ล็อกเก็ตกะไหล่ทอง หลวงพ่อวิสุทธิ์ วิสุทโธ วัดประสพสุข จ.สุพรรณบุรี-จ่าจีระสิทธิ์ - webpra
VIP
  • 0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
  • Page 1
  • Page 2
หน้าที่ และความรับผิดชอบ

หมวด เบ็ดเตล็ด เกี่ยวกับพระเครื่อง

ล็อกเก็ตกะไหล่ทอง หลวงพ่อวิสุทธิ์ วิสุทโธ วัดประสพสุข จ.สุพรรณบุรี

ล็อกเก็ตกะไหล่ทอง  หลวงพ่อวิสุทธิ์ วิสุทโธ วัดประสพสุข จ.สุพรรณบุรี - 1ล็อกเก็ตกะไหล่ทอง  หลวงพ่อวิสุทธิ์ วิสุทโธ วัดประสพสุข จ.สุพรรณบุรี - 2ล็อกเก็ตกะไหล่ทอง  หลวงพ่อวิสุทธิ์ วิสุทโธ วัดประสพสุข จ.สุพรรณบุรี - 3
ชื่อร้านค้า จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง ล็อกเก็ตกะไหล่ทอง หลวงพ่อวิสุทธิ์ วิสุทโธ วัดประสพสุข จ.สุพรรณบุรี
อายุพระเครื่อง -
หมวดพระ เบ็ดเตล็ด เกี่ยวกับพระเครื่อง
ราคาเช่า 250 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 08-6560-4037
อีเมล์ติดต่อ Tayanrum@hotmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ พระมาใหม่
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ อา. - 26 ม.ค. 2568 - 21:25.10
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ อา. - 26 ม.ค. 2568 - 21:25.10
รายละเอียด
ล็อกเก็ตกะไหล่ทองฝังเพชร หลวงพ่อวิสุทธิ์ วิสุทโธ วัดประสพสุข จ.สุพรรณบุรี

เดิม ๆจากวัด



ประวัติ

https://watprasopsuksuphanburi.blogspot.com/p/blog-page_1057.html
พระอธิการวิสุทธิ์ วิสุทฺโธ
(เจ้าอาวาสวัดประสพสุข)

ชาติกำเนิด
พระอธิการวิสุทธิ์ วิสุทฺโธ กำเนิดในครอบครัวชาวจีน ย่านตลาดคลอง ๑๖ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ดังนั้นท่านจึงมีชื่อในภาษาจีนว่า จือเซ็ง แซ่โต๋ว ส่วนชื่อภาษาไทย ชื่อ เด็กชายวิสุทธิ์ ตุรัตตะกูล ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันถึง ๑๒ คน
ชีวิตในวัยเรียน
เด็กชายวิสุทธิ์ ตุรัตตะกูล ใช้ชีวิตในวัยเยาว์เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป เริ่มเข้ารับการศึกษาครั้งแรกเมื่ออายุ ๖ ปี เรียนระดับชั้นอนุบาลที่โรงเรียนวิเวกวนาราม ย่านคลอง ๑๕ และเข้าเรียนชั้นประถมต้นที่โรงเรียนสุธรรมวงศ์วิทยา จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จากนั้นจึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนดอนฉิมพลีวิทยาคาร จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๒ ปี
ชีวิตคือการต่อสู้
หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แล้ว จึงมุ่งเข้ามาทำงานกับญาติของท่านในกรุงเทพฯ ย่านตลาดสำเพ็ง ด้วยวัยเพียง ๑๒ ปี ชีวิตแห่งการต่อสู้ดิ้นรนได้เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว เด็กชายวิสุทธิ์ เป็นลูกจ้างช่วยงานอยู่ในร้านขายเสื้อผ้าได้เพียง ๒ - ๓ เดือน ก็ต้องย้ายตัวเองลงไปอยู่กับญาติทางภาคใต้ที่จังหวัดปัตตานี ได้งานเป็นลูกจ้างในร้านเครื่องสำอางตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี จนถึงอายุ ๒๔ ปี และในช่วงเวลา ๑๒ ปี ในการใช้ชีวิตเป็นลูกจ้างของท่านก็มิใช่ว่าจะขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพเท่านั้น ท่านยังมีความวิริยะอุตสาหะ ขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว โดยการเรียนหนังสือจีนซึ่งมีซินแสเป็นผู้สอน และได้เข้าสมัครเรียนที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ อีกด้วย หลังจากอายุครบ ๒๔ ปี ท่านได้ลาออกจากงานซึ่งเป็นลูกจ้างของร้านขายเครื่องสำอาง เนื่องจากมีอาการป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และท่านคิดว่าด้วยประสบการณ์ และอายุอันอยู่ในวัยสมควรในการเป็นเจ้าของกิจการ จึงได้มาเปิดร้านขายของเป็นผู้ส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ และดำเนินการนี้มาตลอดจนอายุได้ ๓๒ ปี จึงเลิกกิจการและย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ พร้อมกับเริ่มงานในวงการประกันชีวิตบริษัท AIA
ชีวิตครอบครัว
นายวิสุทธิ์ ตุรัตตะกูล ครองชีวิตโสดมาจนถึงอายุ ๓๒ ปี จึงเข้าสู่พิธีวิวาห์กับนางสาวระพีพรรณ ลีลาพัฒนะพรรณ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ มีบุตรสาว ๑ คน และได้รับเด็กหญิงมาเป็นบุตรบุญธรรม ๑ คน หลังจากแต่งงานแล้วได้ลาออกจากบริษัทประกันภัยกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด จังหวัดฉะเชิงเทรา ประกอบอาชีพโรงฆ่าหมู เปิดเขียงหมู ทำโรงงานกุนเชียง หมูหยอง หมูแผ่น ดำเนินกิจการนี้มาประมาณ ๔ - ๕ ปี ก็ต้องเลิกล้มกิจการ เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวอย่างรุนแรงจนถึงต้องแยกทางกันไปกับภรรยาคนแรก ท่านจึงต้องผันตัวเองกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่งและต้องกลับเข้ามาทำงานในสายงานประกันชีวิตที่บริษัท AIA ต่อไป
ชีวิตของท่านนั้นช่ำชองอยู่ในวงการธุรกิจประกันภัย เมื่อกลับเข้ามาทำงานในสายนี้ได้เพียง ๒ ปี จึงได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้บริหารหน่วยงาน AIA ชื่อหน่วยเหรียญทอง ๔ พร้อมกันนั้นท่านได้สร้างชีวิตครอบครัวขึ้นใหม่ โดยสมรสกับคุณจรรยา สุพงษ์พันธ์ และมีบุตรชาย ๑ คน
ก้าวสู่ร่มธรรม
บรรดาเหล่าลูกศิษย์ ต่างล้วนเคยได้ยิน ได้ฟัง หลวงพ่อปรารภอยู่เสมอว่า สาเหตุที่ทำให้ท่านหันมาศึกษาปฏิบัติธรรม คือ มรณานุสติ หรือ การระลึกถึงความตายนั่นเอง หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านอยู่ในเพศฆราวาสนั้นได้ใช้ชีวิตอย่างมัวเมา อยู่กับบาปและอกุศล หลงใหลอยู่ในอบายมุข จนเป็นเหตุให้สุขภาพและการงานของท่านเสื่อมโทรมลงเป็นลำดับ จนในที่สุดได้มีกัลยาณมิตรซึ่งเป็นผู้ใหญ่แนะนำให้ท่านหันเข้าหาทางธรรม ซึ่งเป็นทางดับทุกข์ที่แท้จริง ท่านจึงได้ตัดสินใจใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต เข้าศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม นับเป็นก้าวแรกที่ท่านดำเนินชีวิตเข้าสู่ร่มธรรมที่แท้จริง
เริ่มแรกได้มีผู้แนะนำให้ท่านไปปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นการปฏิบัติสายธรรมกายของหลวงพ่อสด แต่ก็ไม่ได้รับผลดีจากการปฏิบัติเท่าที่ควร เพราะท่านบอกว่าไม่ถูกกับจริตของท่าน ต่อมามีผู้แนะนำให้มาลองฝึกปฏิบัติกับหลวงพ่อสุนทร วัดปราสาททอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อท่านเดินทางมาถึงวัดปราสาททอง ก็ไม่พบหลวงพ่อสุนทร จึงมีผู้แนะนำให้ท่านลองไปดูที่วัดไทรงาม ว่าจะถูกจริตหรือไม่ และ ณ วัดไทรงามธรรมธรารามนี้เอง ท่านจึงได้ตัดสินใจที่จะก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยเริ่มแรกตั้งใจจะบวชเพียง ๑ พรรษาเท่านั้น แต่วาสนาบารมีในทางธรรมของท่านเกื้อหนุนให้ท่านอยู่ในเพศบรรพชิตนี้มาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งหลวงพ่อเข้าสู่พิธีบรรพชาอุปสมบทที่วัดไทรงามธรรมธราราม ตำบลโพธิ์พระยา อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑
ชีวิตใหม่ในเพศสมณะ
หลังจากทำการอุปสมบทแล้ว หลวงพ่อได้อยู่จำพรรษาในช่วงพรรษาแรกที่วัดไทรงามและเริ่มฝึกวิปัสสนากรรมฐานในภาคปฏิบัติ โดยการยกมือฝึกสัมปชัญญะกับสติในแนวของวัดไทรงาม อันเป็นแนวปฏิบัติของหลวงพ่อแป้นเจ้าสำนักวัดไทรงาม หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่าในพรรษาแรกนี้จิตใจของท่านไม่สงบเลยมีแต่ความฟุ้งซ่านและเวทนาก็เกิดขึ้นมาก แต่ท่านก็ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นซึ่งเป็นขันติบารมี จึงทำให้พอที่จะผ่านความทุกข์ไปได้บ้าง ที่วัดไทรงามนี้ท่านมีพระสหธรรมิกร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านมากมาย เป็นจำนวนมากกว่า ๒๕๐ รูป และวัดไทรงามในสมัยนั้นมีแนวทางการปฏิบัติที่เคร่งครัดมากที่สุดสำนักหนึ่ง ปัญหาสำคัญในการปฏิบัติของท่านก็คือความฟุ้งซ่าน และท่านก็ได้พยายามแก้ไขนิวรณ์ข้อนี้มาตลอด แต่ก็ยังมีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นอยู่มากในระหว่างปฏิบัติ ต่อมาได้มีเพื่อนสหธรรมิกรูปหนึ่งแนะนำให้ท่านลองศึกษาแนวทางการปฏิบัติที่ลึกซึ้งจากวัดสวนโมกข์ ของท่านพุทธทาสภิกขุจากหนังสือชื่อ ”อาณาปานสติ” ซึ่งเป็นแนวทางในการฝึกว่าด้วยวัตถุ ๑๖ การกำหนดลมปราณ และศึกษาพระสูตรในสติปัฏฐานสูตร ว่าด้วยอิริยาบถ ๔ และสติปัฏฐาน ๔ ท่านได้ฝึกปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง จนสภาพธรรมที่เป็นมโนวิญญาณธาตุออกจากร่าง ที่บริเวณหัวคิ้วทั้งสองเบ้าตาและกะโหลกศีรษะ เห็นกระแสของสภาวธรรมที่วิ่งชอนไชใต้ฝ่าเท้ากระทบจิตแล้ววาบออกไป ร่างกายก็โปร่งเบาเกิดความปีติในการปฏิบัติธรรม จึงได้อธิษฐานจิตว่าถ้ามีบุญบารมีก็จะขออยู่บำเพ็ญธรรมในพระพุทธศาสนาตลอดไป และคิดว่าสักวันหนึ่งคงได้มีโอกาสสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมให้แก่ญาติโยม เพื่อที่จะให้มีการฝึกการสอนในการบำเพ็ญธรรมที่ถูกต้องตามแนวพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นแนวที่ท่านได้รู้เห็นและได้ทำความชัดเจนด้วยตัวของท่านเอง จิตใจที่เคยหวั่นไหวหวาดกลัวอ่อนแอก็เข้มแข็งขึ้น ทำให้ท่านมั่นใจว่าสิ่งที่ท่านตั้งจิตอธิษฐานไว้นั้นจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน หลวงพ่ออยู่จำพรรษาที่วัดไทรงามเป็นเวลา ๓ พรรษาติดต่อกัน โดยฝึกการปฏิบัติอย่างเข้มข้นและพร้อมกันนั้นก็ได้ศึกษาด้านปริยัติจนจบนักธรรมเอก ในปี พ.ศ.๒๕๓๓
ในพรรษาที่ ๔ หลังจากหลวงพ่อสอบผ่านนักธรรมเอกแล้วและได้ผ่านการฝึกฝนอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐาน จนมีความเข้มแข็ง มั่นคงทางจิตพอสมควรแล้ว จึงได้กราบลาหลวงพ่อแป้นออกแสวงหาโมกธรรม ออกเดินทางไปยังอารามต่างๆ หลายจังหวัด เช่น เข้าอบรมวิปัสสนาจารย์พุทธรักษา วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี แล้วจึงเดินทางลงไปภาคใต้ถึงวัดปาดังเบซาร์, วัดไชนา จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคอีสานท่านก็ได้เดินทางไปยังวัดต่างๆ ในภาคอีสาน และได้แวะไปกราบขอคำชี้แนะจากหลวงพ่อพุทธฐานิโย แห่งวัดป่าสาละวัน ในการกำหนดจิตด้วยคำบริกรรมพุทโธ ต่อจากนั้นจึงเดินทางขึ้นภาคเหนือ เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่โง่น โสรโย ที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ขอบารมีและคำชี้แนะเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ หลวงปู่โง่นได้เมตตาให้คำชี้แนะและให้นำมาปฏิบัติเองจนได้ผลพอสมควร จากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปยังวัดเขาป่าแก้ว อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ในพรรษานี้หลวงพ่อจึงกลับลงมาจำพรรษาในภาคกลางคือ มาปฏิบัติธรรมและจำพรรษาอยู่ที่วัดอ้อย อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยการบูรณะพระอุโบสถหลวงพ่อดำ โดยดำเนินการร่วมกับกรมศิลปากร
ในขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดอ้อยนี้ หลวงพ่อมีโอกาสได้รับการชักนำจากพระมหาธิติวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์สามัคคี และรักษาการณ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประสพสุขอยู่ในขณะนั้น ดังนั้นในช่วงพรรษาที่ ๕ นี้หลวงพ่อได้เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างวัดประสพสุข, วัดราษฎร์สามัคคีและวัดอ้อย จนกระทั่งออกพรรษาท่านจึงได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่เกาะมหามงคลของแม่ชีบงกช สิทธิผล จังหวัดกาญจนบุรี ปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขาเป็นเวลา ๒ เดือนเศษ จากนั้นเดินทางต่อไปยังวัดคีรีมงคล ที่บึงสามพัน ตำบลซับไม้แดง จังหวัดเพชรบูรณ์ เพราะท่านเคยไปถวายผ้าป่าสร้างห้องน้ำ โรงครัวและศาลาปฏิบัติธรรมไว้ สุดท้ายท่านจึงเดินทางกลับมาวัดประสพสุข ได้มีญาติโยมบ้านวัดประสพสุขนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประสพสุขเรื่อยมาจนถึงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการณ์ในตำแหน่งรักษาการณ์เจ้าอาวาส และในปี พ.ศ.๒๕๓๗ ท่านจึงได้รับตราตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดประสพสุขโดยสมบูรณ์
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อจึงได้เริ่มดำเนินการในสิ่งที่ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ทันที ด้วยความอดทนและความมุ่งมั่นที่จะรับใช้พระศาสนา ซึ่งในวันนี้เราจะเห็นกันได้ว่า วัดประสพสุขเป็นที่รู้จักแก่ผู้คนมากมาย เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมซึ่งมีแนวทางที่ถูกต้องตามหลักของพระพุทธเจ้า และเป็นที่พึ่งทางใจให้กับท่านสาธุชนสืบต่อไป


พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top