ทำไมจึงขลังนัก-จ่าจีระสิทธิ์ - webpra
VIP
  • 0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
  • Page 1
  • Page 2
หน้าที่ และความรับผิดชอบ
ทำไมจึงขลังนัก - 1
ชื่อร้านค้า จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง ทำไมจึงขลังนัก
อายุพระเครื่อง -
หมวดพระ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา - หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ - เหรียญนเรศวร ยุทธหัตถี - หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว - หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก
ราคาเช่า -
เบอร์โทรติดต่อ 08-6560-4037
อีเมล์ติดต่อ Tayanrum@hotmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ พระโชว์
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ อา. - 21 ส.ค. 2565 - 21:09.39
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ อา. - 21 ส.ค. 2565 - 22:25.13
รายละเอียด
ทำไมจึงขลังนัก

ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช (จวน) วัดมกุฏกษัตริยาราม เสด็จมาเป็นประธานในการปลุกเสกพระเครื่องยุทธหัตถีที่พระวิสุทธิสารเถระ (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร เป็นผู้จัดสร้าง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้พบหลวงพ่อมุ่ย จึงตรัสถามท่านว่า

“ ทำ ไ ม จึ ง ข ลั ง นั ก”


...ในกระทู้ก่อน ลงไม่หมด เนื้อที่จำกัด

อ่านจบ แล้วจะรู้ว่า ทำไม ท่านจึงขลังนัก

ศักดิ์สิทธิ์
2 ชม. ·

...แต่เดิมเรื่องของนายสถิต ข้องจันทร์ ถูกเล่าขานผ่านปากของพี่ชายในวงการวัดดอนไร่คนที่มีนาม "ว่าที่ร้อยตรี พีระพงศ์ สมใจเพ็ง" อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย หรือชื่อที่ในวงการนักนิยมพระรู้จักกันในนาม "ทองหล่อ โพธิ์พระยา"
ข้าพเจ้า(กนก​ ขำสุวรรณ)​เคยเข้าไปสัมภาษณ์นายสถิต ถึงที่บ้านข้างวัดโพธิ์ศรีเจริญ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จนได้รับข้อมูลอันน่าตื่นตลึง เพราะ
#ครั้งหนึ่งนายสถิตผู้นี้เคยเห็นร่างของหลวงพ่อมุ่ยลอยละล่องอยู่เหนือศีรษะ
นายสถิต ข้องจันทร์ เกิดเมื่อปี 2488 เกณฑ์ทหารเมื่อปี 2509 ผ่านสงครามเวียดนามรุ่นกองพลเสือดำ ปลดประจำการเมื่อปี 2512 จากนั้นย้อนกลับไปเป็นทหารรับจ้างรบที่ประเทศลาวอีกครั้งในปี 2516 ไม่ใช่เป็นด้วยค่าแรงชีวิตวันละ 60 บาท แต่เนื่องจากผู้เล่าได้ก่อคดียิงคู่อริที่บ้านเกิดถูกตำรวจกับศัตรูตามล่า ชีวิตคนธรรมดาจึงต้องกลับเข้ากรมอีกวาระหนึ่ง คนหนีคดีผู้ไม่มีเส้นทางให้เลือกเดินเหมือนกฎแห่งกรรมที่ตามเป็นเงาติดตัวสมรภูมิลาวขึ้นชื่อว่าโหดร้ายเพราะทหารไทยพากันไปตายยกกองพัน แต่นายสถิต ข้องจันทร์ ตัดสินใจเด็ดขาดว่าขอไปไถ่บาปด้วยการไปตายเอาดาบหน้าเข้าไปฝึกทางยุทธวิธี1เดือน ก่อนเข้าประจำการได้รับอนุญาตให้กลับมาลาญาติพี่น้องเป็นครั้งสุดท้าย สมัยนั้นในเมืองสุพรรณฯ ยังไม่เจริญ

ผู้เล่าบรรยายต่อไปว่า
ขณะที่ตนกับเพื่อนนั่งกินข้าวที่“ร้านต้มไส้เนื้อ”ชื่อดังกลางตลาด มีซินแสชื่อดังประจำเมืองเดินผ่านมา เพื่อนทหารด้วยกันจึงเรียกใช้บริการดูดวง ว่ากันว่าอาแปะรายนี้ดูลายมือแม่นชะมัด พอแกแบมือผ่านหน้า จึงร้องทัก "ลื้อนี่ชะตาขาด" คำพูดแค่คำเดียวเล่นเอาต้มไส้เนื้อในชามถึงกับจืดสนิท กินข้าวไม่ลง ผู้คนที่ได้ยินต่างเข้ามารุมล้อมวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
นายสถิตเล่าว่า ตนเองกำลังกลุ้มใจเพราะแว่วๆจากผู้บังคับบัญชาว่าประเทศลาวที่กำลังจะไปรบนั้น บางกองพันไม่เหลือเลยสักราย ยิ่งหมอดูออกปากทัก​ทาย​กันแบบไม่ถนอมน้ำใจ คนหนุ่มเลือดร้อนยิ่งกลุ้มใจไม่มีเรี่ยวแรง ในขณะที่กำลังมืดแปดด้านอยู่นั้น ได้ยินเสียงใครบางคนในหมู่ไทยมุง พูดออกมาคำหนึ่ง ซึ่งฟังแล้วก่อให้เกิดความหวังที่ปลายอุโมงค์

"ไอ้หนูลองไปวัดดอนไร่ดูซิไปหาหลวงพ่อมุ่ยเผื่อท่านจะมีทางช่วย"

แม้ว่าบ้านของแกจะอยู่กันคนละมุมเมือง แต่ชื่อเสียงหลวงพ่อมุ่ยก็โด่งดังข้ามทุ่งมาถึงบ้านโพธิ์พระยาให้ได้ยินมานานปี นายสถิตกับเพื่อนสองคนจึงตัดสินใจนั่งรถสองแถวไปสามชุกโดยพลัน จากนั้นจึงพากันเดินลัดทุ่งมุ่งหน้าทิศตะวันตกอีก16 กิโลเมตร กว่าจะถึงวัดก็เลยเพลจนตะวันเอนลับยอดไม้เข้าช่วงบ่ายใกล้ๆเย็น
บนกุฏิหลวงพ่อก็เงียบสงัดราวกับว่าทหารสองคนนี้มีนัดกับหลวงพ่อเป็นการส่วนตัว ทราบภายหลังว่าช่วงนั้นพระเดชพระคุณท่านอาพาธมานานหลายเวลา ญาติโยมจึงค่อนข้างบางตา ยกเว้นแต่พลทหารสองนายที่ถอดรองเท้าก้าวขึ้นไปบนกุฏิ
หมอธวัชผู้เฝ้าไข้ เห็นทหารผู้มาไกลทั้งยังสู้อุตส่าห์ย่ำทุ่งมาร่วม16 กิโล จึงเอ่ยปากเชื้อเชิญด้วยน้ำใจไมตรี(ทราบภายหลังว่าหมอธวัชผู้นี้ อดีตเคยเป็นทหารเสนารักษ์ คนจึงเรียกหมอธวัชกันติดปาก) ให้เข้าไปกราบท่านถึงก้นกุฏิด้านใน หลวงพ่อนอนสงบนิ่งหายใจรวยรินอยู่บนเตียงเก่าๆ เสื่อผืนหมอนใบ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรยิ่งใหญ่สมชื่อเสียงแม้แต่อย่างเดียว จะมีแต่เพียงสรรพบรรดาวัตถุมงคลสารพัดชนิด ที่กองรวมอยู่ในถาดวางกันเกลื่อนกลาดพื้นกุฏิ
นานหลายนาทียังไม่มีทีท่าว่าหลวงพ่อจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด สองทหารผู้มาไกลมองนาฬิกาแล้วมองหน้ากัน หมอธวัชเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆหู พร้อมตะโกนดังๆย้ำเตือนอีกครั้งว่า
"หลวงพ่อเขาเป็นรั้วของชาติ เขามาไกล มาขอให้หลวงพ่อช่วย”
พอสดับรับฟังคำว่า"รั้วของชาติ"พลัน หลวงพ่อก็พูดสวนขึ้นมาราวกับกระตุ้นพลังในร่างกายของท่านอีกวาระหนึ่ง
"เอ้ารั้วของชาติมาก็ต้องช่วย"
พร้อมๆกันกับพยายามพยุงร่างอันผอมบางราวกับหนังหุ้มกระดูกให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง
สองทหารก้มกราบท่านอีกครั้งหนึ่ง พนมมือมองหน้ากันนานชั่วอึดใจ ต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออก เหมือนอำนาจในตาท่านจะสยบทุกความคิดให้หยุดนิ่งในช่วงเสี้ยวนาที พลันมีแมวสีสวาทตัวหนึ่งเดินนวยนาดออกมาจากมุมกุฏิด้านใน จากความงามสง่าด้วยลักษณะของแมวมงคลแค่มองผ่านๆก็รู้ทันทีว่า เจ้าสีสวาทตัวนี้น่าจะเป็นตัวโปรดของท่าน พอเดินผ่านด้านหน้ามันก็หยุดแล้วจ้องหน้าสบตาไปทีละราย จนมาถึงหน้านายสถิตก็หยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ พอมองหน้าสบตากันมันก็กระโดดเข้ามานั่งบนตักคนหนุ่มชายชาติอาชาไนย ถ้าให้เดาเชื่อว่าคงจะไม่รักสัตว์ประเภทนี้เป็นแน่แท้ จริงดังนายสถิตที่เล่าต่อไปว่า พอแมวกระโดดเข้ามาสองมือที่พนมข้างหนึ่งจึงลดลงเพื่ออุ้มแมวออกจากตัว หลวงพ่อเห็นดังนั้นจึงยกมือห้าม พร้อมเอ่ยมาด้วยเสียงเบาๆแต่ทว่ามันดังก้องฟังแล้วหนาวจนหัวใจแทบหยุดเต้น
"ไม่ต้องเอาเค้าออกแมวตัวนี้เขารู้ถ้าใครชะตาขาด ... เขาจะเข้าหาคนนั้น"
ว่าแล้วท่านก็ชี้นิ้วมายังนายสถิตพร้อมบอกต่อไปว่า
"ถึงไปก็ไม่มีชีวิตกลับ"
ฟังหลวงพ่อพูดเพียงเท่านั้น หนุ่มวัยเบญจเพศแทบเป็นลม เหมือนกับว่าโลกกำลังแหลกสลาย นึกในใจว่า"ตายแน่ๆ เวรจริงๆ ชีวิตกู"
หลวงพ่อพูดพลางชี้นิ้วไปรอบห้อง เอ่ยปากอนุญาตให้หยิบวัตถุมงคลได้ตามอำเภอใจ หนุ่มบ้านไกลสองคนรีบกุลีกุจอ หันซ้ายหันขวาเลือกพระสารพัดชนิดรวมใส่ถาดกันมาพอประมาณ เท่าที่จำได้หลายสิ่งในนั้นมีแหวนโล่ แหนบเหน็บกระเป๋า รวมทั้งพระสมเด็จอีกคนละองค์สององค์ พอเลือกได้แล้วจึงรวมกันเพื่อใส่ถาดพร้อมเสร็จสรรพ จึงยกมาประเคนใส่มือ
เวลานั้นคำนวณตรงกับช่วงบ่ายแก่ๆของวันหนึ่ง ทหารสองนายได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า หลวงพ่อผู้ชราภาพ พระผู้กำลังอาพาธหนักมานานวัน แต่วันและเวลานั้นได้รวบรวมแรงพลัง ปลุกเสกของขลังให้กับคนใกล้ชะตาขาดอีกวาระหนึ่ง
นายสถิตเล่าว่าถึงวินาทีนั้น พลันที่หลวงพ่อเริ่มต้นบริกรรมสรรพสิ่งของในถาดก็ขยับเขยื้อนเคลื่อน​ไหว​ราวกับปาฏิหาริย์ หากไม่เพียงเท่านั้น #ร่างของท่านยังลอยจากพื้นค่อยๆยกระดับขึ้นจนสูงท่วมหัว นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์เกินจะกล่าว และมิใช่เพียงแค่ลอยชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น ร่างของหลวงพ่อที่นั่งในท่าสมาธิยังคงลอยค้างอยู่นานหลายนาที
ฝ่ายศิษย์ผู้ดูแลคือหมอธวัช ซึ่งอาจเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่มุมหนึ่งคราวประหนึ่งว่าเป็นห่วง ด้วยเกรงว่า หลวงพ่อท่านจะหมดแรงแล้วตกหล่นจนเจ็บหนักกว่าเดิม
เหตุการณ์ในกุฏิที่ปรากฏคือ ฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นทหารสองคนต่างพนมมือกันตาค้าง แต่ฝ่ายหมอธวัชผู้เฝ้าไข้ก็ทำท่าทำทางตั้งท่าเอามือรอรับหลวงพ่ออยู่ข้างๆเตียง
เป็นเรื่องประหลาดเหลือเกิน หลวงพ่อปลุกเสกนานพอที่คนทั้งสองจะเก็บรายละเอียดได้เพียงพอ จนสมควรแก่เวลา พระผู้เป็นเทพเจ้าของยุคสมัยจึงคลายมนต์คาถา คำบริกรรมเริ่มยุติ พร้อมๆกันกับร่างที่เริ่มลดระดับลอยต่ำลงมานั่งอยู่บนเตียงตามเดิม สรรพสิ่งของในถาดเริ่มหยุดขยับเขยื้อน
ครั้นเมื่อปลุกเสกเสร็จ ท่านยังเอื้ออารีหยิบวัตถุมงคลในถาดมาส่งประสิทธิเมฯ ให้ถึงมือ แกบอกว่าแหวนโล่ที่เลือกกันมาพอดีนิ้วนั้น หลวงพ่อถึงกับจับสวมนิ้วให้เลยทีเดียว
เมื่อถึงนายสถิต หลวงพ่อก็ส่ายหัวบอกว่า
"อันตราย ถึงยังไงก็ไม่รอด คนถึงคราวเพราะกรรมมันหนัก”
ท่านห้ามอยู่ร่ำๆว่า"ไม่ไปไม่ได้หรือ"
ฝ่ายนายสถิตซึ่งหมดหนทาง เพราะมีชนักติดหลังรู้อยู่เต็มอกบอกว่า ถ้าขืนอยู่บ้านก็คงต้องตายอยู่ดี เพราะมีศัตรูรอท่า หมอธวัชเห็นความตั้งใจหรืออาจเป็นด้วยรู้ซึ้งถึงหัวอกชายชาติทหารด้วยกัน จึงเข้าไปกราบเรียนใกล้ๆว่า
"พอจะมีหนทางใดที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง"
ถึงตรงนี้หลวงพ่อไม่ตอบ แต่นั่งเคี้ยวหมากบริกรรมคาถาอยู่ชั่วอึดใจราวกับท่านตรวจดูด้วย"อนาคตังสญาณ" จากนั้นจึงกวักมือเรียกนายสถิตเข้าไปใกล้ๆ บอกให้ก้มหัวลง จากนั้นท่านก็พ่นน้ำหมากลงบนศีรษะ พร้อมกับเอามือละเลงจนหัวแดงเถือก เสร็จสิ้นจึงกล่าวคำประกาศิตสำทับมาสั้นๆคำหนึ่งว่า
"เอาเถอะถึงโดนหนัก แต่ยังรอด"
พร้อมกับสั่งห้ามล้างน้ำหมากของท่านออกเด็ดขาด แม้กระทั่งอาบน้ำ ก็ห้ามสระผม
เหตุการณ์ต่อจากนั้น นายสถิต ข้องจันทร์ ก็เข้าสมรภูมิลาว ถือปืนเข้าสู่ "ภูล่องแจ้ง" อันโด่งดัง ว่ากันว่าเพียงแค่เฮลิคอปเตอร์ร่อนลงหน้ากองพัน เท้าทหารไทยยังไม่ทันสัมผัสยอดหญ้า ต่างโดนกระหน่ำ​ยิงต้อนรับจากฝ่ายตรงข้ามแทบจะลงไม่ได้ นับประสาอะไรเพียงแค่เหยียบแผ่นดินลาว
ทหารไทยชุดที่ไปพร้อมกันต้องสังเวยชีวิตทันที 2 ศพ นึกถึงคำของหมอดู นึกถึงคำของหลวงพ่อ รวมทั้งคำเตือนของเจ้านายที่กรุงเทพฯถึงกับร้องอ๋อ ว่าทำไมใครต่อใครถึงได้พูดว่า"มาตาย"กันทั้งนั้น
นายสถิต รบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่นานกว่าหกเดือน คำว่า"โดนหนัก"ก็มาถึง #วันหนึ่งขณะกำลังลาดตระเวณได้ถูกกระสุนปืนกลเจาะเข้าศีรษะ (แต่แฉลบ) จนกะโหลกบิ่น ไม่ตายแต่อาการหนัก ถูกส่งกลับมารักษาตัวอยู่นาน เมื่อร่างกายหายดีแล้ว ยังต้องเผชิญ​อาการกระทบกระเทือนทางสมองด้วย เกิดอาการมือสั่นอยู่อีก6เดือน จึงรักษาต่อด้วยกายภาพ​บำบัดจนกระทั่งหายเป็นปรกติ พอหายดีจึงขอกลับสมรภูมิลาวเป็นวาระที่สอง รบกันจนสงครามลาวจบสิ้น
#นายสถิตคนชะตาขาดก็ไม่ปรากฏอันตรายใดๆอีกจนกระทั่งปลดประจำการ กลับเนื้อกลับตัวทำมาหากิน สร้างครอบครัวจนมั่นคง ดำรงชีวิตอยู่มาจนถึงวัย 66ปี...
Cr.บาง​ส่วนจากหนังสือหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ของคุณกนก ขำสุวรรณ


พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top