ประมูล หมวด:เครื่องรางของขลัง
นางอัปสร มหาหลง มหาเสน่ห์แรงโคตร
ชื่อพระเครื่อง | นางอัปสร มหาหลง มหาเสน่ห์แรงโคตร |
---|---|
รายละเอียด | นางอัปสร มหาหลง มหาเสน่ห์แรงโคตร อัปสรา หรือนางอัปสร ที่ปรากฏเรียงรายอยู่ในปราสาทนครวัดของเขมร มีจำนวนนับพันองค์ กล่าวกันว่า ทุกองค์แต่งองค์ ทรงเครื่อง กระทั่งมุ่นมวยผมต่างกัน ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางศิลปกรรมของกัมพูชาได้อย่างหนึ่งเลยทีเดียว อัปสร หรือเทพอัปสร คือนางฟ้า ซึ่งมีลักษณะที่งดงามเป็นที่เสน่หาของผู้พบเห็น อัปสรนั้นถือว่ามีชีวิตอมตะ ไม่มีกำหนดอายุ เกิดมาเพื่อสร้างความรื่นรมย์ให้แก่โลกสวรรค์โดยเฉพาะ สำหรับที่ไปที่มาของนางอัปสรนั้น คัมภีร์ รามายณะ กล่าวว่ากำเนิดในสมัยเมื่อกาลครั้งพระนารายณ์อวตารปางที่ ๒ (กูรมาวตาร แห่งกฤตยุค) เป็นเต่า ซึ่งเรื่องของเรื่องก็เกิดจากการถือดีของพระอินทร์ที่เป็นจอมสวรรค์จนขัดใจ พระฤาษีตนหนึ่งคือ ทุรวาสฤาษี ซึ่งสาปให้ สวรรค์ สมบัติและฤทธิ์ของพระอินทร์ เสื่อมไป เมื่อไปขอความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ทรงแนะนำให้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทร ซึ่งมีจุดสำคัญสุดยอดคือ “น้ำอมฤต” ที่ผู้ใดดื่มกินแล้วจะมีชีวิตอมตะ คู่ฟ้าดินเลยทีเดียว พวกเทวดาและอสูร ต่างมีบุญจำกัดเวลา ทุกตนอยากมีชีวิตอมตะอยู่ค้ำฟ้า จึงตกลงกันช่วยกันกวนเกษียร สมุทร ทำน้ำอมฤตเพื่อแบ่งกัน กินแล้วไม่ตาย พิธีกวนน้ำอมฤต เริ่มด้วยการเอาภูเขามันทคีรี (อยู่ใกล้เขาพระสุเมรุ) เป็นไม้กวน เอาพญาวาสุกรี (พญานาค) เป็นเชือกมัด พวกเทวดาเลือกชักทางหางนาค ให้พวกอสูรชักหัวนาค ระหว่างการชักพญาวาสุกรีนาคพ่นพิษพวกอสูรก็ไหม้พองไปตามๆกัน ซึ่งครั้งนี้ก็สองมาตราฐานคือฝ่ายอสูรโดนแกล้งแบบเต็มๆ ครั้งนี้ พระนารายณ์รับสองหน้าที่ หน้าที่แรก อวตารเป็นเต่าทองเอาหลังรองเขามันทคีรี หน้าที่ที่สองเป็นพระนารายณ์สี่กร ถือคทา จักร สังข์ และดอกบัว สถิต อยู่บนยอดเขา เปล่งรัศมีโชติช่วงให้ทั้งแสงสว่าง และปัดเป่าลมฝนไม่ให้มาสัมผัสเทวดาอสูรกระบวนการกวนเกษียรสมุทรเพื่อหาน้ำ อมฤตนี้นี้ดำเนินไป จนทะเลนม (เกษียรสมุทร) งวดจนเป็นโคลนตม ในที่สุดก็เกิดแสงสว่างพวยพุ่ง มีสิ่งต่างๆผุดขึ้นมาทีละอย่างสองอย่าง ว่ากันว่ามีถึง ประการ ซึ่งก็เกิดนางอัปสรสวรรค์ขึ้นในการกวนเกษียรสมุทรครั้งนั้นด้วยถึง จำนวนมากถึง ๖๐ โกฏิ ทุกนางอัปสรสวยสดงดงาม แต่เมื่อยกให้ใคร ทั้งฝ่ายเทวดาฝ่ายอสูรต่างก็ไม่ยอมรับ ฐานะของนางอัปสรจึงกลายเป็นของกลาง ไม่มีสามี แต่มีหน้าที่บำเรอเทวดาและอสูรทั่วไปให้ชื่นมื่นอุรา ชื่อ “อัปสร” บอกถึงที่มา แปลว่า ผู้กระดิกในน้ำ เนื่องจากเกิดจากทะเลน้ำนม เนื่องจากบทบาทหน้าที่จึงทำให้ถูกเรียกอีกชื่อว่า “สุรางคนาง” แปลว่า นางบำเรอแก่เทวดา และอีกชื่อว่า “สุมทาตมชา” แปลว่า สตรีผู้เต็มไปด้วยความมัวเมาและเพลิดเพลิน คัมภีร์ปุรณะ แบ่งนางอัปสรไว้หลายพวก ในวายุปุราณ ว่ามี ๑๔พวก ในหริวังศะ ว่ามี ๗ พวกทั้งยังแบ่งเป็นสองประเภท คือไทวิกา (นางฟ้า) และเลาลิกา (นางดิน) ไทวิกานางฟ้ามี๑๐ นางเลาลิกานางดิน มี๓๔ นางทั้งนางฟ้าหรือนางดิน ล้วนมีรูปร่างงาม มีจริตยั่วยวน มีเสน่ห์โน้มน้าวจิตใจเพศชายให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้อย่างง่ายดาย จำแลงแปลงกายได้หลายอย่างแต่รักใครไม่ยั่งยืน ชอบเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ เหมือนนางโลม หรือจะเรียกว่า นางโลมของเมืองสวรรค์ก็ได้คัมภีร์ระบุว่า เทวบุตร คนธรรพ์ วิชาธร วีรบุรุษ นักรบสมัยโบราณ แม้พระฤาษีที่ทรงตบะแก่กล้า จำนวนมากมาย เคยถูก นางอัปสรทำลายตบะจนเสียคน ไปจำนวนไม่น้อย อัปสร จึง เป็นสิ่งที่น่าเกรงของบุคคลเหล่านั้น ที่พอเข้าใกล้ละก็เสร็จทุกรายถือว่า มีอำนาจในการครอบงำให้เคลิบเคลิ้ม ขนาดฤาษี ยังลืมญาณ หรือเรียกว่า “ตบะแตก” แบบที่เรียกกันในภาษามนุษย์ปัจจุบันว่า “นารีพิฆาต” หรือ “ถูกวัวเขาอ่อนขวิด” (เขาอ่อน-หมายถึงทรงอกของสตรีสาวแรกรุ่น) ถือว่าเป็นภัยสำคัญ อย่างหนึ่งต่อการบำเพ็ญตบะโยคะกรรม จึงมีฤาษี ผู้หนึ่ง พยายามเขียนตำราป้องกันหรือแก้เสน่ห์อันแสนร้าย อันเป็นเภทภัยจากนางอัปสร ตำรานี้ถูกใช้กันต่อๆมา เรียกชื่อตามชื่ออาถรรพณ์ของฤาษีผู้เขียนตำราว่า อาถรรพ์เวท เรื่อง ราวของนางอัปสรถือว่าเป็นตนเผ่าพันธุ์ของชาวกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านของเรา หลักฐานที่ปรากฏในจารึกปักษีจำกรง ของเขมรกล่าวว่า ฤาษีชื่อกัมพุ บำเพ็ญพรตจน พระศิวะ ประทานนางอัปสร ชื่อนางเมรา มาให้เป็นภรรยา ฤาษีกัมพุและนางเมราอยู่กินกันจนเกิดลูกหลานมากมาย เป็นปฐมวงศ์ของชาวเขมรต่อมากลายเป็นชื่อประเทศ "กัมพูชา" ออกเสียงแบบเขมรว่า กัมปูเจีย ที่แปลความหมายว่า ผู้เกิดจากฤาษีกัมพุ นั่นเอง โยคาวจร ข้างคติพุทธ ถือว่า อัปสร คือ ปรากฏการณ์ของกิเลส ที่เรียกว่า กามกิเลส อันได้แก่“ตัณหาราคะ” มีคำกล่าวว่า กิเลส๑๕๐๐ ตัณหา๑๐๘ เป็นด่านสำคัญที่พระโยคาวจรต้องฝึกฝนอบรมโยคะแห่งตนให้ก้าวพ้นการ ยั่วยวน ของ เหล่านางอัปสร(กิเลสต่างๆ) ซึ่งจะอยู่ทั้งสวรรค์ชั้นฟ้า และสวรรค์ชั้นดิน ผู้ที่ก้าวพ้นตัณหาราคะ ก็นับถือว่า คือ “พรหม” เป็นผู้สำเร็จฌาน ซึ่ง ในพรหมโลก เป็นภพ พรหมจรรย์ จะไม่มีนางอัปสรปรากฏ เพราะเป็นภพภูมิที่ก้าวพ้นจากกามคุณ นั่นเอง ความงดงาม และยั่วยวน ของนางอัปสรนี้ ถือว่า สั่นสะเทือนทั้งสามโลกขนาด พระศิวะเองก็ยังลืมพระองค์เลยทีเดียวเมื่อเจอนารายณ์แปลงเป็นอัปสรที่งดงาม นามว่า “โมหินี” (ทำให้ลุ่มหลง) เพื่อแจกน้ำอัมฤตกับเทวดาเป็นที่มาของมนต์เสน่ห์ที่ชื่อว่า “นารายณ์แปลงรูป” นั่นเอง ซึ่งถือเป็นสุดยอดของมนต์เสน่ห์ที่ทำให้หลงก็มาจากคติตอนนี้เอง พระนารายณ์ได้ใช้ แผนนารีพิฆาต หรือ อ่อนสยบแข็งกร้าวในหลายเหตุการณ์ที่ แก้ปัญหาปราบยุคเข็ญ ก็ใช้เสน่ห์ของนางอัปสร เข้าแก้เกม อย่างเช่นตอนปราบนนทุก หรือ ตอนแบ่งน้ำอมฤต ไม่ให้เทวดากะอสูรตีกัน ก็ด้วย อำนาจเสน่ห์ ของนางอัปสร เข้าสะกด จนอยู่หมัด นางอัปสร นี้ เหมือนนางคณิกาบนโลกมนุษย์นอกจากงดงาม ชนิดเห็นแล้วต้อง ตาตั้งอ้าปากค้างจนเลือดกำเดาไหลแล้ว นางอัปสรยังเชี่ยวชาญศาสตร์ ระบำรำฟ้อน การดนตรี ขับร้อง กาพย์กลอน กวี ศิลปะต่างๆ เพื่อล่อลวงให้ ฤาษี เทพ อสูร คนธรรพ์ ครุฑ นาค คนธรรพ์ มนุษย์ฯ ต้องลุ่มหลง แม้การกล่าวโศลก ในเชิงปรัชญาที่ลุ่มลึกก็เชี่ยวชาญ จึงนิยมทำรูปนางอัสรใช้สื่อแสดงในการทำให้รักให้หลงถือว่า เสน่ห์นางรำอย่างอัปสร นี้เวลาเยื้องย่างกรีดกรายมีความงดงามตรึงตาตรึงใจให้หลงลืมตัว เลยทีเดียว นอกจากนี้รูปอัปสรยังแสดงถึงความสุขสมปรารถนาเช่นรูปอัปสรโปรยดอกไม้ที่ใช้ ในงานมงคลต่างๆ รูปลักษณ์อัปสรใช้สื่อสัญลักษณ์เกี่ยวกับความสุข สมรื่นรมย์ ความดีใจ ในแบบชนชาวโลกที่ยังเป็นปุถุชนซึ่งเกิดจากการสมใจในความอยาก คือตัณหา แห่งสัตว์โลกทั้งหลายนั่นเอง คัมภีร์ปุรณะ แบ่งนางอัปสรไว้หลายพวก ในวายุปุราณ ว่ามี ๑๔พวก ในหริวังศะ ว่ามี ๗ พวกทั้งยังแบ่งเป็นสองประเภท คือไทวิกา (นางฟ้า) และเลาลิกา (นางดิน) ไทวิกานางฟ้ามี๑๐ นางเลาลิกานางดิน มี๓๔ นางทั้งนางฟ้าหรือนางดิน ล้วนมีรูปร่างงาม มีจริตยั่วยวน มีเสน่ห์โน้มน้าวจิตใจเพศชายให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้อย่างง่ายดาย จำแลงแปลงกายได้หลายอย่างแต่รักใครไม่ยั่งยืน ชอบเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ เหมือนนางโลม หรือจะเรียกว่า นางโลมของเมืองสวรรค์ก็ได้คัมภีร์ระบุว่า เทวบุตร คนธรรพ์ วิชาธร วีรบุรุษ นักรบสมัยโบราณ แม้พระฤาษีที่ทรงตบะแก่กล้า จำนวนมากมาย เคยถูก นางอัปสรทำลายตบะจนเสียคน ไปจำนวนไม่น้อย อัปสร จึง เป็นสิ่งที่น่าเกรงของบุคคลเหล่านั้น ที่พอเข้าใกล้ละก็เสร็จทุกรายถือว่า มีอำนาจในการครอบงำให้เคลิบเคลิ้ม ขนาดฤาษี ยังลืมญาณ หรือเรียกว่า “ตบะแตก” แบบที่เรียกกันในภาษามนุษย์ปัจจุบันว่า “นารีพิฆาต” หรือ “ถูกวัวเขาอ่อนขวิด” (เขาอ่อน-หมายถึงทรงอกของสตรีสาวแรกรุ่น) ถือว่าเป็นภัยสำคัญ อย่างหนึ่งต่อการบำเพ็ญตบะโยคะกรรม จึงมีฤาษี ผู้หนึ่ง พยายามเขียนตำราป้องกันหรือแก้เสน่ห์อันแสนร้าย อันเป็นเภทภัยจากนางอัปสร ตำรานี้ถูกใช้กันต่อๆมา เรียกชื่อตามชื่ออาถรรพณ์ของฤาษีผู้เขียนตำราว่า อาถรรพ์เวท เรื่อง ราวของนางอัปสรถือว่าเป็นตนเผ่าพันธุ์ของชาวกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านของเรา หลักฐานที่ปรากฏในจารึกปักษีจำกรง ของเขมรกล่าวว่า ฤาษีชื่อกัมพุ บำเพ็ญพรตจน พระศิวะ ประทานนางอัปสร ชื่อนางเมรา มาให้เป็นภรรยา ฤาษีกัมพุและนางเมราอยู่กินกันจนเกิดลูกหลานมากมาย เป็นปฐมวงศ์ของชาวเขมรต่อมากลายเป็นชื่อประเทศ "กัมพูชา" ออกเสียงแบบเขมรว่า กัมปูเจีย ที่แปลความหมายว่า ผู้เกิดจากฤาษีกัมพุ นั่นเอง โยคาวจร ข้างคติพุทธ ถือว่า อัปสร คือ ปรากฏการณ์ของกิเลส ที่เรียกว่า กามกิเลส อันได้แก่“ตัณหาราคะ” มีคำกล่าวว่า กิเลส๑๕๐๐ ตัณหา๑๐๘ เป็นด่านสำคัญที่พระโยคาวจรต้องฝึกฝนอบรมโยคะแห่งตนให้ก้าวพ้นการ ยั่วยวน ของ เหล่านางอัปสร(กิเลสต่างๆ) ซึ่งจะอยู่ทั้งสวรรค์ชั้นฟ้า และสวรรค์ชั้นดิน ผู้ที่ก้าวพ้นตัณหาราคะ ก็นับถือว่า คือ “พรหม” เป็นผู้สำเร็จฌาน ซึ่ง ในพรหมโลก เป็นภพ พรหมจรรย์ จะไม่มีนางอัปสรปรากฏ เพราะเป็นภพภูมิที่ก้าวพ้นจากกามคุณ นั่นเอง ความงดงาม และยั่วยวน ของนางอัปสรนี้ ถือว่า สั่นสะเทือนทั้งสามโลกขนาด พระศิวะเองก็ยังลืมพระองค์เลยทีเดียวเมื่อเจอนารายณ์แปลงเป็นอัปสรที่งดงาม นามว่า “โมหินี” (ทำให้ลุ่มหลง) เพื่อแจกน้ำอัมฤตกับเทวดาเป็นที่มาของมนต์เสน่ห์ที่ชื่อว่า “นารายณ์แปลงรูป” นั่นเอง ซึ่งถือเป็นสุดยอดของมนต์เสน่ห์ที่ทำให้หลงก็มาจากคติตอนนี้เอง พระนารายณ์ได้ใช้ แผนนารีพิฆาต หรือ อ่อนสยบแข็งกร้าวในหลายเหตุการณ์ที่ แก้ปัญหาปราบยุคเข็ญ ก็ใช้เสน่ห์ของนางอัปสร เข้าแก้เกม อย่างเช่นตอนปราบนนทุก หรือ ตอนแบ่งน้ำอมฤต ไม่ให้เทวดากะอสูรตีกัน ก็ด้วย อำนาจเสน่ห์ ของนางอัปสร เข้าสะกด จนอยู่หมัด นางอัปสร นี้ เหมือนนางคณิกาบนโลกมนุษย์นอกจากงดงาม ชนิดเห็นแล้วต้อง ตาตั้งอ้าปากค้างจนเลือดกำเดาไหลแล้ว นางอัปสรยังเชี่ยวชาญศาสตร์ ระบำรำฟ้อน การดนตรี ขับร้อง กาพย์กลอน กวี ศิลปะต่างๆ เพื่อล่อลวงให้ ฤาษี เทพ อสูร คนธรรพ์ ครุฑ นาค คนธรรพ์ มนุษย์ฯ ต้องลุ่มหลง แม้การกล่าวโศลก ในเชิงปรัชญาที่ลุ่มลึกก็เชี่ยวชาญ จึงนิยมทำรูปนางอัสรใช้สื่อแสดงในการทำให้รักให้หลงถือว่า เสน่ห์นางรำอย่างอัปสร นี้เวลาเยื้องย่างกรีดกรายมีความงดงามตรึงตาตรึงใจให้หลงลืมตัว เลยทีเดียว นอกจากนี้รูปอัปสรยังแสดงถึงความสุขสมปรารถนาเช่นรูปอัปสรโปรยดอกไม้ที่ใช้ ในงานมงคลต่างๆ รูปลักษณ์อัปสรใช้สื่อสัญลักษณ์เกี่ยวกับความสุข สมรื่นรมย์ ความดีใจ ในแบบชนชาวโลกที่ยังเป็นปุถุชนซึ่งเกิดจากการสมใจในความอยาก คือตัณหา แห่งสัตว์โลกทั้งหลายนั่นเอง นางเทพอัปสร เป็นปรากฏการณ์ของกามคุณทั้งห้า ที่มอมเมาสัตว์โลกแม้แต่ทวยเทพ โยคีผู้แก่กล้าตบะให้ลุ่มหลง โบราณาจารย์ได้สั่งสอนให้รู้จัก กิเลส และ ใช้กิเลสให้เป็นด้วยกลวิธีของ คาถาอาคมมีคาถาอาคมหลายบท ที่มีเนื้อหาถึง กิเลสตัณหาโดยตรงทั้งที่มานำมาจากคติเชิงพุทธและศาสนาอื่นๆ ในกระบวนเครื่องรางของขลัง วิชาการสร้าง “นางฟ้า” หรือ “เทพอัปสร” เป็นวิชาเสน่ห์ ทั้งสายขาวสายดำที่มีอานุภาพอย่างยิ่ง บางคณะเรียก “นางตัณหา” เพราะอำนาจแห่งอาถรรพ์การยั่วยวนของนางฟ้านางสวรรค์ ยังทำให้ฤาษี ถึงขั้นตบะแตกได้ รูปนางฟ้านางอัปสรถือว่ามีฤทธิ์อำนาจในตัวในทางเสน่ห์มหานิยม แม้ไม่ได้ปลุกเสก ซึ่งตำราการสร้างนางเทพอัปสรนั้นมีหลายตำรับซึ่งได้ศึกษาและประมวลสูตรสนธิ ต่างๆจัดสร้างขึ้น มีอานุภาพ แรงอย่างมาก โดยใช้มวลสารอาถรรพ์ต่างๆ เช่น ขื่อปราสาทอัปสร(ต้องตีความ) เสน่ห์ทั้งเก้า ลำโพงกาสลัก น้ำโยนีนางฟ้า ว่านโยนีพระอุมา เถาวัลย์หลง กาหลงสัตว์ตายใต้ตน (มุกดาหาร) ดินกาหลง (ต้นคุณ บูรพาฯ) ผงยันต์นางอรัญวดี ผงอ่อนใจรัก ผงนะฟั่นเฟือน ผงนะงงงวย ผงพลูร่วมใจ เครือพญารำพัน ผงไม้แหย่แย้ งวงน้ำเต้า เถาวัลย์เกี้ยว เมรัย (ของเมา) ฯ บรรจุมนต์ ตัณหาสาม มนต์เต่าเรือนทางเสน่ห์มัดใจ มนต์หัวใจตัณหา มนต์เถรสามทอง(ทางทำเสน่ห์) มนต์นาคพันธ์(นาคเกี้ยว) มนต์เสน่ห์ลำโพง (ทำระดับมหาเสน่ห์อย่างแรง ) มนต์เทวาหลงห้อง |
ราคาเปิดประมูล | 200 บาท |
ราคาปัจจุบัน | 300 บาท (ถึงราคาขั้นต่ำ) |
เพิ่มขึ้นครั้งละ | 100 บาท |
วันเปิดประมูล | อา. - 22 ม.ค. 2555 - 15:36.36 |
วันปิดประมูล | อา. - 29 ม.ค. 2555 - 22:25.09 |
ผู้ตั้งประมูล | |
แชร์หน้านี้ |
การประมูลพระเครื่องนี้ ถูกปิดโดยระบบแล้ว
กรุณาทำการ Login เข้าสู่ระบบ ก่อนทำการประมูลใดๆ |
กำลังโหลด...