-
มีพระกรุยอดนิยมหลากหลายสภาพ ให้เลือกชมเน้นพระแท้ ดูง่าย รับประกันความแท้ตามสากลนิยม มีให้เลือกชมทั้งพระเนื้อดิน ชิน ผง
แทบทุกองค์ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชียวชาญ โดยมีรางวัลจากการผ่านงานประกวดมาตรฐาน
หรือ
ผ่านการออกใบรับรองพระแท้ จากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย
ที่สามารถยืนยันถึงความแท้และความถูกต้องของข้อมูล
ที่เกี่ยวกับองค์พระได้เป็นอย่างดี -
ส่วนใหญ่เป็นพระกรุพระเก่ายอดนิยมหลายองค์เป็นพระในตำนาน หาชมได้ยากในปัจจุบัน
บางองค์ไม่มีแม้แต่รูปให้ผ่านสายตา
ส่วนบางองค์มีให้เห็นแค่เฉพาะภาพในหนังสือพระเครื่องมาตรฐานสูงบางเล่มเท่านั้น
สนใจเชิญติดต่อกันเข้ามาได้
ยินดีต้อนรับด้วยความเป็นกันเองทุกท่านทุกสายเลยจ้า
หมวด พระกรุ เนื้อดิน - เนื้อผง
พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ พระรอดเมืองใต้ ยอดพระในดวงใจของใคร ๆหลายคน

ชื่อร้านค้า | jorawis - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ พระรอดเมืองใต้ ยอดพระในดวงใจของใคร ๆหลายคน |
อายุพระเครื่อง | 277 ปี |
หมวดพระ | พระกรุ เนื้อดิน - เนื้อผง |
ราคาเช่า | - |
เบอร์โทรติดต่อ | (ไม่แสดงเบอร์ เนื่องจากรายการนี้ไม่ได้ปล่อยเช่า) |
อีเมล์ติดต่อ | Jorawis@gmail.com |
สถานะ |
![]() |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | อา. - 30 ม.ค. 2554 - 23:36.24 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | อ. - 05 ก.ค. 2559 - 10:07.53 |
รายละเอียด | |
---|---|
พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ หรือ วัดราษฎร์บูรณะ บางครั้งก็เรียกขานกันว่า พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ เป็นพระกรุที่บรรจุไว้ในเจดีย์ในวัดราษฎร์บูรณะ และในเจดีย์วัดเทพากร เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยตามตำนานขรัวอีโต้ หรือหลวงพ่อขรัวอีโต้ เป็นภิกษุรูปหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย คือสมัยเสียกรุงครั้งหลังสุด (พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ประชาชนถูกกวาดต้อนไป เป็นเชลยยังกรุงหงสาวดีเป็นอันมาก รวมทั้งพระสงฆ์สามเณรด้วย ในจำนวนนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง ได้ร่วมไปในกลุ่มเชลยศึกพร้อมทั้งโยมหญิง โยมชาย พี่ร่วมท้องน้องร่วมสายโลหิต ต้องตกไปเป็นเชลยพม่าอยู่เป็นเวลาแรมปี ภายหลังเมื่อโยมบิดามารดาที่ชราอยู่แล้ว และต้องตกระกำลำบากจากบ้านเกดเมืองนอนไปอยู่แดนศัตรู มีความทุกข์ระทมใจเป้นอย่างมากก็ถึงแก่ความตายทั้งสองท่าน พระภิกษุรูปนั้นจึงหดความห่วงใย ไม่คิดจะอยู่ในหงสาวดีต่อไป ท่านจึงเล่าความในใจให้น้องสาวของท่านฟัง น้องสาวของท่านเห็นดีตามที่พระพี่ชายคิดไว้ พอได้ฤกษ์งามยามดีในราตรีกาลวันหนึ่ง พระภิกษุและน้องสาวจึงหลบหนีจากแดนเชลยในหงสาวดี มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา โดยเหตุที่ท่านเป็นผู้เรืองวิชาอาคม ท่านจึงพาน้องสาวของท่านหลบหนีข้าศึก รอนแรมมาในระหว่างทาง ค่ำที่ไหนก็หยุดพักนอนที่นั่น โดยใช้มีดอีโต้ที่ถือติดมือมาเล่มเดียว วางไว้ตรงกลางระหว่างตัวท่านนอนข้างหนึ่ง น้องสาวของท่านนอนข้างหนึ่ง รอนแรมเรื่อยมาเป็นเวลาแรมเดือน เล่ากันมาว่าจนผมยาวดังองคุลี เป็นที่ผิดสังเกต เพราะสมัยนั้นพระสงฆ์ 15 วันปลงผมครั้งหนึ่ง เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาและบ้านเกิดแล้ว เห็นแต่บ้านร้างเมืองว่างเปล่าปรักหักพังไม่มีผู้คนอาศัย ต้องย้ายไปอยู่บางกอก ท่านจึงพาน้องสาวของท่านเดินทางต่อไปยังบางกอก แล้วพักอยู่จำพรรษาที่วัดเลียบ หรือวัดราชบุรณะในปัจจุบัน ในวันสองวันนั้น ก็มีเหตุไม่ดีงามเกิดขึ้น โดยประชาชนโจทก์ขานกันว่า ท่านเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์บ้าง เป็นปราชิกบ้าง เพราะอยู่ร่วมด้วยสตรีมาเป็นเวลานาน ท่านไม่โต้ตอบด้วยประการใด แต่ยืนยันว่า ศีลของท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ด่างพร้อยแม้แต่น้อย ประชาชนค้านว่า ใครจะเชื่อท่านได้ ท่านตอบว่า เราและน้องเรารู้ดี และอีโต้เล่มนี้แหละเป็นพยาน แล้วท่านก็ถืออีโต้เล่มนั้นเดินไปที่สระน้ำพร้อมกับประชาชน (สระนี้ เมื่อวัดอยู่ในสภาพเดิม ตั้งอยู่ระหว่างคณะ 14 กับคณะ 16 กว้างประมาณ 10 วา ยาวประมาณ 20 วา อยู่กลางวัด) สำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นน้ำฉัน ผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อสมัยก่อน สระน้ำนี้เป็นสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มีหินใหญ่ลอยอยู่แผ่นหนึ่ง พระเณรเวลาจะเข้าแปลหนังสือเป็นมหาบาเรียญมักมาขออาบน้ำในสระนี้ ฯลฯ ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ปล่อยเต่า-ปลา มีเต่าใหญ่ ๆ ปลาใหญ่ ๆ มากปัจจุบัน ถูกถมเป็นที่สร้างเป็นอาคารพานิชซึ่งตรงข้าม ร.ร.สวนกุหลาบฝั่งวัดขณะนี้ พลางตั้งสัตย์อธิษฐานว่า "หากศีลจารวัตรของข้าพเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่ ขอให้มีดโต้เล่มนี้จงลอยอยู่ผิวน้ำปรากฏแก่สายตาคนทั้งหลาย หากข้าพเจ้าวิบัติโดยศีลจารวัตรแล้ว ก็ขอให้มีดเล่มนี้จงจมลงในน้ำนี้ตามสภาพเถิด" อธิษฐานแล้วท่านก็โยนมีดลงไป ปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์ยิ่ง เพราะมีดเล่มนั้นลอยน้ำประจักษ์แก่สายตาของประชาชนทั่วไปที่มุ่งดูอยู่ในที่นั้น ด้วยความมหัศจรรย์นี้ ทำให้กิตติศัพท์ของท่านขจรไปอย่างรวดเร็ว ว่าท่านมีศีลาจารวัตรบริสุทธิ์จริง ๆ ประชาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ถึงกับขนานนาม ท่านว่า "ขรัวอีโต้ลอยน้ำ" เมื่อท่านแสดงความบริสุทธิ์ให้ปรากฏดังนั้นแล้ว จึงเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไปตลอด จนกระทั่งเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ จนสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครู" แต่ประชาชนยังเรียกท่านว่า หลวงพ่อขรัวอีโต้ และสืบปากคำต่อกันมาจนปัจจุบันนี้ ในสมัยพระพุทธเลิศนภาลัย สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครูได้ทิ้งผลงาน ที่ท่านสร้างไว้คือ พระเครื่องขนาดเล็กที่เรียกว่า "พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ" ปรากฏหลักฐานการสร้างในจารึกแผ่นทอง การขุดพบพระขรัวอีโต้ พระกรุนี้แตกออกมาด้วยการถูกขุดเจาะประมาณปี พ.ศ.2475 ขณะมีการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าแต่มีจำนวนไม่มากนัก จนกระทั่ง พ.ศ.2486 สงครามกำลังถึงจุดเดือด สัมพันธมิตรนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดถล่มสะพานพุทธฯ และโรงไฟฟ้าวัดเลียบจึงหลงมาถล่มลงที่พระอุโบสถน์และลานวัดจนเจดีย์ทะลาย พระชุดนี้จึงทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก พุทธลักษณะ เป็นพระพุทธประทับนั่งมารวิชัยอยู่ในทรงกรอบรูปเล็บมือปลายแหลมรองรับด้วยบานเส้นลวดเกลี้ยงสองชั้นและซุ้มกรอบด้านนอกก็เป็นซุ้มเส้นลวดเกลี้ยงเช่นกัน เป็นพระเนื้อดินผสมผงลงรักปิดทองมาแต่ในกรุอย่างงดงาม ของปลอมเป็นพระถอดพิมพ์จึงหดและฝ่อกว่าของจริง รักทองก็สดใหม่แม้จะมีการแช่ด่างทับทิมเพื่อให้ดูหม่นเก่าแต่ท |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...










อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments