
หัวข้อ: รบกวนผู้รู้ สมเด็จครับ
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ

รบกวนทุกท่านครับ พระสมเด็จองค์นี้เป็นยังงัยบ้างครับ แท้ เก๊ รับทราบทุกคำเสนอแนะครับ



ขอแสดงความคิดเห็น(ปัญญา) ตามภาพที่เพื่อนสมาชิกนำมา เป็นพิมพ์ประธาน(พิมพ์ใหญ่) วัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ของหลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างหลวงสมัยปลายรัชกาลที่ ๔ และต้นรัชกาลที่ ๕ ตามภาพพระองค์นี้หากนำมาเปรียบกับพระ องค์ครูเอื้อ(ภาพประกอบ) ก็จะพบเสน่ห์ของพระสมเด็จฯองค์นี้ อยู่ที่เกศ จะต้องคดนิดและเอนไปทางซ้ายขององค์พระ เพื่อต้องการแยกพระไม่แท้ออกจากพระแท้ครับ ขอขอบคุณภาพ



ดูจากภาพที่ส่งมา ก็ชัดพอสมควร พระองค์นี้พิมพ์ทรงอาจจะทำได้ใกล้เคียงของแท้ แต่ความเก่าของเนื้อหายังห่างมากและมวลสารที่เห็นในภาพถ้าเป็นพระของวัดระฆังเกือบทุกองค์มวลสารในเนื้อพระทีปรากฏออกมาตามผิวและตามขอบขององค์พระจะเห็นได้เด่นชัดเจน แต่องค์นี้ตามภาษาของนักพระเครื่อง (เซียน) จะบอกว่า เนื้อมันจืดไปครับ คราบไคลความเก่าของพระอายุกว่า 150ปี จะต้องมีให้เห็นยกเว้น พระที่ล้างผิวจนเสียสภาพไป ซึ่งถ้าเป็นพระลักษณะนี้ จะดูยากมาก พระที่ว่าแท้ อาจจะมีการตีความว่าเก๊ทันที เพราะเป็นพระที่พิสูจน์ยาก บรรดาเซียนสมเด็จถ้าเห็นพระที่ล้างมาเขาจะเลิกดูทันที
ในการดูพระเครื่องสมเด็จ เมื่อเห็นพิมพ์อย่างเดียวจะทึกทักว่าเป็นพระแท้เลยไม่ได้หรอกครับ จะต้องส่องดูก่อนให้เห็นชัดแจ้ง ยิ่งดูจากรูปภาพพระที่พิมพ์ถูกต้อง เขาตีความแท้ของพระองค์นั้นไว้ที่ 40 % เท่านั้นเอง ถ้าเห็นองค์จริง พิมพ์ใช่ ให้แค่ 50% อีกครึ่งหนึ่งดูตอนส่องเอาว่าเนื้อหาคราบไคลใช่หรือไม่ พระเก๊รุ่นหลังๆ ฝีมือดีๆมีเยอะไป เรื่องพิมพ์ไม่ต้องพูดถึง เป๊ะ หมด เพราะคนทำปลอมก็ดูเป็น เนื้อหามีครบทุกอย่าง ตำราดูพระสมเด็จเขียนกันมาเป็นร้อยๆเล่มละมั้ง แต่ที่ทำไม่ได้ก็คือความเก่า ถ้าของปลอมทำความเก่าได้เหมือนของแท้ ราคาพระแท้คงไม่สูงขนาดเป็นสิบๆล้านบาทไทยหรอกครับ
พระจะแท้หรือไม่ ไม่ใช่เอาตำรามาวางเปรียบเทียบรูปแล้วตีขลุมว่าใช่ แบบนี้มีเท่าไรก็หมดครับ การจะดูพระสมเด็จหรือพระอื่นๆทั่วๆไป ต้องเห็นจากของจริง(เท่านั้น)ก่อนครับ และก็ไม่ใช่แค่องค์ สององค์ ระดับเซียนสนามที่เก่งพระสมเด็จ ผ่านมาไม่ต่ำ 100 องค์ ทั้งนั้น ครับ และเขาก็พกกล้องส่องอันเดียวเท่านั้น ดูได้ทั่วราชอาณาจักร ไม่ต้องขนตำรามาเปรียบเทียบให้เมื่อยมือหรอกครับ

ขอขอบพระคุณทั้งสองท่านเป็นอย่างสูงครับ
รบกวนอีกครั้ง พระองค์นี้พิมพ์ทรงแบบนี้
มีวัดอื่นจัดสร้างบ้างไหมครับ หรือมีเฉพราะ
วัดระฆังของเจ้าประคุณสมเด็จเท่านั้น
ขอขอบคุณครับ

ไม่มีวัดไหนที่สร้างพระออกมาชนิดพิมพ์ใกล้เคียงแบบนี้หรอกครับ นอกจากของเทียมและของแท้เท่านั้น ของเทียมชนิดพิมพ์ที่ใกล้เคียงที่สุด ก็คือเจตนาของผู้สร้าง ต้องการที่จะนำไปหลอกขายให้แก่ผู้ที่ไม่สันทัดในพระสมเด็จเท่านั้น จึงพยายามทำออกมาให้ดูดี ในฝีมือจัดๆ ขนาดคนที่ดูเป็น (เซียน) ถ้าไม่ระวัง หรือโลภเพราะผิดราคา (ใช้เด็กถือมาขาย)ยังโดนเลยครับ จะเล่นหา ก็ระวังกันหน่อย เงินแท้ๆ ไปแลกกับเศษผงที่ไร้คุณค่า ไร้พุทธานุภาพ มันไม่คุ้มกัน ครับผม

ขออนุญาตตอบคำถามต่อของเจ้าของกระทู้นี้ครับ คำถามที่ถามว่า พระพิมพ์นี้(องค์นี้) ว่ามีผ้ใดสร้างในยุคหลังที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯท่านได้มรณภาพในปี ๒๔๑๕ คำตอบ ไม่มี(ระหว่าง ปี๒๔๑๖ ถึง ปี ๒๔๓๖) เหตุผลเพราะ ท่านอาจารย์ต่างๆที่ทันในยุคของท่านสมเด็จโตฯ ส่วนใหญ่ก็มีอายุมากๆแล้วทั้งนั้น และที่สำคัญท่านฯต่างๆเคารพรักและนับถือ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯมากด้วยเช่นกัน รวมทั้งพอที่จะเข้าใจได้ว่าความต้องการของผู้คนในยุคนั้นยังไม่ได้มากนัก สำหรับเหตุการณ์ที่เริ่มทำให้ผู้คนในยุคนั้นเกิดการเสาะแสวงหาคือ มีการเกิดโรคระบาดที่เรียกกล่าวกันต่อมาว่า “ปีระกาห่าใหญ่ ปี พ.ศ.๒๔๑๖” ทางวัดฯโดยท่านพระครูโพธิ์ ได้นำพระสมเด็จฯมาแช่ฯทำน้ำมนต์พระพุทธมนต์ แล้วนำไปใช้ปะพรมผู้คนที่ล้มป่วยรวมถึงผู้ที่ไม่ได้ล้มป่วยแต่ศรัทธาฯ ที่ทราบข่าวก็ได้เดินทางมาให้รดน้ำปะพรมด้วย ทั้งนี้ท่านฯนำไปรดศพในป่าช้าฯด้วย โดยกล่าวกันว่ามีคนตายมากมายมาก ท่านพระครูโพธิ์ท่านได้นำไปหลอดลงในปากของศพทีละคน และคอยเฝ้าสังเกตดูอาการ(ปากทวารเปิดคือตาย ปากทวารปิดคือยังไม่ตาย) ก็เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้ที่อยู่พบเห็นในเหตุการณ์ ศพบางคนต่างรู้สึกตัว จากนั้นท่านพระครูโพธิ์ท่านก็จะนำน้ำพระพุทธมนต์ไปผสมกับข้าวแล้วนำไปทำเป็นข้าวต้มมาหลอดต่อ จนคนที่ฝื้นกลับคืนสติมามีอาการดีขึ้นและหายเป็นปกติได้ เรื่องนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างๆที่ทราบข่าว เริ่มเสาะแสวงหาพระสมเด็จฯกัน ตั้งแต่นั้นมา ส่วนในช่วงเวลาดังกล่าวเข้าใจได้ว่าพระสมเด็จของเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ ท่านยังพอมีสมดุลย์กับความต้องการ (ตามความคิดของผมวิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นเพราะ พระที่ท่านฯได้สร้างไว้มากพอนัก หากแต่วิธีการซึ่งการได้มานั้น ก็จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่เช่าหากัน โดยเฉพาะพระที่อยู่ในการครอบครองของ คุณยายขำหรือแม่ขำ (บุตรสาวของขุนศรีวราวุธ”ตาแดง”กับคุณยายทองหลอด) อีกทั้งยังมีการลักลอบขโมย(ตกพระ)แล้วนำมาให้เช่าบูชาต่อกัน ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาสัก ๒๐ ปีได้ หลังจากนั้นในปีเดียวกันนี้คือ ปี พ.ศ.๒๔๓๖ มีเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสนำเรือรบมาปิดปากอ่าวไทย ทำให้ผู้คนต่างต้องการที่พึ่งทางใจกันมาก ซึ่งส่วนใหญ่ได้พบเจอกับตนเองถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ที่มีต่อองค์สมเด็จโตท่านฯ หรือได้รับการกล่าวขาน(บอกต่อกัน) ว่าจะช่วยคุ้มครองให้รอดปลอดภัยได้ เริ่มเป็นเหตุทำให้ความต้องการพระสมเด็จฯสูงขึ้นมากอย่างมิต้องสงสัย สัจจธรรมโลก มีบวกก็ย่อมมีลบ มีดีย่อมมีเลว รวมทั้งยังส่งผลเสียทำให้มีการลักลอบขโมยพระ(ตกพระ)กันมากขึ้น เริ่มสร้างความเสียหายให้แก่พระเจดีย์วัดบางขุนพรหม(วัดใหม่อมฤตรส) ซึ่งรู้กันว่ามีการสร้างพระบรรจุกรุไว้(ปี ๒๔๐๗ ถึง ปี ๒๔๑๕) และในปีเดียวกันนี้ ทางวัดฯก็ได้เปิดให้มีการตกพระกัน แรกๆก็ได้พระกันหลังๆก็เริ่มเลิกรากันไป สืบเรื่อยจนถึงปี ๒๔๕๒ ทางวัดฯจึงได้ทำการปิดกรุ จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาระหว่างปี ๒๔๓๖ ถึงปี ๒๔๕๒ นั้นความต้องการพระสมเด็จของเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ น่าจะไม่มากนัก จากปัจจัยคือความสงบสุขและราคาที่มีต่อองค์พระสมเด็จเริ่มขยับตัวสูงขึ้นมากนั่นเอง และจากปี ๒๔๕๒ ถึงปี ๒๔๙๕ ช่วงเวลานี้ประมาณ ๔๓ ปี(อาจเป็นยุคฯทองของใครบางคนหรือกลุ่มคนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ประสงค์ดีจากเหตุผลของราคาพระสมเด็จฯขยับตัวสูงขึ้นมากแล้ว) ขยายความคำว่า คนดี มีลักษณะอย่างไรบ้าง คิด พูดดี และทำดี บุคคลเหล่านั้นอยู่ตรงข้ามกับคนดี จากปัจจัยนี้เองทำให้พวกพ่อค้าหัวใสในยุคนั้นน่าที่จะเริ่มคิดการหรือทำการไปบ้างไม่มากก็น้อย ยุคไม่สร้างสรรค์ก็เริ่มทำลายทุกสิ่งรวมทั้งองค์พระเจดีย์ที่บรรจุพระ เมื่อมีความเสียหายมากก็ต้องมีการบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์ ปี ๒๔๙๕ จึงมีกลุ่มคนหรือคณะฯ เข้าดำเนินการเปิดกรุเพื่อนำพระที่บรรจุ ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก ปัจจัยที่ได้นำมาบูรณะพระเจดีย์ จากนั้นมาเปิดกรุอีกครั้งในปี ๒๕๐๐ ครั้งนี้พระสมเด็จฯองค์สวยๆมีราคา ๕,๐๐๐ บาท.และที่ต่ำสุดมีราคา ๔๐๐ บาท. เหลือพระดีๆสวยๆแค่ไม่ถึง ๒๙๕๐ องค์ที่เหลือแต่หักหรือไม่ก็จับตัวกันเป็นก้อน พระดีๆสวยๆจำหน่ายกันแค่วันเดียวหมด ถึงตอนนี้ ความต้องการสูงกว่ามาก คนไม่ดี ก็คิดทำการไม่ดีกันใหญ่โดยไม่กลัวบาปกรรมครับ
ขออนุญาตสรุปคร่าวต่อความคิดเห็นอันอาจเป็นประโยชน์บ้างดังนี้
ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ถึง ปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ไม่มีท่านอาจารย์หรือพระเกจิในยุคนั้นกล้าสร้างหรือปลุกเสกพระในแบบพิมพ์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
ปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ถึง ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ไม่มีท่านอาจารย์หรือพระเกจิในยุคนั้นกล้าสร้างหรือปลุกเสกพระในแบบพิมพ์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
ที่อาจมีบ้างแต่ยังน้อย ก็ไม่ใช่พระอาจารย์หรือพระเกจิสร้าง ด้วยที่ว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯท่านได้กล่าวไว้ หากจะมีผู้ใดนำแบบพระสมเด็จไป
จัดพิมพ์ แล้วใช้ชื่อใหม่ก็ไม่ว่า เพราะพระของท่านทุกพิมพ์มีชื่อหมดแล้ว(ท่านเจ้าประคุณสมเด็จใตฯท่านรู้เห็นกาลไกลในภายภาคหน้า)
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึง ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เริ่มมีท่านอาจารย์หรือพระเกจิสร้างแต่ก็ไม่เรียกพิมพ์แบบพระสมเด็จ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต พรหมรังสี
และในส่วนที่มีมากขึ้นในแบบพิมพ์ของพระไม่แท้ เพราะเหตุความต้องการสูงกว่าปริมาณ(ราคาสูงก็ไม่กลัวอยากได้)
หลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เริ่มมีท่านอาจารย์หรือพระเกจิสร้างแต่ก็ไม่เรียกพิมพ์แบบพระสมเด็จ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต พรหมรังสี
ซึ่งมีมากขึ้นๆ จนไม่รู้ ยากมากเกินปัญญาจะรู้
ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์เพื่อความสุข ข้อมูลที่ผิดพลาดต้องขออภัย ขอขอบคุณท่านเพื่อนสมาชิกทุกท่านรวมถึงท่านเจ้าของกระทู้นี้ด้วย
ขอบพระคุณ

ขอขอบคุณทุกท่านครับ
ทั้งเข้าชมและแนะนำครับ
สรุป พระองค์นี้ไม่แท้ครับ จะพยายามต่อไป