หมวด หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพ - หลวงปู่ตื้อ วัดอรัญญวิเวก - หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย
เหรียญหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ปี 2516 วัดป่าอรัญญวิเวก อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
ชื่อร้านค้า | dd-team2005 - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | เหรียญหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ปี 2516 วัดป่าอรัญญวิเวก อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม |
อายุพระเครื่อง | 45 ปี |
หมวดพระ | หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพ - หลวงปู่ตื้อ วัดอรัญญวิเวก - หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย |
ราคาเช่า | - |
เบอร์โทรติดต่อ | (ไม่แสดงเบอร์ เนื่องจากรายการนี้ไม่ได้ปล่อยเช่า) |
อีเมล์ติดต่อ | dd-team2005@hotmail.co.th |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ | |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | พฤ. - 05 ก.ค. 2555 - 18:44.27 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | อ. - 17 มี.ค. 2563 - 12:23.45 |
รายละเอียด | |
---|---|
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย “หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม” นามเดิมชื่อ ตื้อ นามสกุล ปาลิปัตต์ ท่านเป็นตระกูลชาวนา ถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2431 ตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีชวด สัมฤทธิศก จุลศักราช 1250 ณ บ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม บิดาชื่อ นายปา ปาลิปัตต์ มารดาชื่อ นางปัตต์ ปาลิปัตต์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 7 คน ชาย 5 คน หญิง 2 คน คือ 1. นางคำมี ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) 2. เป็นชาย (ถึงแก่กรรมแล้วตั้งแต่ยังเด็ก) 3. นายทอง ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) 4. นายบัว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) 5. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม (มรณภาพแล้ว) 6. นายตั้ว ปาลิปัตต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) 7. นางอั้ว ทีสุกะ (ถึงแก่กรรมแล้ว) หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นผู้มีนิสัยรักความสงบ เข้าเป็นศิษย์วัดตั้งแต่ยังเด็ก และได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะหนึ่ง เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา มีนิสัยตรงไปตรงมา และเป็นที่น่าสังเกตว่าในเครือญาติของท่านใฝ่ใจในการบรรพชาอุปสมบททั้งนั้น และถ้าเป็นหญิงก็เข้าบวชชีตลอดชีวิต สำหรับหลวงปู่ตื้อ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อมีอายุได้ 21 ปี โดยอุปสมบทครั้งแรกในฝ่ายมหานิกาย บวชนานถึง 19 พรรษา ต่อมาได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตได้ 46 พรรษา สิริรวมอายุได้ 86 ปี 65 พรรษา ก่อนที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จะออกบวชเป็นพระภิกษุนั้น ท่านได้เกิดนิมิตอันดีงามแก่ตัวท่านเอง คือ ก่อนคืนที่ท่านจะออกบวชนั้น กลางคืนท่านได้นิมิตฝันว่า ได้มีชีปะขาว 2 คนเข้ามาหาท่าน คนหนึ่งแบกครกหิน อีกคนหนึ่งถือสากหิน มาหยุดอยู่ตรงหน้าท่านแล้ววางครกและสากลง คนแรกได้พูดว่า “ไอ้หนู เจ้ายกสากหินนี้ออกจากครกได้ไหม ?” หลวงปู่ตื้อตอบว่า “ขนาดต้นเสาใหญ่ผมยังแบกคนเดียวได้ ประสาอะไรกับของเพียงแค่นี้” แล้วท่านก็เดินเข้าไปพยายามยกเท่าไรๆ ก็ไม่สำเร็จ จนถึงวาระที่ 3 จึงสามารถยกสากหินนั้นขึ้นได้ เมื่อยกได้แล้วก็ได้เอาสากหินนั้นตำลงที่ครก และตำเรื่อยไป มองดูที่ครกเห็นมีข้าวเปลือกเต็มไปหมด ท่านจึงได้พยายามตำข้าวเปลือกเหล่านั้นจนกลายเป็นข้าวสารเต็มไปหมด และชีปะขาวก็หายไป เมื่อชีปะขาวหายไป จากนั้นปรากฏว่าได้มีพระเถระ 2 รูป มีกิริยาอาการน่าเคารพเลื่อมใสมาก ทั้งมีร่างกายเป็นรัศมี ท่านนึกว่าเป็นพระอริยเจ้าผู้วิเศษ เดินตรงมาหาท่านแล้วพูดเบาๆ ว่า “หนูน้อย เจ้ามีกำลังแข็งแรงมาก” พอดีท่านรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วนั่งทบทวนพิจารณาถึงความฝันที่ผ่านมา เห็นเป็นเรื่องแปลกและพิสดารมาก คิดว่านิมิตเช่นนี้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างหนอ คิดแต่เพียงว่าคงจะมีเรื่องที่ดีเกิดขึ้นกับท่านแน่ ท่านคิดได้แค่นี้ก็ระลึกถึงคำสั่งของบิดาว่า ได้สั่งให้ไปต้อนควายจากท้องทุ่งให้เข้ามากินอยู่ใกล้ๆ บ้าน ท่านจึงได้ลุกออกจากบ้านไปต้อนไล่ควายมาเลี้ยงอยู่ใกล้ๆ บ้าน แต่ในใจก็ยังนึกถึงความฝันเมื่อคืนนี้อยู่ เป็นเพราะหลวงปู่ตื้อมีนิสัยรักความสงบอยู่แล้ว จึงคิดขึ้นมาว่า สมควรที่เราจะต้องบวชเพื่อประพฤติธรรมดูบ้าง คิดว่าวันพรุ่งนี้เราจะต้องออกไปอยู่วัดอีก เพื่อจะได้บวชเป็นพระภิกษุแล้วจะได้มีโอกาสประพฤติธรรมอย่างจริงจังบ้าง และก็เป็นเช่นที่คิด พอรับประท่านอาหารเย็นวันนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว บิดาท่านก็บอกว่า “กินข้าวอิ้มแล้วให้รีบไปหาปู่จารย์สิมที่บ้าน ปู่จารย์สิมมาตามหาเจ้าตั้งแต่กลางวันแน่ะ” หลวงปู่ตื้อนึกสงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ จึงรีบไปหาปู่อาจารย์สิมทันที (คำว่า พ่ออาจารย์, ปู่จารย์ หมายถึง ผู้ชายที่ได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมาก่อนหลายพรรษา และได้เล่าเรียนวิชาจนมีความรอบรู้พอสมควร เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป แต่ต่อมาได้สึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาส) เมื่อไปถึงบ้านปู่จารย์สิมเรียบร้อยแล้ว ปู่จารย์สิมเปิดประตูข้างในเรือนและเรียกให้ท่านเข้าไปหา พอท่านเข้าไปในห้อง เห็นมีผ้าไตรจีวร บาตร และเครื่องบริขารสำหรับบวชพระ แล้วปู่จารย์สิมก็ยื่นขันดอกไม้ที่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมกับพูดว่า “เห็นมีแต่หลานคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะบวชให้ปู่ เพราะปู่ได้เตรียมเครื่องบวชไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หาคนบวชไม่ได้ จึงให้หลานได้บวชให้ปู่สัก 1 พรรษา หรือได้สัก 7 วันก็ยังดี ขอให้บวชให้ปู่ก็เป็นพอ จะนานเท่าไรก็ได้ไม่เป็นไร” หลวงปู่ตื้อได้รับปากกับปู่จารย์สิมซึ่งเป็นปู่ของท่านทันที แต่ขอไปบอกลาบิดามารดาเสียก่อน เมื่อบิดามารดาอนุญาตให้ก็จะได้บวชตามที่ปู่จารย์สิมต้องการ บิดามารดาของท่านเมื่อได้ยินลูกชายเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็อนุญาตตามที่ปู่จารย์สิมขอ พร้อมกับกล่าวคำอนุโมทนาสาธุการ แสดงความยินดีกับลูกชายเป็นอย่างยิ่ง ๏ ปัจฉิมบท ในปี พ.ศ.2517 นับเป็นปีที่ 4 ที่หลวงปู่ตื้อ อจลธนฺโม ได้อยู่จำพรรษาที่วัดอรัญญวิเวก บ้านเช่า แดนมาตุภูมิของท่าน ในพรรษานี้ใครเลยจะนึกว่า ท่านจะจากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ก่อนเข้าพรรษาท่านเคยพูดเสมอว่า “ใครต้องการอะไรก็ให้เร่งรีบสร้างเอา คุณงามความดีทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราแล้ว ขันธ์ 5 นี้ เมื่อมันยังไม่แตกดับก็อาศัยมัน แตกดับแล้วก็อาศัยอะไรมันไม่ได้ ขันธ์ 5 ของหลวงตาก็จะดับแล้วเหมือนกัน” และบ่อยครั้งที่ท่านพูดว่า “ธาตุลมของหลวงตาได้วิบัติแล้ว บางครั้งมันเข้าไปแล้วก็ไม่ออกมา นานที่สุดจึงออกมา และเมื่อมันออกมาแล้วก็ไม่อยากจะเข้าไป” เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2517 ก่อนเข้าพรรษา คณะศิษยานุศิษย์ได้ไปกราบถวายความเคารพและถวายเครื่องสักการะเพื่อขอคารวะต่อท่าน ท่านก็ยังแข็งแรงดี ลุกขึ้นนั่ง และก็แสดงธรรมให้ฟังตามสมควร นับว่าเป็นการฟังเทศน์ของท่านเป็นกัณฑ์สุดท้าย กัณฑ์นี้ดูเหมือนท่านจะจงใจแสดงให้ฟังโดยเฉพาะ เมื่อจบท่านบอกว่า กัณฑ์เทศน์กัณฑ์นี้เป็นกัณฑ์สุดท้าย และเป็นหัวใจกรรมฐานของนักบวช ท่านได้กล่าวทำนองว่า “วันนี้จงฟังเทศน์ให้ดีๆ และจำเอาไว้เพราะต่อไปจะหาฟังได้ยาก ในโลกนี้ไม่มีใครจะแสดงธรรมได้เหมือนหลวงตาหรอก” ท่านแสดงธรรมแต่ละครั้งนั้นนานมาก ท่านได้สงเคราะห์ทั้งวัตถุธรรมและนามธรรม ท่านได้ให้อะไรสารพัดอย่าง บางครั้งท่านได้หยุดในระหว่างเทศน์ เมื่อเทศน์จบลงแล้วท่านบอกว่า “ขันธ์ 5 จะดับแล้ว ธาตุลมวิบัติแล้ว” จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า “ท่านหลวงตาไม่เหนื่อยหรือ ?” ท่านบอกว่า “ขันธ์ 5 จะได้หยุดการแสดงธรรมเหมือนกัน แต่ถ้าจิตไม่หยุดมันก็หยุดไม่ได้ การแสดงธรรมเป็นหน้าที่ของเรา เกิดมาก็เพื่อทำประโยชน์ทั้งนั้น ได้ความดีแล้วก็ต้องทำความดีเพื่อความดีอีก คนเกิดมารู้จัก พุทโธ ธัมโม สังโฆ จึงจะเป็นคน ไม่ใช่สัตว์ เราต้องรู้จักพระธรรมให้ดีที่สุด” จึงจะเรียกได้ว่า พระมหาเปรียญ พระนักธรรม พระกรรมฐาน เช้าวันที่ 19 กรกฎาคม 2517 ท่านฉันเช้าตามปกติแต่ก็ไม่มากนัก สังเกตดูอาการท่านเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากทีเดียว นับแต่เวลาเช้าไปท่านพักผ่อนเล็กน้อย แสดงธรรมตลอดแต่พูดเบามาก ขณะที่ท่านกำลังเทศน์อยู่นั้น มีพระภิกษุสามเณรจากต่างจังหวัด มาถวายสักการะและรับฟังโอวาท ท่านให้ลูกศิษย์ช่วยพยุงลุกขึ้นนั่ง เมื่อลุกขึ้นนั่งแล้ว ท่านพูดว่า “สังขารไม่เที่ยง หลวงตาเกิดมาก่อน ก็ต้องไปก่อนตามธรรมดา” ท่านเทศน์ประมาณ 15 นาที คณะสงฆ์นั้นก็ลากลับไป ขณะนั้นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ท่านเหนื่อยมากที่สุด พูดเบามาก ท่านบอกว่า “ลมวิปริตแล้ว ไม่มีแล้ว” จากนั้นท่านได้ให้พรลูกศิษย์ว่า “พุทฺโธ สุโข ธมฺโม สุโข สงฺโฆ สุโข จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ” แล้วท่านก็หัวเราะและยิ้มให้ลูกศิษย์ อันเป็นลักษณะเดิมของท่าน แสดงว่าท่านมีอารมณ์ดีไม่สะทกสะท้านต่ออาการที่เกิดขึ้น ในขณะนั้นมีท่านอาจารย์อุ่น ท่านอาจารย์วาน และพระภิกษุสามเณรหลายสิบรูปเฝ้าดูอาการของท่านด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แม้ท่านจะเหนื่อยมากสักปานใดก็ตาม แต่ท่านก็ยังพูดอยู่เรื่อยๆ ถึงเสียงจะเบา แต่ก็พอฟังรู้เรื่องว่าท่านพูดอะไร วาระสุดท้ายท่านพูดว่า “ธาตุในหลวงตาวิปริตแล้ว” จากนั้นท่านไม่พูดอะไรอีกเลย กิริยาอาการทุกอย่างสงบเงียบทุกคนแน่ใจว่า หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้ถึงมรณภาพแล้ว เวลา 19 นาฬิกาเศษ ท่ามกลางสานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ด้วยความอาลัยยิ่ง แต่เชื่อมั่นเหลือเกินว่าท่านได้ไปถึงสันติสุขที่สุดแล้ว สิริรวมอายุได้ 86 ปี ขอเสริมประวัติท่านหน่อยนะครับ ท่านได้สร้างและอยู่วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ มาก่อน แต่ตอนบั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านปรารถนาที่จะกลับไปมรณภาพที่บ้านเกิดคือวัดอรัญวิเวกที่นครพนม ตอนที่จะกลับชาวเชียงใหม่ก็พากันอาลัย ตามไปส่งท่านที่นครพนมกันมาก ************************************* เหรียญรุ่นนี้ ศิษย์ บก.สส.สร้างถวาย ปี 2516 ตอกโค๊ด " ต " ครับ สภาพสวยครับ A791 |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...
อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments