
หมวด พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม - หลวงปู่ผ่าน วัดป่าปทีปปุญญาราม - หลวงปู่บุญหนา วัดป่าโสตถิผล
เหรียญพระอาจารย์วัน อุตตฺโม ปี 2518 วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จ.สกลนคร



ชื่อร้านค้า | dd-team2005 - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า) |
---|---|
ชื่อเจ้าของร้านค้า | |
ชื่อพระเครื่อง | เหรียญพระอาจารย์วัน อุตตฺโม ปี 2518 วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จ.สกลนคร |
อายุพระเครื่อง | 43 ปี |
หมวดพระ | พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม - หลวงปู่ผ่าน วัดป่าปทีปปุญญาราม - หลวงปู่บุญหนา วัดป่าโสตถิผล |
ราคาเช่า | 600 บาท |
เบอร์โทรติดต่อ | 081-7363792( งดหลัง2ทุ่ม) |
อีเมล์ติดต่อ | dd-team2005@hotmail.co.th |
LINE |
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
|
สถานะ |
![]() |
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ | ศ. - 15 ก.ค. 2554 - 18:08.13 |
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ | พ. - 06 มี.ค. 2556 - 17:52.29 |
รายละเอียด | |
---|---|
ประวัติและปฏิปทา พระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (วัดถ้ำพวง) ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร จากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2524 บรรพบุรุษชั้นปู่ ย่า ตา ยายของพระอาจารย์วัน มีพื้นเพอยู่ที่บ้านหนองหลัก ตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้อพยพครอบครัวขึ้นไปตั้งรกรากอยู่ที่บ้านตาลโกน ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอบ้านหัน จังหวัดสกลนคร คำว่า “ตาลโกน” อันเป็นชื่อของหมู่บ้านนั้น มีที่มาจากต้นตาลที่เป็นโพรง ชาวบ้านถือเอาสัญลักษณ์นี้เองมาเป็นชื่อของหมู่บ้าน ส่วนคำว่า “ตาลเนิ้ง” อันเป็นชื่อของตำบลนั้น ก็มีที่มาจากต้นตาลที่เอน ไม่ขึ้นตรงเหมือนตาลทั้งหลาย ซึ่งภาษาท้องถิ่นเรียกต้นไม้ที่เอนว่า “ต้นไม้เนิ้ง” ปัจจุบันนี้ทางราชการได้ยกฐานะหมู่บ้านตาลโกนขึ้นเป็นตำบลแล้ว ส่วนอำเภอบ้านหัน ปัจจุบันนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็นอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์วัน เกิดวัน 1 ฯ 6 9 ปีจอ (วันอาทิตย์ แรม 6 ค่ำ เดือน 9) ตรงกับวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2465 บ้านตาลโกน ตำบลตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร บิดาชื่อ นายแหลม สีลารักษ์ และมารดาชื่อ นางจันทร์ (มาริชิน) สีลารักษ์ นายแหลมและนางจันทร์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ 1. พระอาจารย์วัน อุตฺตโม 2. นายผัน สีลารักษ์ เมื่อมารดาคลอดบุตรคนที่สองได้ไม่กี่วันก็ถึงแก่กรรม ต่อมาบิดาได้แต่งงานใหม่กับนางพิมพ์ สารทอง มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ 1. นายบุญโฮม สีลารักษ์ 2. นายนิยม สีลารักษ์ 3. นายดำ สีลารักษ์ ขณะที่บิดาของพระอาจารย์วันแต่งงานกับนางจันทร์ใหม่ๆ บิดาของท่านได้ไปอยู่ที่บ้านของพ่อตาแม่ยาย ต่อมาเมื่อมารดาของพระอาจารย์วัน ถึงแก่กรรมแล้ว จึงกลับมาอยู่กับปู่ ย่า ตามเดิม และพระอาจารย์วัน ก็ติดตามบิดามาอยู่ด้วยขณะนั้นพระอาจารย์วัน มีอายุเพียงย่างเข้า 3 ขวบเท่านั้น แต่ท่านพระอาจารย์วัน ก็เป็นที่รักของตระกูลทั้งสองฝ่ายุคือ ทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา ๏ สมัยเริ่มการศึกษา เมื่ออายุย่างเข้า 10 ขวบ บิดาได้นำไปเข้าเรียนในโรงเรียนที่ศาลาวัดโพธิชัยเจริญ เรียนต่อถึงประถมปีที่ 3 บิดาก็ถึงแก่กรรม จึงเป็นความวิปโยคอย่างใหญ่หลวงแก่พระอาจารย์วัน เป็นครั้งที่ 2 ถึงแม้จะได้รับความเศร้าโศกเพราะบิดาจากไป แต่การเล่าเรียนก็หาได้หยุดลงไม่ ฝ่ายญาติผู้ดูแลคงปลอบโยนให้หายเศร้าโศกและได้ศึกษาเล่าเรียนต่อมาจนจบประถม ปีที่ 4 ส่วนชั้นเรียนที่สูงขึ้นไปคือ ป. 5 ป. 6 ทางการได้สั่งยุบไปเสียก่อนๆ ที่จะได้เรียน ในสมัยที่กำลังเล่าเรียนอยู่นั้นวิชาที่พระอาจารย์วัน ถนัดและทำคะแนนได้ดีคือวิชาเลขคณิต สำหรับวิชาอื่นๆ ปรากฏว่าคะแนนไม่ค่อยดี ตามความตั้งใจของบิดานั้นท่านต้องการให้พระอาจารย์วันเรียนกฎหมาย เพราะเป็นบุตรคนโต แต่ต่อมาเมื่อบิดาถึงแก่กรรมไปเสียก่อน ความหวังที่จะเรียนต่อก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อบิดาถึงแก่กรรมลงจึงเป็นภาระของพระอาจารย์วัน ที่จะต้องทำงานต่างๆ ที่ตนสามารถจะทำได้ อาทิเมื่อถึงฤดูทำนาจะต้องช่วยปู่ไถนา เนื่องจากอาส่วนมากเป็นผู้หญิง จากบันทึกประวัติของท่านบอกว่า รับหน้าที่ไถนา แต่คราดนาไม่ได้เพราะยกคราดไม่ไหว นับว่าพระอาจารย์วัน ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าแม่ตั้งแต่อายุย่างเข้า 3 ขวบ และเป็นกำพร้าพ่อเมื่ออายุได้ 13 ขวบ ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ความว้าเหว่ซึ่งไม่มีใครจะบอกได้ว่าหนักเพียงไร นอกจากตัวของท่านเองซึ่งเป็นผู้ประสบส่วนการงานอย่างอื่น ถึงจะหนักแต่ยังมีผู้ช่วยเหลืออยู่บ้าง ความผันผวนในชีวิตส่วนตัวดังกล่าวมานี้เองทำให้พระอาจารย์วัน กลายเป็นเด็กเจ้าความคิดมาตั้งแต่เด็ก ๏ สมัยออกบรรพชา เมื่อสิ้นร่มโพธิ์ร่มไทรลงแล้วพระอาจารย์วัน ก็เริ่มมีชีวิตอยู่อย่างว้าเหว่ แม้ว่าตระกูลของปู่เป็นพระกลที่พอมีอันจะกินตามฐานะของชาวชนบท แต่ความรู้สึกภายในที่ประสบกับความพลัดพรากจากไปของบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ผู้เอาอกเอาใจ ผู้ให้ความอบอุ่น ผู้ปกป้อรักษาในทุกๆ ด้าน ก็คงมีสภาพไม่ผิดอะไรกับคนที่มีบ้านใหญ่โต แต่ถูกพายุหนุนหอบไปกับสายลม แม้จะมีหน่วยสงเคราะห์ให้ความเมตตาก็ไม่สามารถูกดแทนความอาลัยนั้นได้ จึงทำให้เด็กชายวันคิดถึงร่มผ้ากาสาวพัสตร์ เพราะขณะที่บิดาของท่านกำลังเจ็บหนัก ได้สั่งเสียไว้ว่า “เมื่อออกโรงเรียนแล้ว ขอให้ลูกบวชให้พ่อ ก่อนจะคิดเรื่องอื่นๆ จะอยู่ได้ในศาสนานานเท่าไรไม่บังคับ” คำสั่งเสียนี้แหละเป็นเครื่องกระตุ้นอันสำคัญอีกแรงหนึ่งที่ทำให้เด็กชายวัน ตัดสินใจออกบวช วันหนึ่งจึงเข้าไปกราบลาปู่โดยกล่าวสั้นๆ ว่า “ขอไปบวช” ปู่ได้ยินหลานมาออกปากกราบลาอยู่ซึ่งหน้าเช่นนั้น ถึงกับพูดไม่ออก เพราะความรักความอาลัยในหลาน แต่พระอาจารย์วันก็ไม่ลดละความพยายาม ผลสุดท้ายปู่ก็จำต้องอนุญาตให้บวชด้วยความอาลัย เมื่อตัดสินใจบวชแน่นอนแล้วพระอาจารย์วัน ได้ถูกนำตัวไปฝากไว้กับ ท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร วัดอรัญญิกาวาส บ้านม่วงไข่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านตาลโกนไปประมาณ 10 กิโลเมตร ในการไปบวชครั้งนี้ก็ได้ให้เงินติดตัวไปด้วย 1 บาท เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นในการใช้จ่ายมากนัก เมื่อไปอยู่วัดระยะแรกๆ ก็ยังไม่รีบร้อนอะไร เพราะตามธรรมดาเด็กที่ไปอยู่วัดกรรมฐาน จะต้องได้รับการฝึกให้รู้จักข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ให้เป็นเสียก่อน หมายความว่าเด็กจะได้รับการอบรมในข้อวัตรต่างๆ เช่นการปฏิบัติตนต่อพระภิกษุสามเณร ต่อบุคคลโดยทั่วไป รวมทั้งกิริยามารยาทในอิริยาบถต่างๆ ตลอดจนการฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาไปด้วยเป็นเวลาหลายเดือน บางคนเป็นปีหรือหลายปี แล้วแต่อาจารย์จะเห็นเหมาะสม เพราะถ้าหากได้รับการฝึกหัดดีแต่เบื้องต้น เมื่อบวชเข้ามาแล้ว อาจารย์ก็ไม่ต้องยุ่งยากลำบากในการแนะนำสั่งสอนบ่อยๆ สำหรับพระอาจารย์วัน พอไปอยู่วัดไม่นาน ท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ก็บอกให้ท่องคำขอบรรพชา ประจวบกับโอกาสอำนวย กล่าวคือขณะที่กำลังท่องคำขอบรรพชาอยู่นั้นพอดี ท่านเจ้าคุณพระราชกวี ต่อมาได้เลื่อนเป็น พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) กลับจากไปงานผูกพัทธสีมาที่วัดสุปัฏนาราม จังหวัดอุบลราชธานี แวะพักที่วัดศรีบุญเรือง บ้านงิ้ว ตำบลพันนา อำเภอสว่างแดนดิน ท่านพระอาจารย์วัง จึงนำไปบวช ณ วัดศรีบุญเรือง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2479 (ขณะนั้นพระอาจารย์วันมีอายุ 15 ปี) โดยมีพระราชกวี เป็นพระอุปัชฌายะ เมื่อได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว พระอาจารย์วัน ได้กลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอรัญญิกาวาส 2 พรรษา จากนั้นท่านพระอาจารย์วังก็พาท่านออกเที่ยววิเวกตามสถานที่ต่างๆ เมื่อใกล้เข้าพรรษาพระอาจารย์ก็พาไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านสามผง ตำบลสามผง อำเภอท่าบ่อศรีสงคราม อีก 2 พรรษา รวมเป็นเวลา 4 พรรษา ที่ได้อบรมในทางปฏิบัติอยู่กับท่านพระอาจารย์วัง พอย่างเข้าพรรษาที่ 5 จึงกราบลาอาจารย์เพื่อไปศึกษาทางฝ่ายปริยัติธรรมที่วัดสุทธาวาส อันที่จริงวัดสุทธาวาสในสมัยนั้นก็เป็นวัดป่า ฉันอาหารมื้อเดียว ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็เหมือนวัดป่าทุกอย่าง เพียงแต่เพิ่มการศึกษาปริยัติธรรมเข้าไปเท่านั้น การศึกษาด้านปริยัติธรรมของพระอาจารย์วัน ได้เริ่มต้นเรียนนักธรรมชั้นตรีที่วัดสุทธาวาสนี้ ระหว่างสอบนักธรรม ฝรั่งได้เอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเมืองสกลนคร ชาวเมืองต้องหลบภัยหนีไปอยู่นอกเมือง ปล่อยให้เป็นเมืองร้างไประยะหนึ่ง แต่ญาติโยมก็ได้จัดอาหารแห้งไปมอบให้สามเณรทำอาหารถวายพระ โดยเฉพาะ คุณโยมนุ่ม ชุวานนท์ พร้อมด้วยคณะญาติ ได้มอบอาหารไว้สำหรับทำถวายพระเณรทุกๆ เช้า ในขณะที่บ้านเมืองกำลังประสบภัยสงครามคล้ายบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะอำนาจลูก ระเบิดฝรั่ง ดูเป็นภัยที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งในสมัยนั้น จึงมีเรื่องแปลกๆ ขำๆ มาเล่าสู่กันฟังในภายหลังได้เสมอแม้แต่เรื่องเกี่ยวกับพระอาจารย์วันก็มี เช่นกัน กล่าวคือ ภิกษุสามเณรต่างก็ขุดหลุมหลบภัยกันตามคำแนะนำของทางราชการบ้านเมือง พระอาจารย์วัน ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสามเณรก็ขุดหลุมหลบภัยกับเขาเช่นกัน แต่แทนที่จะขุดเป็นหลุมใหญ่เช่นคนอื่นๆ กลับขุดเป็นหลุมเล็กๆ ลงไปได้เฉพาะคนเดียว วันหนึ่งขณะที่เครื่องบินกำลังบ่ายโฉมหน้าจะมาทิ้งระเบิดเช่นเคย เสียงเตือนภัยทางอากาศก็ดังกังวานขึ้น ประชาชนพลเมืองพระเณรต่างก็วิ่งเข้าที่หลบภัยกันจ้าละหวั่นด้วยความตกใจ พระสงฆ์บางองค์วิ่งไปลงหลุมของคนอื่นเลยถือโอกาสหลบอยู่เลยก็มีหลุมหลบภัย ของสามเณรวันขณะที่ต่างคนต่างเอาตัวรอดนั้นปรากฏว่ามีพระสงฆ์โจนลงไปหลบภัย อยู่ก่อนแล้วสามองค์ สามเณรวันจึงลงไปอัดอยู่เป็นองค์ที่สี่ หลุมหลบภัยที่ทำไว้เฉพาะคนเดียวเมื่ออัดเข้าไปถึงสี่ ท่านผู้อ่านก็นึกภาพเอาเองก็แล้วกันว่าจะอยู่กันในสภาพเช่นไรที่ร้ายไปกว่า นั้นบางองค์วิ่งเข้าไปในกอไผ่พอเครื่องบินกลับไปแล้วออกมาไม่ได้ ต้องร้อนถึงพระสงฆ์องค์อื่นต้องใช้มีดถางให้ออกมาก็มีสัญชาตญาณการหนีภัยโดย เฉพาะมรณภัยนั้น สัตว์ทุกหมู่เหล่ากลัวกันทั่วทุกชีวิต เพราะจะกลัวอะไรก็แล้วแต่ ย่อมมาสรุปรวมลงที่กลัวตายนั่นเอง *****พ.ศ. 2523 เดือนเมษายน ท่านได้รับอาราธนาจากสำนักพระราชวัง กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยพระคณาจารย์อื่นๆ อีก 4 รูป คือ พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ท่านจึงได้รวมกันที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อขึ้นเครื่องบิน เพราะลูกศิษย์ต้องการถวายความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทาง โดยได้ขึ้นเครื่องบินที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2523 เมื่อเครื่องบินมาถึงเขตจังหวัดปทุมธานี ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง เหลือระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรเศษ เครื่องบินได้ตั้งลำและลดเพดานบินเพื่อเตรียมลงสู่สนาม แต่เนื่องจากเครื่องบินได้ประสบพายหมุนและประกอบกับฝนตกหนัก เครื่องบินจึงเสียหลักตกลงที่ท้องนาเขตอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พระอาจารย์วันพร้อมด้วยคณะจึงถึงแก่มรณภาพพร้อมด้วยผู้โดยสารอีกเป็นจำนวน มาก ผู้โดยสารที่รอดชีวิตเป็นผู้ที่นั่งทางส่วนหางของเครื่องบิน เพราะส่วนหางของเครื่องบินยังอยู่ในสภาพดี เมื่อพระอาจารย์วัน และคณะ ถึงแก่มรณภาพแล้วจึงนำศพไปตกแต่งบาดแผลที่โรงพยาบาลภูมิพลและนำศพไปตั้ง บำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้ง 7 วัน วันแรกพระราชทานหีบทองทึบ วันต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ รับสั่งให้เปลี่ยนใหม่เพราะทรงเห็นว่าไม่สวยงาม จึงได้เปลี่ยนเป็นหีบลายทอง.... อันที่จริงเรื่องราวของท่านนำมาลงโดยย่อ...ครับ เหรียญรุ่นนี้ นับเป็นรุ่นที่ 11 ของท่านอาจารย์ครับ วัดพรหมสุวรรณสามัคคี กรุงเทพฯ เป็นผู้จัดสร้าง เป็นเนื้อทองแดงรมมันปู จำนวนการสร้าง 20,000 เหรียญครับ เหรียญหรือวัตถุมงคลของท่านรุ่นไหน ๆ ก็ใช้ดีครับ โดยเฉพาะเด่นดังมาก ๆ ในเรื่องบู๊ และรอดจากอุบัติเหตุครับ A555 |
พระเครื่องที่เกี่ยวข้องในร้านค้านี้...









อื่นๆ...
กำหลังโหลด Comments