เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง)-ลภัส พระเครื่อง - webpra
VIP
***รับประกันความแท้ เก๊คืนเต็ม*** คัดเฉพาะพระแท้ให้ท่านพิจารณา สนใจราคาพิเศษโทรเลย 097-245-3619

หมวด หลวงพ่อเนียม วัดน้อย - หลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาว - หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน

เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง)

เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง) - 1เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง) - 2เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง) - 3เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง) - 4
ชื่อร้านค้า ลภัส พระเครื่อง - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
Lapas (13)
ชื่อพระเครื่อง เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง)
อายุพระเครื่อง -
หมวดพระ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย - หลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาว - หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน
ราคาเช่า 2,500 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 097-245-3619
อีเมล์ติดต่อ lapasamulet@gmail.com
สถานะ พร้อมเช่า
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ ส. - 15 พ.ค. 2564 - 21:30.15
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ ส. - 20 ม.ค. 2567 - 10:50.40
รายละเอียด
เหรียญพระจุลมงกุฏ-พระแสงจักร รัชกาลที่4 หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (มีบัตรรับรอง)

- มาพร้อมบัตรรับรองสมาคมพระเครื่อง-พระบูชาไทย
- พระสวยๆ แท้หายาก อีกเหรียญในตำนานครับ

หลวงพ่อเนียม วัดน้อย บ้านสามหมื่น อ. บางปลาม้า จ. สุพรรณบุรี เป็นชื่อที่ชาวสุพรรณทั้งที่อยู่ในวงการพระเครื่องและไม่ใช่ ต่างรู้จักท่านดี เป็นที่นับถือโดยทั่วไป ลือกระฉ่อนในด้านปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าสืบต่อกันมาอย่างน่าระทึกใจ

หลวงพ่อเนียมมีอายุยืนยาวถึง ๔ รัชกาล เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ ในรัชกาลที่ ๓ ของกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นชาวบ้านซ่อง ต. มดแดง อ. ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มารดาเป็นชาวป่าพฤกษ์ ต. ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ธรรมเนียมไทยฝ่ายชาย ที่เข้าสู่งานมงคลสมรสแล้วจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ดังนั้นบิดาของหลวงพ่อเนียมจึงมาอยู่กับมารดาของท่านที่บ้านป่าพฤกษ์ ต.ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นชาติภูมิของท่าน หลวงพ่อเนียม มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันหลายคน ตัวท่านเป็นบุตรคนที่สอง ส่วนน้อง ๆ มีอีกกี่คนไม่สามารถสืบทราบได้

การศึกษาสมัยนั้นไม่มีโรงเรียน เหมือนปัจจุบัน หลวงพ่อเนียมจึงมีชีวิตคลุกคลีอยู่กับวัด เรียนอักขระขอมและภาษาบาลีจากวัดข้างเคียงที่ให้กำเนิดท่าน เมื่ออายุครบบวชทำการอุปสมบทในบวรพุทธศาสนา วัดใกล้บ้านท่านนั่นแหละ คาดว่าคงเป็นวัดป่าพฤกษ์ หรือไม่ก็วัดตะค่า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓

เมื่ออุปสมบทถือเพศบรรพชิตแล้ว ท่านได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยและมูลกัจจายน์ในจังหวัดพระนครหรือธนบุรี สืบทราบไม่แน่ชัด มีบางท่านว่าอยู่วัดพระพิเรนทร์ บางท่านว่าอยู่วัดโพธิ์, วัดระฆัง,วัดทองธรรมชาติ ธนบุรี ไม่เป็นที่ยุติ สรุปความว่าท่านไปอยู่วัดในจังหวัดพระนครและธนบุรี ซึ่งอาจจะอยู่วัดในจังหวัดดังได้กล่าวมาแล้วก็ได้

ขณะที่ท่านศึกษาทางด้านธรรมะอยู่นั้นท่านมีความสนใจในทางวิปัสสนาธุระและทางไสยศาสตร์คาถาอาคมด้วย หากท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆัง ท่านอาจจะเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีก็ได้ เพราะสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) มีอายุถึง พ.ศ.๒๔๑๕ ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อเนียมอุปสมบทในราว พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓ ถ้าท่านมาอยู่วัดระฆัง แน่เหลือเกิน ท่านจะต้องเป็นลูกศิษย์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งบางทีหลวงพ่อเนียมอาจจะได้ศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์และวิปัสสนาธุระกับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ก็อาจจะเป็นได้

คุณทองหยด จิตตวีระ อดีต รมต. ว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยเล่าว่า หลวงพ่อเนียมส่งบิดาของคุณทองหยดให้ไปเรียนหนังสืออยู่ที่วัดระฆัง สันนิษฐานว่า หลวงพ่อเนียมน่าจะมีความสัมพันธ์กับวัดระฆังมาก่อน จึงส่งบิดาของคุณทองหยดไปเรียนหนังสือที่วัดระฆัง ในช่วงที่หลวงพ่อเนียมไปอยู่กรุงเทพฯ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหลวงพ่อเนียมไปอยู่วัดระฆังจริงก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ สมเด็จพระพุทฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ก็เป็นได้

รูปร่างของหลวงพ่อเนียมสันทัด ผิวขาวไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไปนัก ใบหน้ามีเสน่ห์ในขณะที่เรียนวิชาทางไสยศาสตร์อยู่นั้น ท่านได้เคยทดลองวิชาเมตตามหานิยมที่ได้ เล่าเรียนมาครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งท่านไปบิณฑบาตที่บ้านพระยาผู้หนึ่ง บังเอิญวันนั้นลูกสาวพระยาผู้นั้นเป็นผู้ใส่บาตร ท่านคิดในใจว่าวันนี้ อาตมาจะ ขอทดลองวิชาที่ได้อุตส่าห์เล่าเรียนมาว่าจะเป็นจริงเพียงไร

ขณะที่ลูกสาวพระยาเอาทัพพีตักข้าวใส่บาตรของท่านนั้น ท่านบริกรรมพร้อมกับใช้ฝาบาตรกดทับทัพพีของสีกาสาวลูกพระยาผู้นั้นไว้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วปล่อยปรากฏว่าตอนเย็นวันนั้น พระยาผู้บิดาสีกาสาวผู้นั้นให้คนมานิมนต์ท่านไปพบที่บ้าน พอท่านทราบเรื่อง ใจไม่ดีคิดว่าคงมีเรื่องเสียแล้ว คาถาอาคมที่เรียนมานั้นคงไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นแน่ นึกตำหนิตนเองว่าไม่ควรจะทดลองเลย จะไม่ไปหรือก็ไม่ได้เพราะรับนิมนต์ไว้แล้ว เป็นไงเป็นกัน

แต่เหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่ท่านได้คิดไว้ พระยาผู้นั้นให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี จากการรับนิมนต์ครั้งนั้นจนกลายเป็นที่คุ้นเคยกันในตอนต่อๆ มา ท่านไปมาหาสู่ที่บ้านพระยาผู้นั้นอยู่เป็นเนืองนิจ จนเป็นที่สนิทสนมกันมาก

วันหนึ่งพระยาผู้นั้นเอ่ยปากยกลูกสาวให้ท่าน ท่านตกใจมากเพราะไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ท่านจึงต้องรีบปฏิเสธอย่างสุภาพว่า ท่านยังรักที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไป โดยจะไม่ขอลาสิกขาบท จากนั้นท่านพยายามทำตนให้ห่างไว้เพื่อความสัมพันธ์จะได้ค่อยๆ จางหายไป จะอย่างไรก็ดีเมื่อท่านกลับมาจำพรรษาที่วัดในจังหวัดสุพรรณแล้ว ท่านยังลงไปเยี่ยมพระยาผู้นั้นอยู่เสมอ ๆ

ท่านกลับมาอยู่สุพรรณอายุในราว ๔๐ ปี ในราวพ.ศ.๒๔๑๒ อยู่ในกรุงเทพฯ-ธนบุรี เกือบ ๒๐ ปี นับว่านานโขอยู่ ในการกลับมาตอนต้น ท่านไม่ได้มาอยู่วัดที่ท่านอุปสมบทเลยขึ้นมาอยู่ที่วัดรอเจริญ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี อยู่ได้ไม่นานเกิดขัดคอกับเจ้าอาวาส ท่านจึงคิดจะไปจำพรรษาที่วัดป่าพฤกษ์ใกล้บ้านเกิดของท่านดีกว่า

ขณะนั้นวัดน้อย ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี ซึ่งอยู่เหนือวัดรอเจริญไปไม่ไกลนัก เป็นวัดมีสภาพร้าง สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ยังคงเหลืออยู่เพียงวิหารเก่าคร่ำคร่าเท่านั้น ชาวบ้านมีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซม ให้พ้นสภาพวัดร้างขึ้นมาใหม่ จึงให้นายมวนและชาวบ้านแถบนั้นจะหาปัจจัยสร้างหอฉันให้ หลวงพ่อเนียมไม่ขัดศรัทธา ตกลงใจมาอยู่วัดน้อยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอสรุปได้ว่าวัดน้อย ได้พ้นสภาพจากการเป็นวัดร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๑๒ เป็นต้นมาเช่นกัน

นายมวนและชาวบ้านช่วยกันสร้างหอฉันเสาไม้แก่นพื้นไม้สัก หลังคามุงกระเบื้องให้หนึ่งหลัง หลวงพ่อเนียมได้มาจำพรรษาอยู่วัดน้อย ค่อยๆ บูรณะซ่อมแซมโน่นนิดนี่หน่อยเรื่อยมา ในขณะนั้นมีผัวเมียคู่หนึ่งชื่อ "ปาน" ทั้งคู่ มีเรืออยู่ลำหนึ่งเที่ยวเร่ขายพลูไปยังที่ต่างๆ ผัวปานเมียปานคู่นี้แวะมาสนทนากับหลวงพ่อเนียมเป็นประจำ พูดถึงความเป็นจริงว่าการค้าขายพลูลำบากลำบนมาก บางคราวขายหมดพอดีมีกำไรเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆ ขายไม่หมดเก็บเอาไว้พลูเน่าต้องขาดทุน แต่ก็จำต้องทนทำ จะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นก็ไม่ได้ เพราะไม่สันทัดและไม่มีทุนรอนที่จะทำด้วย

จากการมาคุยและมาทำบุญที่วัดน้อยบ่อยๆ หลวงพ่อเนียมเห็นว่าสองผัวเมียชื่อเดียวกันนี้ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทำให้ฐานะกระเตื้องขึ้นแต่ใจบุญสุนทาน

วันหนึ่งสองผัวเมียมาสนทนากับท่าน ท่านจึงบอกให้ไปแทงหวยที่กรุงเทพฯ สองผัวเมียเมื่อมีโอกาสล่องเรือไปกรุงเทพฯ แทงหวยตามที่หลวงพ่อบอกให้แทงทันที ในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่แล้วสอง ผัวปาน เมียปาน ก็มีความดีใจเป็นล้นพ้น ถูกหวยจริงๆ ได้เงินเป็นจำนวนมาก ทั้งสองผัวเมียเมื่อรับเงินแล้ว รีบมานมัสการหลวงพ่อเนียมทันที พร้อมกับถวายเงินสร้างกุฏิให้วัดน้อยหนึ่งหลัง กุฏินั้นยังคงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนเรือค้าขายพลูลำนั้นถวายให้กับวัดน้อยด้วยเช่นกัน เปลี่ยนอาชีพไปค้าขายทางอื่นเพราะมีทุนรอนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว

วัดน้อยค่อยๆ มีสภาพดีขึ้นเป็นลำดับ มีพระเณรมาจำพรรษามากขึ้นทั้งใกล้และไกล เช่นจากอำเภออู่ทอง เป็นต้น อำเภออู่ทองสมัยโน้นไกลแสนไกล เป็นอำเภออยู่ป่าสูง การคมนาคมไม่มี นอกจากจะเดินทางด้วยเท้าหรือม้าผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะและย่างเข้าป่าสูง ต้องใช้เวลาเดินไม่น้อยกว่าหนึ่งวันเต็มๆ หรือกว่านั้น การที่มีพระจากท้องที่ไกลๆ มาจำพรรษาด้วยย่อมเป็นการแสดงว่าหลวงพ่อเนียมต้องมีอะไรดี

ลุงคำ (หลานนายมวน) เล่าว่าเพราะหลวงพ่อเนียมเป็นบุคคลที่มีน้ำใจเมตตากรุณา แต่เคร่งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย บางท่านที่สนใจศึกษาทางด้านวิปัสนาธุระ หลวงพ่อก็ช่วยให้การศึกษาเต็มที่ โดยไม่มีการหวงแหน พระเณรมีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี นอกจากนั้นหลวงพ่อเนียมยังมีชื่อเสียงในทางรักษาโรคต่างๆ ได้อีก เช่น โรคพิษสุนัขบ้า บางทีถึงกับจับเอาสุนัข บ้ามาขังไว้ ทำการรักษาสุนัขตัวนั้นจนหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกและมหัศจรรย์ นอกนั้นการรักษาวัณโรค อหิวาตกโรค ฝีดาษ ไข้ทรพิษ ก็รักษาให้หายได้เช่นกัน โดยเฉพาะวัณโรคนั้นได้ผลดีมาก

หลวงพ่อเนียมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าได้ดั่งตาทิพย์ ครั้งหนึ่งมีภิกษุจากวัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จำนวน ๔ รูปไปหาหลวงพ่อที่วัดน้อยเพื่อขอฤกษ์ลาสิกขาบท ขณะนั้นหลวงพ่อเนียมกำลังคุมลูกศิษย์วัดทำความสะอาดบริเวณวัดอยู่ พอเห็นหน้าภิกษุทั้งสี่ หลวงพ่อร้องทักขึ้นก่อนว่า จะมาขอฤกษ์ลาสิกขาบทใช่ไหมล่ะ ภิกษุทั้งสี่ตอบว่า ใช่ ท่านให้ฤกษ์ไปสามรูป อีกรูปหนึ่งท่านท้วงว่า อย่าเพิ่งเลย ชะตากำลังไม่ใคร่ดี แล้วท่านก็ไม่ให้ฤกษ์ แต่ภิกษุนั้นหายอมฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียมไม่ทนไม่ไหว จีวรร้อนเป็นไฟ เพื่อนพระสึกไปหมดแล้วตนเองก็จะรู้สึกว้าเหว่ ตัดสินใจลาสิกขาบทโดยไม่ฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียม เมื่อออกจากวัดกลับมาหาบิดามารดาที่บ้าน ค่ำวันนั้นเองขณะที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนบ้าน ปรากฏว่ามีคนร้ายแอบเอาปืนยิงเข้าไปในกลุ่มสนทนา กระสุนถูกศีรษะทิดสึกใหม่คนนั้นตายคาที่

วันหนึ่งหลวงพ่อเนียมเอ่ยปากขอสำรับเพลจากชาวบ้านแถบนั้นจำนวน ๕๐ สำรับโดยไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรที่ไหน เพียงแต่ท่านพูดแล้วอมยิ้มน้อยๆ ว่าถึงคราวแล้วรู้เอง ครั้นใกล้จะถึงเวลาเพล สำรับที่ขอชาวบ้านไว้ก็ค่อยๆ ทยอยมาสู่วัดครบตามจำนวนที่ขอไว้อย่างพร้อมเพรียง แต่ชาวบ้านมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ ใครจะมาจากไหนหรือไม่เห็นมีวี่แวว

แต่พอกลองเพลดังลั่นขึ้นเท่านั้น ท่านอาจารย์ปาน วัดบางเหี้ย ซึ่งขณะนั้นก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เหมือนกัน พาภิกษุมารวม ๕๐ รูป เดินทางมานมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ พอเดินทางมาถึงหน้าวัดน้อย ปรากฏว่าเกิดพายุขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นที่ผิดปกติ ท่านอาจารย์วัดบางเหี้ยจึง พูดกับพระที่มาด้วยกันแล้ว

"เอ เห็นจะต้องแวะที่วัดนี้เสียแล้ว เจ้าของท้องที่เขาเชิญให้แวะ ไม่ควรขัดศรัทธา"

จึงสั่งให้เรือจอดที่ท่าวัดน้อยแล้วพาภิกษุทั้งหมดขึ้นไปบนวัด ก็ได้รับการต้อนรับจากหลวงพ่อเนียมด้วยการถวายเพลแก่อาจารย์วัดบางเหี้ยและภิกษุทุกรูป

ในงานทำบุญคล้ายวันเกิดของท่าน ชาวบ้านจัดงานใหญ่โต มีแสดงพระธรรมเทศนาแจง ๕๐๐ พร้อมด้วยมหรสพสมโภชหลายอย่างร้านค้าขายตั้งเต็มลานวัด คาดว่างานแซยิดของท่านคงจัดขึ้นในราว พ.ศ. ๒๔๔๕ เพราะผู้เล่าเรื่องนี้คือ ลุงเปล่ง สุพรรณโรจน์ เล่าขณะที่ลุงเปล่ามีอายุ ๘๔ ปี บอกว่าปีนั้นลุงเปล่งมีอายุเพียง ๑๘ ขวบ ดังนั้น พ.ศ. ทำบุญงานแซยิดของท่านประมาณ พ.ศ.๒๔๔๕

ค่ำวันนั้น ปรากฏว่าเมฆดำทมึนมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ฝนตั้งเค้า พายุพัดตึงบอกลักษณะว่าฝนจะตกลงมาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นฝนยังได้ลงเม็ดมาปรอยๆ บ้างแล้ว ร้านค้าขายต่างกุลีกุจอเก็บข้าวของเตรียมหนีฝน กันจ้าละหวั่น วุ่นวายไปทั่วทั้งลานวัด คนที่มาเที่ยวต่างก็หลบฝนเข้าไปในใต้ถุนกุฏิ และที่หอฉันเต็มไปหมด

ในขณะที่กำลังอลหม่านกันนั้นเอง หลวงพ่อเนียมเดินลงมาจากุฏิร้องบอกว่า

"ไม่ต้องเก็บไม่ต้องเลิก มหรสพเล่นต่อไป ของขายต่อไป ที่นี่ไม่มีฝน ฝนไม่ตกที่นี่"

แล้วท่านเดินไปหยุดที่หน้ากุฏิของท่าน มองขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้า แล้วเดินไปเดินมา จริงเหมือนดังคำประกาศิต ฝนตั้งเค้าและท่าจะตกลงมาอย่างหนักนั้นหาได้ตกลงมาภายใน บริเวณวัดไม่มีเพียงละอองฝนปรอยๆ เท่านั้น แต่เมื่อมองออกไปนอกวัดจะเห็นฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ทั้งตกอยู่นานอักโขอยู่ พองานเลิกทุกคนต้องเดินลุยน้ำขนาดครึ่งหน้าแข้ง

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top