
ประมูล หมวด:หลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม - หลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก - หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี - หลวงปู่เจียม วัดอินทราสุการาม
ตะกรุดคู่ใหญ่ หลวงปู่เจียม ปี30
ชื่อพระเครื่อง | ตะกรุดคู่ใหญ่ หลวงปู่เจียม ปี30 |
---|---|
รายละเอียด | ประวัติหลวงปู่เจียม อติสโย หลวง ปู่เจียม อติสโย เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับการยกย่องเป็นยอดพระเกจิอาจารย์แห่งภาคตะวันออก เฉียงเหนือรูปหนึ่ง เป็นนักบุญแห่งอีสานใต้ ท่านเป็นพระผู้เข้มขลังทางพระเวทย์ มีตบะสมาธิ และมีวิธีญานอันแกร่งกล้าจนเป็นที่กล่าวขานยกย่องยอมรับในหมู่ทหารหารที่ปฎิ บัติราชการตามแนวประเทศไทย-กัมพูชา ตลอดทั้งบรรดาศิษยานุศิษย์ ญาติโยมที่รู้จักทั้วไป หลวงปู่เจียม อติสโย เกิดวันอาทิตย์ที่1มกราคม 2454ตรงกับวันขึ้น 15ค่ำเดือน 1ปีกุน ณ บ้านดองรุน ต.ปะเตียเนียง อ.มงคลบุรี จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลวงปู่เป็นบุตรของ นายคำ เดือมคำ กับนางรุน เดือมคำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา เดียวกัน 4คนคือ 1นายเจียม นวนสวัสดิ์ (หลวงปู่เจียม อติสโย) 2 นางคำ วันยิง (ขณะนี้กำลังอยู่ในประเทศกำพูชาประชาธิปไตย) 3 นายคำ ยิว (ถึงแก่กรรมแล้ว) 4 นางคำ กิว (ถึงแก่กรรมแล้ว) หลวงปูเจียมเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา ในโรงเรียนประจำอำเภอมงคลบุรีเมื่ออายุประมาณ10ขวบ ได้เรียนทั้งภาษาเขมรและภาษาฝรั่งเศสตามที่หลักสูตรกำหนด ในขณะนั้นประเทศเขมรหรือกัมพูชาตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศส เมื่อเรียนจบชั้นประถมแล้ว ได้สอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนในตัวจังหวัดพระตะบอง แต่เรียนได้เพียงสามเดือน ก็ต้องออกจากโรงเรียนเนื่องปัญหาทางด้านเศรษฐกิจความยากจนและความเดือนร้อน อันเป็นผลเกิดจากภาวะสงครามและการสู้รบในขณะนั้น เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว หลวงปู่ได้ประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวโดยทำนาเป็นอาชีพหลัก และยังประกอบอาชีพการค้าเพิ่มเติบ เช่น ค้าข้าว ค้าวัว รวมทั้งเป็นช่างไม้ด้วยซึ่งทำให้ฐานะทางครอบครัวของหลวงปู่มั่นคงยิ่งขึ้น หลวงปู่ได้ดำเนินชีวิตอยู่อย่างราบรื่นตลอดมา จนกระทั้งหลวงปู่มีอายุเข้าวัยกลางคน เนื่อง จากประเทศเขมรขณะนั้นตกอยู่ภายใต้การยึดครองของประเทศฝรั่งเศส หลวงปู่เป็นคนหนึ่งที่มีความรักชาติแผ่นดินและรักบ้านเกิดต้องการให้ประเทศ ชาติมีอิสรภาพและเอกราช จึงได้เข้าร่วมร่วมมือกับชาวเขมรรักชาติ”กลุ่มเขมรเสรี”จัดตั้งกองกำลัง เพื่อกอบกู้ประเทศชาติโดยปฏิบัติการสู้รบกับทหารฝรั่งเศสและผู้ให้การสนับ สนุน ซึ่งส่วนมากจะสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จากการปะทะและสู้รบกับฝ่ายที่มีกำลังเหนือกว่าหลายครั้ง ทำให้กลุ่มเขมรเสรีถูกปราบปรามอย่างหนักเพราะกำลังบางส่วนต้องหลบหนีซ่อนตัว อยู่ตามป่าเขา และกำลังบางส่วนได้หลบหนีเข้ามายังเขตจังหวัดชายแดนประเทศไทย แต่ละคนต้องหนีเอาตัวรอดจากบ้านเรือนถิ่นที่อยู่และครอบครัวอันเป็นที่รัก คิดว่าสักวันหนึ่งเมื่อมีความพร้อมและรวมตัวกันได้ จะกลับมาต่อสู้เพื่อ กอบกู้เอกราชของประเทศเขมรต่อไป หลวงปู่ได้เข้ามาประเทศไทย ทางเขตชายแดนจังหวัดสุรินทร์ประมาณ พ.ศ.2485 โดย เข้ามากับพระสงฆ์ชาวเขมรชื่อพระครูดีได้เดินทางรอนแรมมาเรื่อยๆค่ำไหนก็นอน ที่นั้น จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านจารพัต อ.ศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ได้เข้าพักอาศัยอยู่ที่วัดบ้านจารพัต(อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านจาร พัต) เป็นเวลา1คืน รุ่งเช้าเดินต่อมาถึงบ้านราม และได้พักอาศัยที่บ้านของครูเติมประมาณ 3 คืน จากนั้นเดินทางต่อมาถึงบ้านบรมสุข และพักอาศัยอยู่กับบ้านครูจุมซึ่งเป็นญาติกับนายเมาออกจากบ้านบรมสุข แวะที่บ้านมะลูจรุง(ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของบ้านบรมสุข) และ ได้แยกทางกับพระครูดีที่บ้านมะลูจรุงความตั้งใจของหลวงปู่ขณะนั้นคือ จะกลับประเทศเขมรเพื่อกอบกู้บ้านเมืองต่อไป หลวงปู่ได้เดินทางผ่านบ้านทัพกระบือ บ้านตราด บ้านลำดวน และพักที่วัดทักษิณวารีศิริสุข (วัดใต้)ได้ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อหว่าง ต่อมาอาจารย์ขัน คุณแม่เฮียะ ปานเจริญ คุณพ่อเภา คุณแม่เสน คงวัน โยมอุปัฏฐากหลวงพ่อหว่างได้ขอเป็นเจ้าถาพจัดพิธีอุปสมบถให้กับโยมเจียม (หลวงปู่เจียม)ในวันที่4เดือนกุมภาพันธ์พ.ศ.2501เวลา10.55ตรงกับวัน ขึ้น15ค่ำเดือน3หลวงพ่อหว่าง ธัมมโชโต เป็นพระอุปชฌาย์ พระครูเปรม วัดบ้านจารย์กับพระครูยิ้มวัดหนองโย-โคกปืด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ขณะนั้นหลวงปู่อายุได้46ปี หลวงปู่ได้จำพรรษาแรกที่วัดทักษิณวารีศิริสุข ได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับหลวงพ่อหว่าง ซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่มีวัตรปฎิบัติอย่างเคร่งครัดนอกจากนั้นแล้วหลวงปู่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย กับ”หลวงพ่อเปราะ” “หลวงพ่อนต”ที่วัดสุวรรณรัตน์ (วัดเหนือ)ซึ่งเป็นวัด ในหมู่บ้านลำดวน ต่อมาหลวงพ่อทั้งสองแนะนำให้หลวงปู่ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม “หลวงพ่อมิน”เจ้า สำนักวัดคฤห์ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งป็นพระนักปฎิบัติทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำและความเมตตาจากหลวงพ่อมินเป็นอย่างดี หลวงปู่ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและฝึกปฎิบัติที่ครูอาจารย์ได้ให้คำแนะนำ เป็นอย่างดียิ่งภายหลังจากออกพรรษาแล้วหลวงปู่ได้กราบลาหลวงพ่อหว่าง เพื่อเข้าปริวาสกรรมและออกธุดงค์เพื่อประพฤติปฎิบัติธรรมตามแนวทางที่เรียน รู้มา โดยครั้งแรกออกธุดงค์ตามเส้นทางไปยังเขตจังหวัดปราจีนบุรี นครนายกสระบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ ย้อนกลับมาทางลพบุรี สระบุรีอีกครั้ง และเลยไปถึงจังหวัดชลบุรี จันทบุรี ระยอง อำเภอศรีราชา ข้ามไปอำเภอเกาะสีชัง และกลับเข้ามาในตัวจังหวัดชลบุรีอีกครั้ง ขณะที่หลวงปู่จะธุดงค์กลับจังหวัดสุรินทร์ โยมคนหนึ่งนิมนตพระจากอำเภอศรีราชา 2รูป ผ่านมาและพบหลวงปู่เข้า จึงได้นิมนต์หลวงปู่ให้ไปจำพรรษาอยู่สำนักสงฆ์เขาหลุมยาง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ซึ่งหลวงปู่ได้ไปจำพรรษาอยู่สำนักสงฆ์เขาหลุมยาง1พรรษา เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้เข้าปริวาสกรรมที่วัดสาวชะโงกกับอาจารย์สี พระอาจารย์เชื้อ และออกธุดงค์มาทางเขตอำเภอพนมสารคาม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี ได้จำวัดที่โรงทานบริเวณต้นโพธิ์2คืนธุดงค์เข้าจังหวัดปราจีนบุรี นครนายก ได้จำวัดที่วัดป่ามะไฟจังหวัดนครนายก1คืน รุ่งเช้าออกธุดงค์ไปทางเขตอำเภอหินกอง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ผ่านไปจังหวัดลพบุรี ได้ไปจำวัดอยู่ค่ายโคกกระเทียม ออกจากโคกกระเทียม ธุดงค์ไปทางโคกสำโรง อำเภอตากฟ้าพร้อมกับพระสงฆ์ 4 รูป คือพระอาจารย์สี พระอาจารย์เชื้อ พระอาจารย์และพระอาจารย์สว่าง ออกจากอำเภอตากฟ้าธุดงค์ไปทางจังหวัดชัยนาท นครสวรรค์ในเขตอำเภอลาดยาว เข้าจังหวัดกำแพงเพชร สุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ ผ่านอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ลงมาเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก และอำเภอแม่สอด ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงปีพ.ศ.2502ออก จากจังตากลงมาทางกำแพงเพชร ชัยนาท สุพรรณบุรี กาณจบุรี ในขณะที่เดินผ่านจังหวัดกาณจนบุรีได้ศึกษาธรรมะกับหลวงพ่ออุตมะ รัมโถภิกขุ วัดวังก์วิเวการาม อำเภอสังขละบุรีด้วย จากกาณจนบุรี ธุดงค์ผ่านมาทางจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร อำเภอสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา อำเภอกบินทร์บุรี(จังหวัดปราจีนบุรี)(อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา)อำเภอหนองกี่ อำเภอนางรอง อำเภอประโคนชัย (จังหวัดบุรีรัมย์) บ้านบักดอก นิคมสร้างตนเองอำเภอปราสาท (จังหวัดสุรินทร์)เพื่อกลับมาจำพรรษาที่วัดทักษิณวารีสุข หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่อีก 1 พรรษา ในปีพ.ศ.2503 เมื่อออกพรรษาหลวงปู่ได้ไปสมาทานที่อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีประมาณ 1เดือน ก็ออกธุดงค์ไปยังวัดสาวชะโงก และจังหวัดอื่นๆอีกหลายจังหวัดและก็กลับมาจำพรรษาที่วัดทักษิณวารีศิริสุขใน ปีพ.ศ.2504เมื่อออกพรรษาพรรษาหลวงปู่ก็ออกธุดงค์สมาทานอีกเช่นเดิม และเมื่อใกล้จะเข้าพรรษา หลวงปู่ก็จะกลับจำพรรษาที่วัดทักษิณวารีศิริสุขอีกเช่นเคย(ปีพ.ศ.2505)หลัง จากออกพรรษาแล้วหลวงปู่กราบลาหลวงพ่อไปจำพรรษาอยู่ที่วัดปราจีนบุรี 1 พรรษา(คือในปีพ.ศ.2506)และเมื่อออกพรรษาแล้วได้พาญาติโยมนำกฐินมาทอดถวายที่ วัดสุวรรณรัตน์ (วัดเหนือ)และขอจำพรรษาอยู่ที่วัดสุวรรณรัตน์ในปีพ.ศ.2507หลวงปู่ได้วนเวียน วัตรปฎิบัติเช่นนี้อย่างต่อเนื่องทุกปี คือพอออกพรรษาก็จะออกธุดงค์ และเมื่อใกล้จะฤดูเข้าพรรษา หลวงปูก็จะกลับมาจำพรรษาอยู่เช่นนี้เรื่อยไป เป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่ต่ำกว่า13ปี ช่วงระยะเวลาดั้งกล่าวหลวงปู่ได้ธุดงค์ไปเกือบทุกภูมิภาคทุกจังหวัดในประเทศ ไทย ได้ศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม ได้ฝึกปฎิบัติด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้พบปะสนทนาแลกเปลียนแนวทางในการประพฤติปฎิบัติธรรมกับพระอาจารย์ต่างๆหลาย รูป เช่น อาจารย์คำษา ในเขตอำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย อาจารย์คำปัน ในเขตอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมอาจารย์วงษ์ ในเขตพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นต้น ในระยะหลังตั้งแต่ปีพ.ศ.2513หลวงปู่จะจำพรรษาอยู่ที่วัดสุวรรณรัตน์ (วัดเหนือ)เท่านั้น และประมาณช่วงเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ.2513ภายหลังที่หลวงปู่ได้กลับจากธุดงค์แล้ว โยมเดียม โยมบาน โยมสมร ผู้ใหญ่พานได้ไปนิมนต์ให้หลวงปู่มาสร้างสำนักสงฆ์ที่หมู่บ้านหนองยาว ตำบลกระเทียม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่ 27เมษายน พ.ศ.2513 และไดจำพรรษาที่สำนัดสงฆ์แห่งนั้นด้วยซึ่งต่อมาสำนักสงฆ์แห่งนั้นคือ”วัดอิน ทราสุการาม”ในปัจจุบัน การมรณภาพ ย่าง เข้าสู่วัยชรา หลวงปู่เจียมเริ่มมีอาการเหน็ดเหนื่อย สายตาพร่ามัว ประสาทหูฟังไม่ค่อยชัด คณะศิษยานุศิษย์ได้นำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ ครั้นเมื่อออกจากโรงพยาบาล หลวงปู่เจียมก็ยังต้องรับกิจนิมนต์จากชาวบ้านญาติโยมที่เลื่อมใสศรัทธา เพื่อคอยปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขไม่เว้นแต่ละวัน บ้างต้องไปนั่งประพรมน้ำมนต์ เป่ากระหม่อมให้ลูกศิษย์ลูกหาสม่ำเสมอ กระทั่งเมื่อเวลา 16.59 นาฬิกา ของวันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2549 คณะ ศิษยานุศิษย์วัดอินทราสุการาม ได้ตีระฆังรัวกลองเป็นชุด เพื่อแจ้งเหตุว่า บัดนี้ชาวเมืองสุรินทร์ได้สูญเสียปูชนียสงฆ์รูปสำคัญ คือ หลวงปู่เจียมได้มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคไตวาย ภายในกุฏิวัดอินทราสุการาม หลังเข้ารับการรักษาตัวด้วยอาการอาพาธจากโรคไตมาเป็นเวลานาน ประกอบกับวัยที่ชราภาพมาก สิริอายุรวม 96 พรรษา 47 ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ชาวบ้าน และพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เคารพนับถือเป็นยิ่งนัก คณะ สงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์รวมไปถึงชาวบ้านได้นำร่างหลวงปู่บรรจุไว้ในโลงแก้ว ตั้งไว้ ณ ศาลาการเปรียญวัดอินทราสุการาม เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้รำลึกถึงคุณงามความดี สำหรับกำหนดการเบื้องต้น จะมีการบรรจุศพหลวงปู่เจียมที่วัดอินทราสุการาม เป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้บรรดาพุทธศาสนิกชนได้ร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วกัน |
ราคาเปิดประมูล | 100 บาท |
ราคาปัจจุบัน | 1,000 บาท (ถึงราคาขั้นต่ำ) |
เพิ่มขึ้นครั้งละ | 100 บาท |
วันเปิดประมูล | ศ. - 05 ก.ค. 2556 - 13:30.38 |
วันปิดประมูล |
ส. - 13 ก.ค. 2556 - 20:01.36 ![]() |
ผู้ตั้งประมูล | |
เบอร์ติดต่อ | 08-41686766 |
แชร์หน้านี้ |
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
กรุณาทำการ Login เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ |
ผู้เสนอราคา | ราคา | เวลา |
---|---|---|
200 บาท | ศ. - 05 ก.ค. 2556 - 17:25.17 | |
300 บาท | ส. - 06 ก.ค. 2556 - 17:11.57 | |
400 บาท | ส. - 06 ก.ค. 2556 - 22:24.36 | |
700 บาท | ส. - 06 ก.ค. 2556 - 22:39.13 | |
1,000 บาท (ถึงราคาขั้นต่ำ) | ศ. - 12 ก.ค. 2556 - 20:01.36 |
กำลังโหลด...