พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539-จ่าจีระสิทธิ์ - webpra
VIP
  • 0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
  • Page 1
  • Page 2
หน้าที่ และความรับผิดชอบ

หมวด พระปิดตาทั่วไป

พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539

พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539 - 1พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539 - 2พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539 - 3พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539 - 4พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539 - 5
ชื่อร้านค้า จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539
อายุพระเครื่อง 29 ปี
หมวดพระ พระปิดตาทั่วไป
ราคาเช่า 250 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 08-6560-4037
อีเมล์ติดต่อ Tayanrum@hotmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ พร้อมเช่า
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ จ. - 11 พ.ย. 2567 - 21:43.39
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ พฤ. - 06 มี.ค. 2568 - 12:08.09
รายละเอียด
พระปิดตา รุ่นแรก หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ปี 2539

ฝังเหล็กไหลตาแรด พิมพ์เล็ก

พญางูผู้พิทักษ์แห่งถ้ำแฝด
เหตุผลอันแท้จริงของความศักดิ์สิทธิ์ของ เทือกเขาแรด นี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถค้นหาคำตอบที่แท้จริง หรือสามารถสยบอำนาจลึกลับต่าง ๆ ลงได้ จนกระทั่งมีพระภิกษูผู้ทรงศีลและกำลังสมาธิแก่กล้ารูปหนึ่งนามว่า “สัมฤทธิ์ คัมภีโร” ได้ธุดงค์มาปักกลดหาความวิเวกภายในถ้ำแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแรดนี้ (คือถ้ำแฝดในปัจจุบัน)
วันแรกที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่านมาพำนักอยู่ในถ้ำแฝดนั้น มีชาวบ้านที่หาของป่ามานั่งสนทนาธรรมหลายคน เมื่อมืดค่ำลงต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปบ้านของตนจนหมดหลวงพ่อจึงได้เข้าทำ วัตรสวดมนต์เจริญจิตภาวนาเพียงลำพังภายในถ้ำ
ในคืนแรกท่ามกลางความสงบแห่งรัตติกาลของราตรีนั้น หลังจากสงบจิตลงได้ไม่นาน ขณะที่ท่านได้เจริญภาวนามรรคจิตอยู่ดวงจิตได้ค่อยๆ รวมสู่ความสงบรวมเป็นสมาธิ ดั่งสู่ภวังค์จิตดื่มด่ำอิ่มปิติอยู่ในความสงบที่รู้สึกเป็นสุขยิ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วเข้ามากระทบโสตประสาทของท่านด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง และชัดเจน ปรากฏนิมิตงูยักษ์มีหงอนมากมายมารบกวนในขณะนั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ ทำให้ล่วงรู้ด้วยกำลังญาณและสมาธิว่า ถ้ำแห่งนี้จะต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แหล่งสถิตย์สิ่งของวิเศษของเหล่าพญา นาคแน่นอน เมื่อได้ทราบดังนั้นแล้ว หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ก็คงนิ่งเฉยหาได้สนใจในของกายสิทธิ์เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ ยังคงกำหนดจิตละกิเลสบำเพ็ญสมณะกิจต่อไป
ในช่วงขณะจิตหนึ่งนั้น มีความรู้สึกเหมือนของหนัก ๆ เคลื่อนไหวช้า ๆ อยู่ข้าง ๆ มีเสียงลมประหลาดคล้ายใครเป่าเบา ๆ พอได้ยิน และได้ปรากฏนิมิตรเสียงขึ้นว่า “หลวงพ่อกลัวงูไหม” เสียงนั้นชัดเจนก้องอยู่ในหู มั่นใจได้ว่าเป็นเสียงจริงๆ ที่ไม่ได้เกิดจากอุปทานแต่ด้วยจิตที่ผ่านการฝึกผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว จึงมิได้หวั่นไหวไปกลับเสียงที่ได้ยินนั้น จิตของท่านในขณะนั้นมีความมั่นคงมาก ได้ตอบกลับไปว่า "ไม่กลัว"
บรรยากาศเวลานั้นทุกสรรพสิ่งสงบเงียบ 2-3 อึดใจต่อมา โสตสัมผัสของท่านก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาอีก คราวนี้ไม่ได้เป็นเสียงพูดหรือเสียงตะโกนแต่เป็นเสียงคล้ายใครบางคนมาลาก อะไรบางอย่างเสียงดังครืดคราดวนเวียนอยู่ในถ้ำ เสียงนั้นแม้จะดังไม่มากแต่ก็ชัดเจนยิ่งนักใน ความเงียบงันของบรรยากาศอันหนาวเย็นในถ้ำ
คราวนี้ความสงสัยได้เข้ามาครอบงำจิตใจ ทำให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่าน ค่อยๆ คลายสมาธิลืมตาขึ้นมาดู จากความสว่างของแสงเทียนที่ท่านจุดปักไว้บนโขดหินภายในถ้ำประมาณ 3 - 4 เล่ม ทำให้ท่านเห็นจุดกำเนิดเสียงดังกล่าวค่อนข้างชัดเจน ทำให้ท่านตะลึงพรึงเพริดจนแทบลืมหายใจ เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาในดวงจิต จึงรู้ว่าตนเองก็ยังคงเป็นปุถุชนที่ยังรักตัวกลัวตาย เช่น เดียวกับคนอื่นๆ ทั่วไป สิ่งที่สร้างความหวั่นไหวให้แก่หลวงพ่อในครั้งนี้ก็คือ "งูยักษ์"


เป็นงูที่ใหญ่มากขนาดประมาณเสาศาลา จากชีวิตที่ออกธุดงค์ตามป่า-เขามาโดยตลอดผ่านพบสัตว์ร้ายมาทุกชนิด แต่ท่านก็ยอมรับว่ายังไม่เคยเจองูตัวขนาดนี้มาก่อนเลยเสียงครืดคราดที่ท่าน ได้ยินก็คือเสียงงูที่เคลื่อนไหวเลื้อยไปมาบนพื้นถ้ำ โดยกำลังเลื้อยไปดับเทียนที่ท่านปักไว้บนโขดหินทีละดวง ทีละดวง
งูยักษ์ขนาดลำตัวเท่าเสาศาลา ดวงตาสีแดงกล่ำแวววาวขนาดเท่าไข่ห่าน ลำตัวยาวเต็มถ้ำ กำลังแลบลิ้นแปลบปลาบอยู่เบื้องหน้า ชั่วขณะหนึ่งนั้นท่านรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ จนรู้สึกว่าจีวรนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬ ความที่เป็นพุทธบุตรเมื่อตั้งสติพิจารณาถึงสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าในขณะนี้แล้ว ก็ทราบทันทีว่างูนี้ไม่ใช่งูธรรมดา จิตของท่านจึงมิได้หวั่นไหวกับภัยอันตรายที่ปรากฏต่อหน้าไม่ คงกำหนดสติพริ้มเปลือกตาลงนิ่งสงบสมกับเป็นสมณะ พร้อมกับกำหนดจิตแผ่เมตตาไปทั่วทุกทิศทุกทาง
"อาตมาภาพมาเพื่อขออาศัยสถานที่แห่งนี้เพียงเพื่อทำความเพียร เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น มิได้มีเจตนามาเบียดเบียนใคร หากแม้จะเคยมีเวรมีกรรมต่อกันมาก็ขออุทิศร่างกายนี้แก่ท่านเพื่อเป็นการชด ใช้เวร จะได้ไม่มีเวรต่อกันสืบต่อไปอีก"
"แต่หากว่าเป็นการมาเพื่ออนุโมทนาบุญ อาตมาภาพก็ขอส่วนบุญอันเกิดจากการบำเพ็ญคราวนี้ให้เป็นกุศลบารมีแก่ท่านและ ขอท่านจงหลบหลีกไปตามทางของท่านเถิดอย่าได้มารบกวนการภาวนาของอาตมาภาพเลย"
ด้วยอากัปกริยาอันสงบน่าเลื่อมใสของ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้สร้างความยำเกรงและประทับใจให้แก่พญางูเป็นอันมาก จะเป็นเพราะงูใหญ่ตัวนั้นรับรู้ในจิตที่แผ่ออกมานั้น หรือจะเป็นเพราะเหตุอื่นใดก็ยากจะคาดคะเน พญางูยักษ์ตัวนั้นค่อยๆ ลดตัวลงหันหน้ามามองหลวงพ่อพลางค้อมตัวลงต่ำแล้วทันใดความมหัศจรรย์เหนือการ คาดเดาก็ปรากฎขึ้นแก่สายตาของหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่งเมื่อพญางูยักษ์กลายร่าง เป็นคน
ร่างนั้นแปรสภาพเป็นคนหนุ่มผู้ถือศีลนุ่งขาวห่มขาว กำลังก้มลงกราบมายังหลวงพ่อสัมฤทธิ์ กราบเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังซอกถ้ำ อันเป็นส่วนลึกของถ้ำก่อนที่จะแทรกตัวเข้าไปในซอกหินได้หันมากล่าวกับหลวงพ่อว่า
“ข้าพเจ้าคือพญานาคผู้เฝ้ารักษาถ้ำกายสิทธิ์นี้มาเป็นเวลานาน ได้พบแล้วผู้ซึ่งทรงความบริสุทธิ์แห่งศีลสมควรแก่การเคารพนับถือ ขอมอบเหล็กไหลและของกายสิทธิ์ทั้งหมดในที่นี้แก่ท่าน และขอมอบเสื้อคลุมของข้าพเจ้าไว้เป็นที่ระลึกแก่ท่าน เราหมดวาระแล้ว” ซึ่งต่อมาหลวงพ่อได้สำรวจภายในถ้ำส่วนลึกก็ได้พบ “คราบงู” ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่
กล่าวจบก็แทรกตัวเข้าไปในซอกหิน หายไปไม่กลับออกมาอีกเลยกระทั่งเช้า
เมื่อหลวงพ่อท่านได้ไปสำรวจดูในซอกหินที่พญางูยักษ์หายไป สิ่งที่หลวงพ่ออยู่ซอกหินนั้นคือซากของคราบงูที่เพิ่งมาลอกทิ้งไว้ ซึ่งมีความยาวถึง 6 เมตรเศษ ซึ่งจะเป็นเสื้อผ้าที่พญางูเคยกล่าวไว้ว่าจะมอบให้หลวงพ่อนั่นเอง
หลังจากนั้นก็ได้มีศรัทธาญาติโยมในหมู่บ้านมานิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษา ที่นี่ เพราะเคยมีพระมาธุดงค์พักอาศัยถ้ำนี้หลายองค์ แต่พอเช้าจะมาถวายอาหารบิณฑาตร ก็ไม่ทราบว่าท่านถอนกลดหายไปแต่เมื่อใด คาดว่าคงจะพบเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัวจากอาถรรพ์แห่งขุนเขาจนเกิดความกลัว
นับแต่นั้นมา หลวงพ่อสัมฤทธิ์ จึงได้เริ่มก่อกำเนิดวัดถ้ำแฝด เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2500 ด้วยบาตรและกลด จากสำนักสงฆ์จนสำเร็จเป็นวัดที่สมบูรณ์ ประกอบไปด้วย กุฎิ ศาลาการเปรียญ และพระอุโบสถ


เทวดาอนุโมทนา
การมาพำนักอยู่ที่วัดถ้ำแฝด ในระยะแรกนั้นลำบาก และเหน็ดเหนื่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้เพราะสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาและ ป่าไม้รวกขึ้นลงแต่ละครั้งก็แสนลำบาก เนื่องจากจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงสถานที่ไปตามโอกาสและทำไปเรื่อยๆ ตามลำพังเป็นส่วนใหญ่เพราะชาวบ้านในแถบนี้ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพอๆ กันมืดค่ำลงก็ทำอะไรไม่ค่อยสะดวกแล้วนานๆ ก็จะมีชาวบ้านปลีกตัวมาช่วยบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ในส่วนการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงพ่อสัมฤทธิ์ท่านไม่เคย ทอดทิ้งเลยแม้แต่วันเดียวด้วยเพราะสถานที่นี้เหมาะแก่การพิจารณาและปฏิบัติ ธรรมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการภาวนาซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า สิ่งเหล่านี้ท่านได้สัมผัสตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่นั่งกรรมฐานจะเห็นนิมิตรเป็นรัศมีสว่างไสวปรากฏอยู่บนยอดเขา แห่งนี้โดยทั่วไปซึ่งเชื่อได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยังค้น ไม่พบยังมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่มากมายทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติ ภาวนาอย่างเข้มข้นเสมอมา
เหตุมหัศจรรย์อีกครั้งในชีวิตของสมณเพศเป็นวันเพ็ญเดือน 12 ของปี พ.ศ. 2505 ได้เกิดปาฏิหารย์ขึ้นที่บริเวณวัดถ้ำแฝดแห่งนี้อีกครั้ง โดยมีประจักษ์พยานรู้เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากเป็นวันเพ็ญเดือน 12 มีญาติโยมมาเจริญกรรมฐานภาวนากับหลวงพ่อหลายคน คืนนั้นท่านได่เทศน์นำอารมณ์กรรมฐานแก่ญาติโยมเป็นเวลาพอสมควรแล้วท่านก็ นั่งภาวนาของท่านบ้างชั่วอึดใจจิตของท่านก็ดิ่งสู่สมาธิธรรม เกิดความสงบสบายอย่างบอกไม่ถูก เสวยอารมณ์นั้นอยู่ชั่วครู่ก็ปรากฎนิมิตรภาพขึ้นในมโนทวาร เห็นภาพยอดเขาด้านหน้าถ้ำแฝดมีแสงสว่างเรืองรองปกคลุมไปทั่ว
นิมิตภาพนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้นทุกขณะ จนปรากฏรูปร่างชัดเจน ปรากฏว่าบนยอดเขาที่เห็นแสงสว่างเรืองรองนั้น ใช่แต่จะมีเฉพาะเมฆหมอกเท่านั้นบนยอดเขาสว่างไสวราวกับกลางวันปรากฏร่าง เหล่าเทพบุตร เทพธิดา ชาวฟ้า ชาวสวรรค์ ทรงเครื่องเหมือนละครสีสวยสดงดงามตระการตายิ่ง แต่ละองค์สถิตย์อยู่ในวิมานของตนเองที่ล่องลอยอยู่เหนือยอดภูเขาดูละลานตาไป หมด
ด้วยความสงสัยว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพลวงมายาหรือภาพจริงกันแน่ หลวงพ่อสัมฤทธิ์จึงคลายสมาธิ ลืมตาขึ้นมองไปยังสถานที่ดังกล่าวปรากฎว่ายังคงเห็นภาพในนิมิตปรากฎอยู่ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
คราวนี้หลวงพ่อท่านไม่ชักแน่ใจว่าตัวท่านเองนั้นท่าจะเสียสติไปแล้วที่ มองเห็นภาพเหล่านั้นด้วยตาแท้ๆ จึงลองหยิกเนื้อตัวเองดูแรงๆแล้วก็รู้สึกเจ็บจริงๆถ้านั้นภาพที่ปรากฏต่อ หน้าเวลานี้ก็เป็นภาพจริงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อมิใช่จิตวิปลาสคลาด เคลื่อนอย่างที่คิดเพราะภาพเหล่านั้นปรากฏยาวนานจนถึงเช้าวันใหม่จึงหายไป
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น หลวงพ่อท่านจึงได้ตรวจสอบในนิมิตจากญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกันปรากฏว่า ทุกคนก็ได้เห็นภาพนั้นเหมือนกันหมด ตรวจสอบถึงลักษณะเสื้อผ้าสีสันการแต่งกายของเหล่าเทพเทวาทั้งมวลก็ตรงกัน
ที่แน่ชัดเข้าไปอีกในช่วงเช้ามืด นายแถม หมอดี ได้ขึ้นมาที่วัดถ้ำแฝดแต่เช้าตรู่ก็ยังมีโอกาสได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตา เปล่าเช่นกัน และเห็นอยู่นานจวบจนอาทิตย์เริ่มทอแสงภาพเหล่านี้จึงค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ภาพที่เห็นย่อมมิใช่ภาพหลอนหรือภาพลวงตา จึงเชื่อได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นการแสดงอนุโมทนาของเหล่าทวยเทพที่สถานที่ แห่งนี้จะปรากฏเป็นสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาสืบไปภายหน้า จึงได้มาปรากฏเป็นนิมิตรเครื่องหมายให้ปรากฏต่อสาธารณชนให้กล่าวขานประกาศ ให้รู้กันทั่วไป


ละสังขาร
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านได้ด่วนมามรณภาพไปเสียก่อนเวลาอันควร เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2539 ด้วยโรคระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว เพราะท่านมีโรคประจำตัวคือ เบาหวานและความดันโลหิตสูง ด้วยวัยชรา 73 ปีกับภาระการต้อนรับศรัทธาญาติโยมโดยไม่ได้พักผ่อนให้พอเพียงทำให้ท่านด่วน ละจากพวกเราไป ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั้งไทยและต่างประเทศเป็นอันมาก
ก่อนหน้าที่ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ จะมรณะภาพเพียง 1 อาทิตย์ คณะถ่ายทำสารคดีจาก ททบ 5 ได้มาถ่ายทำรายการ "เปิดโลกตำนาน" เหมือนเป็นละครบทสุดท้ายที่ท่านฝากผลงานไว้ในโลกแห่งตำนานของพระอริยเจ้า องค์หนึ่ง ที่เป็นต้นตำนานแห่งเหล็กไหล และพิธีสาวน้ำตาเทียนอันโด่งดังเป็นหนึ่ง และเป็นเอกลักษณ์พิเศษสำหรับยอดพระเกจิแห่งยุครัตนโกสินทร์ที่ไม่เหมือนใคร


ภายหลังการมรณภาพ ปรากฏเป็นอัศจรรย์ในบุญฤทธิ์เพราะสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย ผมและเล็บงอกเองได้ตามธรรมชาติ ซินแสผู้เชี่ยวชาญ คือ คุณพรเทพ สุริยเสนีย์ (ดั่งอั่งเซียะซินแซ) ได้มาตรวจสอบถึงกับอุทานว่า "วิเศษ มหัศจรรย์" เกือบ 20 ปีที่ทำงานมา ซินแสเพิ่งได้พบเห็น ซากสังขารของพระอริยสงฆ์ที่มีสภาพสมบูรณ์เต็มที่เป็นครั้งแรก คือ อวัยวะภายใน ปอด ลำไส้ หัวใจ ทรวงอก ผิวพรรณ ไม่มีส่วนใดชำรุด หรือเสียหาย ใบหน้ายังอิ่มเหมือนคนนอนหลับ
ปัจจุบันสังขารของหลวงพ่อสัมฤทธิ์บรรจุอยู่ในโลงแก้วบน มณฑปสวยงาม เป็นที่เคารพบูชา ให้โชคให้ลาภแก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ เส้นเกศาของท่านที่ลูกศิษย์เก็บไว้ ได้เปลี่ยนจากสีดำเป็นแก้วใส วันดีคืนดีเม็ดเหล็กไหลที่ท่านฝังไว้ที่แขนจะวิ่งและเปล่งแสงได้เป็นที่อัศจรรย์ เป็นสังขารของอริยสงฆ์ที่คู่ควรแก่การกราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง

พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top