พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน - webpra

ประมูล หมวด:พระกรุ เนื้อชิน

พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน

พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน
รายละเอียด
ชื่อพระเครื่อง พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน
รายละเอียดพระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล ชินเงิน

พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล พระนครศรีอยุธยา พระระดับคลาสสิกที่ใครๆ ในวงการมีใจพิสมัยเป็นอย่างยิ่ง แต่หลายคนนั้นก็ยังคงเวียนวนในกระแสความอยากได้อยู่ร่ำไป ไม่เคยได้พานพบเป็นเจ้าของสักองค์ ธรรมดาทั่วไปของพระพิมพ์นี้ก็คือเนื้อดินเผา แต่เหนือธรรมดาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็คือเนื้อชิน ยิ่งกว่าหายากเข้าไปอีก
ขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ เป็นพระที่นักสะสมหลายท่านใฝ่ฝันที่จะมีไว้ในครอบครอง ด้วยเหตุผลที่เป็นพระสร้างโดยกษัตริย์คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มีอายุถึง400ปี และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือเป็นการฉลองชัยชนะในการกระทำยุทธหัตถีกับพม่าจน ได้รับชัยชนะ การได้ครอบครองก็เป็นความภูมิใจในความเป็นไทยและขอพึ่งพุทธคุณและพระบารมี ที่สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระพันธรัตน์ พระสมณเจ้าในยุคนั้นได้ประสิทธิ์ประสาทปลุกเสกไว้ในองค์พระขุนแผนใบพุทรานี้
องค์ที่นำมาเสนอวันนี้ เป็นพระร่วมกรุเดียวกันกับพระขุนแผนเคลือบ ของกรุวัดใหญ่ชัยมงคลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างในสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวโรกาศที่ทรงได้ทรงกระทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระมหาอุปราช และทรงได้รับชัยชนะ เมื่อพระองค์เสด็จกลับมายังกรุงศรีอยุธยาแล้ว จึงได้ทรงสร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นที่วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่จำพรรษาของสมเด็จพระนพรัตน์ พระเถระผู้ยิ่งใหญ่และได้พระราชทานนามใหม่ว่า วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามครั้งนั้น
พระขุนแผนใบพุทรา กรุวัดใหญ่ชัยมงคล จึงถือว่ามีความเกี่ยวเนื่องในเชิงสัญลักษณแห่งความสำเร็จ องค์พระผู้สร้างที่ทรงมีชัยชนะเหนือข้าศึกศัตรูและอุปสรรคขวากหนามทั้งมวล มีทั้งพิมพ์ห้าเหลี่ยมเคลือบ และพิมพ์ใบพุทราเนื้อดิน และเนื้อชิน
พระขุนแผน กรุวัดใหญ่ชัยมงคล นั้นเล่าลือสืบกันมามากมายด้วยกฤษฎาภินิหาร ตั้งแต่คนรุ่นเก่ามาจนถึงวันนี้ ความนิยมต่อพระพิมพ์นี้จึงไม่เหือดหายไปจากวงการ ขณะที่ความต้องการมีอยู่มาก แต่จำนวนพระเท่าเดิม ก็เป็นธรรมดาที่คุณค่าทางราคาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

หนังสือตำนานโยนก ว่า[1]

"เมื่อราวปีขาล จุลศักราช ๗๘๔ พ.ศ ๑๙๖๕ ตรงในสมัยเมื่อสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ ครองราชย์สมบัติ ณ กรุงศรีอยุธยา มีพระภิกษุทางประเทศนี้หมู่หนึ่ง หัวหน้าเป็นพระมหาเถรชาวเชียงใหม่ ๗ รูป ชื่อพระธรรมคัมภีร์ ๑ พระเมธังกร ๑ พระญาณมังคละ ๑ พระสีลวงศ์ ๑ พระสาริบุตร ๑ พระรัตนากร ๑ พระพุทธสาคร ๑ เป็นพระมหาเถรชาวกรุงศรีอยุธยา ๒ รูป ชื่อพระพรหมมุนี ๑ พระโสมเถร ๑ เป็นพระมหาเถรชาวกรุงกัมพูชา ชื่อพระญาณสิทธิ์รูป ๑ พระภิกษุบริษัทเป็นอันมากพากันออกไปเมืองลังกา ไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหฬนิกาย ณ อุทกเขปสีมาที่แม่น้ำกัลยาณี ในสำนักพระวันรัตมหาเถร เมื่อ ณ วันเสาร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ อุตราสาฒ ปีมะโรง จุลศักราช ๗๘๖ พ.ศ. ๑๙๖๗ แล้วศึกษาธรรมวินัยอยู่ในลังกาทวีปอยู่หลายปี
เมื่อกลับมาได้นิมนต์พระมหาเถรชาวลังกามาด้วย ๒ รูป ชื่อพระมหาวิกรมพาหุ รูป ๑ พระอุดมปัญญา รูป ๑ มาขึ้นที่กรุงศรีอยุธยาก่อน แล้วแยกย้ายกันไปเที่ยวตั้งนิกายลังกาขึ้นอีกนิกายหนึ่ง เรียกว่า วันรัตนวงศ์ แปลเป็นภาษาไทยเรียกว่า คณะป่าแก้ว (ชาวเชียงใหม่เรียกว่า ป่าแดง)"
แต่ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันเช่น ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ว่า[2] "ได้ความตามหนังสือในตำนานที่ปรากฏอยู่ในเมือง เชียงใหม่ดังนี้ เชื่อได้ว่าพระสงฆ์นิกายป่าแก้วมีขึ้นครั้งนั้นเป็นปฐม
แต่ความที่ปรากฏทางเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองพัทลุง วัดนิกายป่าแก้วนี้มีในหัวเมืองแถบนั้นมาก เห็นพระสงฆ์นิกายเมืองป่าแก้วจะมาแพร่หลายทางหัวเมืองเหล่านั้นก่อน แล้วจึงขึ้นมาถึงกรุงศรีอยุธยา จึงได้เรียกพระสงฆ์คณะป่าแก้วที่ขึ้นสมเด็จพระวันรัตนว่า คณะใต้ พระสงฆ์นิกายนี้คงจะปฏิบัติเคร่งครัดทางแสดงธรรมวินัย กว่าพระสงฆ์ลังกาวงศ์ซึ่งอยู่มาแต่ก่อน จึงทำให้เจริญความเลื่อมใสกันขึ้น เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ"
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงผนวชใน คณะป่าแก้ว เห็นจะเลื่องลือพระเกียรติยศมาก เป็นเหตุให้พระเจ้าแผ่นดินประเทศอื่น ขวนขวายการบำเพ็ญอุปถัมภกพระศาสนาเป็นพิเศษบ้าง เช่น พระรามาธิบดี (ปิฎกธร) กรุงหงสาวดี ส่งพระภิกษุสงฆ์ออกไปอุปสมบทแปลงที่ลังกา เมื่อ พ.ศ. ๒๐๑๘ เมื่อพระสงฆ์เหล่านั้นกลับเข้ามาแล้ว บังคับให้พระสงฆ์ในรามัญประเทศแปลงเป็นนิกายเดียวกันจนหมด
พระเจ้าติโลกราช เมืองเชียงใหม่ก็ตั้งพิธีทำสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งนับว่าเป็นครั้งที่ ๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ เป็นต้น ซึ่งดูจะเนื่องมาจากการที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงผนวชขึ้นก่อนทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่า ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๐๗ เป็นต้นมา ได้นำพระราชโอรส พระราชนัดดา ตลอดจนเจ้านายลูกผู้ลากมากดีบวชกันมากจนกลายเป็นธรรมเนียมสืบมา ถือกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ประเพณีบวชนี้ ได้แพร่หลายนิยมตามกันมาถึงในหมู่คนสามัญด้วย

วัดเจ้าพระยาไทยคณะป่าแก้ว(วัดใหญ่ชัยมงคลครั้งบรรพกาล)
อนึ่ง พระสงฆ์ไทยที่ไปบวชแปลงที่สำนักพระวันรัตนวงศ์ในลังกา ที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า “คณะป่าแก้ว” นั้น เมื่อเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยาก็ได้เข้าพักอยู่ในวัดเจ้าพระยาไทยซึ่งเป็น อรัญวาสีอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อคณะ ป่าแก้วเข้ามาก็ทำให้เพิ่มความคึกคักในการปฏิบัติธรรมกันฝ่ายนี้กันมากขึ้น วัดเจ้าพระยาไทยจึงเป็นวัดชั้นนำทางด้านอรัญวาสี พระเถระที่เป็นหัวหน้าควบคุมจึงได้นามว่า “สมเด็จพระวันรัตน” (พระพนรัตน์) ตามพระนามพระวันรัตนมหาเถระซึ่งเป็นอาจารย์ในลังกาทวีป
การที่คณะ ป่าแก้วเข้ามีเมืองไทยนั้น ได้จัดเป็นคณะหนึ่งต่างหาก ผู้คนจะเลือกศึกษาได้ตามสมัครใจไม่บังคับเหมือนในเมืองมอญ ฉะนั้น ในชั้นแรกจึงเรียกชื่อวัดว่า “วัดเจ้าพระยาไทยคณะป่าแก้ว” ภายหลังจึงได้เหลือ วัดป่าแก้ว แต่อย่างเดียว
อย่างไรก็ดี เนื่องจาก วัดเจ้าพระยาไทย หรือ วัดป่าแก้ว เป็นพระอารามหลวงมีพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายเข้าทรงผนวช และเป็นที่ประกอบการพระราชพิธีบางอย่าง รวมทั้งใหญ่โตกว้างขวาง ชาวบ้านจึงได้เรียกกันว่า “วัดใหญ่” มาแต่แรกสร้าง

หมายเหตุ :
[1] บทความเรื่องนี้ใช้อักขรวิธีตามต้นฉบับ
[2] สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา

วัดใหญ่ชัยมงคล ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ (พงศาวดารฉบับราชหัตถเลขา) สันนิษฐานว่าเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ พระเจ้าอู่ทองทรงสร้าง วัดนี้เดิมชื่อว่า "วัดป่าแก้ว" ขึ้นตรงที่ที่พระราชทานเพลิงพระศพ "เจ้าแก้วเจ้าไท" วัดนี้เป็นวัดของสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี มีพระวันรัตน์เป็นเจ้าคณะ ในการสร้างวัดป่าแก้วครั้งนี้ ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ขึ้นคู่กับ พระวิหารด้วย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๑ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเสริมพระเจดีย์ให้ ใหญ่และสูงขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีที่ ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเฉลิมพระเกียรติเมื่อคราวทรงชนะศึกยุทธหัตถี พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดชัยมงคล" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหญ่ชัยมงคลวัดนี้ร้างไปเมื่อ คราวเสียกรุงครั้งสุดท้ายแล้ว เพิ่งจะตั้งขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเมื่อไม่นานมานี้เอง
แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจหรือไม่ว่า พระกรุนี้มิได้ถูกพม่าทุบทำลายปล้นชิงไป กอปกับคำบอกเล่าของนักขุดล่าหาสมบัติพระกรุแห่งเมืองกรุงเก่า ว่ากรุนี้ใครเข้าไปมักหลงทาง หาทางกลับออกมาไม่ได้ บ้างก็ลงแหวกว่ายในทะเล ทั้งที่ไม่มีน้ำอยู่เลย กลับมาถึงบ้านหน้าอกหน้าใจถลอกปอกเปิกหมดสิ้นกันทั้งคณะ บูชาพระกรุนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าพระจะคุ้มครองคน หรือคนจะต้องเป็นฝ่ายคุ้มครองพระกันแน่
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน7,000 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูลอ. - 22 มิ.ย. 2553 - 21:01.02
วันปิดประมูล ศ. - 02 ก.ค. 2553 - 21:01.02 ปิดประมูล
ผู้ตั้งประมูล
แชร์หน้านี้
รายละเอียดราคาประมูล
ราคาปัจจุบัน 7,000 บาท (ยังไม่ถึงราคาขั้นต่ำ)
เพิ่มครั้งละ100 บาท
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
เคาะประมูล
กรุณาทำการ เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ
รายละเอียดผู้เสนอราคา
ผู้เสนอราคา ราคา เวลา
500 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.18
600 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.23
700 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.24
800 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.26
900 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.28
1,000 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.29
1,100 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.36
1,200 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.44
1,300 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.45
1,400 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.46
1,500 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.48
1,600 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.50
1,700 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.52
1,800 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.54
1,900 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.55
2,000 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 02:06.57
5,000 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 16:15.22
6,000 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 16:15.32
7,000 บาท พ. - 23 มิ.ย. 2553 - 16:15.52
กำลังโหลด...
Top