ภาพถ่าย ขนาด 1 นิ้ว พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร-jorawis - webpra
VIP
  • มีพระกรุยอดนิยมหลากหลายสภาพ ให้เลือกชม
    เน้นพระแท้ ดูง่าย รับประกันความแท้ตามสากลนิยม มีให้เลือกชมทั้งพระเนื้อดิน ชิน ผง
    แทบทุกองค์ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชียวชาญ โดยมีรางวัลจากการผ่านงานประกวดมาตรฐาน
    หรือ

    ผ่านการออกใบรับรองพระแท้ จากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย
    ที่สามารถยืนยันถึงความแท้และความถูกต้องของข้อมูล
    ที่เกี่ยวกับองค์พระได้เป็นอย่างดี
  • ส่วนใหญ่เป็นพระกรุพระเก่ายอดนิยม
    หลายองค์เป็นพระในตำนาน หาชมได้ยากในปัจจุบัน
    บางองค์ไม่มีแม้แต่รูปให้ผ่านสายตา

    ส่วนบางองค์มีให้เห็นแค่เฉพาะภาพในหนังสือพระเครื่องมาตรฐานสูงบางเล่มเท่านั้น

    สนใจเชิญติดต่อกันเข้ามาได้
    ยินดีต้อนรับด้วยความเป็นกันเองทุกท่านทุกสายเลยจ้า
  • Page 1
  • Page 2
มีพระยอดนิยมมากมายให้เลือกชม เน้นพระแท้ดูง่ายโดยเฉพาะพระกรุ พระเก่า ประกันความแท้ตามมาตรฐานสากลนิยม

หมวด หลวงปู่มั่น วัดป่าสุธาวาส - พระอาจารย์ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร

ภาพถ่าย ขนาด 1 นิ้ว พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร

ภาพถ่าย ขนาด 1 นิ้ว พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร - 1ภาพถ่าย ขนาด 1 นิ้ว พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร - 2ภาพถ่าย ขนาด 1 นิ้ว พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร - 3
ชื่อร้านค้า jorawis - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง ภาพถ่าย ขนาด 1 นิ้ว พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร
อายุพระเครื่อง 52 ปี
หมวดพระ หลวงปู่มั่น วัดป่าสุธาวาส - พระอาจารย์ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร
ราคาเช่า -
เบอร์โทรติดต่อ (ไม่แสดงเบอร์ เนื่องจากรายการนี้ไม่ได้ปล่อยเช่า)
อีเมล์ติดต่อ Jorawis@gmail.com
สถานะ พระโชว์
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ พฤ. - 09 มี.ค. 2560 - 21:39.55
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ ส. - 06 ม.ค. 2567 - 13:55.03
รายละเอียด
รูปนี้เป็นรูปยอดนิยมของเหล่าศิษยานุศิษย์ ของท่าน รวมถึงผู้นิยมชมชอบพระเครื่องสายพระกรรมฐาน ของแม่ทัพธรรม แห่งภาคอีสาน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ส่วนใหญ่รูปถ่ายมาตรฐานที่ทันพระอาจารย์ฝั้น อธิษฐานจิต มีไม่กี่รูปแบบ หนึ่งในนั้นก็คือรูปถ่ายขนาด 1 นิ้วแบบรูปนี้ที่เรียกกันว่า " รูปบาตรใหญ่" สาเหตุที่เรียกกันแบบนี้ เนื่องจากในภาพจะมองเห็นบาตรของท่านที่วางอยู่ใกล้มุมกล้องมากกว่า ภาพนี้เป็นภาพถ่ายขณะท่านกำลังฉันจังหัน เชื่อว่าถ่ายในช่วงก่อน พ.ศ 2516 เนื่องจากมีปรากฏรูปถ่ายนี้ พร้อมทั้งข้อความใต้ภาพ บรรยายไว้ว่า"ภาพถ่ายขนาด 1 นิ้ว แจกศานุศิษย์ไว้บูชา และก่ออภินิหารยิ่งนัก" ในคอลัมน์ "อาจารย์ฝั้น อาจาโร" ที่เขียนโดยคุณธวัชชัย อิศรางกูร ณ อยุธยา ในหนังสือ "สิ่งศักสิทธิ์ พระเครื่อง พระพุทธรูป" ที่ลงมาให้ชมนี้ โดยหนังสือ ฉบับนี้วางงตลาดก่อนเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2516 นั่นก็หมายถึง รูปถ่ายนี้ถูกถ่าย และอัดแจกจ่ายไปก่อนหน้าที่หนังสือฉบับนี้ออกวางจำหน่ายค่อนข้างแน่นอน

รูปถ่ายนี้อัดด้วยกระดาษผิวขรุระเป็นลายในตัว ตามความนิยมของยุคนั้นก่อนที่จะพัฒนามาเป็นกระดาษหนัง้างผิวมันในยุคต่อมา ด้านหลังมีตราประทับ ด้านบนสุดเป็นอัขระบาลี 2 ตัว 2 แถว ใต้อักขระบาลี2 แถว มีข้อความแนวโค้งอ่านได้ว่า "อาจารย์ฝััน อาจาโร " และล่างสุด เป็นตราร้านถ่ายรูป มีข้อความภาษาอังกฤษ และภาษาไทยในวงรี "แสงงาม @ ถ่ายรูป ถ่ายเอกสาร @ "

รับประกันความแท้แน่นอนไว้ใจได้จ้า สนใจเชิญสอบถามกันเข้ามาได้จ้า

นอกจากรูปถ่ายรูปนี้ อาจมีรายการพระที่ท่านค้นหาอยู่ก็ได้ เชิญที่นี่ได้เลยจ้า

http://www.web-pra.com/shop/jorawis

สำหรับท่านที่สนใจเกียรติประวัตืของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่ง วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร นี้ Jorawis ขอนำประวัตืของท่านที่ลงไว้ในเวปเพจของวัดสันติวรญาณมาให้ศึกษากันจ้า

http://www.suntiworrayan.com/P1.7.htm

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือกำเนิดในสกุล วรรณวงศ์ เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ซึ่งเป็นหลานของพระเสนาณรงค์ เจ้าเมืองพรรณานิคม มารดาชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของหลวงประชานุรักษ์ จะเห็นได้ว่าเชื้อสายของท่านเป็นขุนนางทั้งฝ่าย บิดาและมารดา เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าแก่ของหมู่ชน ที่เรียกว่า ผู้ไทย ซึ่งอพยพมาจากประเทศลาว ในสมัยราชการที่สาม แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระอาจารย์ฝั้น เคยเล่าว่า บรรพบุรุษของท่าน ได้ข้ามมาแต่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นครอบครัวใหญ่ เรียกว่า ไทยวัง หรือ ไทยเมืองวัง (ซึ่งเป็นเมืองหนึ่ง อยู่ในเขตมหาชัย ของ ประเทศลาว) บิดาของท่านพระอาจารย์ เป็นคนที่มีความเมตตาอารีใจคอกว้างขวาง เยือกเย็น เป็นที่นับหน้าถือตา จึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านม่วงไข่ ต่อมาบิดาของท่านได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ อีกหลายครอบครัว ไปตั้งหมู่บ้านใหม่ ในที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม เพราะเป็นพื้นที่ ที่มีลำห้วยอูน ผ่านทางทิศใต้ และลำห้วยปลาหาง อยู่ทางทิศเหนือ เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และ เลี้ยงไหม ตั้งชื่อว่า บ้านบะทอง โดยบิดาของท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ พระอาจารย์มีความประพฤติเรียบร้อย นิสัยใจคอเยือกเย็น อ่อนโยน โอบอ้อมอารี กว้างขวาง เช่นเดียวกับบิดาของท่าน ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค หนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลือกิจการงานของบิดา และญาติพี่น้อง โดยไม่เห็นแก่ความลำบากยากเย็นใดๆ ทั้งสิ้น ด้านการศึกษา พระอาจารย์ฝั้น ได้เริ่มเรียนหนังสือที่วัดบ้านม่วงไข่ (วัดโพธิ์ชัย) สอนโดย ครูหุน ทองคำ และครูตัน วุฒิสาร ตามลำดับ พระอาจารย์ เมื่อครั้งนั้น เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอันมาก สามารถเขียนอ่านได้รวดเร็วกว่าเด็กอื่นๆ ถึงขนาดได้รับความไว้วางใจจากครู ให้สอนเด็กอื่นๆแทน ในขณะที่ครูมีกิจจำเป็น พระอาจารย์ฝั้น เคยคิดจะเข้ารับราชการ จึงได้ตามไปอยู่กับ นายเขียน อุปพงศ์ ผู้เป็นพี่เขย ซึ่งเป็นปลัดเมืองฝ่ายขวา ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไปในชั้นสูง ในช่วงนี้ ท่านได้พิจารณาเห็นความยุ่งเหยิง ไม่แน่นอนของชีวิตคฤหัสถ์ ได้เห็นการปราบปรามผู้ร้าย มีการฆ่าฟันกัน มีการประหารชีวิต ครั้งนั้น พี่เขยได้ใช้ให้เอาปิ่นโตไปส่งนักโทษอยู่เสมอ ท่านได้เห็นนักโทษหลายคน แม้เคยเป็นใหญ่เป็นโต เช่น พระยาณรงค์ฯ เจ้าเมืองขอนแก่น ต้องโทษฐานฆ่าคน นายวีระพงศ์ ปลัดซ้าย ก็ถูกจำคุก แม้แต่นายเขียน พี่เขยของท่าน เมื่อย้ายไปเป็นปลัดขวา อำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย ก็ต้องโทษฆ่าคนตายเช่นกัน สภาพของนักโทษ ที่ท่านประสบมา มีทั้งหนักและโทษเบา นับได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านรู้จักปลง และประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ท่านได้สติ บังเกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก จึงเลิกคิดที่จะรับราชการ และตัดสินใจบวช เพื่อสร้างสมบุญบารมีทางพระพุทธศาสนาต่อไป

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

ชีวิตสมณะของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๑ เมื่อท่านอายุได้ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิ์ทอง บ้านบะทอง อำเภอพรรณานิคม และในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ถัดมา ท่านได้อุปสมบทเป็นภิกษุฝ่ายมหานิกาย ที่วัดสิทธิบังคม ตำบลบ้านไร่ อำเภอพรรณานิคม มีพระครูป้อง นนทะเสน เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์นวล และ พระอาจารย์สังข์ เป็นพระกรรมวาจารย์ และ พระอนุสาวนาจารย์ หลังจากออกพรรษาปีนั้น ท่านได้ไปอยู่ที่วัดโพธิ์ทอง บ้านบะทอง จึงได้ปฏิบัติธรรม อบรมกัมมัฏฐาน ตลอดจนการออกธุดงค์ อยู่รุกขมูล กับท่านอาจารย์อาญาครูธรรม

ปีถัดมา ๒๔๖๓ ท่านได้พบ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต จึงได้เที่ยวธุดงค์ มาพร้อมด้วยสามเณรหลายรูป และพักที่ป่าช้าข้างบ้านม่วงไข่ (ปัจจุบันเป็นวัดภูไทสามัคคี) เมื่อได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่น ท่านบังเอิญเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ในสติปัญญา ความสามารถ ของ พระอาจารย์มั่น จึงมอบตัวเป็นศิษย์ พร้อมท่านอาญาครูดี และพระครูกู่ ธมฺมทินฺโน เนื่องจากทั้งสามท่าน ยังไม่พร้อมในเครื่องบริขาร จึงไม่ได้ธุดงค์ตามพระอาจารย์มั่นไปในขณะนั้น

เมื่อทั้งสามท่าน ได้เตรียมพร้อม เครื่องบริขารเรียบร้อยแล้ว ประจวบกับได้พบ พระอาจารย์ดูลย์ อลฺโต ซึ่งเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่นมาก่อน และกำลังเดินธุดงค์ ติดตามพระอาจารย์มั่นเช่นกัน พระอาจารย์ฝั้น จึงศึกษาธรรม เรียนวิธีฝึกจิตภาวนาเบื้องต้น จากพระอาจารย์ดูลย์ จากนั้นทั้งสี่ท่าน ได้ร่วมกันเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์ดูลย์ เป็นผู้นำทาง จนได้พบพระอาจารย์มั่น ที่บ้านตาลโกน อำเภอสว่างดินแดง ท่านทั้งสี่ ได้ศึกษาธรรม กับ พระอาจารย์มั่น ที่นั่น เป็นเวลาสามวัน จากนั้นก็ได้ไปกราบพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล (ผู้ได้ร่วมเผยแพร่ธรรมกับพระอาจารย์มั่น) ที่บ้านหนองดินดำ แล้วจึงไปรับการอบรมธรรม จากพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่บ้านหนองหวายเป็นเวลาเจ็ดวัน จากนั้นจึงได้ไปที่บ้านตาลเนิ้ง และ ได้รับฟังธรรมจาก พระอาจารย์มั่น เสมอๆ

เมื่ออาจารย์ฝั้นได้รับการศึกษาอบรมธรรมะ จากพระอาจารย์มั่น และได้ฝึกกัมมัฏฐานจนจิตใจมั่นคงแน่วแน่ บำเพ็ญภาวนาได้ตลอดรอดฝั่ง โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ มารบกวนได้ ท่านจึงได้ตัดสินใจทำการญัตติ เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตินิกาย เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ที่วัดโพธิ์สมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมี ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์รถ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอาจารย์มุก เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้จำพรรษากับพระอาจารย์มั่น ที่วัดอรัญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ร่วมกับเพื่อนสหธรรมิกหลายรูป เช่น พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน พระอาจารย์อ่อน ญาณศิริ และพระอาจารย์กว่า สฺมโน ออกพรรษาปีนั้น ท่านได้เดินเลียบไปกับฝั่งแม่น้ำโขง เที่ยวธุดงค์ออกไปหลายแห่ง วกกลับมายังวัดอรัญวาสี แล้วธุดงค์ติดตามพระอาจารย์มั่น ที่บ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบัน อำเภอศรีสงคราม) ซึ่งท่านได้รับมอบหมายให้จำพรรษา และโปรดญาติโยม ที่ดอนแดงคอกช้าง อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

หลังออกพรรษา ท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้ร่วมกับหมู่คณะออกเผยแพร่ธรรม ทางจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้รับเอาโยมมารดาของพระอาจารย์มั่น ไปอุบลฯด้วย ในปี ๒๔๗๐ นี้ ท่านได้จำพรรษา ที่บ้านบ่อชะเนง อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับพระอาจารย์กู่ เทศนาสั่งสอนญาติโยมที่นั่น พ.ศ. ๒๔๗๑ ท่านได้ออกไปจำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร หลังออกพรรษา ท่านได้ไปเผยแพร่ธรรม ที่จังหวัดขอนแก่น ได้จำพรรษาที่จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลา ๓ ปี ระหว่างนั้น ท่านได้อบรมสั่งสอนชาวบ้าน ให้เลิกนับถือผีเลิกกลัวผี ให้หันมานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือศีลห้าและพระภาวนาพุทโธ ท่านเป็นที่พึ่งและให้ความอบอุ่นแก่ชาวบ้านทั่วไป คนคลอดลูกยาก คนไอไม่หยุด คนถูกผีเข้า คนมีมิจฉาทิฏฐิหลอกลวงชาวบ้าน ท่านช่วยเหลือแก้ไขด้วยอุบายธรรมะได้หมดสิ้น ท่านเองบางครั้งก็อาพาธ เช่น ระหว่างที่จำพรรษาบนภูระงำ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ท่านปวดตามเนื้อตามตัวเป็นอย่างมาก ท่านก็ใช้ธรรมโอสถ โดยนั่งภาวนาในอิริยาบทเดียว ตั้งแต่ทุ่มเศษ จนเก้าโมงเช้า ทำให้อาการอาพาธหายไปหมด พ้นจากการทุกข์ทรมาน
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๔๖๘ พรรษาที่ ๘ ถึง ๑๙ ท่านได้จำพรรษาที่ จังหวัดนครราชสีมา โดยตลอด แต่ในระหว่างนอกพรรษา ท่านจะท่องเที่ยวไปเผยธรรม และตัวท่านเอง ก็ได้ศึกษาและปฏิบัติด้วย เช่น ก่อนเข้าพรรษา ปี พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านพระอาจารย์ฝั้น พร้อมด้วยพระอาจารย์สิงห์ และ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อเยี่ยมอาการ ของ เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโน) โดยพักที่ วัดบรมนิวาส เป็นเวลา๓ เดือน เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ท่านได้ออกธุดงค์ไปในดงพญาเย็น ท่านได้พบเสือนอนหันหลังให้ ในระยะที่ใกล้มาก ท่านสำรวมสติเดินไปใกล้ๆมัน แล้วร้องถามว่า "เสือหรือนี่" เจ้าเสือผงกหัว หันมาตามเสียง แล้วเผ่นหายเข้าป่าไป เมื่อเดือน ๓ พ.ศ. ๒๔๗๙ พระอาจารย์ฝั้น พร้อมด้วยพระอาจารย์อ่อน ได้ไปนมัสการพระอาจารย์มั่น ที่วัดเจดีย์หลวงจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อได้อยู่ใกล้พระอาจารย์มั่น ท่านจึงได้เร่งความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน เล่ากันว่า ท่านทั้งสอง ต่างสามารถมองเห็นกันทางสมาธิ ได้โดยตลอด ทั้งๆที่ กุฏิห่างกัน เป็นระยะทางเกือบ ๕๐๐ เมตร

ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๖ พระอาจารย์ฝั้น ได้ออกเดินธุดงค์ จาก วัดป่าศรัทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ไปพักวิเวกภาวนาตามป่าเขา ที่เห็นว่า สงบเงียบพอเจริญกัมมัฏฐานได้ และขณะเดียวกัน ก็สั่งสอนธรรมะ ช่วยเหลือชาวบ้าน ที่มีความทุกข์ยาก และ พาชาวบ้านพัฒนาหมู่บ้าน ให้มีความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ท่านธุดงค์ไปเขาพนมรุ้ง ต่อไปจังหวัดสุรินทร์ จนกระทั่งถึง จังหวัดอุบลราชธานี โดยจำพรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ที่วัดบูรพา ที่จังหวัดอุบลราชธานี นี้เอง พระอาจารย์ฝั้น มีหน้าที่เข้าถวายธรรม แก่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ซึ่งกำลังอาพาธ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคชรา) และใช้ความรู้ทางด้านสมุนไพร รักษาโรคปอดแก่ท่านอาจารย์มหาปิ่น จนกระทั่งออกพรรษาปีนั้น ทั้งสมเด็จฯ และ พระอาจารย์มหาปิ่น มีอาการดีขึ้นปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ถึง ๒๔๙๖ ท่านพระอาจารย์ฝั้น ได้จำพรรษา ที่ วัดป่าศรัทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งเดิมชื่อวัดป่าธาตุนาเวง เป็นป่าดงดิบ ห่างจากตัวเมือง ห้ากิโลเมตรเศษ ท่านได้นำชาวบ้าน และ นักเรียนพลตำรวจ พัฒนาวัดขึ้น จนเป็นหลักฐานมั่นคง ช่วงออกพรรษา ท่านก็มักจะจาริกหรือ พักวิเวกตามที่ต่างๆ เช่น บริเวณเทือกเขาภูพาน เป็นต้น ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านไปวิเวกที่ภูวัง และได้สร้างพระพุทธรูปบนหน้าผ ออกพรรษา ปีพ.ศ. ๒๔๙๒ ได้ติดตาม พระอาจารย์มั่น ถึงวัดสุทธาราม ที่สกลนคร ฯลฯ
อนุสรณ์สถาน ที่ถือว่าสำคัญที่สุด ของอาจารย์ฝั้น น่าจะเป็นวัดป่าอุดมสมพร ซึ่งห่างจากตัวเมือง สกลนคร ราว ๓๔ กม. เป็นที่ที่ท่านได้จำพรรษาช่วงสุดท้ายของชีวิต เป็นเวลากว่า ๑๒ ปี ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๒๐ แล ะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่านที่นี้ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๑

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top