของท่านเอง ส่วนในด้านการศึกษาเบื้องต้นนั้น เป็นที่น่าเสียดายที่ ไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านได้ศึกษากับใครที่ไหน เพราะในสมัยนั้น โรงเรียนในชนบท ห่างไกลจากความเจริญ เช่นบ้านเกิดของ หลวงพ่อคงจะไม่มีตั้งขึ้นแน่นอนโรงเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น โรงเรียนวัดสมบูรณาราม โรงเรียนวัดชากหมาก โรงเรียนวัดสุวรรณรังสรรค์ ล้วนแต่พึ่ง ตั้งขึ้นมาไม่ถึง 50 ปีทั้งนัน ถ้าในสมัยหลวงพ่อหอม 8-15 ปี มีโรงเรียนอยู่ที่บ้านเกิด ของท่านแล้วโรงเรียนนั้นก็จะต้องมีอายุมาถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 75 ปี จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อ น่าจะเริ่ม ศึกษาเมื่อตอน ได้อุปสมบทแล้วมากกว่า
หลวงพ่อหอมวัดชากหมาก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อปีศักราช 2469 อายุ 36 ปี พัทธสีมาวัดทับมา ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยมีหลวงพ่อขาววัดทับมา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจิ๊ด วัดเขาตาแขกเป็นพระกรรมวาจารย์และหลวงพ่อชื่น (ปัจจุบันเป็นพระครูพิพิธวรญาณ และยังมีชีวิตอยู่วัดมาบข่า เป็นอนุสาวนาจารย์)
เมื่อหลวงพ่อหอมอุปสมบทใหม่ ๆ ยังเป็นพระภิกษุผู้น้อยด้วยคุณวุฒิไม่อาจที่จะปกครองตนเองและผู้อื่นได้จึง ยังจำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยเบื้องต้นในฐานะอันเตวาสิกของหลวงพ่อชื่นอยู่ ที่วัดมาบข่า แต่เพียงชั่วระยะ 2 พรรษา เท่านั้น หลวงพ่อหอมก็เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยอย่างอัศจรรย์ เนื่องจากเป็นผู้มีความเพียรในการศึกษาเป็นเลิศ ยากที่จะหา พระภิกษุรูปใดในรุ่นเดียวกันเสมอ และหลวงพ่อชื่นเองก็ยังเคยปรารภให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ฟังว่า "อีกหน่อยคุณหอมเขาจะหอมทวนลมนะ" และต่อมาหลวงพ่อหอมก็ไก้กลายเป็นหลวงพ่อผู้มีชื่อเสียงหอมทวนลมจริงดังคำ ของหลวงพ่อชื่นนั้น
เมื่อหลวงพ่อหอมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อชื่น ซึ่งเป็นพระอาจารย์เบื้องต้นให้ไปอยู่ทีวัดชากหมากใกล้ ๆ บ้านเกิดของท่านได้พยายามศึกษาพุทธเวทย์เพิ่มเดิมอย่างจริงจัง จนเป็นที่ประจักษ์แก่ บรรดาศิษยานุศิษย์ถ้วนหน้า และนอกจากจะได้ราษฎรช่วยเหลือกันพึ่งทางใจแก่ผู้เลื่อมใสแล้ว ยังได้สร้างอาคารเรียน"หอมราษฎร์วิทยา" ถึง สองหลังซึ่งเป็นเงิน ที่หลวงพ่อได้รับ จากราษฎรช่วยเหลือกัน จำนวน 1,980,000 บาท รัฐบาลช่วยสมทบ 200,000 บาท เพื่อสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆ ได้เล่าเรียนสร้างอุโบสถศาลาการเปรียญ หอระฆังคอนกรีต หอไตรกลางสระน้ำ กุฏิตึก 2 ชั้น ซุ้มประตูคอนกรีตหน้าวัด กำแพงรอบวัด หอสวดมนต์ และสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกมากจนเกือบวาระสุดท้าย ยังได้สร้างกุฏิครึ่งตึกครึ่งไม้เพิ่มอีก 1 หลัง แต่ไม่ทันเสร็จก็ถึงแก่มรณภาพ
ด้วยคุณงามความดีที่ปรากฎนี้เอง หลวงพ่อจึงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูภาวนานุโยคในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2507 เป็นเกียรติประวัติอย่างยิ่งแก่หลวงพ่อ และศิษยานุศิษย์ในโอกาสนี้เองหลวงพ่อจึงได้สร้าง กริ่งรูปเหมือน (ชนิดสั้น) รูปปั้นเหมือนองค์จริงแบบบูชาขึ้นเป็นรุ่นแรก เหรียญรูปเหมือนรุ่น 2 แบบนูนครึ่งองค์ ด้านหลังเหมือนรุ่นแรกพร้อมแหวนทองแดงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2498
อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากกรรมานุภาพด้าน"คุณวิเศษ" เป็นที่เล่าขานจากปากต่อปากคนแล้วคนเล่า ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทุกฐานะเมื่อผู้ใดมาหาอย่างมีทุกข์ร้อน ท่านก็ช่วยปัดเป่าทุกข์ด้วยเมตตา ถ้วนหน้ากันไม่มีเลือกชนชั้น
หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อาพาธด้วยโรคชราและมรณภาพด้วยอาการสงบเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันที่ 13 เมษายน 2520 ที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี รวมอายุ 87 ปี 51 พรรษา ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2521 ที่วัดชากหมากที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั่นเอง และนับแต่นั้นมา สิ่งที่ ยังคงหลงเหลือ คือ ความดีงาม ความเลื่อมใสศรัทธาที่อยู่ในใจผู้ประจักษ์เท่านั้น
ขอดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ แม้สถิตอยู่ ณ ทิพย์โลกใด โปรดรับรู้ว่าคุณงามความดีของหลวงพ่อในอดีตหาได้จากตามท่านไปไม่

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top