-
0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
หมวด เหรียญปั๊ม ปี 2521 ถึง 2540
พระแก้วมรกต อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ





ชื่อร้านค้า | จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | พระแก้วมรกต อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ |
อายุพระเครื่อง | 42 ปี |
หมวดพระ | เหรียญปั๊ม ปี 2521 ถึง 2540 |
ราคาเช่า | - |
เบอร์โทรติดต่อ | 08-6560-4037 |
อีเมล์ติดต่อ | Tayanrum@hotmail.com |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ |
![]() |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | อา. - 29 พ.ย. 2563 - 21:05.08 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | อา. - 19 ก.ย. 2564 - 21:21.07 |
รายละเอียด | |
---|---|
รายการแรก วันนี้ เป็นของดี หายาก ของ อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาพรหมศาสตร์ของเมืองไทย ...หายากจริง ๆ ครับ เดิม ๆ แบบนี้ ..ไม่ได้เจอกันง่าย ๆ ครับ... อาจารย์ ทองแถม เก่ง อย่างไร... ในอดีตท่านเคยเดินทางมาทดสอบกับหลวงปู่เดินหน มาแล้ว (จาก บทความ ของ คนขลังคลังวิชา ตอน ท้ายครับ) ยกมา ซัก 2 เรื่องนะครับ ศิษย์สายวัดสะพานสูง 9 มกราคม 2018 · อ.ทองแถม ศาสตระรุจิ เจ้าตำหรับวิชาพรหมศาสตร์ ในบรรดาวิชาไสยศาสตร์ เมื่อเรียนกันไปมากๆแล้ว ก็จะต้องไปสื่อกับครูบาอาจารย์ และมหาเทพและเทพยดาทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ในอดีต ที่มีเรื่องเกี่ยวกับเทวดา เช่น อ.ชุม ไชยคีรี พ่อพราหมณ์สุทโธ ก็มีประวัติเกี่ยวข้องกับเทวดาเบื้องบน อ.ทองแถม ศาสตระรุจิ ว่ากันว่า วิชาพรหมศาสตร์ของท่าน ได้มาจาก องค์สมเด็จปรมาจารย์ฝ่ายพรหมศาสตร์ หลังจากนั้นไม่นาน ท่านสามารถสร้างตัว เป็นมหาเศรษฐีได้ จนทำให้ผู้ไปพบท่านที่ที่บ้าน เกิดความเคลือบแคลงไม่ได้ ว่าท่านเป็นของจริงหรือเปล่า เพราะเฉพาะเสาบ้าน ขนาดสองคนโอบ แต่เมื่อได้ฟังคำอ.ทองแถม กับทำให้เกิดศรัทธายิ่งขึ้นอีก เพราะท่านพูดว่า เราเป็นอาจารย์ แต่ช่วยตัวเองให้รวยไม่ได้ แล้วเราจะไปช่วยใครเขา ให้เขารวยได้ พอดีแอดมินไปอ่านเจอเกร็ดประวัติอ.ทองแถม จึงได้คัดลอกให้แฟนเพจได้ทัศนา เนื่องในพิธีพรหมาภิเศก “องค์พรหมเทพปฏิมา” เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2506 นี้นั้น พิธีได้กระทำขึ้น ณ เทวสถานโบสท์พราหมณ์ เสาชิงช้า พระนคร เมื่อวันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีหลายฝ่ายด้วยกัน อาทิ ฝ่ายสงฆ์มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ฝ่ายวิปัสสนาธุระมีท่านเจ้าคุณราชสิทธิ์ วัดมหาธาตุฯ เป็นประธาน ฝ่ายพราหมณ์มีพระราชครูวามเทพมุนี เป็นประธาน และฝ่ายพรหมศาสตร์มีอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ เป็นประธาน ซึ่งผู้เข้าร่วมพิธีทุกฝ่ายต่างก็ประกอบพิธีกรรมตามลัทธิของตน เพื่อความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ของ "องค์พรหมเทพปฏิมา" เป็นสำคัญ ... ปรากฏว่าในระหว่างพิธีกรรมตลอดเวลา 3 วัน 3 คืนนั้น ผู้เข้าร่วมพิธีแต่ละฝ่ายต่างได้คัดตัวบุคคลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษมาทำการปลุกเสกทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายสงฆ์นั้นได้นิมนต์พระอาจารย์ชื่อดังจากวัดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรมาร่วมปลุกเสกโดยพร้อมเพรียง นอกจากนั้นยังนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งวุฒิเปรียญ 9 ประโยคอีก 9 รูป มาเจริญพระพุทธชัยมงคลคาถาตลอดเวลา... พิธีพรหมาภิเศก "องค์พรหมเทพปฏิมา" ครั้งนี้เป็นพิธีที่ใหญ่ยิ่งพิธีหนึ่งในยุคปัจจุบัน ซึ่งบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่านต่างได้กล่าวยืนยันว่า นอกจากพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายต่าง ๆ จะมาเข้าร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ยังมีวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระภิกษุผู้สำเร็จซึ่งมรณภาพไปแล้วกับเทพเจ้าและองค์พรหมบนสวรรค์เสด็จมาเป็นประธานในพิธีนี้ด้วยจำนวนมาก ... เพื่อที่จะได้ทราบรายละเอียดว่าในพิธีพรหมาภิเศก "องค์พรหมเทพปฏิมา" ดังกล่าวนี้ได้มีวิญญาณของภิกษุรูปใดเทพเจ้าองค์ใด และพระพรหมองค์ใดเสด็จมาร่วมพิธีบ้างนั้น จึงได้นัดพบกับพ.อ. สมาน วีระไวทยะ (ยศในขณะนั้น) วศบ. ทบ. หัวหน้ากองนโยบายและแผน กรมส่งกำลังบำรุงทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นเจ้าตำรับ “วิทยาศาสตร์ทางจิต” ที่ชาวไทยและต่างประเทศรู้จักดี กับเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนั่งตรวจทางใน เพื่อนำเหตุการณ์ในวันประกอบพิธีพรหมาภิเศกมาเสนอ ดังนี้ ... พ.อ. สมาน วีระไวทยะ เล่าว่า ความจริงท่านไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพิธีพรหมาภิเศกในครั้งนี้เลย แต่ในระหว่างพิธีวันที่ 19 พ.ย. นั้น ท่านได้รับคำขอร้องจากอาจารย์ชาญไชย ถาวรธารนายช่างพิเศษกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นท่านหนึ่งที่ไปร่วมพิธีในทางด้านฝ่ายพรหมศาสตร์ ขอให้ช่วยนั่งทางในตรวจดูว่ามีวิญญาณของผู้ใดรวมทั้งเทพเจ้าและพระพรหมองค์ใดมาเข้าพิธีบ้าง ท่านจึงได้ไปนั่งตรวจให้ข้าง ๆ พิธีในบริเวณเทวสถานแห่งนั้น ... พ.อ. สมาน เล่าว่า เมื่อท่านได้เริ่มนั่งทางในตรวจดูนั้นเป็นเวลาประมาณ 00.30 น. การประกอบพิธีพรหมาภิเษกของเกจิอาจารย์ฝ่ายต่าง ๆ กำลังดำเนินอยู่และในการนั่งตรวจครั้งแรกนั้นพ.อ.สมานได้ตรวจถึงวิญญาณของพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่มรณภาพไปแล้วว่าจะมีรูปใดมาในพิธีบ้าง ... เมื่อนั่งหลับตาเข้าสมาธิแล้วสักครูก็เห็นว่าภาพในบริเวณเทวสถานมืดสนิทลงแล้วค่อย ๆ มีแสงสว่างจ้าเป็นประกายขึ้นโดยรอบ ทันใดนั้นก็เห็นภาพของพระอาจารย์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นทีละองค์ อาทิ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังโฆษิตาราม หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด หลวงพ่อลี วัดอโศการาม และพระอาจารย์สำคัญองค์อื่น ๆ รวม 15 องค์ด้วยกัน และแต่ละองค์ได้บอกให้นายพันเอกแห่งกองทัพบกทราบว่าท่านจะได้มาร่วมในพิธีนี้ทุก ๆ วันจนเสร็จสิ้นพิธี ภายหลังจากได้ตรวจดูพระอาจารย์ต่าง ๆ จนทั่วถึงแล้ว พ.อ. สมานจึงได้เปลี่ยนเป็นตรวจดูเทพเจ้าที่มาในพิธีบ้าง หลังจากนั่งสมาธิก็ได้เห็นภายในบริเวณเทวสถานกลับมืดสนิทลงเหมือนครั้งที่แล้ว ชั่วครู่ต่อมาก็ปรากฏเป็นแสงสีเขียวรุ่งโรจน์ขึ้น แต่ไม่ปรากฏร่างของเทพเจ้าองค์ใดให้เห็น แต่จากแสงสีเขียวนี้ พ.อ.สมานทราบว่า เป็นแสงประจำองค์เทพเจ้าชั้นสูงหลายองค์ อาทิ ... พระนารายณ์ พระพิฆเณศวร์ และสมเด็จพระอัมรินทราธิราช ... ดังนั้นเพื่อจะขอทราบว่าเทพเจ้าองค์ใดในสามองค์นี้จะเป็นผู้เสด็จมา นายพันเอกจึงตั้งอธิษฐานขอให้ท่านเจ้าของแสงปรากฏพระองค์ให้เห็นด้วย ครั้นอธิษฐานเสร็จก็ค่อย ๆ ปรากฏร่างของเทพเจ้าองค์หนึ่งขึ้นราง ๆ และค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นจนเห็นได้ถนัด เทพเจ้าองค์นี้มีทั้งหมด 4 กร จึงทราบได้ว่าเจ้าของแสงสีเขียวรุ่งโรจน์ที่เสด็จมานั้นคือ "องค์พระนารายณ์" หรือ "พระวิษณุเทพ" นั่นเอง พร้อมกันนั้นองค์พระนารายณ์ก็ได้ตรัสให้ พ.อ. สมานทราบเช่นเดียวกับพระอาจารย์องค์อื่น ๆ ... ในการตรวจทางในขั้นสุดท้าย พ.อ.สมาน ได้ตรวจว่าเทพเจ้าขั้นพรหมนั้นจะมีองค์ใดเสด็จมาบ้าง ครั้นได้ทำสมาธิและปรากฏความมืดสนิทขึ้นมาแล้ว ก็ปรากฏแสงสีขาวนวลคล้ายสีของไข่มุกเป็นประกายรุ่งโรจน์ และพร้อมกับแสงสีที่ปรากฏขึ้นนั้น นายพันเอกแห่งกองทัพบกก็ได้เห็นภาพของพระพรหมองค์สมเด็จปรมาจารย์ฝ่ายพรหมศาสตร์เสด็จมาเอง... เมื่อได้นั่งทางในตรวจเห็นบรรดาพระอาจารย์ต่าง ๆ รวมทั้งเทพเจ้าและพระพรหมองค์ใดที่เสด็จมาในพิธีแล้ว พ.อ.สมานจึงได้เขียนบันทึกมอบให้อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ ประธานฝ่ายพรหมศาสตร์เก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งหมดนี้คือบันทึกที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2506 เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่การเห็นการรู้ของหลาย ๆ ท่านตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งท่าน พลโท สมาน วีระไวทยะ และอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิแม้แต่การสร้างพระมหาเทพทั้งสามของวัดโกรกแก้ววงพระจันทร์ ซึ่งหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ เป็นผู้ปลุกเสก พระผงรูปพระนารายณ์ก็ยังใช้ "ผงสีเขียว" ในการสร้าง ซึ่งตรงกับสีรัศมีกายของพระองค์พอดี นับว่าผู้จัดทำมีความรอบคอบยิ่งนัก ... แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ไม่ได้แปลว่าไม่มี และบางสิ่งที่เราไม่เชื่อ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอยู่จริงเช่นกัน ... ขอขอบคุณ ท่านเจ้าเรื่องและภาพ ................. § สองที่สุดของอาจารย์ผู้ทรงฤทธิ์ § ในชีวิตข้าพเจ้าที่นับถือว่าเรืองฤทธิ์ที่สุด ❀❀❀❀❀❀❀❀ ตอน ๒ ............ คำพูดที่ พ.อ.ชม พูดออกมาแต่เห็นมีน้ำตาคลอด แล้วนึ่งอึ้งไปอยู่เป็นนานคล้ายผิดหวังหรืออย่างไรไม่ทราบชัด เมื่อทราบว่า อาจารย์สุวัฒน์ ถึงแก่กรรมแล้ว เหตุนี้เองรายชื่อครูบาอาจารย์ในการไหว้ครูของ พ.อ. ชม จึงมีชื่อหลวงปู่เดินหน อิเกสาโร รวมอยู่ด้วย ซึ่งในความเป็นจริง พ.อ. ชม ท่านไม่ได้เรียนวิชาไปจากหลวงปู่เดินหน ได้เพียงคาถาไปบ้างนิดหน่อย แต่หลวงปู่เดินหนได้เสกทองคำเปลวเป่าหายลงในหน้าผาก พ.อ.ชม ถึง ๙ แผ่น เรียกว่าตบทีเดียวหายเข้าหน้าผาก พ.อ.ชม ท่านเล่าถึงการรับทองคราวนั้นจากหลวงปู่ไว้ว่า **ตัวท่านเดินมึนหัวเหมือนฅนเมาค้างไปเป็นอาทิตย์** นี้แสดงถึงพลังอันมหาศาลที่หลวงปู่ประจุพลังปราณสู่ร่างท่าน พ.อ.ชม ซึ่งหากมองในมุมนักไสยเวทย์สนใจความเข้มขลัง เวลานั้น พ.อ. ชม ท่านนับว่าเป็นผู้ทรงฌานสมาธิ คือ ได้ฌานสี่ เสกปรอทแข็งและแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้หลายประการ แต่เมื่อหลวงปู่ลงทองและเสกเป่าด้วยพลังปราณอันแก่กล้า สามารถทำให้ พ.อ. ชม ถึงกับเดินมึน งง ไปได้ขนาดนี้ก็ลองคิดเอาว่า ระดับไหน ? ............ ❀❀❀❀❀❀❀❀ ............ ความจริงเรื่องลงทองหาใช่เพียงแค่เมื่อลงแล้วมึนเท่านั้น แต่ช่วงที่ พ.อ. ชม จะได้รับการลงทองคำเปลวจากหลวงปู่เดินหน ตัวท่านเล่าไว้ว่าในวันนั้นท่านไม่ได้เตรียมทองคำเปลวติดตัวมา เพราะไม่ทราบว่าหลวงปู่เดินหนจะลงทองให้ ในวันนั้น พ.อ. ชม เล่าว่าตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อหลวงปู่ท่านพูดว่าจะลงทองให้ เพราะวันนั้นเป็นวันฤกษ์ดีเหมาะสม ท่านก็คว้ามือไปที่กลางอากาศตรงหน้าที่ว่างเปล่านั้น ปรากฏมีแผ่นทองคำเปลวอยู่ในมือหลวงปู่ตอนใดไม่ทราบ แต่แผ่นทองที่ว่านี้มีขนาดใหญ่กว่าแผ่นทองคำเปลวทั่วไปสักหน่อย โดยปกติฅนทั่วไปหลวงปู่ท่านจะลงทองให้ ๑ แผ่น สูงสุด ๓ แผ่น เรียกว่าดูระดับจิตและสภาวะของแต่ละบุคคลว่ารับได้แค่ไหน แต่กับ พ.อ. ชม หลวงปู่ท่านถามว่าจะลงทีเดียว ๙ แผ่นเลยไหม แต่จะมึน ๆ หัวหน่อยจะเอาไหม ? ซึ่ง พ.อ. ชมท่านตอบรับทันทีเพราะท่านเองก็ไม่คิดว่า **ความมึน** ที่หลวงปู่กล่าวถึงนี้จะเป็นอยู่นานหลายวัน ............ ❀❀❀❀❀❀❀❀ ............ เรื่องที่ พ.อ. ชม ได้มาพบหลวงปู่เดินหนนั้นจะนำมาบอกเราในวาระต่อไป พร้อมเรื่องราวการลงทองให้กับ พ.อ.ชม ขอนำไปกล่าวถึงในบทความต่อไปภายหน้า เพื่อให้ได้ทราบว่า พ.อ.(พิเศษ)ชม สุคันธรัต (วท.บ.) ได้มาพบหลวงปู่เดินหน อิเกสาโร ได้อย่างไร มีความเป็นมาอย่างไร ? ซึ่งหากกล่าวกันตามความจริงที่เคยเกิดขึ้นและเป็นจริงผ่านมานั้น มีอาจารย์ฆราวาสหลายท่านเคยเดินทางมาพบ หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร มีทั้งที่มาเพียงเพื่อสังเกตการณ์ บ้างเจตนามาลองวิชากันถึงที่ บ้างมาเพื่อสนทนาและขอความรู้ หลายรายที่ภายหลังยอมรับและขอเป็นศิษย์หลวงปู่เดินหน สำหรับอาจารย์ผู้ทรงคุณที่เคยมาพบหลวงปู่เดินหนมีอยู่หลายท่าน ที่ทราบและมีข้อมูลทั้งเรื่องราวบอกเล่าแน่ชัด คือ -- หมอสมสุข คงอุไร สำนักรัศมีพรหมโพธิโก ผู้สร้างพระเครื่องของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค และเป็นผู้ทรงคุณทางจิตชอบภาวนาค้นคว้าทางจิตวิญญาณ ท่านผู้นี้ออกปากยอมรับกับศิษย์ของท่านว่า **หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร** องค์นี้ของจริง !! ท่านเป็นพระเหนือโลก เหนือกาลเวลาจริง เรื่องราวที่ลุงหมอได้พบหลวงปู่เดินหน นั้นจะนำมาบอกเล่าในภายหน้า -- อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาพรหมศาสตร์ของเมืองไท ลูกศิษย์ลูกหาท่านมากมาย ในอดีตท่านเคยเดินทางมาทดสอบหลวงปู่เดินหน ที่สำนักเก่าที่ตั้งอยู่ที่ซอยกิ่งเพชร มีการทดสอบกันแต่ภายหลังท่านยอมรับหลวงปู่เดินหน และได้มาปรึกษาเรื่องราวบางอย่างกับหลวงปู่เดินหน ซึ่งเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเหล่านี้ เคยเป็นเพียงเรื่องที่รู้กันในหมู่ฅนยุคเก่า ที่ปัจจุบันหลายท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว เห็นควรนำมาเปิดเผยต่อสังคมได้รับรู้ไว้บ้าง หาไม่จะลืมเลือนไปกับกาลเวลา ............ ❀❀❀❀❀❀❀❀ ............ ฯลฯ |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...










อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments