
หัวข้อ: กระเทาะทางเซียน(พระ)
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ

กระทู้นี้ถ้าไปกระทบกับใครบ้างเล็กๆน้อยๆ ก็ขออภัยนะครับ คิดเสียว่าอ่านกันเล่นเพลินๆก็แล้วกัน "กระเทาะทางเซียน(พระ)" ทำไมถึงต้องมากระเทาะ ท่านๆทั้งหลายที่เป็นพ่อค้าพระเครื่อง หรือที่ทำมาหารับประทานเกี่ยวกับวงการพระเครื่องทั้งที่เป็นอาชีพหลักโดยตรง หรือ กึ่งอาชีพแบบเป็นอาชีพเสริม ทั้งท่านที่ประสบความสำเร็จค้าขายจนร่ำรวยเงินทอง และท่านที่ยังไม่รวยแต่กำลังจะรวย หรือท่านที่ยังจนอยู่เหมือนเดิม คงจะได้รู้ ได้เห็นมาบ้างแล้วนะครับ ว่า ทำไม พวกเซียนพระเครื่องรุ่นใหญ่ๆ แถวหน้า หรือ รุ่น ดาวรุ่งพุ่งแรง ถึงได้ร่ำรวย ระดับขั้นมหาเศรษฐี มีเงินและทรัพย์สินรวมกันเป็นสิบๆล้าน หรือ ร้อยๆล้าน
แต่บางท่านที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ยังไม่รู้ใช่ไหมครับ ว่าทำไมเขาถึงได้ร่ำรวยเงินทองหรือมีทรัพย์สินมากมายขนาดนั้น ก็ตามหลักของการค้าขายนะแหละครับ "ซื้อถูก ขายแพง" แต่...ถ้าเป็นการค้าขายแบบธรรมดาๆทั่วๆไปก็คงจะไม่มีใครพูดถึงหรอก ใช่ไหมครับ แต่เป็นการ "ซื้อถูกขายแพง" ที่กดขี่ ผู้ขายมากเกินขนาด ชนิดที่อาจจะเรียกได้ว่าขาดศีลธรรมไปเลยในบางคน และก็เชื่อว่าสมาชิกบางท่านก็อาจได้รับประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว
พระเครื่องยอดนิยม หรือพระเครื่องดังๆ ราคากลางของตลาดซื้อขาย สมมติว่าราคาอยู่ที่ หลักหมื่นปลายถึงแสนกลาง ถ้านำไปขายในสนามใหญ่ เช่นท่าพระจันทร์ หรือพันธ์ทิพย์ ราคาจะถูกกดจนต่ำสุดๆ ยิ่งผู้ที่นำไปขายให้บรรดาเซียนพระที่รับซื้อ เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่รู้จักกับใครในสนามพระเลย "หมู มาแล้ว" พระราคา หลักหมื่นปลายถึงแสนปลาย จะอยู่ที่เท่าไรทราบไหมครับ มันกดจนเหลือ หลักพัน อย่างเก่งถ้าสวยจัดๆ หรือพอดีมีใบสั่ง "หมื่นเดียว" กับเศษค่ารถอีกไม่กี่ร้อย
ผมเคยเห็นเขาซื้อขายพระสมเด็จ เห็นจะๆ คาตาเลย เมื่อหลายปีก่อน ผมไปนั่งคุยกับพวกเพื่อนๆในแผงพระที่ท่าพระจันทร์ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริงนะครับ ไม่ใช่แต่งขึ้นมา มีลุงคนหนึ่งนำพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ มาขายให้กับเซียนใหญ่ระดับแถวหน้าสายพระสมเด็จ ซึ่งแผงพระก็อยู่ติดๆกับแผงที่ผมนั่งคุยอยู่กับพวกเพื่อนๆ จึงได้รู้ได้เห็น พระองค์นั้นเท่าที่ดู สวย แท้ดูง่าย ฟังได้ว่า ลุงแกกำลังร้อนเงิน ต้องเอาเงินไปเสียค่าเทอมให้หลาน จึงเอาพระมาขาย
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ สภาพสวย ดูง่าย ในปีนั้น ราคากลางก็ประมาณแสนกลางๆ ถึงปลาย แต่ถ้าอยู่ในมือเซียนก็ต้องล้านขึ้น ลุงเจ้าของพระแกก็บอกกับเซียนคนนั้นว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง รุ่นหนึ่ง ซึ่งก็เข้าใจว่าแกคงไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่องของพระและราคาซื้อขายเท่าไรนัก เซียนใหญ่คนนั้นส่องพระพิจารณาพลิกหน้า พลิกหลัง ซักพัก แล้วบอกลุงเจ้าของพระว่า "ไม่ใช่พระสมเด็จวัดระฆัง หรอกลุง เป็นพระสมเด็จบางขุนพรหม 09 ราคาไม่กี่พันบาท ถ้าลุงจะขาย ผมให้ 7,000 บาท " โอ...แม่เจ้า...พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ แต่ มึงแหกตาเจ้าของพระอย่างหน้าด้านๆ ทั้งที่คนก็มุงดูอยู่ (ท่าพระจันทร์ ในสมัยนั้น ถ้ามีการซือขายพระกัน ก็จะมีพวกแผงค้าพระระดับเล็กๆ เข้ามาร่วมดู ร่วมเชียร์ หรือร่วมกันติ เพื่อกดราคาพระให้ต่ำลง เพื่อจะได้รับเศษเงินส่วนแบ่ง ที่เรียกกันว่า "ค่าผี")
ลูงเจ้าของพระแกมาคนเดียว ร้อนเงิน ไม่รู้เรื่องพระเท่าไร ก็จำต้องเสียของรักไปในราคาที่เรียกกันตามภาษาเซียนมวยว่า "ถูกคว้าคอ ตีเข่า" โดนเข้าอย่างจั๋งหนับเลย ผมไม่ได้อิจฉา แต่รู้สึกสมเพชในตัวเซียนใหญ่คนนั้น ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว ว่า...ทำไมไม่มีศีลธรรมประจำใจกันบ้างเลย คดโกง หลอกลวง ผู้ที่มีปัญญาด้อยกว่า เอารัดเอาเปรียบกันเกินขนาดไป อย่างน้อยให้ราคาลุงเจ้าของพระแกไปซักหมื่นปลายๆหรือซักแสนนึงก็ยังมีกำไรบานเบอะ นี่ซื้อพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่สภาพสวยไปในราคาหลักพัน มันน่าทุเรศไหม เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นถึงความโลภโมโทสันของบรรดาบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเซียนใหญ่ แต่จิตใจเหี้ยมโหด ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง โดยไม่ละอายต่อบาปเลย
เส้นทางนี้ก็เชื่อได้ว่า ก่อนที่ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นเซียนใหญ่ ระดับแถวหน้า ที่ร่ำรวย มีเงินทองนับสิบ นับร้อยล้านบาทไทย เคยใช้มาแล้วแทบทั้งสิ้น เผยให้เห็นจิตใจอันสกปรกโสมม ละโมบ พระแท้ๆอยู่ในมือคนอื่น ถ้าเอาขายหรือเอามาให้มันดู ถ้ามันซื้อไม่ได้ หรือ ไม่ซื้อเพราะไม่มีใบสั่ง มันตีเก๊ ทันที แต่ถ้าจะซื้อ มันจะซื้อในราคาที่ต่ำสุดๆ พอใจจะขายก็ขาย ไม่พอใจก็เอากลับไป แต่ถ้าพระเก๊ระดับฝีมืออยู่ในมือมัน จะเป็น พระแท้ทันที เพราะเครดิต และชื่อเสียง จะเป็นตัวค้ำประกันให้ขายพระองค์นั้นได้ และได้ราคาดีเสียด้วย ดังตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งเมื่อเร็วนี้ ซึ่งอาจจะมีคนได้ข่าวมาแล้ว ถึงระดับเซียนใหญ่หัวแถว ขายพระกรุเก๊แบบฝีมือดี ให้กับผู้ใหญ่ระดับนักการเมืองภาคตะวันตกไปในราคาหลักล้านแต่ปรากฏในภายหลังว่าเป็นพระเก๊ ก็มีการคืนพระกัน ถ้าพระองค์นี้ไม่ไปแห่กับเซียนคนอื่น คนที่ซื้อพระไปเชื่อแต่เครดิตของเซียนใหญ่ที่ขายพระให้ ก็คงเก็บแต่พระเก๊เข้าไปเต็มรัง ดังนั้นความร่ำรวยของบุคคลเหล่านี้มีที่มาจากอะไร ก็คงจะพอทราบกันบ้างแล้วนะครับ
กระทู้นี้ก็ไม่ได้โจมตีใครหรืออิจฉาใคร เพียงแต่กระเทาะให้เห็นถึงความสกปรกของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเซียนใหญ่ ว่าร่ำรวยมาได้อย่างไร ค้าขายพระอย่างเดียวมีเงิน เป็น 10 เป็น 100 ล้านได้อย่างไร คนทำมาหากินแบบธรรมดาๆ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน กว่าจะได้รถคันหนึ่ง บ้านหลังหนึ่ง ผ่อนกันตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ทำมาหากินอะไรก็โดนหักแต่ภาษีเข้ารัฐ แต่เซียนเหล่านี้ขายพระองค์หนึ่งราคา 5ล้าน 10 ล้าน บางองค์ 40-50 ล้าน ภาษีก็ไม่ต้องเสีย ไม่เคยเผื่อแผ่อะไรให้แก่สังคมเลย ........เหนื่อยใจ จริงๆ กับบุคคลเหล่านี้....จบ ละครับ...เดี๋ยวโดนว่าอีก ว่าเขียนยาวไป....

ก็ดีใจครับที่มีคนเขียนแนวแบบนี้ครับ..นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเอง..เมื่อหลายปีที่ผ่านมา..แต่ต้องยอมครับ "มันเดือดร้อน จริงๆ" 1 like ครับ
กระทู้นี้จะรอดูว่า เจ้าของกระทู้จะโดนบวกหรือลบเท่าไหร่ มันเป็นเรื่องต่างมุมมองครับ แต่ผมชอบนะครับท่าน

+1 ครับพี่ โดนครับโดน เคยเจอกับตัวเองเหมือนกัน คนเล่นพระ(บางคน)ใจก็ไม่ได้เป็นพระที่เขาเล่นหรอกครับ

ดี ครับพี่ ตรงๆแรงๆ จริงใจ ดี ครับ +1
ถือว่า แบ่งปันประสบการณ์ ให้ น้องๆครับ
รวย แบบ นี้ ไม่ ยั่งยืนหรอกครับ เดียวกรรม ก็ เอาคืนมัน เอง ครับ
+1 ครับ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มือใครยาวสาวได้สาวเอา ผู้ด้อยโอกาสมักถูกกดขี่ข่มเหง ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่เข้มแข็งกว่าเสมอ" พระเคริ่องก็คล้าย ๆ กับสาวงาม ถ้าเป็นลูกชาวบ้านธรรมดา ๆ แม้จะสวยขนาดไหนก็ด้อยคุณค่า สินสอดก็คงไม่แพงนัก แต่ถ้าเป็นลูกสาวเจ้าใหญ่นายโต แม้จะสวยธรรมดา ค่าสินสอดก็แพงที่ไม่ธรรมดา ทุกวงการมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่ผมเชื่อว่ายังมีคนดีมากกว่าคนไม่ดีเสมอ
มันเป็นเชิงเซียน ต้องรู้เท่าทัน
ติต่างๆนาๆให้ใจเสีย พระสวยยังบอกไม่สวย บุบตรงนั้น บิ่นตรงนี้ ถลอกตรงโน้น ฯลฯ
เอาจุดที่แท้นั่นแหละมาติ ชินเงินก็ว่ามันระเบิดตรงนั้น(มีระเบิดนั่นแหละดูง่าย) ชินสนิมแดง ชินเขียว ก็ว่าไขมันเยอะ (ก็ถ้าไม่มีไข มันจะแท้หรือวะ..ไอ้เวร)
บางทีก็เอาข้อดีมาแกล้งติซะยังงั้น ไม่เคยเห็นที่มีปิดทองเลย..แปลก..(ก็มีปิดทองนั่นมันโคตรหายาก) ทำไมมันมีคราบปรอท (ถ้าไม่มีกูไม่ซื้อหรอก) หูตาปลิ้นเลยนะพระกรุอะไร..ไม่สึกไม่กร่อนเลย..(ก็มันโคตรหาสวยแบบนี้ยากอีกเช่นกัน) ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
ตีแท้ผิดวัด ถ้าตีเก๊ กลัวจับได้ว่าจะซื้อไปทำไม
ทั้งหมดนี้เพื่อต้องการซื้อถูก ลองถ้าพระไม่แท้ มันดูแล้ววาง บอกว่า มีองค์อื่นอีกไหม...หมูน้อย อิอิ

ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านเลยนะครับ ที่ได้เข้ามาอ่าน ทำให้ได้เห็นมุมมอง ข้อคิด ประสบการณ์ ของแต่ละท่าน ที่ได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่อาจจะได้พบกับความสำเร็จบ้าง ความเจ็บปวดบ้าง ความกดดันต่างๆที่เคยผ่านมาจากการเริ่มต้นเป็นนักสะสมพระเครื่องรุ่นเยาว์จนเติบใหญ่ผ่านร้อนหนาวมามากจนกระทั่งได้มายืนถึง ณ จุดปัจจุบันนี้ได้ เชื่อว่าแทบทุกคนที่เป็นนักพระเครื่องที่มีฐานะธรรมดาแบบชาวบ้านทั่วๆไป ชนิดปาก กัด ตีน ถีบ ก็คงจะต้องผ่านเหตุการณ์จำเป็นในชีวิต ทีจำต้องตัดใจขายของรัก ของหวง ไปโดยที่ไม่ได้ความยุติธรรมจากผู้ซื้อในด้านราคาเลย แต่จะว่าไปแล้ว ก็คงโทษพวกเขาเหล่านั้นก็คงไม่ได้เต็มปากเต็มคำเท่าไรนัก เพราะมันเป็นอาชีพของเขา แต่ถ้าเป็นตัวเราเองล่ะ เราจะทำชนิดโหดๆแบบนั้นไหม ก็ต้องถามใจของตัวเองก่อน "คุณธรรม จริยธรรม หรือความร่ำรวย สุขสบาย ของตนเองและครอบครัว" อย่างไหนจะมาก่อน + 1 ให้กับทุกท่านครับ ที่เข้ามาแชร์ประสบการณ์และความนึกคิด ตลอดจนมุมมองในด้านต่างๆของวงการพระเครื่อง ขอบคุณทุกๆท่าน... ครับผม..

เคยเจอเหมือนกันครับ ชาวบ้านนำพระมาปล่อยเช่าร้านดัง พันธ์ทิพย์ วัดปากน้ำรุ่นรุ่นแรก ติโน่นตินี่แต่รับเช่า ได้กลับไปแค่หมื่น ครับ
ด้วยความเคารพ

เขียนได้สะใจจริงๆ ครับ เป็นเรื่องจริงครับผมก็เคยเจอเหตุการ์ประเภทนี้ ใครอยากเจอสถานการณ์จริงลองเดินตรอกท่าพระจันทร์ดู ปัจจุบันเข้าใจคำว่าเซียนพระดีขึ้นมาก (มึงเซียนกูก็เซียนเหมือนกัน)

โดนครับพี่ สมัยนี้ยังมีการเล่นพวกด้วยนะครับ พระทางนี้ว่าแท้ ทางนั้นว่าเก๊ นานพอควรแล้วเคยได้หาพระมาแห่อยู่ บอกตรง ๆ งงหนักกว่าเดิม สรุปไม่ถูกว่าพระของเรามันแท้หรือเก๊ ตามสนามใหญ่เล่นผมมึนไปหมด สรุปเอาเองว่าเราตาไม่ถึงเอง ขอเล่นเพื่อความสนุก ตามประสาเราดีกว่า ขอบคุณครับ
ระบบทุนนิยม..ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด? ความร้ายกาจของมันก็ไม่ลดความร้ายแรงลงเลย... มีแต่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน
ในโลกของเราไม่มีอะไร? ผิด หรือ ถูกต้องหรอกครับ. อยู่ที่มุมมอง และการเห็นแก่ตัวที่จะมี(มาก)แค่ไหน?
ในโลกของทุนนิยม.. เขาถือว่าการเอารัดเอาเปรียบ การได้กำไร(มากๆ) คือ สิ่งที่ถูกต้อง
การช่วยเหลือ..เพื่อผลตอบแทนที่เป็นเท่าทวีคูณ..จากคนที่ด้อยกว่า.. คือ ความสำเร็จ! (ของระบบนี้)
" ทุนนิยม เขาไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณใคร? มีแต่ ตัวเขาเท่านั้น..ที่มีบุญคุณกับทุกคน "
- ลูกจ้าง..กินเงินเดือนเท่าไหร่..ต้องสร้างรายได้ให้นายจ้างอย่างน้อย 3-4 เท่า
- ลูกหนี้..กู้มาเท่าไหร่.. ต้องจ่าย..กี่เท่า
- รับเงิน..เลือกเขามา.. ก็ต้องจ่ายด้วย..วิญญาณของเราและลูกหลานของเรา แผ่นดินของเรา นี่แหล่ะครับ..ทุนนิยม
การที่จะทำให้ " ทุนนิยม..เบาลง ไม่ใช่..ต้องกำจัดมัน! แต่เป็นการ เรียนรู้-เข้าใจและรู้ทัน แล้วประณามคนเหล่านั้นไม่ให้เงยหน้า-เชิดหน้าในสังคมฯ ไม่ใช่..ยกย่อง ยอมเข้ากลุ่ม หรือยอมสวามิภักดิ์รับใช้ "
แต่..คนในระบบนี้ ก็มักจะสร้างเหตุการณ์ต่างๆ..มาให้เราต้องปากกัด-ตีนถีบ เพื่อปากท้องมากขึ้น จนไม่มีเวลามาสนใจกับเรื่องแบบนี้ เลยเป็นช่องทางให้เขาหาทางเอาเปรียบต่อไปไม่สิ้นสุด
คนหนึ่งในระบบทุนนิยม..กรอกน้ำ..ใส่ขวดขาย ได้กำไร? ก็แบ่งกำไรมาบ้าง สร้างโรงงานใหม่..ยังไม่ทันจะเดินเครื่องจักรฯ น้ำท่วมโรงงาน..กรอกน้ำแจกก่อน..บริจาคเงิน.ช่วยเหลือคน ไม่ทิ้งลูกน้อง-ลูกจ้าง ถึงจะพูดไม่ชัด..แต่การกระทำชัดเจน ทุนนิยมแบบนี้สิครับที่ควรยกย่อง..
เรื่องการหลอกเช่าพระในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้นี้ ก็เพราะคนเรา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีกิเลศทั้งสิ้น ไม่ต้องเป็นเซียนหรอกครับ เราๆท่านๆเวลาหาได้ของหลง จากในสนาม หรือที่เรียกว่า พระฟลุ๊ค นั่นก็ใช่ ก็ได้มาในราคาเด็กอนุบาล ใครบ้างจะไปบอกกับเจ้าของพระ ว่าแท้ที่จริงแล้ว พระองค์นั้นราคาสูงกว่านั้นหลายเท่า มีก็แต่ อุบเงียบ รีบจ่ายตังค์ ก่อนที่จะมีคนเป็น คนอื่นมาเห็นเข้า แล้วค่อยมาคุยฟุ้งให้เพื่อนฟัง ดีใจที่ได้พระมาแบบฟลุ็กๆ อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นคนสกปรกในวงการพระ มีจิตใจโสมมหรือไม่ ถ้าใช่ ผมว่าทุกคนนะแหละครับ ไม่มีเว้นหรอก ใช่ทั้งนั้น จริงไหมครับ

นักสะสม:
เรื่องการหลอกเช่าพระในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้นี้ ก็เพราะคนเรา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีกิเลศทั้งสิ้น ไม่ต้องเป็นเซียนหรอกครับ เราๆท่านๆเวลาหาได้ของหลง จากในสนาม หรือที่เรียกว่า พระฟลุ๊ค นั่นก็ใช่ ก็ได้มาในราคาเด็กอนุบาล ใครบ้างจะไปบอกกับเจ้าของพระ ว่าแท้ที่จริงแล้ว พระองค์นั้นราคาสูงกว่านั้นหลายเท่า มีก็แต่ อุบเงียบ รีบจ่ายตังค์ ก่อนที่จะมีคนเป็น คนอื่นมาเห็นเข้า แล้วค่อยมาคุยฟุ้งให้เพื่อนฟัง ดีใจที่ได้พระมาแบบฟลุ็กๆ อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นคนสกปรกในวงการพระ มีจิตใจโสมมหรือไม่ ถ้าใช่ ผมว่าทุกคนนะแหละครับ ไม่มีเว้นหรอก ใช่ทั้งนั้น จริงไหมครับ
เห็นด้วยเลยเจ้าค่ะ..นี่คือ ว้ถี และ การได้มาหรือเสียไป ที่ตรงที่สุดในยุคปัจจุบัน ของคนที่เล่นพระไม่ว่า ใหญ่หรือเล็ก เก่งหรือไม่เก่ง ตั้งแต่แผงบนห้างใหญ่โตหรือแผงแบกะดินข้างทาง เป็นเหมือนกันหมด เจ้าค่ะ.ต่างกันแค่การใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมาหรือแค่พยามพูดให้ดูดี..แต่สุดท้ายก็เป็นแบบที่พี่นักสะสมโพสมาจริงๆเจ้าค่ะ....อามิตตพุทธ
นักสะสม:
เรื่องการหลอกเช่าพระในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้นี้ ก็เพราะคนเรา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีกิเลศทั้งสิ้น ไม่ต้องเป็นเซียนหรอกครับ เราๆท่านๆเวลาหาได้ของหลง จากในสนาม หรือที่เรียกว่า พระฟลุ๊ค นั่นก็ใช่ ก็ได้มาในราคาเด็กอนุบาล ใครบ้างจะไปบอกกับเจ้าของพระ ว่าแท้ที่จริงแล้ว พระองค์นั้นราคาสูงกว่านั้นหลายเท่า มีก็แต่ อุบเงียบ รีบจ่ายตังค์ ก่อนที่จะมีคนเป็น คนอื่นมาเห็นเข้า แล้วค่อยมาคุยฟุ้งให้เพื่อนฟัง ดีใจที่ได้พระมาแบบฟลุ็กๆ อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นคนสกปรกในวงการพระ มีจิตใจโสมมหรือไม่ ถ้าใช่ ผมว่าทุกคนนะแหละครับ ไม่มีเว้นหรอก ใช่ทั้งนั้น จริงไหมครับ
ซื้อตามแผงในสนาม ผมก็เป็นอย่างที่คุณนักสะสมว่าไว้ครับ
แต่ถ้ามีคนเอามาขายให้ ใช้ คุณธรรม เป็นกรณี ตามความเหมาะสม โดยผมเน้นการไม่โกหก ซื้อได้ก็ซื้อ ซื้อไม่ได้ก็แนะนำเขาไปขายให้คนที่ซื้อได้ครับ

ก็ขอขอบคุณทุกๆท่านนะครับที่เข้ามาแชร์แสดงมุมมองและความคิดเห็น ที่อาจจะแตกต่างกันและหลากหลายในแง่มุมของแต่ละท่าน
ความคิดเห็นของท่าน วังเทวี ตรงกับใจของผมเลยทีเดียว ถ้าซื้อของตามแผง ไม่ว่าจะเป็นสนามเล็ก สนามใหญ่ หรือตลาดนัดพระ ถ้าเจอของที่คิดว่าน่าจะฟลุ๊ก ในราคาถูก หรือที่เรียกว่าผิดราคา ก็จะซื้อไปตามราคาที่ผู้ขายเปิดราคาไว้ เพราะพูดง่ายๆว่าเป็นการสมยอม และพอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะในความเป็นจริงก็เชื่อแน่ว่า ทั้งคนซื้อและคนขายต้องดูพระเป็น หรือพอเป็นทั้งนั้น
คนขายอาจจะมองว่าพระของตัวเองเก๊ ไม่น่าจะแท้ ก็ขายทิ้งไป โดยอาจจะต้องการเอาทุนคืน หรืออย่างไรก็แล้วแต่ คนซื้อมองดูว่า พระองค์นี้น่าจะดีก้ำกึ่ง ลองวัดดวงดูซิ เพราะราคาก็ถูก ก็ซื้อขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการเสี่ยงดวงเหมือนกัน แต่ก็พอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย คนขายก็ออกตัวได้ คนซื้อก็ได้ของไป จะฟลุ๊ก หรือ ฟุบ ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง
แต่ในกรณีที่คนเอาของมาขายให้เรา โดยเป็นของดี แท้ แต่ไม่รู้ราคา เพราะไม่ชำนาญ ไม่ใช่นักเล่นพระ อาจจะเป็นมรดกตกทอด หรือของเก่าแก่ที่ตนเองได้สะสมเอาไว้ โดยถามราคาเราว่าจะให้ราคาเท่าไร กรณีนี้เชื่อแน่ว่าทุกๆคนที่เคยซื้อพระ จะต้องเจอมาแน่ๆ ตรงนี้แหละครับที่จะวัดใจตัวเราเอง ว่าคุณธรรมในใจของเราเองมีแค่ไหน
แน่นอนครับ ทุกคนซื้อของมาก็ต้องการกำไรทั้งนั้น แต่จุดไหนล่ะ คือความพอดีที่เหมาะสมด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าจะใช้วิธีหลอกเจ้าของพระว่าผิดรุ่น เก๊ฝีมือดี แต่อยากซื้อไปศึกษาดู กดราคาจนต่ำสุด ท่านอาจจะได้ของไปในราคาที่ท่านกระหยิ่มใจที่หลอกซื้อมาได้ แต่ท่านคิดถึงหัวอกของเจ้าของพระบ้างไหมว่าถ้ารู้ความจริงขึ้นมาว่าถูกหลอก เขาจะโกรธแค้นท่านขนาดไหน จะสาปแช่งท่านไปนานอีกเท่าใด แต่ถ้าท่านซื้อในราคาที่เหมาะสม ในราคาของแท้ที่ซื้อได้ มีกำไรพอสมควร คนขายก็พอใจ ขอบคุณท่าน ให้ศีลให้พรท่าน ที่ได้บอกความจริงกับเขา เท่ากับได้ช่วยเหลือเขาในยามที่เขาเดือดร้อน บากหน้ามาหาท่าน เอาของรักของหวงมาขายให้ท่าน ท่านก็สบายใจเหมือนได้ทำกุศลให้เกิดขึ้นมาแก่ตนเอง ตรงนี้แหละครับ จะเป็นจุดกำหนดคุณธรรมของท่านเองว่ามี "ต่ำ หรือ สูง" แค่ไหน ส่วนตัวของผมเอง เลือกอย่างหลังครับ
เอาเป็นว่า ให้ดูที่เจตนาเป็นหลัก ถ้ามีการบิดเบือน โกหก หรือใช้เล่ห์ เพทุบาย เพื่อทีจะหลอกให้ผู้เอาพระมาขาย ยอมขายพระให้ในราคาที่ตนเองต้องการ ก็ใช่เลย
ถ้าใช้ปากติตรงโน้นตรงนี้ เพื่อให้ราคาพระลงไปอีก นี่ก็ถือว่ามีเจตนาอ่อนๆใช่ไหมครับ
ส่วนมากผู้ขายก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยม เชียร์พระตัวเองว่า เห็นลูกตารำไร บ้างละ องค์นี้สนิมแดงแปร๊ดบ้างละ ทั้งๆที่เนื้อตรงลูกตานั้น ยุบเป็นหลุม เนื้อก็มีแต่ตะกั่วทั้งดุ้น สนิมยังไม่ขึ้นสักเม็ด
ส่วนผู้ซื้อก็ติโน่นตินี่ เพื่อจุดประสงค์ที่สวนทางกัน ไอ้ที่ซื้อขายกันด้วยความบริสุทธิ์ใสซื่อนั้น หายาก
ที่คุณ onepeer เขียนมาว่า
"แต่ในกรณีที่คนเอาของมาขายให้เรา โดยเป็นของดี แท้ แต่ไม่รู้ราคา เพราะไม่ชำนาญ ไม่ใช่นักเล่นพระ อาจจะเป็นมรดกตกทอด หรือของเก่าแก่ที่ตนเองได้สะสมเอาไว้ โดยถามราคาเราว่าจะให้ราคาเท่าไร กรณีนี้เชื่อแน่ว่าทุกๆคนที่เคยซื้อพระ จะต้องเจอมาแน่ๆ ตรงนี้แหละครับที่จะวัดใจตัวเราเอง ว่าคุณธรรมในใจของเราเองมีแค่ไหน"
ค่าของคุณธรรมนั้นไม่ได้มีค่าแค่ 0 หรือ 100 % หรอกครับ
ยกตัวอย่าง พระที่คนไม่รู้เอามาขาย ซึ่งราคากลางพระราคา 1000 บาท แต่คุณขอซื้อเขา 800 บาท แสดงว่าคุณมีคุณธรรมราว 80 % แต่ถ้าพระนั้นเป็นเบญจภาคี ซุ้มกอ สภาพกลางๆ ราคากลางคงขายได้ 700,000 บาท ถ้าคุณขอซื้อเขา 7000 บาท ก็เท่ากับคุณมีคุณธรรมแค่ 1 %
ดังนั้นคุณธรรมนั้นบางทีก็มี แต่บางทีความโลภขึ้นมาแซงหน้า คุณธรรมก็หดลง ราคาที่เย้ายวนก็คือปัจจัยที่จะทำให้ตะบะแตกหรือไม่ครับ

ส่าสุดเมื่อ 4 - 5 วันก่อนเด็กอายุ 14 เอาพระหลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีดใหญ่ เอ 2 องค์เลี่ยมทองพร้อมของพ่อ เอามาขายให้แผงพระที่พัทลุง เจ้าของแผงถามเด็กว่าจะเอาเงินเท่าไหร่ เด็กตอบว่า อยากเอาไปซื้อโทรศัพท์ ไอโฟน ไม่รูจะขายได้เงินพอไหม เจ้าของแผงรีบจ่ายเงินให้เด็กไปหมื่นกว่าบาท พอวันรุ่งขึ้นเข้ากรุงเทพเลย พ่อแม่เด็กพาเด็กมาตามหาเพื่อขอซื้อพระคืนคนขายพระแถวนั้นเลยให้เบอร์โทรคุยกับเจ้าของแผง ปรากฏว่าเจ้าของแผงบอกกับพ่อแม่เด็กว่าถ้าจะเอาคืนต้องแจ้งความจับลูกตัวเองก่อนข้อหาลักทรัพย์ นี่คือเรื่องจริงที่เกิดที่พัทลุงยังไม่ถึงอาทิตย์เจ้าค่ะ..ตอนนี้เรื่องถึงตำรวจแล้ว รอก็แต่เจ้าของแผงกลับมาเท่านั้น..แต่ได้ข่าวมาจากพรรคพวกว่าพระได้ถูกขายไปก่อนที่พ่อแม่เด็กจะโทรหา...นี่ละเจ้าค่ะ วงการพระ ที่ดีก็มี..ที่เลวก็มาก..บางทีเมื่อความอยากได้ อยากมี มันเข้ามาในใจแล้ว บางครั้ง มันก็กลบความรู้สึกที่ดีได้เหมือนกันเจ้าค่ะ...อามืตตพุทธ

" ขออนุญาตชี้แจงที่ถูกพาดพิงหน่อยนะครับ ท่านประธาน" ....แหะ...แหะ...ล้อเล่น..ล้อเล่น...
ถูกต้องครับ ท่านนักสะสม ที่ท่านว่า "ค่าของคุณธรรมไม่ได้มีค่าแค่ 0 หรือ 100%" เห็นด้วย 1,000% ครับ คุณธรรม เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรมที่จับต้องได้ หรือนับเป็นตัวเลขได้ เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเราว่ามีมากน้อยเท่าไร ที่จะแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น เป็นสามัญสำนึก หรือ จิตสำนึกของคนทุกคน ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สั่งสอนอบรมกันไม่ได้ เพราะถ้าใจไม่รับซะอย่างสอนอย่างไรก็คงไม่เกิดผล และน่าจะเกิดจากความสำนึกดีของคนเราเองมากกว่า
ก็คงเหมือนกับการซื้อ ขาย พระตามที่ท่านว่านั่นแหละครับ ราคาของพระเครื่องแทบทุกชนิด เป็นราคาที่พูดกันง่ายๆ ก็คือ อุปโลกน์ตั้งราคากันขึ้นมาเองกันทั้งนั้น ใครจะตั้งราคาเท่าไรก็ได้ แต่จะมีคนซื้อหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์หนึ่งอยู่ในมือเซียน ราคาซื้อขายอยู่ที่ราคาหนึ่ง แต่ถ้าอยู่ในมือของคนขายที่เป็นแผงพับเล็กๆ ก็อีกราคาหนึ่ง ทั้งๆที่เป็นพระองค์เดียวกัน ถูกต้องไหมครับ และถ้าอยู่ในมือของชาวบ้านธรรมดาที่เอามาขายล่ะ ราคาจะเท่าไร
คนขายไม่ทราบราคา เพราะไม่เป็นพระ ก็คงเป็นคนซื้อนะแหละครับ ที่กำหนด ราคาให้ คุณธรรมมันก็จะเกิดตรงนี้แหละ ราคากลาง ที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย happy ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย หรือกดราคาต่ำสุด ด้วยชั้นเชิงต่างๆ ตามที่กล่าวกันมาแล้ว นานาจิตตัง ครับ สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ใจของแต่ละบุคคล และสำนึกที่ดี...ครับผม..
ในกรณีที่ทั้งคนขายและคนซื้อนั้น "เป็น" ด้วยกันทั้งคู่ จะไม่มีคำว่า คุณธรรมเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เพราะเกิดความยุติธรรม ที่ทั้ง 2 ฝ่าย มีความสามารถที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันแล้ว กำไรขาดทุน ก็อยู่ที่ชั้นเชิง และลูกเล่น ของแต่ละคน
แต่ถ้าคนขายไม่รู้ราคาพระ และคนซื้อ ได้ยอมซื้อพระ ในราคาที่ใกล้เคียง หรือไม่ต่างจากราคากลางเป็นเท่าๆตัว ก็ถือได้ว่า มีคุณธรรม
แต่ถึงแม้คนขายพระ จะแฮ๊ปปี้เพราะไม่รู้ราคาพระ ถ้าราคาที่ซื้อพระมานั้น เป็นราคา "ตกควาย" ก็ถือได้ว่าคนซื้อไม่มีคุณธรรม เพราะถ้าคนขายมารู้ทีหลังว่า แท้ที่จริงแล้วราคาพระจริงสูงกว่านั้นมาก ก็คงนึกแช่งชักหักกระดูก แค้นเคืองในใจ แทบไม่อยากคบหาอีก ที่หลอกเอาพระไปในราคาเด็กอนุบาล
ซึ่งคนซื้อพระมาก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ ว่าเอาเปรียบคนขายหรือไม่ ถ้ารู้อยู่ว่าเอาเปรียบ เกิดความยินดีในลาภนั้น จะเรียกว่ามีคุณธรรมได้อย่างไร
แต่ที่พบๆ กับแผงขายพระมาก นั่นก็คือคนซื้อดูพระไม่เป็น และก็ไม่รู้ราคากลางอีก แถมโดนแผงอัดพระเก๊ เข้าให้ เพราะคนขายก็ดูพระไม่เป็น แต่ฟอร์มดี ทำตัว เป็นเซียน จนคนซื้อหลงเชื่อ อย่างนี้มีแยะด้วยนะ อย่างนี้คงเรียกว่า คุณนะเลวมั้ง คุณธรรมน่ะไปไกลๆ

"""ขออภัยหากขัดใจท่านผู้ฟัง"""
เราอาจมองในมุมของผู้ขายมากไปมั้ง..ขอยกตัวอย่างสดๆเมื่อว่านนี้(ผมเอง)ไปเลี่ยมพระที่ห้าง...บางพลี ถ.บางนาตราด
ด้วยที่ผมและเจ้าของร้านสนิทกันก็คุยกันเรื่อยเปื่อยรวมถึงกระทู้นี้...(มียูทเซอร์) แกก็มีตู้พระพระให้เช่าในห้าง ตอนนั้นมีเด็กหนุ่มๆเข้ามาดูพระที่ตู้นานพอสมควร ด้อมๆมองๆ แล้วก็ถามว่า...ที่นี้รับเช่าพระมัยตรับ..ขณะนั้นเวลา 20.30 น.แฟนเจ้าของร้านก็บุ้ยมาที่ผม ...เมื่อเขาโยนให้แล้วก็เอาเลย...20,000 บาทครับพี่....เป็นพระหลวงปู่ฝั้น"น้ำกลวง"...ขอประทานโทษครับ เป็นพระประเภทใช้ช้ำ..สึก .......................ผมซื้อเข้า 20,000 ผมเป็นคนมีคุณธรรมม..มัย(โง้)ทุกวันนี้สื่อกว้างมากครับทั้ง อินเทอร์เน็ต หนังสือพระ เคเบิลทีวี ฯลฯ .....ขอแบบขาดๆเลยมัย...1,500 ได้มัย...
โห...ย พี่ครับ...ผมก็รู้จากหนังสือพระ...ราคาอยู่ที่นี้......นะ...อยากให้ทุกๆท่านเห็นสภาพพระที่ผมเห็นเมื่อวานนี้(สภาพใช้สึก)ไม่รู้ว่าน้ำกลวง-น้ำตัน เห็นพอลางๆ..
ที่สื่อมาแบบนี้เพราะว่า"พระแท้-สภาพไม่สวย"ราคามันต่างกันเยอะ......เพราะไม่เห็นทุกท่านพูดถึงสภาพพระกันเลย
"ด้วยความเคารพ"

"wow"แก่แล้วพิมพ์ตกไปเยอะ..ขออภัยครับ...

ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกอีกครั้งนะครับ ที่เข้ามาช่วยแสดงความคิดเห็น แม้จะมีความเห็นต่างกันไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ก็น่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยใช่ไหมครับ และก็ต้องขออภัยสำหรับความคิดเห็นของผมด้วย ที่อาจจะไปกระทบความรู้สึกของบางท่านเข้า ก็ไม่ได้มีเจตนาครับ เพราะเรื่องของความคิดเห็นอาจจะเป็นเรื่องถูกต้องก็ได้ หรือ ผิดก็ได้ แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคล ส่วนตัวผมรับได้ทั้งนั้นครับ ทั้งดอกไม้ และก้อนอิฐ แต่ถ้าเป็นดอกไม้ก็จะดีกว่า ถ้าก้อนอิฐก็ขอก้อนเล็กๆหน่อยนะครับ...แหะ...แหะ...(ล้อเล่น...ล้อเล่น...) ใครมีประสบการณ์ หรือ ความเห็นต่างอย่างไร ก็เชิญเลยนะครับ เต็มเหนี่ยวไปเลย แต่ก็ระวังอย่าไปกระทบบุคคลที่ 3 เข้าก็แล้วกันประเดี๋ยวงานเข้า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ตัวใคร ตัวมัน ...ขอบคุณครับ...
ถูกใจครับ กระเทาะแบบไหน เลือดไหลเป็นทางเลย
ดีใจ(ลึกๆ)ที่ขายได้(กว่าจะหาคนที่กล้าซี้อ)

+1ครับผมชอบกระทู้นี้ เพราะตอนผมวัยรุ่นโดนมาเยอะเหมือนกันครับ
dorn80:
ก็ดีใจครับที่มีคนเขียนแนวแบบนี้ครับ..นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเอง..เมื่อหลายปีที่ผ่านมา..แต่ต้องยอมครับ "มันเดือดร้อน จริงๆ" 1 like ครับ
มันเดือดร้อน จริงๆ