ไม่มีรายการ
โดย รณธรรม ธาราพันธุ์ ศิษย์ในท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต นั้นมีมากองค์และล้วนต่างอุปนิสัย บางท่านมุ่งตรงโลกุตตรธรรมไม่ว่อกแว่ก บางท่านบรรลุแล้วก็เงียบเฉย บางท่านบรรลุแล้วโด่งดังด้วยเมตตาธรรม บางท่านด้วยการแสดงธรรม และบางท่านก็ด้วย... อิทธิฤทธิ์ ว่ากันว่า การแสดงธรรมได้ไพเราะยากจะมีผู้ใดเปรียบก็ดี การเปี่ยมปฏิภาณโวหารสาธกธรรมได้ละเอียดพิสดารก็ดี หรือการมากด้วยฤทธานุภาพใด ๆ นั้น ล้วนเป็นเรื่องของ ‘บารมี’ ที่ได้สั่งสมมาแต่กาลก่อน บางท่านนับร้อยชาติ บางท่านนับพันชาติที่ต้องเก็บเกี่ยวบุญกุศลราศีซึ่งบำเพ็ญมาก็เพื่อความ ‘เป็น’ ในแบบต่าง ๆ ที่ท่านมุ่งหวัง บางท่านก็โชคดี ‘ทีเดียวได้’ ราวกับเปิดฝากระทิงแดงแล้วได้สำเร็จอรหันต์ตลอดชีพ พระสิวลี นั่นไง ได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่า‘พระวิปัสสี’ บังเกิดศรัทธาถวายข้าวมธุปายาสแล้วตั้งความปรารถนาเป็นพุทธสาวกองค์อรหันต์ผู้เป็นเลิศในโชคลาภยิ่งกว่าใคร พระวิปัสสีพุทธเจ้าก็ประทานพุทธพยากรณ์ทันทีเช่นกันว่า จักได้สำเร็จสมดังมโนรถในพุทธกาลแห่ง พระสมณโคดมพุทธเจ้า ก็เป็นดังนั้นจริง ทุกวันนี้แม้พระสิวลีผู้ยิ่งด้วยบุญลาภจะนิพพานนานแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ก็ยังสถิตอยู่ในสากลจักรวาล เมื่อผู้ศรัทธาเรียกร้องขอพึ่งด้วย ‘บารมี’ แห่งท่าน ก็สมปรารถนาทุกรายหากศรัทธาจริง ดูประหนึ่งท่านยังคงอยู่มิได้หายไปไหน ‘บารมี’ ท่านยังอบอวลอยู่ในโลก ครูบาอาจารย์ต่างบอกว่า พระอรหันต์ไม่ได้สูญไปไหน จิตท่านยังอยู่ แต่อยู่ในที่ที่คนผู้หนากิเลสเข้าไปไม่ถึงและคาดเดาไม่ได้ หากท่านเหล่านั้นประสงค์ ‘จะไปจะมา’ ไม่ว่าที่ใดก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับท่าน ทุกท่านล้วนรับรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่ ‘ตายด้าน’ อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะท่านเหล่านั้น ‘สูญกิเลส’ ไม่ใช่ ‘สูญจิต’ ท่านเจ้าคุณนร ฯ หรือ พระธัมมวิตักโกภิกขุ แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ที่ใครหลายคนเชื่อว่าเป็นพระอนาคามี และอีกหลายคนเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์กลางกรุง ซึ่งพวกแรกจะมีจำนวนน้อยกว่าพวกหลังที่เชื่อกันอย่างถึงใจจริง ๆ ว่าท่านต้อง ‘สำเร็จ’ องค์ท่านเองยังเคยกล่าวกับหลานรักของท่านคือ ปลัดโกศล ปัทมะสุนทร ว่า “โกศล ลุงไม่เกิดอีกแล้วนะ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” และกล่าวอีกว่า “โกศล ตายแล้วก็สามารถช่วยคนได้ดีกว่าอยู่อีกนะ ขอเพียงแต่เราอธิษฐานจิตถึงกันและกัน กระแสจิตเปรียบเหมือนเครื่องส่งวิทยุนะ ถ้าจูนเครื่องตรงกันก็สามารถติดต่อกันได้ ถ้าเครื่องส่งมีกำลังส่งมากเพียงไรแต่ถ้าเครื่องรับไม่จูนให้ตรงกัน ก็ไม่สามารถรับได้” คำกล่าวทั้งสองประโยคเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าการประกอบความเพียรนั้นฆ่าแค่กิเลส ไม่ได้ฆ่าจิตเสียจนไม่สามารถรับรู้เรื่องราวอะไรได้ หายสาบสูญไปเหมือนไม่เคยเกิด คิดถึงใครก็ไม่ได้ ช่วยเหลือใครก็ไม่ได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่คนกิเลสท่วมศีรษะคิดกัน เหล่าพระอริยะเจ้าทั้งหลายก็เช่นนั้น ไม่ว่าองค์ใด ๆ หากไม่ลงมาสงเคราะห์ด้วย ‘จิตเดิมแท้’ ของท่านเอง ‘บารมี’ ที่ท่านสั่งสมมานั่นแหละยังประทับอยู่ในโลกและเป็นตัวช่วยชาวโลกที่สำคัญยิ่งยวด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา เรียกบารมีอย่างนี้ว่า ‘ภูตพระเจ้า’พระอริยะองค์หนึ่งที่เมื่ออยู่ก็มากด้วยบุญบารมี ปฏิบัติภาวนาแลกตายกระทั่งอัฐิเป็นพระธาตุได้ สามารถเลี้ยงจระเข้นับสิบตัวในบึงให้เชื่องได้ดังหมาแมว ท่านชื่อหลวงปู่ผาง จิตตคุตโตหลวงปู่มีชื่อเดิมว่า ผาง นามสกุล ครองยุติ เกิดเมื่อวันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2445 ณ บ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมอุทร 3 คนหลวงปู่บวชครั้งแรกเมื่ออายุได้ 20 ปีเป็นพระมหานิกาย ที่วัดเขื่องกลาง จ.อุบลฯ เมื่อบวชได้ 1 พรรษาท่านก็สึกออกมาใช้ชีวิตสู้โลกจนมีครอบครัว และด้วยบุญบารมีเก่าก็ชักนำให้ท่านเห็นทุกข์ทางโลกอย่างถึงใจจนต้องกลับมาบวชอีกครั้งเมื่ออายุ 43 ปี ณ วัดคูขาด อ.เขื่องใน จ.อุบลฯต่อมาท่านได้พบกับท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้รับโอวาทอุบายธรรมที่อาจหาญ ทั้งยังเป็นธรรมแท้ทุกถ้อยคำ ยังความปีติปราโมทย์ใจให้ท่านเป็นที่สุดถึงกับเร่งความเพียรชนิดแลกตาย ทั้งที่ท่านเองก็ปฏิบัติภาวนาจนจิตได้รับความสงบมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ยิ่งท่านเร่งความเพียรท่านก็ยิ่งพบอัศจรรย์ในธรรมอย่างมากมายเมื่อเป็นดังนั้นเพื่อความสะดวกในการประกอบสังฆกรรมกับหมู่คณะ ท่านจึงญัตติใหม่ในสังกัดธรรมยุติกนิกายขณะอายุได้ 47 ปี เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2491 ณ วัดบ้านโนน หรือวัดทุ่ง อ.เขื่องใน จ.อุบลฯ โดยมี พระครูพินิจศีลคุณ (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหา-ทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์นับแต่นั้น ท่านก็เพิ่มความพากเพียรชนิดเอาชีวิตเข้าทุ่มแลกกับธรรมขั้นไม่กลับเกิดอีก ซึ่งท่านก็ได้ปลดกิเลสตัวสุดท้ายลงจากหัวใจได้อย่างใสสะอาด เหลือแต่ ‘จิตดั้งเดิม’ ที่ไร้การปรุงไปในทางใดได้อีก บริสุทธิ์ล้วน ๆ อยู่ด้วยตัวจิตเอง‘วิสุทธิจิต’ ของท่านเกิดที่ถ้ำน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในพรรษาที่ 22 ชนมายุได้ 68 ปี ตรงกับพ.ศ. 2513สถานที่นี้มีบุญคุณกับท่านที่สุดท่านกล่าวอย่างองอาจว่า“ชาติภพและการเวียนว่ายตายเกิดของเราได้ยุติลงแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดจบสิ้นกันเสียที เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องกิเลสตัณหาอาสวะทุกประเภทได้หมดสิ้นไปจากใจของเราแล้วยังเหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์”และปรารภว่า“คนเรานี้มีเกิดก็มีดับ ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่มีการดับ อันนี้มันเป็นของคู่กัน ใครสร้างใครปฏิบัติก็ได้แก่คนนั้นให้พากันประพฤติปฏิบัติเอานะ”ท่านเล่าว่า จิตท่านนั้นสว่างไสวอยู่ทุกเมื่อ เจิดจ้าครอบโลกธาตุอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน คือจิตนี้เป็นธรรมธาตุที่บริสุทธิ์หลุดพ้นอาสวะไม่มีการเสื่อมสูญโดยประการทั้งปวง จึงหาวัตถุสิ่งของที่อยู่ภายนอกมาเทียบไม่ได้หลวงปู่พูดเหมือนเจ้าคุณนรฯ ทั้งที่ไม่รู้จักกันก็เมื่อตรัสรู้แล้วในสิ่งเดียวกันจะเพียรกล่าวอย่างไรก็ไม่พ้นกล่าวในสิ่งเดียวกัน ต่างก็แต่สำนวนการอรรถาธิบาย คนเคยไปเชียงใหม่แม้ไปคนละที เมื่อให้พูดถึงเชียงใหม่ต่างก็เล่าสอดคล้องกันไม่ต่าง ครั้นพบปะสนทนากันก็ร่าเริงยินดีคุยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยคนไม่เคยไปจะงง เมื่อครั้งดำรงขันธ์ หลวงปู่จะสอนธรรมะง่าย ๆ ให้แก่ญาติโยมเสมอและมีเมตตาต้อนรับสงเคราะห์สงหาผู้เลื่อมใสโดยไม่เลือกรักชัง จิตตานุภาพของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ศรัทธาเสมอโดยเฉพาะการรู้วาระจิตของใครต่อใคร การหยั่งทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าหรือย้อนหลังไปนานแล้วเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ไปกราบจะได้พบเจอดังกล่าวแล้วว่าท่าน‘สำเร็จ’ ที่ถ้ำน้ำหนาว ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสท่านก็จะไปวิเวกที่นั่นเป็นประจำ ศิษยานุศิษย์หลายคนก็มีศรัทธาตามไปปฏิบัติกับท่านด้วย ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ผางซึ่งบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในถ้ำเกือบจะ 24 ชั่วโมง ได้ออกจากถ้ำมาสั่งว่า จงเตรียมตัวต้อนรับคณะศรัทธาที่จะเดินทางมาเยี่ยมท่านที่ถ้ำน้ำหนาวนี้ด้วย บรรดาศิษย์ก็แปลกใจเป็นหนักหนาด้วยว่าเฝ้าอยู่หน้าถ้ำตลอดเวลาไม่เคยมีใครเข้าไปนัดอะไรกับท่านด้วย ทำไมท่านจึงว่าจะมีคนมาแต่ก็เชื่อครูจึงพากันไปเก็บของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ ผักกูด ผักหนามมาตระเตรียมไว้ทำอาหารต้อนรับ ผ่านไป 3 วัน ก็มีคณะศรัทธามาจากอำเภอบ้านไผ่โดยใช้เกวียนเป็นพาหนะเดินทางและออกจากบ้านไผ่มาถึงน้ำหนาวนี้ใช้เวลา 9 วันคณะนี้มีท่านพระครูชม ปภัสสโร วัดระหอกโพธิ์ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เป็นองค์นำ มีสามเณร 1 รูป และญาติโยมติดตามอีกเกือบยี่สิบคน เมื่อสนทนากันแล้วท่านก็ให้พระครูชมและสามเณรพักที่ถ้ำ ส่วนชาวบ้านให้พักในหมู่บ้าน จากนั้นท่านพระครูและสามเณรก็ขออนุญาตหลวงปู่เที่ยวชมภายในถ้ำซึ่งสวยงามราวเทพนิรมิต หลวงปู่ก็อนุญาตโดยท่านนั่งคอยอยู่หน้าถ้ำเมื่อท่านพระครูและเณรน้อยทัศนศึกษาจนแล้วเสร็จก็เดินกลับออกมา พอมาถึงหลวงปู่ผางท่านก็ถามขึ้นลอย ๆ ว่า“เข้าไปในถ้ำ ไปเอาอะไรของเขามาล่ะ?”ท่านพระครูก็ให้รู้สึกงงเป็นนักหนา คิดสะระตะก็ไม่เห็นว่าจะได้พบเจอสิ่งใดมีค่าพอจะหยิบฉวยมา จึงกราบเรียนท่านว่า“ผมไม่ได้เอาของมีค่าอะไรออกมาเลยนี่ครับ”หลวงปู่มองแล้วพูดว่า“ไม่ได้เอาอะไรออกมาหรือ? แล้วทำไมพวกวิญญาณในถ้ำเขาถึงมานั่งฟ้องเราอยู่นี่เป็นแถว ดูซิ...เขาฟ้องว่าไปเอาของมีค่าของเขาออกมาด้วย”ทั้งท่านพระครูและสามเณรต่างขนลุกซู่ชูชันด้วยหวาดสยองใจ มองไปทั่วก็ไม่เห็นใครสักคน มีแต่ความเงียบวังเวงและหนาวยะเยือกของถ้ำใหญ่ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มพูนคูณทวีหลวงปู่จึงย้ำว่า“วิญญาณในถ้ำเขามาฟ้องเราว่า ท่านพระครูและสามเณรไปเอาเครื่องประดับถ้ำเขามา ให้รีบเอาไปคืนเสีย ถ้าไม่เช่นนั้นกลับบ้านไม่ได้นะ”ทั้งสองรูปนิ่งอึ้งตะลึงงัน ครุ่นคิดอึกอักอยู่เป็นครู่ก็กราบเรียนท่านว่า“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ขณะที่เดินดูในถ้ำเห็นก้อนหินสองก้อนเป็นคล้ายแก้วใสดูสวยงาม จึงอยากจะเอาไปเป็นของที่ระลึกไม่นึกว่าวิญญาณในถ้ำจะหวงแหน ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเอาไปคืนที่เดิมละครับ !!” ครั้นคืนที่เรียบร้อย ทั้งสองรูปก็กลับได้โดยสวัสดีหลวงปู่ผางเคยถูกยิงขณะพักกลดภาวนาที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ผู้ยิงเป็นนายพรานที่นึกว่ากลดเป็นตัวสัตว์เพราะมืดมาก เมื่อเห็นกลดตะคุ่ม ๆ ในพุ่มไม้ก็ยกปืนยาวขึ้นประทับแล้วยิงทันทีปรากฏว่ายิงอย่างไร ๆ ก็ไม่ออก จนได้เหนี่ยวไกยิงถึง 4 นัด เขาจึงแปลกใจมากค่อย ๆ ย่องเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วก็ตกใจแทบสลบเพราะภาพที่เห็นคือกลดพระธุดงค์ซึ่งเอามุ้งกลดลงหมด แต่นายพรานก็ไม่แน่ใจว่าในกลดจะมีพระอยู่หรือไม่ หลวงปู่ซึ่งภาวนาสังเกตอยู่แล้วก็เลิกมุ้งโผล่ศีรษะออกมาดูแล้วร้องถามว่า“หัวอะไรนั่น”พรานกรรมหนักรีบตอบทันทีว่า “หัวคนครับ”“คนอะไร ทำไมจึงไม่มีตา”แกจึงรีบกราบขอขมาเป็นการใหญ่ที่ไปล่วงเกินท่านเข้า จากนั้นก็ลุกหนีหายเข้าป่าไปนี่ก็หนึ่งในปาฏิหาริย์เรื่องยิงไม่ออก ฟันแทงไม่เข้าทั้งด้วยองค์หลวงปู่เองหรือด้วยวัตถุมงคลจากท่านดูจะเป็นของคู่กันอย่างคนกับเงา ดังกล่าวแล้วว่าชีวิตภาวนาของท่านนัยว่าบู๊เลือดสาด ขนาดนอนให้งูยักษ์กินไปครึ่งองค์แล้วมันก็คายออกมายังเคย ปล่อยให้วัวบ้าที่ขวิดพระมรณภาพไม่รู้กี่รูปต่อกี่รูปวิ่งเข้ามาขวิดเสียเฉย ๆ ไม่วิ่ง ไม่หนี ไม่ป้องกัน แต่พอมาถึงมันก็กลับหยุด แถมวิ่งนำท่านไปบิณฑบาตเสียนี่ทั้งเมื่อตอนสร้างกุฏิในบึงน้ำของวัดท่านก็ลงไปยืนแช่น้ำครึ่งองค์เป็นกำลังใจให้ช่างที่ลงไปปักเสาในน้ำ ก็บึงนี้มีจระเข้ขนาด 3-4 เมตร นับสิบตัวครั้นมีผู้ถามว่า ลงไปแช่ในน้ำอย่างนั้นหลวงปู่ไม่กลัวจระเข้หรอกหรือ ? ท่านก็ตอบทันทีเช่นกันว่า “กลัวมันทำไม เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กโน่นแน่ะ”ขนาดหน้าขนยังเชื่อไม่ได้ นี่หน้าเกล็ดเชียวนะหลวงปู่เป็นผู้ที่มีใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก ไม่กลัวและไม่ย่อท้อต่อสิ่งใด ท่านเร่งประกอบความเพียรจนได้รับคำสรรเสริญจากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่มากมายหลายองค์ และมักถูกยกเป็นองค์ตัวอย่างเสมอในเรื่องความวิริยะ อดทน เจริญจิตตภาวนาด้วยความกล้าสุดยอดอย่างนี้เอง เมื่อท่านอธิษฐานจิตเหรียญรุ่นแรกจึงบังเกิดอภินิหารต่าง ๆ เป็นอันมาก ผู้ได้รับล้วนมีประสบการณ์กว้างขวางซึ่งโดยมากมักได้ยินค่อนไปทางคงกระพันกันเขี้ยวงาและกันผีเป็นที่หนึ่ง ก้อไม่เพียงเหรียญรุ่นแรกเท่านั้นดอก รุ่นต่อ ๆ มาก็ปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ มีอภินิหารไม่แพ้กันสมัยผมยังเป็นเด็กวัยรุ่น ตามประสาเด็กที่เดี๋ยวก็เลือดเย็นเดี๋ยวก็เลือดร้อน เมื่อเริ่มเชื่อทางขลังความเลือดร้อนก็รับคำท้าเพื่อนที่หมิ่นว่าเหรียญพระก็แค่ทองแดงแผ่นจะป้องกันอะไรได้ โง่แขวนไปเปล่า ๆ พอเลือดเริ่มเย็นได้ที่ก็เอาพระเครื่องสารพัดมายิง นี้ถือตามหัวข้อหมิ่นประมาทว่าไม่มี ‘มหาอุด’ และใส่ปากปลาช่อนฟันอย่างเลือดเย็นตามหัวข้อหมิ่นประมาทว่าไม่มี ‘คงกระพัน’กระจายและกระจุยอย่าให้บอกเลยว่ามี ‘หลวง’ ใดบ้าง มันเสีย ‘เซ้ลท์’ เปล่า ๆ แต่แล้วการยิงในวันหนึ่งก็มีพระประหลาดมากู้หน้า แม้จะเป็นการกู้หน้าที่ไม่สมบูรณ์ถึงขั้นมหาอุดหยุดลูกปืน แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้พวกเราทั้ง 7 คนเป็นอันมาก นั่นคือเรานำเหรียญหล่อฉลุสีดำอันหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเราไม่ค่อยรู้จักท่านมาวางพิงกะลามะพร้าวที่ตั้งอยู่บนพื้นทรายขาวสะอาดตาเนื้อที่นับร้อย ๆ ไร่ เอาปืน.38 บรรจงยิงห่างกันประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งวิธีนี้เหรียญจะไม่มีทางหายได้เลยหากยิงออกเป็นต้องกระทบเป้าหมายแน่นอนและลูกปืนทองแดงจะดันเหรียญให้จมลงในพื้นทรายโดยเหรียญจะห่อตัวโอบลูกปืนไว้ทำให้เหรียญไม่หาย เก็บเอาไว้ดูเป็นตัวอย่างแบบนี้ได้ครบทุกเหรียญนับแล้วเป็นร้อยแน่ะ (บาปชะมัด)เหรียญนี้ก็เช่นกัน เมื่อเล็งได้ที่ก็กดเปรี้ยง กะลากระจาย เราช่วยกันคุ้ยทรายลึกลงไปจนถึงชั้นดินหนาที่ลูกปืนไปหยุด น่าแปลกว่าเราไม่พบเหรียญแต่อย่างใด หัวลูกปืนเองก็ไม่มีร่องรอยการขีดข่วนแสดงว่าไม่ได้กระทบกับโลหะด้วยกันถ้าเช่นนั้นตัวเหรียญไปไหน ?หากจะว่าลูกปืนกระทบขอบเหรียญจนเป็นเหตุให้ดีดเหรียญกระเด็นไปไกล ก็จะไกลสักแค่ไหนกันเทียว เนื้อที่พื้นทรายกว้างขวางนับร้อยไร่ อย่าว่าแต่กระเด็นเลยต่อให้ตั้งหน้าปาไปสุดแรงเกิดก็ต้องตกในรัศมีสายตาเพราะเหรียญเป็นนวโลหะดำปี๋แต่ทรายขาวจั๊วะ7 ประจัญบาน พากันกระจายกำลังหาไปรอบ ๆ ขยายวงไปเรื่อย ๆ จนอ่อนใจก็ไม่พบ สรุปเอาว่าคงกระเด็นหายเพราะลูกปืนแต่ไม่รู้ทิศ วันนั้นจึงได้ยุติการยิงเพราะเหรียญนี้เป็นเหตุต่อมาอีกหลายปี ผมได้พบคุณลุงท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิจริง ๆ ของหลวงปู่ผาง เราคุยกันอย่างถูกคอโดยที่ผมลืมเรื่องยิงเหรียญฉลุไปแล้วสนิท ตอนหนึ่งท่านพูดขึ้นว่า หลวงปู่ผางมีของขลังหลายอย่าง ตะกรุด ผ้ายันต์ พระกริ่ง รูปหล่อลอยองค์ พระผง พระเหรียญของท่าน เหลือจะนับรุ่นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด โดยเฉพาะรูปเหมือนองค์ท่าน ท่านจะมีข้อห้ามที่ถือเป็นเด็ดขาดอยู่สองข้อคือ1. ไม่ยอมให้ใส่ไปกินเหล้าเด็ดขาด ถ้าใส่ไปกินเหล้าจะต้องเกิดเหตุสองอย่างนี้ไม่อันใดก็อันหนึ่งคือ คนใส่พระท่านกินเหล้าจะชักกระแด่ว ๆ อยู่ตรงนั้นเลย หรือมิฉะนั้น คนในกลุ่มสุราก็จะลุกขึ้นมาตีกันเองอย่างไม่น่าเชื่อลองดูก็ยังได้2. ห้ามนำวัตถุมงคลของท่านไปทดลองโดยประการต่าง ๆ มิฉะนั้น วัตถุมงคลเหล่านั้นจะหายสาบสูญไปไม่ได้คืนผมสะดุ้งสุดตัวก็เหรียญฉลุเนื้อนวโลหะที่ยิงเมื่อหลายปีก่อนโน้นเป็นเหรียญของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต ปี พ.ศ. 2519 ซึ่งผู้แกะพิมพ์คือ นายช่างเกษม มงคลเจริญ และดูเหมือนเหรียญนี้หลวงปู่จะอธิษฐานจิต-ปลุกเสกตลอดไตรมาสเสียด้วยเจอของจริงอีกครานับแต่นั้นผมก็ด้องเก็บหลวงปู่ผางที่ผมเคารพชนิดไม่กระโตกกระตาก โชคดีที่พระเครื่องท่านไม่เห็นมีแพงสักรุ่น นอกเสียจากเหรียญรุ่นแรกที่สร้างเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512 ซึ่งก็ต้องเป็นบล็อกนิยมคือ บล็อกคงเค กับ บล็อกคงเคคอติ่ง ซึ่งรุ่นแรกนี้มีจำนวนสร้างทั้งหมดราว 10,000 เหรียญ แต่โดยความเห็นผม ๆ ว่าน่าจะกว่าหมื่นเหรียญหากไม่ใช่รุ่นแรกพิมพ์นิยม แม้จะเป็นรุ่นแรกพิมพ์ใดก็ตามเถิด ราคาแค่ร้อยนิด ๆ เท่านั้น เหรียญรุ่นอื่น ๆ ก็เช่นกันไม่สูงราคาสักรุ่นเดียวล้วนอยู่หลักร้อยทั้งสิ้น นั่นย่อมเป็นโอกาสดีของชาวเบี้ยน้อยหอยเล็ก ให้พยายามหาพระท่านมาคุ้มตัวเถิดไม่ต้องรุ่นแรกบล็อกนิยมดอก หลวงปู่ผางแล้วเป็นอันว่าแน่นอนทุกรุ่น ทุกเนื้อ ทุกพิมพ์ เชื่อขนมกินได้จริง ๆและอันที่จริงรุ่นแรกซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2512 นั้นพูดก็พูดเถิด ท่านยังไม่ ‘สำเร็จ’ เลยด้วยซ้ำ เป็น ‘ผู้ขึ้นบันไดไปสามขั้น’ เท่านั้น ทีนี้ถ้าเป็นของที่ออกหลังพรรษาปี พ.ศ. 2513 ล่ะก็ แน่นอนสุด ๆ ของ ‘พระอรหันต์’ เสกไม่ดีได้ไง !!แม้พระเครื่องหลวงปู่ผางจะมีประสบการณ์เชิงบู๊ฉกาจฉกรรจ์ แต่ที่นำโชคนำลาภบันดาลความสำเร็จและร่ำรวยแก่ผู้คนก็มีปรากฏอยู่ไม่น้อย ผมเองคนหนึ่งละที่ได้โชคได้ลาภจากการอาราธนาพระเครื่องของท่านเสมอ ๆ โดยเฉพาะเหรียญรูปเหมือนท่านที่ออก ณ วัดพลับพลา จ.นนทบุรี วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2519 นี้รู้สึกจะเก่งทางโชคลาภมากทีเดียว แถมราคาก็ทู๊ก..ถูก เจอทีไรก็ 50 – 60 อย่างเก่ง 100 บาทรีบหาซะท่านผู้ชม ชักช้าผมจะเก็บให้หมดแล้วคุณจะเช่าแพง.* ขอขอบคุณ คุณนวรัตน์ วีระเฟื่องฟู ที่กรุณาให้ยืมเหรียญฉลุหลวงปู่ผางองค์สวยมาถ่ายภาพ (เพราะของผมกระเด็นหายไปแว้ว..ว)ที่มา - กระดานสนทนา NAVARAHT "นวรัตน์ดอทคอม" • แสดงกระทู้ - อริยะผู้เรืองฤทธิ์ หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต