เหรียญอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ รุ่นพิเศษ ปี 2521 วัดภูทอก จ.หนองคาย-dd-team2005 - webpra
VIP
ซื่อตรง...จริงใจ...ไม่หลอกลวง ครับ..เงินท่านแท้...ท่านต้องได้ " พระแท้ " ครับ..
เหรียญอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ  รุ่นพิเศษ ปี 2521 วัดภูทอก จ.หนองคาย - 1เหรียญอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ  รุ่นพิเศษ ปี 2521 วัดภูทอก จ.หนองคาย - 2เหรียญอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ  รุ่นพิเศษ ปี 2521 วัดภูทอก จ.หนองคาย - 3
ชื่อร้านค้า dd-team2005 - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง เหรียญอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ รุ่นพิเศษ ปี 2521 วัดภูทอก จ.หนองคาย
อายุพระเครื่อง 39 ปี
หมวดพระ หลวงปู่เหรียญ วัดอรัญญบรรพต - พระอาจารย์จวน วัดภูทอก - หลวงปู่ทองพูล วัดภูกระแต – หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย
ราคาเช่า 600 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 081-7363792( งดหลัง2ทุ่ม)
อีเมล์ติดต่อ dd-team2005@hotmail.co.th
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ พร้อมเช่า
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ พฤ. - 27 ต.ค. 2554 - 18:28.45
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ พ. - 02 ธ.ค. 2558 - 11:43.17
รายละเอียด
ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก)
ต.นาแสง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ


พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มีชาติกำเนิดในสกุล “นรมาส” เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๓ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก ณ บ้านเหล่ามันแกว บ้านเลขที่ ๒๘ หมู่ที่ ๑๒ ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ ในปัจจุบัน) บิดาท่านชื่อ ลา มารดาชื่อ แหวะ สกุลเดิม วงศ์จันทร์ บรรพบุรุษของท่านอพยพมาจากเวียงจันทน์ เป็นอุปฮาดของเมืองเวียงจันทน์ เมื่อมีภัยสงครามเกิดขึ้นเวียงจันทน์แตก อุปฮาดผู้เป็นต้นตระกูลก็พาครอบครัวอพยพมา ครั้งแรกตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลหนองบัวลำภู ต่อมาย้ายถิ่นฐานบ้านช่อง กระทั่งท้ายที่สุดมาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี (จังหวัดอำนาจเจริญ ในปัจจุบัน)

บิดามีอาชีพทำนาและมีความรู้ทางด้านสมุนไพรมาก เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงได้อาศัยเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย คือเป็นหมอประจำหมู่บ้าน เป็นที่รักใคร่นับถือ และได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งบิดาของท่านก็ดำรงตำแหน่งนี้มาตลอดจนถึงแก่กรรม ขณะนั้นท่านอายุได้ ๑๖ ปี

ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๗ คนด้วยกัน มีชื่อตามลำดับดังนี้

๑. นายเหีย นรมาส
๒. นายแดง นรมาส
๓. นายโลน นรมาส
๔. นางน้อยแสง หมายสิน
๕. นายอ่อนจันทร์ นรมาส
๖. พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
๗. นายนวล นรมาส

ตามชนบทในสมัยนั้นโรงเรียนมีน้อยมาก ตั้งอยู่ห่างไกลกัน ในตำบลหนึ่งๆ มิได้มีโรงเรียนครบทุกหมู่บ้าน หมู่บ้านใดไม่มีโรงเรียนเด็กก็ต้องมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนในหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งต้องเดินนับเป็นสิบๆ กิโลเมตร ผู้ปกครองจะยอมให้บุตรหลานไปเรียนหนังสือ จึงต้องให้โตพอประมาณ คือ อายุ ๙-๑๐ ปี ท่านอาจารย์ก็เช่นเดียวกันเริ่มเข้าเรียนหนังสือเมื่ออายุครบ ๙ ขวบเต็ม ต้องเดินไปโรงเรียนที่อีกหมู่บ้าน คือที่บ้านดงมะยาง จนขึ้นชั้นประถมปีที่ ๓ โรงเรียนจึงย้ายมาอยู่ที่วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ติดกับบ้านเหล่ามันแกว อันเป็นบ้านเกิด

ท่านได้เรียนรู้ที่โรงเรียนนี้จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของตำบลชนบทละแวกนั้น ระหว่างเรียนเป็นผู้เรียนดี ฉลาดและขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่ง สอบไล่ได้ที่ ๑ โดยตลอด ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๑ จนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ได้รับคำชมเชยยกย่องจากครูบาอาจารย์ ทั้งในด้านการเรียนและในด้านความประพฤติจนครูเชื่อถือรักใคร่ให้ช่วยสอนเพื่อนนักเรียนแทนครูตลอด เป็นประจำทุกชั้นเรียน

หลังจากจบการศึกษาแล้ว อายุย่างเข้า ๑๘ ปี ท่านได้เข้าทำราชการกรมทางหลวงแผ่นดิน อยู่เป็นเวลา ๔ ปี จึงได้ลาออกเพื่อเตรียมอุปสมบท

กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้มีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมะมาแต่เด็ก นอกจากการวิ่งเล่นซุกซนสนุกสนานตามวิสัยเด็กน้อยแล้ว สำหรับนิสัยทางสร้างบาปสร้างกรรมไม่มีเลย ท่านเล่าเสมอว่าท่านไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ส่วนการหยิบฉวยลักขโมยนั้น แม้แต่เข็มสักเล่มเดียวก็ไม่เคยหยิบฉวยของใครเลย

เมื่อท่านอายุได้ ๑๔-๑๕ ปี ได้พบพระธุดงค์ มาปักกลดอยู่ใกล้บ้านก็บังเกิดความเลื่อมใสตั้งปณิธานว่าต่อไปจะบวชอย่างท่านบ้าง พระธุดงค์ได้มอบหนังสือ “ไตรสรณาคมน์” ของ ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม แห่งวัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา มาให้ หนังสือนี้นอกจากสอนให้พุทธศาสนิกชน รู้จักการเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริงแล้ว ได้สอนวิธีปฏิบัติภาวนาด้วย ท่านบังเกิดความคิดเลื่อมใสศรัทธา จึงจะลองปฏิบัติตามหนังสือนั้น เริ่มสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรต่อ แล้วนั่งสมาธิหัดบริกรรม “พุทโธ...พุทโธ...พุทโธ” จนกระทั่งปรากฏว่าจิตรวม จิตกับกายแยกกัน ไม่เหมือนกัน จิตอยู่เฉพาะจิต กายอยู่เฉพาะกาย เวทนาใดก็ไม่มีปรากฏเลย

ท่านเล่าว่า เวลานั้นก็ไม่รู้จักอะไรลึกซึ้ง ด้วยหัดเอง ทำเอง ทำตามลำพังคนเดียวไม่มีผู้รู้มาสอนให้ก้าวหน้าขึ้น ได้แต่รู้สึกว่านั่งสมาธิแล้วก็สบายดี กายเบา จิตขาวนิ่มนวลผ่องใส เหมือนนั่งนอนอยู่อากาศอันนิ่มนวล ทำให้จิตใจดูดดื่มมาก นึกอยากจะภาวนาเสมอๆ ถ้าวันไหนใจไม่สบาย ก็ต้องเข้าที่นั่งภาวนา สงบใจเสมอ

ภายหลังระหว่างทำงานได้รับหนังสือ “จตุราลักษณ์” ของ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล มาอ่านเพิ่มเติมสติปัญญาอีก เมื่อท่านอ่านไปถึงมรณานุสติ จิตก็สลดสังเวชว่า เราก็ต้องมีตายอยู่นั่นเองและในหนังสือนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ฯ ก็ได้ย้ำถึงเรื่องกรรมว่า คนเราต่างมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจักเป็นทายาทให้เราได้รับผลกรรมนั้นต่อๆ ไป คือหมายความว่า กรรมต่างจำแนกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา ให้เลว ให้ดี ให้ชั่ว ให้ประเสริฐ เมื่ออ่านกันถึงตอนนี้ ท่านก็บังเกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่ง นึกว่าคนเราที่เกิดมาถ้าไม่ประกอบคุณงามความดี ก็ไม่มีประโยชน์แก่ชีวิตของตน และไม่มีโอกาสที่จะได้รับความสุขต่อไปในชาติหน้าอีก ศรัทธาในพระศาสนาก็เพิ่มพูนขึ้น เมื่ออายุเพียง ๒๐ ปีถึงกับสละเงินที่เก็บหอมรอมริบระหว่างทำงานอยู่กรมทางหลวงทั้งหมดเป็นเจ้าภาพสร้างมหากฐินคนเดียว สร้างพระประธาน สร้างส้วม ในวัดจนหมดเงิน

เมื่อท่านอาจารย์อายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายมหานิกาย ที่วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี พระอุปัชฌาย์ชื่อ บุ พระกรรมวาจาจารย์ชื่อ พระมหาแจ้ง ได้ฉายาว่า “จวน กลฺยาณธมฺโม” ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรม และสอบได้นักธรรมตรีในพรรษานั้น

ระหว่างที่บวชเป็นพระบ้านอยู่นั้น ท่านปรารถนาจะออกธุดงค์เจริญรอยตามพระธุดงคกัมมัฏฐานที่เคยกราบคารวะเมื่อยังเด็ก จึงคิดจะญัตติเป็นธรรมยุตเพื่อออกธุดงค์ เมื่อไปขอลาอุปัชฌาย์ ท่านไม่ให้ญัตติ ให้สึกเสียก่อน ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสก่อนชั่วคราว


๏ พรรษาที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๘๖
วัดบ้านพอก อ.อำนาจเจริญ

หลังจากสึกมาเป็นฆราวาสแล้ว ท่านได้เดินทางไปแสวงหาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐาน ได้มาพบที่สำนักวัดป่าสำราญนิเวศน์ อำเภออำนาจเจริญ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ณ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี ท่านพระครูทัศนวิสุทธิ (มหาดุสิต เทวิโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ ท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ อุปัชฌาย์เพิ่งได้รับแต่งตั้งและมาบวชท่านเป็นองค์แรก จึงตั้งฉายาให้ท่านว่า “กุลเชฏโฐ” แปลว่า พี่ชายใหญ่ที่สุดของวงศ์ตระกูลนี้ องค์ที่สองที่อุปัชฌาย์บวชต่อมา คือ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร แห่งวัดป่าแก้ว บ้านชุมพล ซึ่งท่านอาจารย์จวนได้มานั่งหัตถบาถอยู่ด้วย

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้รับคำสั่งให้ท่องปาฏิโมกข์ และเจ็ดตำนานให้ได้หมดภายในหนึ่งเดือน ท่านก็พยายามท่องจำทั้งกลางวันกลางคืน จนสามารถท่องได้ตามที่อาจารย์ของท่านกำหนดไว้ จึงได้รับคำชมเชยจากอาจารย์เป็นอันมาก

ท่านได้เร่งทำความเพียรอย่างขะมักเขม้น เดินมาก นั่งมาก ฉันน้อย บางวันก็ไม่ฉันสลับกันไป ท่านพระอาจารย์เกิ่ง เห็นว่าท่านรู้สึกจะซูบผอมลงไปมาก จึงตักเตือนให้ฉันอาหารเสียบ้าง

เมื่อจะเริ่มเข้าพรรษา ปรากฏว่าที่วัดป่าบ้านพอก หนองคอน ทั้ง อำเภอเลิงนกทา ไม่มีพระสวดปาฏิโมกข์ได้ พระอาจารย์บัง จึงได้ขอตัวท่านอาจารย์ไปอยู่ที่วัด ในพรรษานั้นโยมมารดาได้มาบวชเป็นชีอยู่ด้วย ท่านได้อธิษฐานฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ อดอาหาร ๔ วันสลับกับอดนอน ๔ คืนบ้าง อดอาหาร ๘ วัน สลับกับอดนอน ๘ คืนบ้าง และได้ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงโยมมารดาเพื่อสนองคุณ

ในระหว่างพรรษาขณะนั่งฟังเทศน์ จิตของท่านสงบลงเกิดภาพนิมิตขึ้นในจิต ปรากฏร่างของท่านเน่าเปื่อยเป็นอสุภ เห็นขาของตัวเองเน่าเปื่อย มีน้ำเหลืองไหล เหมือนมองดูด้วยตาเนื้อ ท่านอาจารย์จึงได้พิจารณาอสุภะต่อไปเป็นประจำ

ในพรรษานี้เกิดภาพนิมิตแปลกๆ ขณะกำลังทำความเพียรเสมอ วันหนึ่งก่อนจิตจะรวมได้เกิดภาพนิมิตขึ้นว่า มีแม่ไก่ลายมาจิกกินอุจจาระอยู่ตรงหน้า ท่านจึงได้กำหนดจิตถามว่า จิกกินอะไร แม่ไก่ตอบว่า จิกกินอุจจาระ แล้วถามว่าแม่ไก่เป็นใคร ก็ตอบว่าเป็นเทวดา ท่านจึงกำหนดจิตถามต่อไปว่า เทวดาทำไมกินอุจจาระ แม่ไก่ตอบว่า มนุษย์เราทุกชาติทุกภาษาต้องกินอุจจาระกันทั้งนั้น ท่านจึงน้อมเอานิมิตนั้นมาพิจารณา ก็เห็นว่า มนุษย์เรานี้ก็ต้องกินขี้กันทั้งสิ้น จึงทำให้เกิดความสลดสังเวชอย่างยิ่งในพรรษานั้น

อยู่มาวันหนึ่งหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว ก่อนจะขึ้นไปบนกุฏิเพื่อเก็บเครื่องบริขาร ท่านมองไปบนหน้าจั่ว ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนุ่งห่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลายๆ เหมือนแม่ไก่ที่เคยปรากฏในนิมิต ยืนถือตะกร้าหมากอยู่บนหน้าจั่ว มองดูเป็นหญิงที่มีรูปร่างสวยงามมาก ใจหนึ่งก็บอกว่าเป็นเทวดา ท่านก็ไม่สนใจเก็บเครื่องบริขารต่อไปเรื่อยๆ ครั้งที่สองหันไปมอง ก็ยังเห็นยืนอยู่ที่เก่า ท่านก็เก็บเครื่องบริขารของตนให้เรียบร้อย ครั้งที่สามมองดูใหม่รูปที่ปรากฏนั้นหายไปแล้ว ขณะนั้นจิตของท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่ละหนอ...พวกที่ภาวนาแล้วเห็นภาพนิมิตต่างๆ มาปรากฏก็เข้าใจว่าตนได้ญาณ บรรลุมรรคผลทำให้เกิดหลงงมงาย ผลที่สุดก็เสื่อมไปไม่ได้ประโยชน์อะไรจากธรรมะ

ออกพรรษาแล้ว โยมมารดาซึ่งบวชเป็นชีได้ลาสิกขากลับไปอยู่บ้านกับลูกหลาน เสร็จกิจแล้วท่านปรารถนาจะออกเดินธุดงค์ จึงหาเพื่อนไปด้วยเป็นสามเณรองค์หนึ่ง ออกเดินจากวัด จากอำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี จะเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม เดินทางผ่านหมู่บ้านต่างๆ ใช้เวลาธุดงค์ถึง ๗ วัน ๗ คืน จึงถึงพระธาตุพนม หลังจากนมัสการพระธาตุพนมแล้ว ได้เดินทางต่อไปเมืองเว หรือเมืองเรณูนคร พักอยู่ประมาณ ๒ เดือน จึงเดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี

ขณะเดินทางกลับ ท่านกลับองค์เดียวเณรไม่ได้กลับด้วย ได้เดินจากเรณูนคร ผ่านพ้นดงมะอี่ เขตอำเภอเลิงนกทา ระหว่างบ้านไร่กับบ้านหนองยางต่อกัน ก็ได้กลิ่นเหม็นที่กลางดง ท่านจึงได้เดินสำรวจดู ได้พบซากศพคนตายอยู่ข้างทาง ท่านมีความยินดีเป็นอันมาก และคิดว่าควรจะเพ่งอสุภะให้ได้ ร่างนั้นเน่าเปื่อย ตับไต ไส้พุง มีหนอนชอนไช ท่านยืนเพ่งแล้วน้อมเข้ามาดูตัวว่า อีกหน่อยตัวเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ต่อมาก็เกิดความคิดขึ้นว่า ควรจะเผาซากศพนี้เสียให้หายอุจาดตา จึงได้ไปหากิ่งไม้เล็กๆ มาเตรียมจะเผา แล้วท่านจึงเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ตัวท่านเป็นพระ จะเผาศพนี้ได้อย่างไร เพราะดินและหญ้ายังเขียวสด และในศพก็ยังมีสัตว์มีชีวิตอยู่มากมาย ถ้าเผาก็จะต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทำบุญจะได้บาป คิดแล้วก็ตกลงไม่เผา

ท่านได้กลับมายืนพิจารณาศพโดยถือเป็นอสุภะต่อไป นับเวลาตั้งแต่เดินทางมาถึงเป็นเวลาเที่ยงจนกระทั่งเวลาบ่าย ๓ โมง ไม่มีความกลัวเลย และตั้งใจจะค้างคืนพิจารณาอสุภะนั้นอีกด้วย แต่ได้มีชาวบ้าน ๒ คนเดินมา ท่านจึงได้สอบถามดูได้ความว่าเจ้านายใช้ให้ชายทั้ง ๒ มาดูแลศพไว้ เพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังไม่ได้มาชันสูตรศพ ท่านจึงขอค้างคืนเพื่อพิจารณาศพและขอชักบังสุกุลสิ่งของที่อยู่กับศพ ชายทั้งสองก็ไม่เห็นด้วยกลับนิมนต์ให้ท่านหลีกไป มิจะนั้นอาจสงสัยว่าท่านฆ่าคนตาย เมื่อชาวบ้านยืนยันปฏิเสธเช่นนั้น ท่านจึงได้ออกเดินทางต่อไป


ท่านได้รับนิมนต์มากรุงเทพมหานคร ได้รับอุบัติเหตุเครื่องบินตกถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ สิริรวมอายุได้ ๕๙ ปี ๙ เดือน ๑๘ วัน พรรษา ๓๘.....


*********************

สร้างเป็นเหรียญที่ระลึกในการสร้างฝายน้ำล้น เมื่อ ปี 2521 อันที่จริงท่านเริ่มสร้างทำนบตั้งแต่ปี 2519 จนกระทั่งถึง ปี 2523 ( ปีที่ท่านมรณะภาพ ) ท่านอาจารย์ได้สร้างไว้ถึง 6 ทำนบ ครับ.....

เหรียญที่นำลงนี้ สภาพจัดว่าสวยเดิมมาก ๆ ครับ....


A653


คุณอนุชิต บึงกาฬ. 2/12/58

EP011627873TH

พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top