เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓-จ่าจีระสิทธิ์ - webpra
VIP
  • 0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
  • Page 1
  • Page 2
หน้าที่ และความรับผิดชอบ

หมวด เหรียญปั๊ม ก่อนปี 2520

เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓

เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓ - 1เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓ - 2เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓ - 3เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓ - 4
ชื่อร้านค้า จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓
อายุพระเครื่อง 49 ปี
หมวดพระ เหรียญปั๊ม ก่อนปี 2520
ราคาเช่า -
เบอร์โทรติดต่อ 08-6560-4037
อีเมล์ติดต่อ Tayanrum@hotmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ เช่าแล้ว
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ อา. - 26 พ.ย. 2566 - 21:37.46
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ ศ. - 08 ธ.ค. 2566 - 22:19.06
รายละเอียด
เหรียญหลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม รุ่น ๓

มีจาร ด้านหลังเหรียญ สวยเดิม ผิวเดิม ไม่ผ่านการใช้

สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยคณะกรรมการวัดขอหลวงปู่สร้าง เพื่อหาปัจจัยสร้างเมรุของทางวัด ผลิตโดยกองกษาปณ์ ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปอาร์มแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้ออัลปาก้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งในสมัยนั้นออกทำบุญเหรียญละ ๒๕ บาท จำนวนการสร้าง ๑๐,๐๐๐ เหรียญ
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงปู่เย่อนั่งสมาธิเต็มองค์ องค์หลวงพ่อห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูสังฆวุฒาจารย์ (เย่อ) อายุ ๘๘ ปี"

ด้านหลัง มีรูปหลวงพ่อโตพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของทางวัดประทับนั่งสมาธิบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ข้างและบนรูปหลวงพ่อโตมีอักขระยันต์มอญ ใต้รูปหลวงพ่อโตมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "หลวงพ่อโต วัดอาษาสงคราม พ.ศ. ๒๕๑๙"


หลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม หรือ พระครูสังฆวุฒาจารย์อดีตเจ้าอาวาสวัดอาษาสงคราม อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ พื้นเพท่านเป็นชาวรามัญบ้านทมัง ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับวันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีชวด

ท่านมีนามเดิมว่าเย่อ กงเพ็ชร์ โยมบิดาชื่อนายเกาะ กงเพ็ชร์ โยมมารดาชื่อนางสา กงเพ็ชร์ มีญาติพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ๔ คน คือ นางหนู, นายบ๊ะ, หลวงปู่เย่อ, และนายเว่

เนื่องด้วยโยมบิดาและโยมมารดาของท่านเป็นชาวรามัญ ที่เคร่งครัดต่อประเพณีนิยมและมั่นคงต่อพระพุทธศาสนา

โยมบิดาจึงมักพาท่านไปทำบุญที่วัดอยู่เสมอๆ ทำให้หลวงปู่เย่อ ท่านมีความเลื่อมใสต่อบวรพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ มีจิตใจใคร่ศึกษาธรรม ฝักใฝ่ต่อการเรียนรู้

ปี พ.. ๒๕๔๔ โยมบิดและโยมมารดาของท่านจึงนำท่านไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอาษาสงคราม เมื่อถึงวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ โดยมีท่านพระมหาขันธ์เป็นอาจารย์ให้ศีลและอนุสัยบวชให้ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้เพียง ๑๓ ปี

หลังจากบรรพชาเป็นสามเณร ท่านก็ได้ศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัยทั้งไทยและรามัญ จนมีความชำนาญในด้านภาษาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอักขระขอมรามัญ

จึงทำให้ท่านสามารถค้นคว้าตำราและคัมภีร์ต่างๆ ของรามัญได้อย่างกว้างขวาง เกิดความรอบรู้ทั้งทางปริยัติธรรมและวิชาแขนงต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา

นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษษวิชาการแพทย์ตามแบบสมัยโบราณ ทั้งยังศึกษาวิชาสมุนไพร เพื่อช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านในพื้นที่อีกด้วย

โดยครั้งที่ยังเป็นสามเณรน้อยนั้น ท่านดำรงตนเคร่งครัด อยู่ในศีล มีจริยาวัตรงดงาม ผ่องใสด้วยธรรมของพระพุทธองค์ จึงเป็นที่ปิติของบิดามารดาและบรรดาญาติพี่น้องเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นที่ชื่นชมของครูอาจารย์และชาวบ้านที่พบเห็น ซึ่งต่างก็ชื่นชมโดยทั่วกัน

ปี พ.ศ. ๒๔๕๑ หลวงปู่เย่อ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุย่าง ๒๐ ปีบริบูรณ์ โยมบิดาและโยมมารดาจึงนำท่านเข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดพญาปราบปัจจามิตร ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ติดกันกับวัดอาษาสงคราม (วัดอาษาสงครามสมัยนั้นยังไม่มีพระอุโบสถ) เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๑ ได้รับฉายาว่า "โฆสโก" โดยมี

พระอธิการทอง วัดโมกข์ เป็นพระอุปัชฌาย์

พระอธิการเกลี้ยง วัดพญาปราบปัจจามิตร เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระมหาโต วัดโมกข์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้อยู่จำพรรษาที่วัดอาษาสงครามดังเดิม เพื่อศึกษาทางพระพุทธศาสนา ทั้งทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระ จนมีความรู้แตกฉานจนจบโดยเฉพาะบาลีแบบรามัญ ท่านมีความสามารถมาก

แต่ยังไม่ทันได้เข้าสอบสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงมีพระบัญชาให้เลิกการสอบแบบปากเปล่า (มุขปาฐะ) และทรงยกเลิกการสอบแบบปากเปล่าทั้งทางบาลีไทยด้วย โดยเปลี่ยนให้สอบโดยการขีดเขียนแทน และใช้กันอยู่จนทุกวันนี้

ถึงแม้ท่านจะไม่ได้สอบ ไม่มีใบรับรองความรู้อย่างใดก็ตาม แต่ความสามารถทางธรรมของท่านก็แตกฉาน สามารถอบรมสั่งสอนลูกศิษย์และภิกษุสามเณร หยิบยกข้อธรรมวินัย ที่มีหลักธรรมและคติธรรมมาสั่งสอนอย่างแคล่วคล่อง

ทำให้ผู้ได้รับการสั่งสอนมีความรู้ ความสบายใจ ซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง จนมีศิษย์ของท่านสามารถผ่านการสอบได้เปรียญสูงๆ มากองค์ด้วยกัน ชาวบ้านที่มีความทุกข์เดือดร้อน ท่านก็ใช้หลักธรรมกล่อมเกลาอบรมสั่งสอน

จนคลายทุกข์เดือดร้อนได้ บางคนที่มีความประพฤติไม่ดีงาม ท่านก็สั่งสอนให้แก้ไขปรับปรุงให้กำลังใจเขาจนกลับตัวได้ มีชีวิตมั่งมีศรีสุขเจริญขึ้น เป็นเจ้าคนนายคนก็มีไม่น้อย

นับได้ว่า ท่านเป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่งทีเดียว มีความชำนิชำนาญแม่นยำ ทั้งภาษาไทยและภาษารามัญ ผู้ใดมีปัญหาติดขัด ข้องใจปัญหาหลักภาษาหรืออักขระอย่างไร ท่านก็จะช่วยเหลือชี้แจง อธิบายให้จนแจ่มแจ้งเข้าใจได้อย่างถูกต้อง

ต่อมาท่าน พิจารณาเห็นว่า สิ่งที่จะทำให้ล่วงพ้นความทุกข์ไปได้นั้นก็คือ การมุ่งศึกษาทางปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน ท่านจึงมุ่งกลับไปศึกษา ทางวิปัสสนากรรมฐานโดยการค้นคว้าด้วยตนเองจากตำราภาษารามัญจนมีเข้าใจเป็นอย่างดี

จึงแสวงหาอาจารย์ผู้ทรงคุณในทางปฏิบัติ ท่านจึงเดินทางไปศึกษากับหลวงพ่อหลิม วัดทุ่งบางมด ปัจจุบันคือวัดทุ่งโพธิ์ทอง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีความสามารถทางวิปัสสนาสูง และเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางพุทธเวทย์วิทยาคม อันมีชื่อเสียงเกรียงไกรในยุคนั้น

หลวงพ่อหลิมนั้นท่านสร้างเครื่องรางของขลังแจกจ่ายประชาชน ของของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้ผล ทางเมตตามหานิยมนับว่ายอดเยี่ยมมาก เป็นต้นว่า นางกวัก ของท่านปัจจุบันมีค่าหาได้ยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัก-ยม ของหลวงพ่อหลิมนั้น ไม่มีอาจารย์ผู้ใดทำได้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนของท่าน หลวงปู่เย่อได้ขอศึกษาวิปัสสนากับหลวงพ่อหลิม จนหลวงพ่อหลิมออกปากชมว่า หลวงปู่เย่อมีความเพียรพยายามดีมาก

แม้จะมีอุปสรรคกีดขวางอย่างไร ก็พยายามฟันฝ่าเดินทางไปศึกษาโดยมิยอมลดละ ซึ่งในสมัยนั้น ถนนหนทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ การเดินทางจากพระประแดงไปวัดทุ่งบางมด ต้องใช้เรือแจวไปกว่าจะถึงก็ใช้เวลานานหลายชั่วโมงทีเดียว

เมื่อสำเร็จวิชาการวิปัสสนาจนมีความเชี่ยวชาญชำนาญดีแล้ว หลวงพ่อหลิมซึ่งมีความเมตตาหลวงปู่เย่อมาก จึงได้ให้เรียนวิชาทางพุทธเวทย์วิทยาคมต่อ

หลวงปู่เย่อก็พยายามศึกษาเวทย์มนต์คาถาที่หลวงพ่อหลิมประสิทธิ์ประสาทให้ด้วย ความขยันหมั่นเพียร จนเกิดความชำนาญสามารถทำเครื่องรางของขลังได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ

หลังจากนั้นท่านจึงไปขอศึกษาวิชาจากพระอาจารย์กินรี วัดบ้านเชียงใหม่ และพระอาจารย์พันธ์ วัดสกา ซึ่งพระอาจารย์ทั้งสองท่านนี้ เป็นเถราจารย์ชาวรามัญที่มีความแก่กล้าทางคาถาอาคมไสยเวทย์มาก

พระอาจารย์พันธ์ วัดสกา ท่านมีชื่อทางสีผึ้งเมตตามหานิยม ที่ทำจากน้ำมันช้างพลายตกมัน คือเอาน้ำมันตรงซอกหูช้างที่ไหลขณะตกมัน มาเคี่ยวกับสีผึ้งใต้ร้านบวบด้วยพระเวทย์ สีผึ้งนั้นใช้ทางเมตตามหานิยมเป็นเยี่ยม

ส่วนพระอาจารย์กินรี วัดบ้านเชียงใหม่ ท่านมีความชำนาญทั้งทางคงกระพันและเมตตา ทางคงกระพันท่านสร้างผ้าประเจียดสีแดงสวมต้นแขน เล่ากันว่าคงกระพันชาตรีชนิดแมลงวันไม่ได้กลิ่นเลือดทีเดียว (วัดบ้านเชียงใหม่ และวัดสกา ปัจจุบันได้รวมเป็นวัดเดียวกันชื่อว่า วัดกลาง)

ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ พระครูอาทรธรรมกิจ(พร้อม) เจ้าอาวาสวัดอาษาสมครามได้ถึงแก่มรณภาพลง ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดว่างลง และในปีเดียวกันนี้นี่เองที่ หลวงปู่เยอ ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูสังฆวิจารณ์ ฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) ครั้งเมื่อยังเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดราชบพิตร เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗

ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ หลังจากที่จัดการงานปลงศพพระครูอาทรธรรมกิจ(พร้อม) เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางคณะกรรมการวัดและคณะสงฆ์พร้อมด้วยชาวบ้าน จึงพร้อมใจกันนิมนต์หลวงปู่เย่อ ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดอาษาสงคราม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง

วัดอาษาสงคราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ในตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เดิมมีชื่อว่าเภี่ยงเกริงสละ เป็นภาษามอญ แปลว่า วัดคลองจาก

วัดสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๓ โดยท่านสมิงอาสาสงคราม หลังรบชนะข้าศึกได้ถวายที่ดินเพื่อสร้างวัดเป็นการล้างบาปและตั้งนามวัดตามราชทินนาม วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๖

หลังจากที่ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ได้พัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ ทั้งการปรับปรุงเสนาสนะต่างๆ และการสร้างถาวรวัตถุต่างๆภายในวัด ควบคู่กับการอบรมชาวบ้านในพื้นที่ให้อยู่ในศีลในธรรมประกอบสัมมาอาชีพสุจริต

นอกจากนี้ท่านยังสนับสนุนทางด้านการศึกษาของพระภิกษุสามเณรให้มีความรู้ โดยการจัดตั้งให้มี การเรียนการสอนทางด้านพระปริยัติธรรม

สิ่งก่อสร้างที่หลวงปู่สร้างไว้เพื่อให้ชาว บ้านได้ใช้ประโยชน์มีหลายอย่างเช่น เมรุฌาปนสถานและศาลาการเปรียญซึ่งใหญ่โตสวยงาม โดยหลวงปู่ใช้เวลาสร้างเพียงปีเดียวก็สำเร็จ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีผู้ศรัทธาหลวงปู่มาร่วมแรงร่วมใจกันอย่างดียิ่ง

ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูสังฆวุฒาจารย์ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๘

ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงปู่เย่อ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรชั้นโท โดยใช้ราชทินนามเดิมเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘

หลวงปู่เย่อปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชราเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ นับรวมสิริอายุได้ ๙๔ ปี ๗๓ พรรษา.

พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top