-
0 8 6 - 5 6 0 4 0 3 7
หมวด เครื่องรางของขลัง
เหรียญ ท้าวสักกะเทวราช ท้าวเวสสุวรรณ




ชื่อร้านค้า | จ่าจีระสิทธิ์ - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | เหรียญ ท้าวสักกะเทวราช ท้าวเวสสุวรรณ |
อายุพระเครื่อง | 18 ปี |
หมวดพระ | เครื่องรางของขลัง |
ราคาเช่า | - |
เบอร์โทรติดต่อ | 08-6560-4037 |
อีเมล์ติดต่อ | Tayanrum@hotmail.com |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ |
![]() |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | พฤ. - 27 ก.ย. 2561 - 21:01.33 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | อา. - 15 ก.ย. 2567 - 12:28.15 |
รายละเอียด | |
---|---|
ปิดท้าย... ของดี ของขลัง รูปลักษณ์ที่ ที่ไม่ค่อยเห็นสำนักไหนสร้างกันครับ เหรียญ ท้าวสักกะเทวราช เทวดาผู้ใหญ่ชั้นดาวดึงส์ ด้านหลัง ท้าวเวสสุวรรณ เทวดาผู้ปกครองจตุโลกบาลทั้งสี่ทิศ เหรียญ ขนาดสูง 3.5 ซ.ม. ผิ ว เ ดิ ม และ ส ว ย ม า ก ครับ... มนุษย์รู้จักเทพเจ้าหรือเทวดามาตั้งแต่โบราณกาล ยาวนานเท่ากับการเกิดขึ้นของสังคมมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ ในทรรศนะของผู้เขียน มีความเห็นว่าเทพเจ้าหรือเทวดาในยุคแรก ๆ เกิดขึ้นมาจากความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของมนุษย์ คือ ผสมผสานกันระหว่างความกลัว และความต้องการที่พึ่งทางใจในการดำเนินชีวิต ในยุคแรก ๆ ที่สภาพสังคมยังไม่ซับซ้อน สิ่งที่มนุษย์เผชิญหน้าเป็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวทั่วไป อันได้แก่ภัยธรรมชาติต่าง ๆ เมื่อมนุษย์ไม่สามารถควบคุมความเป็นไปของธรรมชาติได้ด้วยตนเอง จึงสร้างเกราะป้องกันภัย โดยใช้มโนภาพสร้างเทพเจ้าสายฟ้า เทพเจ้าลม เทพเจ้าฝน และเทพเจ้าอื่น ๆ ขึ้นมาเพื่อควบคุมธรรมชาติอันตนไม่สามารถควบคุมได้ และเพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ นานเข้าเรื่องราวของเทพเจ้าถูกเล่าขานปากต่อปาก กระทั่งถ่ายทอดผ่านวรรณกรรมสร้างเป็นตำนาน ทำให้เทพเจ้าเหล่านี้เป็นที่รู้จักและมีตัวตนมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากตำนานเทพเจ้ากรีก-โรมัน เทพเจ้าองค์แรก ๆ ล้วนเริ่มต้นมาจากเทพเจ้าผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น เทพเจ้าซูส หรือ จูปิเตอร์เป็นเทพปกครองสูงสุดเป็นเจ้าแห่งท้องฟ้า โพไซดอนเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล[๑] ต่อมาเมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กันจนเกิดเป็นสังคม ก็เริ่มมีเทพีแห่งปัญญา เทพีแห่งความรัก และเทพเจ้า อื่น ๆ ตามมามากมาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนความเชื่อ ความคิด และจิตใจ สอดคล้องกับแนวคิดของเฮเกล (George Hegel) นักปรัชญาจิตนิยม (Idealist) ชาวเยอรมัน ที่ว่า “พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าก็โดยรู้จักตัวของพระองค์เอง การรู้ตัวพระองค์เองก็คือการสำนึกถึงพระองค์โดยมนุษย์ และนั่นก็คือ ความรู้ที่มนุษย์เรามีถึงพระเจ้านั่นเอง ความรู้นี้จะช่วยให้คนเราเข้าใจตัวเองในพระเจ้า”[๒] กล่าวแบบง่าย ๆ พระเจ้าก็คือจิตของมนุษย์นั่นเอง กีรติ บุญเจือ กล่าวถึงมโนภาพของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติว่า ศาสนาทุกศาสนาที่มีองค์การ เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู มองว่า “เรารู้เรื่องเหนือธรรมชาติโดยศาสดาเป็นผู้สอน และมีวิธีให้เราคิดจนเข้าใจได้ ศาสดาจะรู้มาได้โดยวิธีใดนั้น แล้วแต่องค์การทางศาสนาแต่ละองค์การจะแถลงไว้ เราปุถุชนธรรมดาต้องอาศัยเชื่อตามศาสดา อย่างน้อยก็ในตอนเริ่มต้นเข้าถึงศาสนา เพื่อจะได้รู้อย่างซาบซึ้งต่อไปด้วยตนเองในภายหลัง”[๓] ปอล ทิลลิค นักปรัชญาชาวเยอรมันปฏิเสธพระเจ้าสมบูรณ์แบบ ที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยมโนคติ พระเจ้าของทิลลิคไม่ได้มีพลังพิเศษ เขาให้คำจำกัดความของพระเจ้าว่า “พระเจ้าดำรงอยู่ด้วยตนเองในฐานะที่เป็นความจริงสูงสุด”[๔] พุทธทาสภิกขุ กล่าวในหนังสือภาษาคนภาษาธรรมว่า “พระเป็นเจ้าหรือพระเจ้าในภาษาคนหมายถึงเทวดาที่มีอำนาจในการสร้าง ในการบันดาล ในการเนรมิตต่างๆ แต่ในภาษาธรรม พระเป็นเจ้า หมายถึงอำนาจลึกลับที่ไม่ต้องเป็นตัวคน ไม่ต้องเป็นตัวเทวดา ไม่ต้องเป็นตัวอะไรทั้งหมด แต่เป็นนามธรรมเช่นกฎของธรรมชาติ”[๕] ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามักกล่าวถึงเทพเจ้าหรือเทวดาไว้มากมาย ในบรรดาเทวดาที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือท้าวสักกะ เทวราชาประจำสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่เดิมพระอินทร์ หรือท้าวสักกเทวราช เป็นเทพที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท คนอินเดียคุ้นเคยกับเรื่องราวการต่อสู้ของพระอินทร์กับอสุระหรือพวกยักษ์ จากเทวาสุรสงคราม[๖] นอกจากนี้ศาสนาพราหมณ์ฮินดูโบราณ ยังนับถือพระอินทร์เป็นเทพเจ้าแรก กระทั่งปัจจุบันยังมีการบูชาพระอินทร์อยู่ในหมู่ผู้นับถือทั่วไป แต่พระอินทร์ในศาสนาพราหมณ์ถูกลดบทบาทลง และหันมายกย่องพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะขึ้นเป็นใหญ่แทนอย่างไรก็ตามพระอินทร์ เป็นที่รู้จักกันดีในสังคมของอินเดียสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม โดยทรงนำพระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราชเข้ามาในฐานะเป็นบุคคลาธิษฐาน ประกอบการแสดงธรรม จึงเป็นเสมือนกุญแจสำคัญเพื่อสื่อสารกับผู้คนในสมัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ หรือ ฮินดู ที่รู้จักกับพระอินทร์เป็นอย่างดี ผู้เขียนเห็นว่า การทำความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์โดยอาศัยวิธีปฏิฐานนิยมในเชิงตรรกะ (Logical Possitivism) แต่สามารถทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นได้ ด้วยการตีความในเชิงสัญลักษณ์ เช่นเดียวกับการทำความเข้าใจในการมีอยู่ของพระอินทร์หรือสักกเทวราช หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจะพบว่าตั้งแต่พระอินทร์เป็นมนุษย์จนถึงเทพธรรมบาล มีธรรมสัญลักษณ์หลายประการปรากฏให้เห็นชัดเจนมากมายในคัมภีร์พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระไตรปิฎก ความเป็นมาของท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกเทวราชแต่เดิมเป็นมนุษย์ชื่อมฆมาณพ เป็นผู้มีใจบุญ สร้างประโยชน์แก่ผู้คน สร้างสาธารณูปโภคมากมาย อาทิ สะพาน ถนนหนทาง ศาลาที่พักสำหรับผู้เดินทาง และรมณียสถานอันรี่นรมณ์ อาทิ สวนดอกไม้ สระน้ำ แม้ใครกลั่นแกล้งก็ไม่ถือโกรธ มีจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ การปฏิบัติตนของมฆมาณพ สื่อถึงคุณความดีที่มนุษย์พึงปฏิบัติหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องของทาน และ สุจริต ๓ คือการปฏิบัติชอบทางกาย วาจา และใจ[๗] ธรรมอันมฆมาณพปฏิบัตินี้ คือ “วัตตบท ๗”[๘] ประกอบด้วย มาตาปติภโร เลี้ยงมารดาบิดา กุเลเชฏฺปจายี เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล สณฺหวาโจ พูดคำสุภาพอ่อนหวาน อปิสุณวาโจ หรือ เปสุเณยฺยปฺปหายี ไม่พูดส่อเสียด พูดสมานสามัคคี ทานสํวิภาครโต หรือ มจฺฉรวินย ชอบเผื่อแผ่ให้ปัน ปราศจากความตระหนี่ สจฺจวาโจ มีวาจาสัตย์ อโกธโน หรือโกธาภิภู ไม่โกรธ ระงับความโกรธได้ เมื่อ มฆมาณพ ละจากภพภูมิของความเป็นมนุษย์ ไปอุบัติเป็นสักกะจอมเทพ เทวราชาผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นสถานที่น่ารื่นรมณ์ ดังที่พระโมคคัลลานะกล่าวชมว่า “สถานที่ที่น่ารื่นรมย์ของท้าวโกสีย์นี้ งดงามเหมือนสถานที่ของผู้ที่ได้ทำบุญไว้ในปางก่อน แม้มนุษย์ทั้งหลายเห็นสถานที่ที่น่ารื่นรมย์ใด ๆ แล้ว ก็กล่าวอย่างนี้ว่า งามจริง ดุจสถานที่ที่น่ารื่นรมย์ของพวกเทพชั้นดาวดึงส์”[๙] ๒. พระอินทร์ในเชิงสัญลักษณ์ การตีความพระอินทร์ในเชิงสัญลักษณ์เป็นเรี่องที่น่าสนใจ เนื่องจากมีพระนามของท้าวสักกเทวราชปรากฏอยู่มากมาย ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระไตรปิฎก ดังนั้น ผู้เขียนจึงเลือกตีความธรรมสัญลักษณ์สักกเทวราชในงานวิจัยนี้ ด้วยเทศนาหาระในคัมภีร์เนตติปกรณ์ โดยวิเคราะห์จากบริบทในพระไตรปิฎกเป็นหลัก ๒.๑ คัมภีร์เนตติปกรณ์ พระมหากัจจยนเถระผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก และได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศในทางขยายเนื้อความย่อ ให้ละเอียดกว้างขวาง ปรารถนาจะช่วยให้คนทั้งหลาย ฟังธรรมแล้วเข้าใจพระพุทธพจน์อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ จึงได้แสดงหลักการอธิบายขยายความพระพุทธพจน์ไว้ เรียกว่า เนตติปกรณ์ หรือคัมภีร์เนตติ ที่ท่านให้ชื่อว่า “เนตติ” เพราะสามารถนำเวไนยสัตว์ทั้งหลายไปสู่มรรคผลนิพพาน[๑๐] เนตติปกรณ์นี้แสดงหลักการอธิบายขยายความพระพุทธพจน์ไว้ ๓ ประการ กล่าวโดยสรุปคือ (๑) หาระ ได้แก่ วิธีการช่วยขจัดความหลง ความสงสัย ความเข้าใจผิดในพุทธพจน์ (๒) นัย ได้แก่ วิธีให้รู้อกุศลธรรมอันเศร้าหมอง และกุศลธรรมอันหมดจด (๓) สาสนปัฏฐาน ได้แก่ การแสดงประเภทของพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้[๑๑] เนตติปกรณ์จัดอยู่ในชั้นพระบาลีหรือพระไตรปิฎกที่เป็นเถรภาษิต แต่ก็มีลักษณะเหมือนอรรถกถาด้วย เพราะเป็นคัมภีร์อธิบายขยายความพระบาลีพุทธพจน์ ประเภทสังวรรณาพิเศษ มีการวางกฎเกณฑ์ไว้เป็นสูตรเหมือนไวยากรณ์ ฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่าเนตติปกรณ์เป็นอรรถกถารุ่นแรกที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งเป็นต้นแบบของคัมภีร์อรรถกถา และฎีกาทั้งหลายในภายหลัง[๑๒ ยาวครับ ....ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้จาก https://www.phuttha.com/ |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...










อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments