หัวข้อ: โชว์พระกรุ...พระพุทธรูปบูชาสมัยเชียงแสน หน้าตัก 1 นิ้ว
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
-สังคมออนไลน์..ข่าวไทยรัฐ...คอลัมน์.."สนามพระ วิภาวดี"
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีขาล
พระหายาก "ขนาดหน้าตัก 1 นิ้ว" ดูเหมือนพระเครื่องและเล็กกว่าพระเครื่องบางองค์ แต่เป็น "พระพุทธรูปบูชา ยุคเชียงแสน" ศิลปะพุทธศิลป์ ถึงยุคถึงสมัย แบบที่วงการเรียกว่า "พระพีเรียด" (ศิลปวัตถุ หรือพุทธศิลป์ยุคสมัยก่อน) เพราะอายุการสร้างมากกว่า 700 ปี
มักจะพบพระในกรุสำคัญทางเหนือ ซึ่งนักโบราณคดีตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นฝีมือช่างหลวง เพราะเวลาพระมหากษัตริย์ ให้จัดสร้างพระพิมพ์เพื่อสืบทอดพระศาสนา บรรจุกรุ จะนิยมจัดสร้าง "พระบูชาขนาดจิ๋ว" ไว้เป็น "พระต้นกรุ" หรือยุคต่อมานิยมสร้าง พระชัยวัฒน์
หายากเพราะในกรุหนึ่งๆจะพบพระเพียง 1-2 องค์เท่านั้น
-ข้อมูลจากไทยรัฐ: คอลัมน์ "สนามพระ วิภาวดี"
(ฉบับ-วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีขาล)
***** พระองค์นี้ เป็น 1 ใน จำนวน 2 องค์ ของกรุวัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน *****
*****เรื่องของ.."สนิม..แต่ไม่สนิม"...(เกร็ดความรู้..เล่าสู่กันฟังครับ)
ข้อความจาก..คมชัดลึก
-ชั่วโมงเซียน-"สนิมพระ" มนต์เสน่ห์แห่งพระกรุ
“ออกไซด์” หมายถึง “สารประกอบที่เกิดจากธาตุออกซิเจน รวมกับธาตุอื่นๆ” ออกไซด์ของโลหะส่วนใหญ่เป็นสารประกอบไอออนิก และเป็นเบส เช่น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (CaO) ฯลฯ ออกไซด์ของโลหะทรานซิชั่น อาจเรียกว่า “สนิม”
สนิม เกิดจากการทำปฏิกิริยากันระหว่างออกซิเจนและธาตุเหล็ก เกิดเป็นรอยของการเกิดการผุกร่อน ซึ่งมักเกิดกับโลหะจำพวกเหล็ก เป็นปฏิกิริยาที่พบเห็นได้ง่ายๆ กับสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ แต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจจะกินเวลายาวนาน เกิดขึ้นเมื่อมีเหล็กสัมผัสกับน้ำและความชื้น โดยจะค่อยๆ สึกกร่อน กลายเป็นเหล็กออกไซด์ หรือที่เรารู้จักกันว่า สนิม
ในวงการพระเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง หรือพระบูชา ถ้าสร้างจากเนื้อโลหะแล้วจะเป็นเนื้อชินเงิน เนื้อตะกั่ว หรือเนื้อสำริด ก็ตาม เมื่อวันเวลาผ่านไป โลหะนั้นจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงสภาพตามสภาวะแวดล้อมของสถานที่ และระยะเวลาของอายุการสร้าง สิ่งที่เป็นตัวนำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อ และผิวของพระเครื่องนั้น คงจะไม่พ้น สาร ที่มีชื่อว่า ออกไซด์
เมื่อระยะเวลาผ่านไปพระเครื่องที่สร้างจากเนื้อชินเงิน ออกไซด์ก็จะเกาะกินผิวพระ อาจเกาะกินบางส่วน หรือกินทั่วทั้งองค์
พระที่ทำจากเนื้อสำริดนั้นจะมีสภาพคงทน เสื่อมสภาพได้ยากมาก เช่น พระในสมัยศรีวิชัย เชียงแสน หรือลพบุรี เป็นต้น ซึ่งบางองค์มีอายุเป็น ๑,๐๐๐ ปี ยังมีสภาพสวยสมบูรณ์อยู่เลย
ทั้งนี้ จะมีสนิมออกไซด์เกาะกินเช่นกัน ส่วนจะมากหรือน้อยก็คงอยู่กับสภาวะที่เก็บ บวกกับระยะเวลาในการสร้างเช่นกัน สนิมที่เกาะในเนื้อสำริด มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด หลายสี เช่น สนิมขุม สนิมสีเขียว สนิมสีแดง สนิมสีดำ และสนิมน้ำเงิน เป็นต้น
สนิมขุมนั้นเป็นสนิมอย่างเดียวที่ต้องขึ้นกับพระเนื้อสำริด ที่มีอายุการสร้างมากๆ ทุกองค์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวชี้ขาดในการพิจารณาความแท้ปลอม ของพระเครื่อง พระบูชาเนื้อสำริดได้เลย ไม่ว่าพระเนื้อสำริดองค์นั้นจะลงกรุหรือไม่ก็ตาม
ลักษณะของสนิมขุม พบเห็นด้วยกัน ๒ ลักษณะ คือ สนิมที่เกาะนูนขึ้นมาจากผิวพระ และที่เกาะกินจนเนื้อพระทรุดตัว เป็นหลุม เป็นร่อง ตัวสนิมส่วนมากจะมีสีแดง และสีเขียว ผิวมัน แบบช้ำๆ เกาะติดแน่นจนเป็นเนื้อเดียวกับผิวพระ
สีของเนื้อพระที่ถูกสนิมออกไซด์เกาะคลุมผิว ไม่ว่าจะเป็นสนิมสีเขียว สีแดง สีดำ หรือสีน้ำเงิน ส่วนใหญ่จะเป็นพระที่ผ่านการลงกรุแทบทั้งสิ้น สีของสนิมนั้นจะเป็นสีอะไร ก็คงขึ้นอยู่กับสภาวะภายในกรุนั้นๆ
พระเนื้อสำาริดโบราณ ที่มีอายุการสร้างมานาน เนื้อโลหะจะต้องมีลักษณะแห้ง สีจืด ซีด น้ำหนักเบาลงมาก เรียกกันว่า เนื้อหมดยาง การเคลื่อนย้ายต้องระมัดระวัง หากตกก็จะแตกหักง่าย
พระเนื้อสำริดที่เห็นทั่วไปส่วนมากก็เป็นพระบูชา มีทั้งที่บรรจุภายในกรุ ในเจดีย์ และตั้งเก็บไว้เฉยๆ ในวัดวาอาราม หรือในปราสาท ราชวัง จึงทำให้สีของสนิมต่างกันไป สนิมที่มีสีดำ หรือสีแดง ส่วนมากจะเป็นพระที่ตั้งบูชาเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้บรรจุเอาไว้ในกรุ
กรณีพระที่บรรจุไว้ภายในกรุ ในเจดีย์ หรือถูกฝังอยู่ใต้ดินนั้น จะมีสนิมเกาะค่อนข้างมาก เรียกว่า สนิมจัด ส่วนใหญ่สนิมจะเป็นสีแดงจัด หรือเขียวจัด ที่เรียกกันว่า สนิมเขียวหยก
:โดย...นุ เพชรรัตน์...ชั่วโมงเซียน-"สนิมพระ" มนต์เสน่ห์แห่งพระกรุ
:คมชัดลึก....