พระบัวเข็มไม้โพธิ์แกะลงรักปิดทอง-ชัยนคร99 - webpra
โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวัน..พบ....โดย สงวนชัย สาทัน

หมวด พระบูชา

พระบัวเข็มไม้โพธิ์แกะลงรักปิดทอง

พระบัวเข็มไม้โพธิ์แกะลงรักปิดทอง - 1พระบัวเข็มไม้โพธิ์แกะลงรักปิดทอง - 2พระบัวเข็มไม้โพธิ์แกะลงรักปิดทอง - 3พระบัวเข็มไม้โพธิ์แกะลงรักปิดทอง - 4
ชื่อร้านค้า ชัยนคร99 - (คลิ๊กที่นี่เพื่อดู ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า)
ชื่อเจ้าของร้านค้า
ชื่อพระเครื่อง พระบัวเข็มไม้โพธิ์แกะลงรักปิดทอง
อายุพระเครื่อง -
หมวดพระ พระบูชา
ราคาเช่า -
เบอร์โทรติดต่อ 0915535539 0617155565
อีเมล์ติดต่อ Chainakorn999@gmail.com
LINE
(คลิ๊กที่นี่เพื่อเพิ่มเพื่อนกับเจ้าของร้าน)
สถานะ พระโชว์
Facebook
เปิดให้เช่าตั้งแต่วันที่ ศ. - 15 พ.ย. 2556 - 22:14.08
แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อ ศ. - 15 พ.ย. 2556 - 22:14.08
รายละเอียด
พระบัวเข็มหรือพระอุปคุต
ในคัมภีร์ปฐมสมโพธิได้กล่าวถึงพระเจ้าอโศกว่า แต่เดิมนั้นพระเจ้าอโศกทรงนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน แต่พอมาได้ฟังธรรมจากสามเณรนิโครธ ก็เกิดพระศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาอย่างมาก จนถึงขนาดทรงนำหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามาเป็นนโยบายในการปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ ซึ่งระบบนี้เรียกว่า ระบบธรรมาธิปไตย คือการถือเอาธรรมะเป็นใหญ่

และในสมัยต่อมา พระเจ้าอโศกก็ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป โดยพุทธที่โปรดให้สร้างขึ้นนั้น ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็เห็นจะได้แก่ มหาวิหารที่ชื่อว่า “อโศการาม”
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ ส่วนพระสถูปเจดีย์นั้นก็โปรดให้สร้างขึ้นถึง 84,000 องค์ และเมื่อพระสถูปเจดีย์ได้สร้างสำเร็จสมพระราชประสงค์แล้ว พระเจ้าอโศกก็จึงได้ตรัสถามพระภิกขุทั้งหลายว่า จะสามารถหาพระบรมสารีริกธาตุแต่ที่ใดมาบรรจุในพระสถูปให้ถ้วนทั่วทั้ง 84,000 องค์ พระภิกษุทั้งหลายถวายพระพรว่า
“พวกอาตมาภาพเคยได้สดับสืบ ๆ กันมาว่า การกระทำพิธีฝังพระบรมสารีริกธาตุ(ธาตุ
นิธานกรรม) นั้นมีอยู่ แต่มิทราบว่าสถานที่กระทำพิธีฝังพระบรมสารีริกธาตินั้นอยู่ที่ไหน”
เมื่อพระเจ้าอโศกทรงทราบเช่นนั้นจึงรับสั่งให้รื้อทำลายพระสถูปเจดีย์ในเมืองราชคฤห์ เพื่อค้นหาพระบรมสารีริกธาตุ แต่ก็ไม่ทรงพบ จึงทรงรับสั่งให้ก่อขึ้นไว้เป็นปกติดังเดิม

แต่มีเรื่องน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นตอนที่ไปขุดค้นหาพระบรมสารีริกธาตุที่รามคาม ปรากฎได้เกิดเหตุชนิดที่ใคร ๆ ก็คิดไม่ถึง คือหมู่นาคไม่ยอมให้รื้อทำลายพระเจดีย์ โดยบันดาลทำให้จอบเสียม สิ่ว ขวาน แตกหัก เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ไม่สามารถขุดรื้อได้ดังใจปรารถนา

ในเมื่อการค้นหาพระบรมสารีริกธาตุไม่พบดังพระราชประสงค์ พระองค์จึงเสด็จนิวัติสู่กรุงราชคฤห์อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เข้าร่วมประชุม แล้วจึงตรัสถามว่า
“ใครเคยได้ยินมาบ้างว่ามีการกระทำพิธีฝังพระบรมสารีริกธาตุไว้ ณ ที่ ไหน”
ในที่ประชุมนั้น ปรากฎว่ามีพระมหาเถระผู้เฒ่ารูปหนึ่งอายุ 120 ปี บอกว่าสมัยที่มีอายุได้ 7 ขวบนั้น พระมหาเถระผู้เป็นบิดาได้เคยพาท่านไปบูชาสถูปศิลาองค์หนึ่ง และสั่งย้ำว่า จงจำสถานที่นี้เอาไว้ให้ดี แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ที่นั่นจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุหรือไม่

เมื่อพระเจ้าอโศกได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ดำริว่า ที่นั้นชะรอยจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเป็นแน่แท้ จึงมีรับสั่งให้พระมหาเถระนำเสด็จไปยังสถานที่แห่งนั้น เมื่อขุดลงไปก็ปรากฎว่าได้พบพระบรมสารีริกธาตุจริง ๆ ทำให้พระเจ้าอโศกทรงปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อกลับมาถึงเมืองปาฏลีบุตรแล้ว ก็ได้ทรงกระทำสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุโดยวิธีอเนกประการ หลังจากทรงทำพิธีสักการะบูชาเสร็จ พระองค์ก็ทรงแจกพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ทั้ง 84,000 แห่ง ทั่วชมพูทวีป

เมื่อได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ทั้งหลายทุก ๆ พระนครเสร็จแล้ว ต่อจากนั้นจึงทรงรับสั่งให้ก่อสร้างพระมหาสถูปองค์ใหญ่ขึ้นใหม่องค์หนึ่ง มีความสูงประมาณครึ่งโยชน์ ประดับประดาด้วยแก้วต่าง ๆ และแสงแห่งแก้วเหล่านั้นก็สว่างรุ่งเรืองประดุจเขาไกรลาศ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้กับกรุงปาฏลีบุตรนั่นเอง ครั้นสร้างเสร็จแล้ว จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เหลืออยู่ 1 ส่วน บรรจุไว้ในพระมหาสถูปองค์นั้น

เรื่องนี้ต้องพระอุปคุต

ในกาลต่อมา พระเจ้าอโศกมหาราชมีพระราชประสงค์ที่จะทำาการฉลองพระสถูปเจดีย์ เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จึงนำความไปปรึกษากับหมู่สงฆ์ ซึ่งมีพระโมคคัลลีบุตรเถระเป็นประธาน พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาทั้งหลาย ได้เล็งญาณดูแล้วเห็นว่าในการทำพิธีฉลองครั้งนี้จะมีพญามารมาทำลายพิธี จึงได้ทำการเฟ้นหาพระเถระผู้มีฤทธิ์ที่จะมาทำการป้องกันภัยอันจะพึงเกิดขึ้นในครั้งนี้

แต่ปรากฎว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถจะทำการนี้ได้ จะเห็นมีอยู่ก็แต่ ท่านอุปคุต ซึ่งไปเนรมิตปราสาทแก้ว 7 ประการ จำพรรษาอยู่ในท้องมหาสมุทร เพื่อหลบหนีความวุ่นวายโดยท่านไปนั่งเข้าฌาณสมาบัติอยู่บนรัตนบัลลังค์ในท่ามกลางปราสาทแก้วนั้น โดยไม่ได้ฉันภัตตาหารมาเป็นเวลานาน พระอุปคุตนี้แหละ หากได้นิมนต์มาก็จะสามารถปราบพญามารได้ จึงตกลงใจที่จะไปนิมนต์พระอุปคุตมา สำหรับการไปนิมนต์ครั้งนั้นก็ได้มอบหมายให้พระภิกษุผู้มีฤทธิ์ ได้อภิญญาสมาบัติ 2 รูป เป็นผู้ไปนิมนต์

เมื่อไปถึงที่อยู่ของท่านอุปคุต และได้แจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบ ท่านก็ไม่ได้แสดงความขัดข้องแต่ประการใด บอกให้พระภิกษุที่ไปนิมนต์กลับมาก่อน แล้วท่านจะตามมาทีหลัง แต่ที่ไหนได้ …พอพระภิกษุที่ไปนิมนต์กลับมาถึง ก็เห็นท่านอุปคุตมาถึงก่อนแล้ว….นี่แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์อันน่าอัศจรรย์ของท่านพระอุปคุต

ลองกำลังฤทธิ์

ก่อนที่จะถึงกำหนดการฉลองพระสถูปเจดีย์ พระเจ้าอโศกต้องการจะดูตัวว่าพระเถระไหนหนอที่จะมาทำหน้าที่ป้องกันภัยจากพญามาร พอประธานสงฆ์ชี้ให้ดูว่ารูปนี้ไง ที่จะเป็นผู้ทำหน้าที่ป้องกันภัยจากพญามาร พระเจ้าอโศกก็ชักไม่ค่อยเชื่อใจ เพราะรูปร่างของพระอุปคุตนั้นผอมมาก จะทำการป้องภัยจากพญามารผู้มีฤทธิ์มากได้อย่างไร ในเมื่อไม่เชื่อก็ต้องทดสอบ

วิธีการทดสอบของพระเจ้าอโศกก็คือ ในตอนเช้า ขณะที่ท่านอุปคุตเข้าไปบิณฑบาตรในพระราชนิเวศน์ พอออกมาก็ให้ปล่อยช้างตกมันเพื่อจะทดลองกำลังฤทธิ์ของท่านพระอุปคุตว่า จะสู้กับช้างของพระองค์ได้หรือไม่ เพราะถ้าหากต่อสู้กับช้างไม่ได้แล้ว ไฉนเลยจะต่อสู้กับพญามารได้

และแล้ว พระเจ้าอโศกก็ได้เห็นประจักษ์ เมื่อช้างตกมันได้วิ่งไปหมายจะบดขยี้ท่านพระอุปคุต…แต่ช้างนั้นต้องพลันชะงักงันหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง ร่างกายด้วยอำนาจฤทธิ์ของท่านอุปคุต

พระเจ้าอโศกเห็นดังนั้นจึงได้เข้าไปขอขมาต่อท่านพระอุปคุตที่ได้ทำการลองดี ท่านอุปคุตก็ได้คลายฤทธิ์ ทำให้ช้างนั้นสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และกลับไปสู่โรงช้างอันเป็นที่อยู่ของตน เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้พระเจ้าอโศกมีความมั่นใจในฤทธานุภาพของท่านพระอุปคุตว่าจะสามารถป้องกันภัยจากพญามารได้

ทรมานเสียให้เข็ด

และแล้ววันสำคัญก็มาถึง นั่นคือวันที่จัดให้มีการฉลองพระมหาสถูปเจดีย์พระเจ้าอโศกพร้อมด้วยข้าราชบริพาร และประชาขนได้พร้อมใจกันจัดเครื่องบูชาอย่างมโหฬาร ตามริมฝั่งแม่น้ำคงคามีการจุดประทีปเป็นอเนกอนันต์นับไม่ถ้วน จนทำให้บริเวณนั้นโชติช่วง มองดูแล้วสว่างไสวคล้ายเวลากลางวัน ขณะที่ทุกคนกำลังปีติอยู่กับการบูชาพระมหาเจดีย์ นั้น เหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น คือได้เกิดลมพายุใหญ่พัดมาชนิดที่ไม่มีเค้ามาก่อนเลย

ท่านพระอุปคุตเห็นดังนั้น ก็จึงได้ใช้ฌาณอภิญญาตรวจดูเหตุที่ทำให้เกิดพายุใหญ่ ก็จึงได้ทราบว่าที่แท้เป็นเพราะอำนาจแห่งพญามารที่หวังจะมาทำลายพิธีนี่เอง ในเมื่อรู้ชัดเช่นนั้นแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ไม่รอรี รีบใช้ฤทธิ์ปัดเป่าให้พายุใหญ่ของพญามารอันตรธานหายไปในบัดดล

เมื่อพญามารเห็นว่าใช้พายุใหญ่เพื่อทำลายพิธีไม่ได้ผล ก็รู้สึกโกรธแค้น จึงใช้วิธีการอย่างอื่น ๆ แต่ท่านพระอุปคุตก็สามารถจะเอาชนะได้ทุกอย่าง จนผลที่สุด พญามารก็ได้ถูกพระอุปคุตปราบ โดยวิธีเนรมิตซากสุนัขเน่าซึ่งมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง และเต็มไปด้วยหมู่หนอนมองดูแล้วน่าขยะแขยง แล้วเอาผูกติดไว้ที่คอของพญามาร ผูกไม่ผูกเปล่า พระอุปคุตยังได้อธิษฐานจิตลงไปอีกว่า “ไม่ว่าเทพยดา พรหมหรือใครก็ตาม ถ้าจะแก้ก็ขอให้แก้ไม่ออก”

พญามารพยายามจะแก้เอาซากสุนัขนั้นออกจากคอของตนแต่ก็จนปัญญา ไม่สามารถจะแก้ออกได้ จึงจำใจต้องไปไหว้วอนท้าวจาตุมหาราชให้ช่วยแก้ให้ แต่ท้าวจาตุมหาราชก็ไม่สามารถจะช่วยได้ พญามารจึงขึ้นไปขอร้องเทพยดาในชั้นสูง ๆขึ้นไปอีก จนถึงชั้นพรหม แต่ก็ได้ผลอย่างเดิมคือไม่มีใครช่วยได้ จะทำยังไงดีละที่นี้

ก็ต้องกลับไปอ้อนวอนขอร้องท่านพระอุปคุตให้ช่วยแก้ให้ เพราะมีท่านอุปคุตเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถจะช่วยแก้ให้ได้ แต่ก่อนจะแก้ให้ ท่านพระอุปคุตก็ได้สั่งให้พญามารไปทีภูเขา แล้วจึงตามไปแก้ให้ เมื่อแก้ให้แล้ว ท่านพระอุปคุตพิจารณาเห็นว่า ถ้าขืนปล่อยไปตอนนี้ พญามารอาจจะไปรังควาญการทำพิธีของพระเจ้าอโศกอีก ก็จึงได้มัดพญามารไว้ที่ภูเขา บอกว่ารอให้พิธีฉลองพระสถูปเจดีย์ของพระเจ้าอโศกผ่านพ้นไปเสียก่อน แล้วจึงจะมาแก้มัดให้ พญามารจึงเป็นอันต้องถูกผูกมัดติดกับภูเขาเป็นการประจานด้วยโทษฐานเป็นผู้มีใจบาปคอยขัดขวางและทำลายการทำความดีของผู ้อื่น


จากร้าย กลายดี

เมื่องานฉลองพระสถูปเจดีย์ผ่านพ้นไป ท่านพระอุปคุตก็ได้ไปยังภูเขาเพื่อจะไปปลดปล่อยพญามารตามสัญญา เมื่อไปถึง แทนที่พระอุปคุตจะแสดงตัวให้พญามารได้เห็น ท่านก็กลับซ่อนเร้นอยู่ทางเบื้องหลัง เพื่อว่าจะฟังว่าพญามารจะว่ากล่าวอย่าไรบ้าง

พญามารเมื่อละพยศหมดความดุร้ายแล้ว ก็ได้หวนระลึกไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในวันที่พระองค์จะตรัสรู้นั้น ตนได้เคยไปรังควาญต่าง ๆ นานา แต่ทว่าพระองค์ก็ไม่เคยโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย พญามารรู้สึกสำนึกถึงโทษที่ตัวได้กระทำ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเลื่อมใสในคุณของพระพุทธเจ้า จึงได้เปล่งวาจาอุทานออกมาว่า
“ถ้าหากข้าพเจ้ามีกุศลที่ได้เคยสร้างสมไว้แล้ว ดังที่พระผู้มี่พระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญบุญมารมีไว้เพื่อการตรัสรู้ในอนาคตกาลฉันใด ก็ขอให้ข้าพเจ้าจงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้ฉันนั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ และกระทำประโยชน์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงในสากลโลก”

เมื่อพญามารได้เปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิจบลง ท่านพระอุปคุตก็ได้แสดงกายให้ปรากฎแล้วเดินเข้าไปแก้มัดให้ในทันที ต่อจากนั้นท่านก็ได้ให้โอวาทแก่พญามาร ให้ละจิตอันเป็นบาปเสียอย่าได้กระทำกรรมอันหยาบช้าต่อไปอีกเลย และนับตั้งแต่นั้นมา พญามารก็มีจิตอ่อนน้อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่มีความดุร้ายเหมือนดังแต่ก่อน นี่เป็นเพราะฤทธานุภาพของท่านพระอุปคุตโดยแท้ จึงทำให้พญามารได้ละพยศหมดความดุร้าย และกลับใจมาปรารถนาพุทธภูมิ

บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พญามารจึงไม่ได้สำนึก ทำไมมาได้สำนึกในสมัยของพระอุปคุต เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่ว่า พระอุปคุตกับพญามารเคยเป็นคู่ปรับกันมาและพระพุทธเจ้าก็เคยพยากรณ์ไว้แล้วว่า หลังจากพระองค์ดับขันธ์ไปแล้วจะมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์รูปหนึ่ง เป็นผู้มาปราบพญามารตนนี้

ตรงนี้แหละ จึงเชื่อกันว่า อุปสรรคใด ๆ จะไม่ยิ่งไปกว่าพญามาร เมื่อพระอุปคุตสามารถปราบพญามารได้ มารอื่น ๆ ย่อมไม่มีฤทธิ์เหนือพญามาร ผู้ที่ต้องการชนะอุปสรรคหรือชนะมารที่มาผจญชีวิต หรือธุรกิจการค้าขายของตน ก็มักบูชาพระอุปคุตอยู่เป็นประจำ

อื่นๆ...

กำหลังโหลด Comments
Top