หัวข้อ: “พระเครื่อง” VS “หุ้น” โดย...แมงเม่าน้อย
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
ความเหมือนและความต่างในมุมมองของการลงทุน
ในช่วงเวลาที่เงินฝากในธนาคารให้ดอกเบี้ยผลตอบแทนที่เล็กมาก เหมือนหยดน้ำในทะเลทราย แต่ดัชนีตลาดหุ้นกลับพุ่งทะยานแรงขึ้นสูงที่สุดในรอบนับสิบๆปี ทะลุ 1000 จุดไปแล้วนั้น นักลงทุนในตลาดหุ้นก็คงจะกระดี๊กระด๊า สดชื่นรื่นรมย์ไปกับผลกำไรจากการลงทุนในหุ้น...ที่คุ้มค่ายิ่ง
หากมองกลับมาดูภาพรวมของตลาดพระเครื่อง ก็จะพบว่า ในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ ตลาดพระเครื่องในหลายส่วน ก็ยังคงไปได้ดีมากกว่าธุรกิจการค้าทั่วไปมากมายนัก โดยเฉพาะตลาด “เหรียญคณาจารย์” และ “พระใหม่” ที่หลายรุ่นก็ยังคงไปได้สวย “ตลาดพระใหม่” จึงนับว่า น่าสนใจไม่ใช่น้อย
ในตลาดหุ้น..."หุ้น" ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผู้บริหารมีหลักการในการประกอบธุรกิจที่ดี การบริหารงานมีประสิทธิภาพ คำนึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจ และผู้ถือหุ้น การกระจายหุ้นสู่..."ผู้ ถือหุ้นจริงๆ" ก็เป็นไปอย่างเหมาะสม...มีผู้ถือหุ้นที่สะสมหุ้นนั้น ในระยะยาวเป็นส่วนใหญ่...ไม่กระจุกตัวอยู่แต่ในมือผุ้ซื้อขายระยะสั้น...ที่มักพร้อมกระโดดออก เทขายทุกราคา...เมื่อยามตกใจ...(PANIC SALE)
หาก “หุ้น” ตัวใดเป็นเช่นนี้แล้ว..."หุ้น" นั้น ย่อมมี “คุณค่า” และมักจะให้เงินปันผลงอกเงยที่ดีอย่างยั่งยืน
ทีนี้ ลองเปลี่ยนคำว่า "หุ้น" เป็น "พระ" หรือ "วัตถุมงคล" ดูนะครับ...แทบไม่ต่างกันเลย...
"พระ" ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ครูบาอาจารย์อันเป็นรูปลักษณ์บนวัตถุมงคลนั้นก็เป็น “พระดี” ผู้สร้างมีหลักการที่ดี ตั้งใจสร้างสรรค์งานอย่างมีคุณภาพ ใส่ใจในทุกองค์ประกอบ ทั้งการออกแบบ แกะบล็อก ผลิต ชนวนมวลสาร พิธีกรรม รวมถึงตัว คำนึงถึงผู้เช่าบูชา การกระจายพระสู่..."ผู้บูชาจริงๆ" ก็เป็นไปอย่างเหมาะสม...มีผู้สะสมระยะยาวเป็นส่วนใหญ่...ไม่กระจุกตัวอยู่แต่ในมือผุ้ซื้อขายระยะสั้น...ที่มักพร้อมกระโดดออก เทขายทุกราคา...เมื่อยามตกใจ...(PANIC SALE)
หาก “พระ” รุ่นใดเป็นเช่นนี้แล้ว..."พระ" รุ่นนั้น ย่อมมีคุณค่าในตัวเอง เพียงพอที่จะเป็นที่นิยมเล่นหาได้ในระยะยาว...
แต่ทุกวันนี้ พระเครื่อง-พระใหม่ รุ่นใดที่จะมีองค์ประกอบที่ดี ถึงในระดับที่น่าสนใจ ยังพอมีให้เราเล่นหาได้ไหม? คำตอบก็คือ “มี” แน่นอน
แต่จะเป็นรุ่นไหน? ใครสร้าง? ท่านต้องลองวิเคราะห์กันดูเองครับ พระใหม่ หรือ พระเก่า ก็คล้ายๆกันในหลายมุม
นี่คือ"ความเหมือนและความต่าง"ระหว่าง "หุ้น" กับ "พระ" ที่เขียนโดยอดีตแมงเม่าตลาดหุ้น ที่หันมาเล่นหา สะสมพระเครื่อง-พระใหม่คนหนึ่ง
แมงเม่าน้อย
คิดเหมือนผมเลยครับ
ใช่ครับถ้าเก็งให้ถูกรุ่น ถูกเกจิก็เป็นทุน มีกำลังซื้อจากตลาดมา เราก็เทขายในช่วงขาขึ้น ก็เกิดกำไรอย่างมหาสารได้ครับ
จริงแท้-แน่นอนเลย ครับท่าน..ต้องทำใจครับ อย่างผมทุนน้อย..ต้องมาหา"หุ้น" หรือ พระใหม่ๆเจตนาสร้างดี,เกจิดัง..ตามกำลังเช่าซื้อครับ.หมดก็พักก่อน..สบายๆๆ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ถูกที่ ถุกทาง มีกำไลเห็นๆ แต่อย่างลืมนะครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง
ตาดีได้ ตาร้ายเสียครับ
เก็งถูกก็รวย เก๊งผิดก็ร่วง
เขียนบทความได้ดีมากครับ.....สุดยอดครับ
เห็นด้วยและชอบบทความนี้มากครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง อย่าโลภมาก จะไม่ขาดทุน หรือติดนานกรณีเซียนเลิกปั่น
นี่คือ"ความเหมือนและความต่าง"ระหว่าง "หุ้น" กับ "พระเครื่อง "
ยอดเยี่ยมมากครับ ได้คิด
มีส่วนคล้ายกันมากครับ ตลาดหุ้นก็มีการปั่นหุ้น สนามพระก็มีการปั่นราคาพระ หากเราไม่โลภมากมาก เช่าหาแต่พอดี มีการศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดี ยังไงเสียผมว่าวงการพระก็น่าเล่นมากกว่าตลาดหุ้นครับ
ความเหมือนและความต่างมุมมองของการลงทุน
เซียนประเภทพุทธพาณิชย์ มีความเหมือน ในตลาดหุ้น ถ้ามีผลกำไร ก็เทขาย เพื่อเงินกำไร
เซียนประเภทพุทธคุณ มีความต่าง ในตลาดหุ้น มีความศรัทธา ถ้าใครศรัทธาก็แบ่งให้เช่าบูชา ไม่ก็แลกเปลี่ยนกันได้
ความเหมือน ที่ เหมือนกันทั้งหมดก็เพื่อแลกกับสิ่งที่เราต้องการ
ความเหมือนและความต่างในความคิดส่วนตัวผมครับ
เห็นด้วยเช่นกันเลยค่ะ บางท่านยังเก็บพระเครื่องเหมือนเก็บเงิน หรือ ทองคำเลย เพราะมองว่านั้นคือสิ่งที่มีมูลค่า...
เขียนได้ดีมากเลยค่ะ
แน่นอนครับ พระเครื่องเล่นง่ายกว่าหุ้น เล่นพระดีมีกำไรครับ
อย่างอื่น มีขึ้น มีลง แต่..พระดี ราคาไม่มีตกอ่าครับ..
สุดยอดความคิดครับ เล่นพระถ้าเล่นเป็น มีแต่กำไรและกำไร
อือ????? เคยเป็นแมงเม่าตลาดหุ้น...แต่ผมนี่สิ!!!! ทุกวันผมเป็นแมงเม่าตลาดพระแย้ว...ไม่ต้องอะไรมาก ถ้าวันไหนไม่ได้ส่องพระ หรือ อาทิตย์ไหนไม่ได้เข้าตลาดพระ จะลงแดงให้ได้เชียวครับ
....
ติดใจหลักการพิจารณาว่า พระใดน่าเล่น น่าสะสม ต้องเป็น"พระ" ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
จึงอยากให้พื่อนๆ ช่วยกันบอกว่า ปัจจัยพื้นฐานดี มีอะไรบ้าง
ขอเริ่มข้อแรกก่อน ว่า เป็นพระที่คนรอบๆวัด หรือคนท้องถิ่นเขานิยมเล่นหากัน เช่าไปแล้วไม่รู้ออกที่ไหน มาได้เลยมีคนรอรับเช่าอยู่แล้ว
สุดยอดครับท่าน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หลังๆกระผมก็เก็บพระมากกว่าเก็บเงินเข้าแบ๊งค์แล้ว
เยี่ยมครับพี่ท่านนี้ เขียนบทความได้ดีจริงๆ ไอ้ผมเองก็มีความรู้น้อย แต่ข้อคิดของท่านผมอ่านแล้วเข้าใจและเห็นด้วยครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
เห็นด้วยครับ คนเล่นพระ ถ้ามองด้วยใจเป็นกลาง ไม่โลภ จะมองออกครับ
เขียนดีมั่กๆครับ++
เห็นด้วยอย่างแรงครับ
***พระพุทธประทานยศบารมี ...เนื้อเงิน...(ประมาณ ม.ค.53..ผมปล่อยไปราคา..ประมาณ 10,000 ฿)ตกปลายปี...ราคา...กว่า 30,000฿
นะวะโลหะช้าหน่อย...แต่..ชัวร์...ของเก๊ไม่มี..ฟันธง...มีเงิน ล้านทุ่ม...เลย
ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาเติมความคิดเห็น
การเล่นพระในยุคนี้ ต้องรอบคอบให้มากครับ เงินของเรา พระ(ก็จะต้อง) เป็นของเราไปอีกนาน
การลงทุน กับ การสะสม จึงต้องจัดระเบียบให้ดี
พระเครื่องที่มีปัจจัยพื้นฐานดี อาจารย์มีชื่อและเป็นที่รู้จัก ผู้สร้างดี ย่อมอาจเป็นที่ต้องการกันมากหน่อย การเข้าถึงเพื่อจองให้ได้จึงอาจต้องเบียดๆกัน
แต่ก็ไม่สนับสนุนให้ ซื้อหาเข้ามาในราคาบวกมากมายนะครับ
แต่ทั้งนี้ การยอมซื้อบวก ย่อมต้องคำนวณถึง ปัจจัยพื้นฐานว่าดีจริง ดียาวจริงๆ มีคนเล่นหายาวๆจริงๆหรือไม่?
ถ้าใช่ แม้ซื้อราคาบวก ก็ยังอาจต้อง "ยอม"
แต่ทั้งนี้ ต้องเรียนรู้ และเสาะหาข่าวคราวทุกด้านให้ดี ให้เหมาะ และ "ให้แม่นๆ" ขอรับ
โชคดีทุกท่าน.
แนวคิดนี้ดีมากครับ..แล้วถ้าเราต้องการสะสมพระใหม่(เพราะพระเก่า แพงและเก๊น่ากลัวมาก) จะมีแนวทางอย่างไรครับ? ช่วยแนะนำหน่อยครับ มือใหม่จริงๆ
อย่างนี้ต้อง...จัดหนักๆ ครับ.
รอนิดนะครับ ...แต่อย่างแรก....มือใหม่...หัดขับ...ห้ามเช่าหนักๆเป็นเด็ดขาด
แมงเม่ามีเยอะ...
แมงเม่าน้อย...จะจัดให้...!
ครับเล่นพระ ก็คล้ายเล่นหุ้น
อย่างเช่น หลวงพ่อคูณตอนนี้กระแสแรงมากครับ ท่านออกมาหลายรุ่น มีพระหลากหลายให้เลือกเล่น
เราก็แค่เกร็งให้ถูกรุ่น คิดให้รอบครอบ
ประมาณเพื่อเอาไว้บ้างอย่าทุ่มให้มาก อย่ากักตุนเอาไว้เยอะ อย่าโลภ ทำอะไรให้ประมาณตัว แล้วจะดีเองครับ
หุ้น กับ พระ หาข้อเปรียบ ใด้ดีกันมากครับ
ยังไงเสียผมว่าวงการพระก็น่าเล่นมากกว่าตลาดหุ้นครับ
โดยส่วนตัวมองเป็นความเหมือนที่แตกต่างนะครับ
ความเหมือน
ทั้งหุ้นและพระเครื่องเป็นการเก็งกำไรทั้งคู่....มีการปั่นราคา เดี๋ยวเดือนหน้าหรือปีหน้าถึงราคานั้นราคานี้
ทั้งหุ้นและพระเครื่องราคาขึ้นขายออกเพื่อคืนทุน เช่นมีอยู่ 2 องค์ราคาขึ้นเท่าตัวขายออก 1 องค์ หุ้นขึ้น 100% ขายออกครึ่งได้ทุนกลับมาแล้ว
ทั้งหุ้นและพระเครื่องมีของปลอม พระเครื่องมีพระปลอม หุ้นมีบริษัทโดนปิดกิจการ อีก 10 ปีราคาคือ 0
ทั้งหุ้นและพระเครื่องมีราคาขึ้นลงตามการปั่น
ความต่าง
หุ้นถ้าเลือกหุ้นที่มีปันผลเป็นการลงทุนไม่นานก็คืนทุนจากการรับปันผล พระเครื่องไม่มี
หุ้นมีเครื่องมือหลายอย่างช่วยเลือกในการลงทุน
หุ้นใช้เครื่องมือตัวเดียวลงทุนได้ทุกที่เป็นสากล
หุ้นมี กลต ตรวจสอบ สั่งปิดบริษัท พระเครื่องไม่มี สมาคมตรวจสอบเก๊คืนพระให้เอาไปขายต่อได้ไม่ยึดพระเก๊ไปทำลาย
หุ้น มีการโกง ผู้บริหารโดนจับ พระเก๊มีขายอยู่ทั่วไปตำรวจไม่จับ
หุ้น สภาพคล่องมากกว่าพระเคื่อง ซื้อขายครั้งละ 7 หลัก พระเครื่องเริ่มมีปัญหา หุ้นขายที่ bid ได้เลย พระเครื่องบางครั้งลดราคา 100% ยังหาคนซื้อยาก
แค่นี้ก่อนนะครับ
คิดเหมือนผมเลยครับ
พระไม่จ่ายปันผล แต่ มีผลทางจิตใจ ถ้าเลือกหุ้นถูกตัวก็มีแต่ได้ ถ้าเลือกพระถูกรุ่นก็มีแต่รวย
ขอคำชี้แนะหน่อยครับ ถ้าพระราคาขึ้นถึงจุดนึง แล้วเกิดวันข้างหน้าจะลงไหม หรืออยู่ที่ราคานั้นเลย
ไม่เห็นมีใครมาแสดงความคิดเห็นเลยขอเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาตอบ # 39 นะครับ
ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าราคาจะตกหรือไม่แต่ถ้าเรามองที่หลักความจริงทุกอย่างมีฤดูการ มีเติบโต(ขึ้นอย่างรวดเร็ว) เก็บเกี่ยว(ขึ้นหรือลงช้าๆ) และก็พักตัว(ลงอย่างรวดเร็วหรือลงช้าเพื่อเก็บสะสมเอาไว้ขายรอบต่อไป) และสำหรับพระเครื่องอะไรหละที่ทำให้เกิดฤดูการได้ซึ่งก็มีหลายปัจจัย เช่น พระเครื่องชนิดนั้นๆ การสร้างกระแสนิยม(การปั่นราคา) หรือชื่อเสียงคนสะสม(คนขาย) การเก็บสะสมควรมีราคาที่จะซื้อเข้าและขายออกเพื่อเป็นตัววัดว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องหรือไม่
ครับผมศรัทธาพระ จำได้ว่าคุณตาเป็นทหารไปรบเกาหลี เวียตนาม เล่าให้ฟังว่าถ้าไม่ได้คุณพระคุ้มครองชีวิตปานนี้ตาตายแล้ว
การลงทุนมีความเสี่ยงแต่พระไม่มีความเสียงชอบถึงเช่า ไม่มีใครเช่าต่อก้อไม่ขาดทุนเพราะชอบ(นั้งส่องรอ)
ขอตอบ คห.ที่39 ด้วยคนครับ กับคำถามที่ว่า "ถ้าพระราคาขึ้นถึงจุดนึง แล้วเกิดวันข้างหน้าจะลงไหม หรืออยู่ที่ราคานั้นเลย"
ในมุมมองของตัวผมเองขอตอบว่า "ลงครับ" สาเหตุที่ลง ก็เนื่องมาจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจหรือค่าความนิยมที่เปลี่ยนไป อันนี้ไม่พูดถึงพระที่มีการปั่นราคานะครับ แต่จะพูดถึงเฉพาะพระหลักๆที่มีพื้นฐานที่ดีมายาวนาน
ที่เห็นได้ง่ายและชัดเจนก็คือในปี 40 ปีที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตก หรือที่เรียกกันว่า "ต้มยำกุ้งดีซีส" ก่อนหน้านั้นราคาพระหลักๆโดยทั่วไปจะมีราคาสูงต่อเนื่องกันมาโดยตลอด แต่พอมาเจอเศรษฐกิจในปี 40 ราคาพระก็ร่วงกันระนาว ที่เคย 4-5 หมื่นก็เหลือหมื่นกว่า ที่เคยแสนกว่าก็เหลือ 4-5 หมื่น ที่หลายๆแสนหรือหลักล้านก็ร่วงกันเป็นแถว เพราะคนไม่มีกำลังซื้อ แถมคนที่มีพระอยู่ในมือก็ต้องการขายออกเพื่อเอาเงินมาใช้ หรือบางคนที่ไปสร้างหนี้ไว้เยอะในยุคก่อนที่ฟองสบู่จะแตก ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ก็จำเป็นต้องขายเพื่อเอาเงินมาปลดหนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่จะท่วมต้น ดังนั้นพระในช่วงนั้นราคาจะตกต่ำมาก แต่หลังจากนั้นพอเศรษฐกิจค่อยๆดีขึ้น พระบางรุ่นก็ค่อยๆปรับราคาขึ้น จนถึงในปัจจุบันนี้บางรุ่นราคาขึ้นมาสูงกว่าในอดีตก่อนปี 40 ก็เยอะ แต่บางรุ่นก็ตกแล้วตกเลยก็มี คือยืนพื้นมาตลอด ราคาไม่ค่อยจะปรับขึ้น หรือถึงจะปรับขึ้นก็ปรับขึ้นน้อย ช่วงหลังพระประเภทนี้จะมีออกมาน้อย เนื่องจากคนเก็บพอจะมีเงิน ราคาไม่ขยับขึ้นก็ไม่ปล่อยออกต่างก็เก็บกันเงียบ นานๆจึงจะมีออกมาสักองค์
ส่วนพระที่ราคาลงเพราะค่าความนิยมเปลี่ยนไป ส่วนนี้จะมีไม่มากแต่ก็มีและใช้เวลานานในการค่อยๆเปลี่ยน พระพวกนี้ราคาจะค่อยๆทรงตัวอยู่ และพอนานไปเมื่อคนไม่ค่อยจะให้ความสนใจ ราคาที่ปล่อยออกก็ต้องค่อยๆลดลงตามสภาพภาวะความนิยม
มีเรื่องนอกเรื่องที่จะเล่าให้ฟังสักเรื่อง คือเมื่อก่อนปี 40 เศรษฐกิจจะดีมาก(รอฟองสบู่แตก) ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งอาชีพรับราชการเหมือนกัน แต่เขาจะมีรายได้พิเศษเยอะ เพราะรับงานนอกเกี่ยวกับการออกแบบบ้านและออกแบบการตกแต่งภายใน หากินอยู่กับพวกเศรษฐีร้านขายเพชรบ้าง พวกขายอสังหาบ้าง แรกๆก็ทำคนเดียว พอนานวันเข้างานเข้ามาเยอะมากทำคนเดียวไม่ทัน ก็เปิดเป็นบริษัทมีพนักงานเขียนแบบหลายคน เป็นรายได้พิเศษที่ดีมากๆเดือนหนึ่งๆเป็นแสน ในขณะที่เงินเดือนประจำขณะนั้นประมาณหมื่นนิดๆ จากเดิมที่เคยอยู่ทาวน์เฮ้าส์ห้องเล็กๆ ก็ไปซื้อบ้านเดี่ยวหลังใหญ่หลายล้าน ปรับปรุงตกแต่งภายในเสียอย่างหรูหมดไปอีก 3-4 ล้าน(ยังไม่คิดค่าออกแบบและค่าแรงของคนงานของตัวเอง) และนอกจากนั้นก็ยังไปจอง ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว บ้านเดี่ยว ที่สร้างใหม่ๆไว้เก็งกำไร จองได้เพียงแค่ 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง แล้วก็ปล่อยต่อ ได้กำไรขั้นต่ำก็ 50,000 บ้าง 70,000 บ้าง หรือเกินแสนบ้าง เรียกว่าเงินในช่วงก่อนปี 40 นั้นหาง่ายจริงๆ เพื่อนผมคนนี้จะเลี้ยงพวกเพื่อนๆเป็นประจำ ปีใหม่ทีก็เลี้ยงตามสวนอาหารครั้งละหลายสิบคน ทั้งพวกเพื่อนๆและพนักงานในบริษัท สั่งอาหารได้เต็มที่ตามชอบใจไม่มีอั้น เหล้าก็สั่งแต่แบล็ค เบียร์ก็ต้องไฮเนคเก้น แต่อยู่มาวันหนึ่งหลังปี 40 เพื่อนผมคนนี้กลับไม่มีบ้านที่จะอยู่ ต้องกลับไปเช่าทาวน์เอ้าส์หลังเล็กๆอยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม
ช่วงนี้ขอแค่นี้ก่อนครับ เพราะ ผบ.ทบ.ท่านจะพาพวกลูกๆของท่านไปทานอาหารที่ร้านอาหารวังมุกที่เขาสามมุก แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังต่อถึงสาเหตุว่าทำไมเพื่อนผมคนนี้ถึงต้องกลับไปเช่าทาวน์เฮ้าส์อยู่
ชอบส่อง
ความชอบไม่เหมือนกัน
ขอโอกาสบ้างนะครับ
ดี
ดีมาก
ดี
เห็นด้วยครับ ถ้าจะลงทุนในหุ้นก็ต้องดูที่พื้นฐานดีมั่นคง ผู้บริหารดี และความต้องการดี ส่วนในการลงทุนพระเครื่องต้องดูที่เจตนาการสร้าง ผู้ปลุกเสกก็คือพื้นฐานที่ต้องดีก่อนเช่นกัน แล้วจะไปได้ไกล....
คิดเหมือนกันเลยครับ
สมัยนี้เค้าสร้างพระเครื่องเพื่อคนในวงการกันอย่างเดียวหรือครับ
บทความเยี่ยมยอดครับ ตอนนี้ผมพยายามใช้เงินไปกับสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ฟุ่มเฟือย เเล้วเอาไว้ลงพระเเท้ๆสวย เก็บไว้เพื่ออนาคต ตอนนี้ไม่ได้ฟากเงินเข้าธนาคารเเล้ว คือเงินมาอยู่ที่พระหมด มองเห็นกำไรเห็นๆครับท่าน
เห็นด้วยครับ กับ สาวภูไทย
ความเหมือนและความต่างมุมมองของการลงทุน
เซียนประเภทพุทธพาณิชย์ มีความเหมือน ในตลาดหุ้น ถ้ามีผลกำไร ก็เทขาย เพื่อเงินกำไร
เซียนประเภทพุทธคุณ มีความต่าง ในตลาดหุ้น มีความศรัทธา ถ้าใครศรัทธาก็แบ่งให้เช่าบูชา ไม่ก็แลกเปลี่ยนกันได้
ความเหมือน ที่ เหมือนกันทั้งหมดก็เพื่อแลกกับสิ่งที่เราต้องการ
ความเหมือนและความต่างในความคิดส่วนตัวผมครับ
แล่นหุ้นได้ลุ้นไม่ได้ส่อง แล่นพระได้ทั้งส่องได้ทั้งลุ้น
ถูกต้องแล้วครับ
ต้องเลือกเฟ้นเอาคับ เพราะพระใหม่ออกมาเยอะเหลือเกิน ตามกันไม่ไหว สำหรับผมเลือกที่ชอบด้วยคับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ถูกที่ ถุกทาง มีกำไลเห็นๆ แต่อย่างลืมนะครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง