บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม-จ่าจีระสิทธิ์ - webpra
VIP
  • 0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
  • Page 1
  • Page 2
หน้าที่ และความรับผิดชอบ

หมวด เครื่องรางของขลัง

บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม

บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม - 1บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม - 2บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม - 3บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม - 4บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม - 5
ชื่อร้านค้า จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน วัดป่าดงหมู จ.นครพนม
อายุพระเครื่อง -
หมวดพระ เครื่องรางของขลัง
ราคาเช่า -
เบอร์โทรติดต่อ 08-6560-4037
อีเมล์ติดต่อ Tayanrum@hotmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ เช่าแล้ว
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ อา. - 15 ธ.ค. 2567 - 21:12.36
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ จ. - 30 ธ.ค. 2567 - 14:27.56
รายละเอียด
บักหำขวด รุ่นแรกรวยพันล้าน

ขนาดพกพา


วัดป่าดงหมู หมู่ 10 ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม เล่ากันต่อๆมาว่าเดิมเป็นวัดร้างสมัยเมืองมรุกขนคร ซึ่งเป็นนามใหม่ของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ภายในบริเวณวัดมีซากเจดีย์ปรากฏอยู่ ผู้คนในละแวกนั้นเรียกเจดีย์องค์นี้ว่า “ธาตุนางคำกอง” หลังหมดสิ้นยุคมรุกขนครเข้าสู่สมัยกรุงธนบุรี วัดแห่งนี้ก็ถูกรกร้างนานศตวรรษ ต่อมาเมื่อปี 2516 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2(2493-2518) ยังระอุ ก็มีพระธุดงค์มาปักกลดวิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่าเป็น”สำนักสงฆ์ป่านางคำกอง” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดป่าดงหมูในปัจจุบัน สำนักสงฆ์ป่านางคำกอง มีเรื่องเล่าที่ผูกโยงกับวรรณกรรมเรื่องจำปา 4 ต้น ที่เขียนขึ้นมา จำนวน 3 ฉบับ คือล้านนาไทย อีสานและลาว เนื้อเรื่องจำปาสี่ต้นทั้ง 3 ฉบับ มุ่งสั่งสอนชาวไทยล้านนา ชาวอีสาน และชาวลาว ในเรื่องกฎแห่งกรรมส่งเสริมให้ทำความดี มีความกตัญญูรู้คุณ และสะท้อนให้เห็นความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณี กล่าวคือ ณ เมืองปัญจานคร มีพระมหากษัตริย์พระนามว่าท้าวจุลนี พระมเหสีชื่อพระนางอัคคี และมีเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกันชื่อเมืองจักขิน มีเจ้าเมืองชื่อพระเจ้าจักขิน พระองค์มีพระมเหสีชื่อพระนางแก้วเทวี และพระธิดาแสนสวยนามนางปทุมมา(หรือนางคำกอง) เมื่อนางอายุได้ 14 ปี พระเจ้ากรุงจักขินทรงพระสุบินว่า พระอาทิตย์ถูกภูเขาบดบัง ฝนตกน้ำท่วมจากหน้าเมืองจนถึงยอดปราสาท พระราชวังพังทลาย เหล่าบรรดาประชาราษฎร์ ทั้งข้าทาส วัว ควาย สัตว์ต่าง ๆ จมน้ำตายอนาถ โหรหลวงทำนายว่าจะเกิดกลียุค มีกาลีบ้านกาลีเมือง ไม่นานเกิดเหตุการณ์พญานกยักษ์ บินมาทำลายเมืองผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก พระเจ้าจักขินเห็นว่าเผ่าพันธุ์ชาวเมืองจะสูญสิ้นไป จึงได้นำพระธิดาไปซ่อนไว้ในกลองใบใหญ่ พร้อมกับเสบียงอาหารตลอดจนเพชรนิลจินดาเพื่อให้นางรอดพ้นอันตรายจากพญานกยักษ์ ต่อมาท้าวจุลนี แห่งเมืองปัญจานครได้เสด็จประพาสป่า และได้หลงทางเข้าไปในเมืองร้าง(เมืองจักขิน) พบกลองใบใหญ่อยู่กลางเมือง จึงตีกลองเพื่อจะเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนมา ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องอยู่ในกลอง พระองค์จึงใช้พระขรรค์ผ่าหนังกลองออกพบนางปทุมมาอยู่ด้านใน เมื่อถามไถ่ได้ความว่าพญานกยักษ์โฉบมากินผู้คนล้มตายจำนวนมาก พระบิดาจึงนำนางมาซ่อนไว้ในกลอง และโหรได้ทำนายว่าจะมีผู้วิเศษมาปราบนกยักษ์ตนนี้ได้ เมื่อพญานกบินมาท้าวจุลนีก็ฆ่าตายต่อหน้านางปทุมมา จากนั้นท้าวจุลนีได้รับนางปทุมมาเป็นมเหสีคนที่สอง(เมียน้อย)ของพระองค์ ฝ่ายพระนางอัคคีซึ่งเป็นอัครมเหสี(เมียหลวง) แต่ไม่มีพระโอรสและพระธิดาร่วมกัน ในเวลาต่อมาพระนางปทุมมาก็เริ่มตั้งครรภ์ จึงเป็นเหตุให้พระนางอัคคีเกิดความริษยา จึงวางแผนทำลายพระนางปทุมมาในขณะที่กำลังจะประสูติกาล โดยอ้างว่าพระนางปทุมมาทรงครรภ์แรกเกรงว่าเห็นเลือดแล้วจะตกใจกลัว จึงให้เอาผ้ามาผูกตา พร้อมนัดกับคนใช้ให้เอาลูกสุนัข (หมา) มาเตรียมไว้ เมื่อคลอดออกมาปรากฏว่ามีลูกแฝดถึง 4 คน นางจึงให้คนใช้ไปเอากุมารทั้ง 4 นั้น ยัดลงไปใส่ในไห แล้วเอาไปลอยน้ำในแม่น้ำ แล้วนางก็เอาลูกหมา 4 ตัว ใส่พานนำไปถวายพระสวามี เมื่อท้าวจุลนีทอดพระเนตรเห็นก็ทรงกริ้วโกรธมาก จึงสอบถามเหล่าเสนาอมาตย์ว่าจะลงพระอาญาแก่พระนางปทุมมาโดยให้ประหารชีวิตบูชาผีโขมด หรือเนรเทศออกจากเมือง เหล่าบรรดาเสนาอำมาตย์ก็กราบทูลว่า ควรลงโทษโดยให้ไปเป็นนางทาสรับใช้เลี้ยงหมู ดังนั้นพระนางปทุมมาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ถูกเหล่านางกำนัลใช้ทำงานสารพัดนอกจากจะเลี้ยงหมูแล้ว ยังถูกสั่งให้หาบน้ำ เก็บฟืน ตำข้าวต่างๆนาๆ ขณะกุมารน้อยทั้ง 4 ที่อยู่ในไห เมื่อพระมเหสีอัคคีได้ให้คนนำไหไปลอยน้ำ ไหก็ไหลไปจนถึงอุทยานสวนดอกไม้ มีสองตายายที่อยู่ดูแลรักษาสวนได้พบไห จึงนำเอากุมารทั้ง 4 ก็นำไปชุบเลี้ยงไว้อย่างรักใคร่ทะนุถนอม ฝ่ายนางอัคคีนับตั้งแต่กำจัดนางปทุมมาสำเร็จแล้ว ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก นับเป็นเวลาหลายเดือนหลายวันแล้ว ที่ไม่เคยเห็นคนชราสองผัวเมียนำดอกไม้มาถวายดังที่เคยทำมา จึงให้นางกำนัลไปสืบดู ก็ทราบว่ามัวแต่เลี้ยงเด็กที่ได้มาถึง 4 คน นางอัคคีจึงแน่ใจว่าเด็กน้อยทั้ง 4 คนนั้น คือเด็กที่ตนเองให้นำไปลอยน้ำ นางอัคคีจึงคิดอุบายอันชั่วร้าย ในขณะที่สองตายายไม่อยู่บ้าน ตอนออกไปหาซื้อเสื้อผ้า ขนม โดยนางทำขนมใส่ยาเบื่อแล้วให้นางกำนัลนำไปให้กุมารทั้ง 4 กิน เมื่อตายายกลับมาถึงก็พบว่ากุมารน้อยทั้ง 4 ได้สิ้นใจตาย จึงร้องให้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อแน่ใจว่ากุมารทั้ง 4 ตายแล้ว จึงจัดการเผาศพกุมารทั้ง 4 เมื่อไฟดับทั้งสองก็กลับขึ้นบนเรือน จนรุ่งสางจึงรีบไปดูที่เผาศพ ก็ปรากฏว่าเห็นจำปาสี่ต้นเกิดอยู่ตรงที่เผาศพนั้นแทน ชูดอกใบโชยกลิ่นหอมไปทั้งสวน ต้นที่ 1 ขาวอ่อนสีบริสุทธิ์ ต้นที่ 2 สีเหลือง ต้นที่ 3 สีนิล และต้นที่ 4 สีแดงดำ ฝ่ายนางอัคคี เมื่อได้วางแผนใช้ยาเบื่อฆ่ากุมารน้อยทั้ง 4 คนสำเร็จ ก็ได้ให้คนใช้ไปดูแลเพื่อให้ได้ความว่ากุมารน้อยทั้ง 4 ตายจริงหรือไม่ แต่เมื่อทราบว่าตายจริง และสองผัวเมียได้เอาไปเผา รุ่งเช้ากลับเกิดเป็นต้นจำปาสี่ต้น สองผัวเมียจะคอยเฝ้าดูแลและหวงแหนเป็นอย่างมาก เมื่อทราบดังนั้น นางอัคคี จึงจำต้องเดินทางไปทำลายต้นจำปาทั้งสี่ต้น โดยออกอุบายว่าต้องการดอกจำปา สองตายายก็ได้บอกว่าดอกไม้มีเต็มสวน ทำไมจะมาต้องการแต่ดอกจำปา ก็ให้เสียใจเศร้าโศก นางกำนัลจึงได้พากันปีนเก็บดอกไม้ แต่ก็ไม่สามารถเด็ดได้ ถึงขนาดมีดฟันก็ไม่เข้า ใช้จอบเสียมขุดก็ไม่เข้าเพราะแข็งปานหิน นางอัคคีโกรธจัดสั่งให้ไปจับตัวสองตายายมามัดแล้วเฆี่ยนตี สองตายายจึงจำต้องร้องขอให้จำปาทั้งสี่ต้นช่วย โดยการยอมให้นางอัคคีถอนต้นจำปา ทั้งสี่จึงยอม นางอัคคีก็นำไปลอยน้ำ สองตายายพยายามติดตามหาแต่ไม่พบว่าติดอยู่ ณ แห่งใด ขณะที่จำปาสี่ต้นเมื่อถูกนำไปลอยน้ำ ก็ปรากฏว่าเทวดา อินทร์ พรหม ครุฑ นาค ได้บันดาลให้จำปาไหลทวนน้ำขึ้นไปพบกับพระฤาษีตาไฟ พระฤาษีท่านได้มีเมตตาและกรุณาได้ชุบทั้ง 4 ชีวิตกุมารคืนชีพ และตั้งชื่อกุมารทั้งสี่ คนที่ 1 ชื่อเสกราชกุมาร เป็นคนธาตุดิน มีตรีเป็นอาวุธประจำกาย คนที่ 2 ชื่อปัตตะราชกุมาร เป็นคนธาตุน้ำ มีคฑาเป็นอาวุธประจำกาย คนที่ 3 ชื่อสุวรรณกุมาร เป็นคนธาตุลม มีจักรเป็นอาวุธประจำกาย ส่วนคนสุดท้องคนที่ 4 ชื่อเพชรราชกุมาร เป็นคนธาตุไฟ มีสังข์เป็นอาวุธประจำกาย ปรากฏว่าเจ้าคนน้องสุดท้องนี้เป็นผู้มีฤทธิ์เดชมาก เพราะตอนที่ตาเถรศิษย์ของพระฤาษี ไปดึงดอกจำปานั้นจนขาดออกมา พบว่ามียางเหนียวมากและเป็นสีเลือด จึงนำมาให้พระอาจารย์ดู พระฤาษีได้นั่งทางใน ก็ทราบได้ด้วยญานว่าเป็นเทพบุตรจุติลงมาเกิด พระฤาษีจึงชุบชีวิตคืนให้แล้วก็พบว่ายังมีนิ้วชี้มือข้างขวาของเพชรราชกุมารด้วน พระฤาษีต้องทำพิธีปลุกเสกใหม่ ดังนั้นนิ้วชี้ที่ด้วนจึงกลายเป็นนิ้วมงคลเพชร สามารถชี้คนเป็นให้ตาย ชี้คนตายให้ฟื้น(ได้ด้วยการประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาคมของพระฤาษีตาไฟนั่นเอง) เมื่อกุมารทั้ง 4 เจริญวัยเป็นหนุ่ม จึงมีฤทธิ์มาก ประกอบกับได้รับการอุปการะอุ้มชูจากพระอินทร์หรือท้าวสักเทวราช ทำให้มีฤทธิ์เดชมหาศาล ต่อมาพระอินทร์ได้เล่าความหลังให้พวกกุมารทั้งสี่ทราบความจริง กุมารทั้งสี่จึงได้วางแผนที่จะกลับบ้านเมืองเดิมของตน ในระหว่างเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองนั้น ได้ผ่านการต่อสู้กับข้าศึกในอาณาจักรของพวกยักษ์มาร จนได้ธิดาของยักษ์มาเป็นมเหสีครบทุกพระองค์ เมื่อมาถึงเมืองปัญจานครแล้ว ก็ได้ไปหาสองตายายที่เคยเลี้ยงดูทั้งสี่มาก่อน จากนั้นได้ไปช่วยพระนางปทุมมาผู้เป็นมารดาของตน ที่ถูกสั่งให้เป็นทาสเลี้ยงหมู ก่อนไปเข้าเฝ้าท้าวจุลนีพระเจ้ากรุงปัญจาผู้เป็นพระบิดา และได้ทูลเล่าความเป็นจริงให้แก่บิดาได้ทรงทราบ พระเจ้าจุลนีจึงได้สั่งลงโทษนางอัคคี ให้ไปเป็นข้าทาสรับใช้เลี้ยงหมู ชดใช้กรรมที่เคยทำกับพระนางปทุมมาในคราวก่อน หลังจากนั้นเพชรราชกุมารก็ได้ใช้นิ้วเพชรอันศักดิ์สิทธิ์ ช่วยชุบชีวิตพระเจ้ากรุงจักขิน และพระนางแก้วเทวี ซึ่งเป็นพระเจ้าตาและสมเด็จยาย ตลอดจนไพร่ฟ้าประชาชนของกรุงจักขินให้คืนชีพดังเดิมทุกประการ เหตุที่วรรณกรรมเรื่องจำปี 4 ต้น เชื่อมโยงกับเจดีย์(ธาตุ)นางคำกอง เพราะตอนที่มีนกยักษ์บินมากินชาวเมืองจักขินนั้น พระบิดานำธิดาพระนางปทุมมาไปซ่อนไว้ในกลองพร้อมเพชรนิลจินดา จึงมีคนเรียกชื่อพระนางว่านางคำกอง “คำ”ในภาษาลาวคือทองคำ “กอง”ก็คือกลองที่นางเข้าไปอยู่ เล่าขานกันว่าบริเวณวัดป่าดงหมู คือสถานที่นางถูกส่งมาเลี้ยงหมู ณ สถานที่แห่งนี้ (จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่าดงหมู) ภายหลังพระนางปทุมมาเสียชีวิตจึงมีการนำเถ้ากระดูกมาสร้างเป็นเจดีย์หรือธาตุครอบเอาไว้ จึงเรียกว่าธาตุนางคำกอง (บางแหล่งก็จะเรียก”ธาตุนางอัคคี”ก็มี) ปัจจุบันธาตุนางคำกองสำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด บูรณาการความร่วมมือระหว่างสํานักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี จังหวัดนครพนม สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม องค์การบริหารส่วนตําบลท่าค้อ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานกลุ่มที่ 1 ต่อมากลางเดือนมีนาคม 2563 พระอาจารย์วรรณ จิตติโสภโณ เจ้าอาวาสได้สร้างรูปปั้นเด็กชาย ความสูงประมาณ 1 เมตรเศษ ยืนยิ้มพนมมือไหว้ นุ่งโสร่งแบบคนโบราณ ซึ่งสมมุติว่าเป็นลูกชายแฝดคนที่สี่ของนางคำกองหรือพระนางปทุมมาคือเพชรราชกุมาร พร้อมตั้งชื่อเล่นว่า”บักหำขวด” ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าพี่ๆทั้งสามคน หลังทำพิธีเบิกเนตร”บักหำขวด” มีผู้คนแวะเวียนไปกราบไหว้จำนวนมาก เพราะต่างได้ประสบโชคลาภจากบักหำขวดมานักต่อนัก เรียกว่ารวยเงียบหลายงวดติดต่อกัน กระทั่งมีการเรียกร้องให้จัดสร้างวัตถุมงคลรูปเหมือน”บักหำขวด” รุ่นแรก รวยพันล้าน

พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top