
หลวงพ่อเรื่อง ชินฺนปุตโต (รตฺนวณฺโณ) วัดใหม่พิณสุวรรณ
บทความพระเครื่อง เขียนโดย punch18
หลวงพ่อเรื่อง ชินฺนปุตโต (รตนวณฺโณ) วัดใหม่พิณสุวรรณ (ประวัติโดยสังเขป)
หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เป็นพระสุปฏิปันโนและเป็นพระที่ทรงอภิญญา ซึ่งพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) แห่งวัดท่าซุง นับถือเป็นอาจารย์ที่ท่านเคารพมากองค์หนึ่ง โดยท่านรับรองคุณธรรมหลวงพ่อเรื่องว่าเป็นพระอริยะเจ้า หลวงพ่อเรื่องเป็นพระหมอที่รับรักษาคนที่ตกทุกข์ได้ยากมามากมายในอดีต ท่านมีชื่อเสียงในการรักษาต่าง ๆ โดยเฉพาะโรควิกลจริต หรือ “โรคบ้า” ที่หาคนรักษายากในยุคนั้น หลวงพ่อปานวัดบางนมโคเคยบอกกล่าวรับรองหลวงพ่อเรื่องกับคนสุพรรณบุรีที่เดินทางมารักษาตัวที่วัดบางนมโคว่า “ไม่ต้องมาไกลถึงที่นี่ คราวหลังถ้าเจ็บไข้ให้ไปหาท่านเรื่องนะ ท่านเก่งไม่แพ้ฉัน”
หลวงพ่อเรื่อง ชื่อเดิม “เรื่อง” เกิดในวงศ์สกุล “วงศ์วิจารณ์” โยมบิดาชื่อ “พ่อทับ” โยมมารดาชื่อ “แม่เรียง” เกิดที่บ้านตะค่า ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ไม่พบการบันทึกว่าท่านเกิดวันเดือนปีอะไร แต่เมื่อสืบจากวันที่ท่านละสังขาร (มรณภาพ) เมื่อวันแรม 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเมีย พ.ศ.2509 ระบุข้อมูลว่าอายุย่าง 84 ปี เมื่อทวน พ.ศ. และนับถอยหลังจากวันที่ท่านละสังขารจะทราบได้ว่าท่านเกิดปี พ.ศ.2425 แต่ไม่สามารถทราบวันเดือนปีเกิดทางสุริยคติ และไม่ทราบวันเกิดที่ตรงกับข้างขึ้นข้างแรมทางจันทรคติ เมื่อทราบปีเกิดของท่านจะตรงกับปี พ.ศ.2425 ซึ่งตรงกับรัชสมัยการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 5 เป็นปีที่ 14 หลวงพ่อเรื่องเกิดในครอบครัวกสิกรรม มีอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันรวม 4 คน คือ: 1. หลวงพ่อเรื่อง วงศ์วิจารณ์ 2. นายหลอ วงศ์วิจารณ์ 3. นายรา วงศ์วิจารณ์ 4. นายเริญ วงศ์วิจารณ์ เมื่อหลวงพ่อเรื่องยังอยู่ในวัยเยาว์ บิดา-มารดาก็พาท่านไปเป็นลูกศิษย์กับพระพี่ชายของมารดา คือ หลวงพ่อแสง พุทธสโร (พระครูวายามสุจริตวัตร) ที่วัดตะค่า หรือวัดแก้วตะเคียนทอง หลวงพ่อแสงเป็นผู้ที่ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีความรู้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญทางด้านวิปัสสนาธุระ ,การแพทย์แผนโบราณ และโหราศาสตร์ หลวงพ่อเรื่องได้เล่าเรียนหนังสือไทย, อักขระขอม และภาษาบาลี กับหลวงลุงของท่านจนมีความรู้แตกฉาน ประกอบกับที่ท่านเป็นลูกมือให้หลวงลุงช่วยเหลือรักษ าผู้เจ็บไข้ได้ป่วยที่เดินทางมารักษาตัวที่วัดตะค่า ยิ่งทำให้ท่านมีความรู้ด้านสมุนไพรและมีความรู้ความสามารถในการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยไปในตัว ครั้นถึงปี พ.ศ.2446 หลวงพ่อเรื่องอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดตะค่า โดยมีหลวงลุงของท่าน คือ หลวงพ่อแสง (พระครูวายามสุจริตวัตร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายา “ชินฺนปุตโต” และได้อยู่จำพรรษาเพื่อเล่าเรียนวิปัสสนาธุระและช่วยหลวงพ่อแสง รักษาผู้ป่วยที่วัดตะค่า เป็นเวลากว่า 1 พรรษา พอเข้าสู่พรรษาที่ 2 หลวงลุงแสงได้ฝากฝังให้ท่านไปเรียนภาษาบาลี, อักขระขอมโบราณ , พระคัมภีร์มูลกัจจายน์ , วิปัสสนากรรมฐาน และสรรพวิชาที่พระภิกษุสมัยนั้นนิยมเรียนกัน ที่วัดเจ้าเจ็ดใน โดยมีหลวงพ่อปั้น ติสฺสเถระ เจ้าอาวาสรูปที่ 2 ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่จีนเป็นอาจารย์สอน หลวงพ่อเรื่องไปศึกษาอักขระขอมและวิปัสสนากรรมฐานรวม 2 ปีกว่า ที่วัดเจ้าเจ็ดใน อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้ได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาโรคและวิชาการต่าง ๆ รวมทั้งไสยเวทย์ จึงทำให้รู้จักมักคุ้นกับพระเกจิรุ่นพี่สายกรุงเก่าในอดีตที่มีชื่อเสียงหลายรูปมากมาย อาทิเช่น หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค, หลวงพ่อยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน, หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ฯลฯ ด้วยโอกาสนี้จึงเป็นประโยชน์ในภายหลังที่ท่านได้ไปขอศึกษาวิชาและแลกเปลี่ยนความรู้เพิ่มเติมกับพระเกจิอาจารย์ดังกล่าว รวมทั้งได้ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ ยิ่งทำให้ความรู้ความสามารถของท่านเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเดิม ต่อมาลุงของท่านอีกคนชื่อหลวงพ่อปิ่น กลับมาอุปสมบทครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2448 ด้วยวัยประมาณ 60 ปี ที่วัดตะค่า ครั้นปี พ.ศ.2450 มีพุทธศาสนิกชนคู่สามีภรรยามีความศรัทธาที่จะยกที่ดินสร้างวัดและได้นิมนต์หลวงพ่อปิ่น มาเป็นประธาน หลวงพ่อปิ่นต้องการกำลังสำคัญมาช่วยสร้างวัดจึงได้ขอให้หลวงพ่อเรื่องกลับจำพรรษา ที่วัดใหม่พิณสุวรรณด้วยกัน จากการที่หลวงพ่อเรื่องไปศึกษาเพิ่มเติมที่วัดเจ้าเจ็ดใน ทำให้ท่านได้ปฏิบัติตนโดยออกธุดงค์เป็นประจำทุกปี จนได้พบและได้ฝากตัวเป็นศิษย์พระคณาจารย์เกจิในยุคนั้นหลายรูป อาทิเช่น หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง, หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ เป็นต้น นอกจากนี้หลวงพ่อเรื่องยังมีวาสนาได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับพระโบราณลึกลับในป่า และได้รับการสั่งสอนให้เรียนรู้สรรพวิชาต่าง ๆ ภายหลังได้นำมาใช้เป็นประโยชน์กับผู้ตกทุกข์ได้ยากมากมาย ท่านยังมีสหธรรมิกที่เป็นทั้งพระเกจิรุ่นพี่, รุ่นน้อง และรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายรูป เช่น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน, หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ,หลวงพ่อหลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงพ่อพรต จนฺทโสภะ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง, หลวงพ่อดี พุทธโชติ วัดเทวสังฆราม (วัดเหนือ), หลวงพ่อก้าน วัดใต้, หลวงพ่อเจียง วัดเจริญสุขาราม ฯลฯ เมื่อท่านกลับมาช่วยหลวงพ่อปิ่นสร้างวัดและรับรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยได้ประมาณ 6 ปี ล่วงเข้าปี พ.ศ.2456 หลวงพ่อปิ่นก็มาล้มป่วยด้วยอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง และถึงแก่กาลมรณภาพด้วยอหิวาตกโรค
และจากไปอย่างกะทันหัน หลวงพ่อเรื่องจึงได้รับความไว้วางใจของชาวบ้านตะค่าให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดใหม่พิณสุวรรณ ท่านจึงรับหน้าที่สร้างวัดใหม่พิณสุวรรณและรับรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาท่านได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์ และรองเจ้าคณะแขวง (เจ้าคณะตำบล) ปกครองวัดในพื้นที่ตำบลตะค่าหลายวัด ภายหลังท่านเป็นพระเกจิที่ได้รับการยอมรับจากพระเกจิคณาจารย์ทั่วประเทศและได้รับมนต์เข้าร่วมปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ที่สำคัญระดับประเทศ เช่น งานพิธีปลุกเสกพระเครื่องวัดพระปฐมเจดีย์ ปี พ.ศ.2472, พิธีปลุกเสกเหรียญพระแก้วมรกตหลังกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ และ แหวนมงคลเก้า วัดราชบพิตร สร้างครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2481, พิธีปลุกเสกแหวนมงคลศรีของขวัญ วัดราชบพิธฯ ปี พ.ศ.2484, พิธีปลุกเสกเหรียญพระมงคลบพิตร รุ่น 2 และแหวนยันต์ วัดมงคลบพิตร ปี พ.ศ.2485 และพิธีสำคัญที่เป็นงานรองอีกมากมายนับไม่ถ้วน ภายหลังท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ (หรือพระอุปัชฌาย์พิเศษ) คราวไปรักษาพระอาการโรคเรื้อรังของสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ที่เป็นมานานหลายปี แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดตามคำเชิญของพระมงคลราชมุนี (สนธ์ ยติธโร) ผู้ที่เป็นทั้งลูกศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชแพ ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเรื่องขจรขจายไปไกลในฐานะพระเกจิอาจารย์ และพระหมอรับรักษาโรคแผนโบราณที่มีฝีมือ การรักษาแพทย์แผนโบราณของหลวงพ่อเรื่องมีการรักษา หลายรูปแบบตั้งแต่รักษาโรคไข้ธรรมดา, โรคไต, โรคปวดหัวโรคประสาท, โรควิกลจริต , โรคผิวหนัง ไปจนถึงการรักษาทางไสยศาสตร์ได้แก่ การรักษาโดนคุณไสยกระทำ , ลมเพลมพัด, โดนน้ำมันพรายกระทำ และโดนผีเข้า เป็นต้น ทำให้มีผู้ศรัทธามากขึ้นกว่าแต่เดิม การได้รับตำแหน่งพระอุปัชฌาย์วิสามัญ (พระอุปัชฌาย์พิเศษ) สามารถบวชได้ทั่วมณฑลนครปฐมเจดีย์ ซึ่งกินพื้นที่วัดทั่วจังหวัดนครปฐม และจังหวัดสุพรรณบุรี สร้างความไม่พอใจกับพระสงฆ์ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ในพื้นที่ จังหวัดสุพรรณบุรีท่าน เพราะทำให้พระกลุ่มดังกล่าวมองว่าหลวงพ่อเรื่องไม่ให้เกียรติกระทำการข้ามหน้าข้ามตา ไม่เป็นที่สบอารมณ์หลายครั้งหลายครา จึงมีการร้องเรียนท่านไปยังพระปกครองในพื้นที่ตั้งแต่เจ้าคณะตำบล ซึ่งมีตำแหน่งเดียวกับหลวงพ่อเรื่อง, เจ้าคณะอำเภอ , เจ้าคณะจังหวัด ไปถึงเจ้าคณะตรวจการภาค ในการร้องเรียนนี้มีหลายเรื่องหลายวาระและหลายครั้ง เริ่มจากการวางตนไม่เหมาะสมกับสมณรูป, การปฏิบัติตนทำให้คณะสงฆ์แตกแยก , การคลุกคลีกับผู้หญิงเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อสมณเพศ และอีกหลายข้อหา ครั้นถึงปลายปี พ.ศ.2486 เมื่อท่านเจ้าคุณพระอมรเวที (ปุ่น ปุณฺณสิริ) พระสมณศักดิ์ในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์โดยได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 2 มีอำนาจหน้าที่การปกครอง
ในเขตจังหวัดอยุธยา,อ่างทอง,สุพรรณบุรี ฯลฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการประพฤติของหลวงพ่อเรื่อง มากมายหลายข้อหา จึงมีคำสั่งให้หลวงพ่อเรื่องละการประพฤติตามข้อร้องเรียนที่มีอธิกรณ์มา แต่หลวงพ่อเรื่องยังคงช่วยเหลือญาติโยมตามที่ได้รับนิมนต์ต่อไปและยังคงรับรักษาผู้เจ็บป่วยอยู่ตามเดิม ครั้นในวันที่ 3 มีนาคม 2487 คณะของเจ้าคณะผู้ตรวจการภาค 2 ได้เดินทางด้วยเรือยนต์เพื่อม าชำระอธิกรณ์พอแล่นผ่านวัดใหม่พิณสุวรรณ เจ้าคณะผู้ตรวจการภาค 2 ต้องการจะขึ้นไปตรวจสอบ สภาพความเรียบร้อยและการปกครองภายในวัดใหม่พิณสุวรรณจึงสั่งให้พักแวะและนำคณะขึ้นไป วันนั้นหลวงพ่อเรื่องเดินทางไปธุระที่ตัวจังหวัดไม่ทราบเรื่องราวว่าจะมีการมาตรวจวัด ท่านกลับมาถึงวัดพอดีและนั่งพักเหนื่อยยังไม่ได้ไปที่กุฏิของท่าน ก่อนที่คณะผู้ตรวจการจะไปถึงมีพระลูกวัดองค์หนึ่งซึ่งเป็นที่ไว้ใจของหลวงพ่อเรื่อง ได้ไล่คนบ้าผู้หญิง 2 คน ให้เข้าไปในกุฏิของหลวงพ่อเรื่องโดยไม่ทราบเจตนาว่าจะทำอะไร พอหลวงพ่อเรื่องทราบว่าเจ้าคณะภาค 2 มาที่วัด ก็กุลีกุจอให้การต้อนรับ เมื่อคณะของเจ้าคณะผู้ตรวจการภาค 2 มาถึงก็พบพระลูกวัด คือ"พระบุญช่วย" และ "พระสา" มีกลิ่นสุรา (เหล้าโรง) คละคลุ้งติดกายเพราะพระทั้ง 2 รูปเป็นผู้ช่วยรักษาคนไข้ของหลวงพ่อเรื่อง จำเป็นต้องพ่นยาซึ่งมีส่วนผสมของเหล้าโรง (เหล้าขาว) ใส่ผสมกับสมุนไพรรักษาคนไข้ทำให้มีกลิ่นเหล้าติดตัว คณะผู้ตรวจการได้เดินตรวจตรารอบวัดจนมาถึงกุฎิใส่กุญแจไว้จึงขอตรวจได้พบผู้หญิงนางแตงอ่อน อินท์สว่าง อายุประมาณ 30 ปี ใส่เสื้อชั้นในสีขาวตัวเดียว และนางสาวบุญ ทองดี อายุราว 25 ปี ใส่เสื้อชั้นในคอกว้างตัวเดียว ทั้งคู่เป็นคนวิกลจริตที่มารักษาตัวที่วัดใหม่พิณสุวรรณได้เข้าไปอยู่ในห้องโดยพระลูกวัดองค์หนึ่งซึ่งเป็นที่ไว้ใจของหลวงพ่อเรื่องไล่เข้าไป คณะสงฆ์ผู้ตรวจการรีบเดินทางกลับไปยังวัดสวนหงส์ทันที และบอกให้หลวงพ่อเรื่องตามไปทีหลัง ประชาชนชาวบ้านตะค่าและชาวบ้านใกล้เคียงรวมทั้งผู้ศรัทธาหลวงพ่อเรื่องเมื่อรู้ข่าวจึงตามมาสังเกตการณ์ จนเต็มลานวัดสวนหงส์ คณะสงฆ์ได้ตั้งข้อกล่าวหาหลวงพ่อเรื่องมั่วสุมมาตุคามโดยให้มีการพิจารณาอยู่เพียง 2 ทาง คือ “ให้สึก กับ ไม่ให้สึก” ซึ่งเจ้าคณะภาค 2 โดยท่านเจ้าคุณพระอมรเวที (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ไม่ทราบความจริงว่าแผนการร้ายของผู้ที่มุ่งร้ายแก่หลวงพ่อเรื่อง จึงกล่าวท่ามกลางหมู่สงฆ์ว่า “ใครเห็นด้วยกับที่หลวงพ่อเรื่องมีความผิดในข้อหามั่วสุมมาตุคาม ถ้าจะสึกก็นิ่งไว้ ถ้าไม่ให้สึกให้พูดออกมาโดยเหตุผล” ได้กล่าวเช่นนี้ถึง 3 ครั้งแต่คณะสงฆ์เหล่านั้นต่างก็นิ่งเงียบ ไม่มีรูปใดปริปากกล่าวออกมาว่าอย่างไร หลวงพ่อเรื่องได้พยายามอธิบายด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ว่าท่านไม่รู้เรื่องว่ามีผู้หญิงเข้ามาในกุฏิของท่านได้อย่างไร และยังไม่เป็นการพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าท่านเสพเมถุนตามที่กล่าวหาจริงหรือไม่ พร้อมขอให้คณะสงฆ์ช่วยพิสูจน์ความผิดให้ชัดเจน แต่คณะสงฆ์แจ้งว่าแค่มีผู้หญิงแต่งตัวไม่เรียบร้อยอยู่ในกุฏิ ก็เพียงพอที่จะสงสัยในความผิดฐานมั่วสุมมาตุคามแล้ว หากจะให้ยืนยันความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อเรื่องก็ขอเสียงในที่ประชุมของคณะสงฆ์ แต่ก็ไม่มีสงฆ์องค์ใดที่จะยืนยันให้ท่านได้ ในขณะที่เหตุการณ์ข้างล่างของผู้ที่มาชุมนุมเริ่มบานปลายบางคนถือมีด ถือไม้ ต่างกระเหี้ยน กระหือ ที่จะรวมตัวกันบุกเข้ามาแย่งตัวหลวงพ่อเรื่องให้กลับวัดใหม่พิณสุวรรณให้ได้ คณะสงฆ์จึงร้องขอให้ ทางสถานีตำรวจส่งกำลังพลไปรักษาการณ์ให้เกิดความสงบ แต่ประชาชนมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า ไม่ยอมรับมติของพระสงฆ์ และแสดงอาการไม่เกรงกลัว ไม่หวั่นเกรงใด ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้คนบางคนก่นด่าพระบางรูปของคณะสงฆ์ที่ตั้งอธิกรณ์บังคับสึกหลวงพ่อเรื่อง บางคนพูดจารุนแรงเหมือน จะเข้าทำร้ายพระสงฆ์รูปดังกล่าว เหตุการณ์บานปลายและเข้าขั้นวิกฤติจะถึงกับขั้นเลือดตก ยางออกได้ง่าย และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ผู้คนที่มาชุมนุมต้องกระทำบาปมหันต์ต่อพระสงฆ์องค์เจ้าที่ ไม่รู้เรื่องไปด้วย ท่านจึงตัดสินใจเดินไปที่หน้าต่างของห้องที่ประชุมของคณะสงฆ์และโผล่หน้าออกไป โบกมือเพื่อทำสัญญาณกับผู้คนว่าท่านไม่เป็นอะไรยังสบายดีเพื่อให้เหตุการณ์ที่กำลังตึงเครียด เข้าสู่ความสงบ พร้อมกับพูดกับคณะผู้คนที่มาร่วมสังเกตการณ์ว่า “เขาไม่ได้สึกฉันหรอก ฉันลาสิกขาเอง ขอให้ญาติโยมพี่น้องกลับไปก่อนเถอะ ฉันลาสิกขาแล้วก็มิได้ไปไหน จะอยู่ที่วัดนั้นแหละ” ทำให้เหตุการณ์เข้าสู่ความสงบไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ครั้นหลวงพ่อเรื่องกล่าวจบ ก็เดินกลับมาเปลื้องผ้าจีวรด้วยตนเองออกและนำผ้าขาวมานุ่งห่มแทน เหตุการณ์ตรงนี้เป็นที่แปลกประหลาดมากที่มีผู้นำผ้าขาว (ลูกศิษย์หลวงพ่อเรื่อง) มาให้หลวงพ่อเรื่องได้ทันการณ์ เสมือนหลวงพ่อเรื่องได้รับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงให้ลูกศิษย์เตรียมผ้าขาวมาด้วย วิบากกรรมที่หลวงพ่อเรื่องต้องผจญกับคณะสงฆ์นี้ท่านได้รับรู้ล่วงหน้ามาก่อนหน้านี้แล้ว โดยได้รับคำพยากรณ์จากพระอาจารย์ลึกลับในป่าของท่าน ได้รับการเตือนจากหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ก่อนที่จะมีงานแซยิดทำบุญอายุครบ 82 ปี ในปี พ.ศ.2472 พระอาจารย์รูปสุดท้ายที่เตือนหลวงพ่อเรื่อง คือ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง คำเตือนที่หลวงพ่อแช่มบอกกับหลวงพ่อเรื่องไว้ คือ “ระวังจะโดนไล่ออกจากวัด กรรมนี้หนักหนานัก เป็นวิบากกรรมหนักในอดีตที่ต้องชดใช้” ในปี พ.ศ.2478 เป็นปีที่หลวงปู่บุญละสังขาร หลวงพ่อเรื่องได้ใช้เงินส่วนตัวของท่านซื้อที่ดิน ขยายเนื้อที่วัดเพิ่มเติมจากนายกลีบ สีสังข์งาม คนบ้านดาบเงิน จำนวนเนื้อที่รวม 27 ไร่ 3 งาน 84 ตารางวา ได้ทำนิติกรรมเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2478 การซื้อที่ดินครั้งนั้นได้ลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินว่ า “นายเรื่อง วงศ์วิจารณ์” ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยมาก เพราะในขณะนั้นหลวงพ่อเรื่องมีอายุประมาณ 53 ปี เป็นปีที่ท่านกำลังมีชื่อเสียงและบารมีควรจะใช้ชื่อวัดใหม่พิณสุวรรณมากกว่าชื่อของท่าน เมื่อหลวงพ่อเรื่องได้ปลดจีวรและนุ่งขาวห่มขาวแล้วก็กลับมาอยู่ที่วัดใหม่พิณสุวรรณ โดยปฏิบัติตนเหมือนพระภิกษุโดยถือศีลเคร่งครัดและรับประทานอาหารเพียง 2 มื้อ มีคนประเคนอาหารและของ
เช่นเดียวกับพระภิกษุทุกประการ ซึ่งท่านก็กล่าวกับศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า “เขาบังคับสึกกูได้แต่กาย แต่ใจกูยังเป็นพระไม่ได้สึกไปกับกายด้วย” กลุ่มของคณะสงฆ์ปกครองในพื้นที่ได้ส่งพระสงฆ์จากวัดอื่นเข้ามาทำหน้าที่รักษาการ เจ้าอาวาสที่วัดใหม่พิณสุวรรณ โดยมอบหมายให้รักษาการณ์เจ้าอาวาสไล่หลวงพ่อเรื่องออกจากวัดให้ได้ แต่พระที่ส่งมาทำหน้าที่ตลอดระยะเวลาดำเนินการไม่ได้ผลแต่อย่างไร หลายรูปที่ส่งมากลับมีความศรัทธาในปฏิปทาต่อหลวงพ่อเรื่องที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และสงเคราะห์ญาติโยมด้วยความเมตตา และหันมานับถือพร้อมมอบตัวเป็นลูกศิษย์กับท่าน พระสงฆ์องค์ใดที่ส่งมาแล้วเชื่อฟังกลุ่มคณะสงฆ์ปกครองในพื้นที่และกระทำไม่ดีต่อหลวงพ่อเรื่อง ก็จะโดนกลุ่มญาติโยมและกลุ่มผู้เจ็บไข้ได้ป่วยที่มารักษาตัวที่วัดเข้าต่อว่าตำหนิติเตียนอย่างรุนแรง ทนแรงกดดันของคณะสงฆ์ปกครองในพื้นที่ไม่ไหวก็ขอย้ายวัดออกไปไม่ขอกลับมาทำหน้าที่ตามเดิม ระยะหลังจึงหาพระสงฆ์ที่จะมาทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสที่วัดใหม่พิณสุวรรณไม่ได้เลย ภาระการดูแลวัดอย่างไม่เป็นทางการจึงตกเป็นภาระของหลวงพ่อเรื่องไปโดยปริยาย เนื้อที่วัดมีเพียง มีเนื้อที่เพียง 3 ไร่ 2 งาน ในขณะที่ดินในนามของท่านและผู้ศรัทธามีเนื้อที่รวม ประมาณ 34 ไร่ ระยะแรก ๆ กลุ่มของคณะสงฆ์ในพื้นที่เคยเดินทางมาบังคับไล่ท่านออกจากวัดซึ่ง ท่านก็ออกมาจากกุฏิและศาลาภายในวัดตามความประสงค์ของกลุ่มที่มาขับไล่ท่าน และมากางกลดนอนบริเวณที่ทำการเทศบาลตำบลบ้านแหลมในปัจจุบัน (ติดกับอาคารโรงเรียนวงศ์วิจารณ์ศึกษาลัย) ตอนนั้นยังมีสภาพเป็นพื้นดินมีหญ้าปกคลุมและต้นไม้ใหญ่พอจะมีร่มเงาบังแดดอยู่บ้าง กลุ่มของคณะสงฆ์ในพื้นที่ก็ตามมาไล่ท่านออกไปอีก แต่คราวนี้หลวงพ่อเรื่องกล่าวว่า ที่ดินที่ท่านมากางกลดนอนนี้เป็นที่ดินในนามของท่านไม่ใช่ที่ดินของวัด ทีแรกกลุ่มของคณะสงฆ์ดังกล่าวไม่เชื่อแต่เมื่อมีการตรวจสอบเป็นที่แน่ชัดก็เป็นจริงตามที่ท่านกล่าวมา จึงไม่สามารถจะทำอะไรกับท่านได้ ต่างมีอาการเสียหน้าและผิดหวังกลับไป ทั้งนี้เป็นเพราะหลวงพ่อเรื่องได้รู้การณ์ล่วงหน้าในวิบากกรรมครั้งนี้จึงได้เตรียมรับมือกับการโดนไล่ออกจากวัดไว้ล่วงหน้าแล้วนั้นเอง ล่วงเข้าต้นปี พ.ศ.2493 หลวงพ่อเรื่องได้เดินทางไปอุปสมบทโดยมีพระครูศีลกิตติคุณ (หลวงพ่ออั้น คันธาโร) วัดพระญาติการาม จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อหลวงพ่อเรื่องอุปสมบทครั้งที่ 2 ก็เดินทางกลับมา จำพรรษายังวัดใหม่พิณสุวรรณ และเริ่มปฏิบัติศาสนกิจเช่นพระสงฆ์ทั่วไป เวลาล่วงผ่านไปได้ประมาณ 6 เดือน มีผู้ศรัทธานิมนต์ไปยังงานต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากกับคณะสงฆ์ในพื้นที่ จึงได้เดินทางไปร้องเรียนยังพระผู้ปกครองส่วนกลางที่กรุงเทพฯ รับทราบ คณะสงฆ์จึงเดินทางไปหาหลวงพ่ออั้นและมีคำสั่งให้รีบไปดำเนินการสึกหลวงพ่อเรื่องให้สำเร็จ มิเช่นนั้นหลวงพ่ออั้นต้องรับผิดชอบด้วยการสึกจากพระแทน เมื่อหลวงพ่อเรื่องทราบข่างก็เดินทางมายังวัดพระญาติและได้เอาผ้าเหลืองออก และนุ่งห้าขาวแทนอย่างเดียว แต่ปฏิปทาของท่านยังคงความเป็นพระสงฆ์อยู่ทุกประการ
ปลายปี พ.ศ.2493 กลุ่มคณะลูกศิษย์นำโดยคุณเลียง ไชยกาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมใน๘ระนั้นได้ดำเนินการทำหนังสือเดินทาง (Passport) ให้กับหลวงพ่อเรื่องและกลุ่มของตนเองพร้อมนำหลวงพ่อเรื่องไปอุปสมบทครั้งที่ 3 ที่วัดเฉลิมศักดิ์ แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว โดยมีพระครูเผิ้ง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “รตนวณฺโณ” พร้อมได้รับใบสุทธิและฉายาเป็นภาษาลาว พระครูเผิ้งได้ทำหนังสือฝากถึงหลวงพ่อมหาจี่ วัดสุคันธาราม เพื่อให้ดูแลหลวงพ่อเรื่อง เมื่ออุปสมทบครั้งที่ 3 แล้วหลวงพ่อเรื่องได้มาจำพรรษาอยู่ในอุโบสถของวัดสุคันธารามเรื่อยมา คณะสงฆ์ทราบเรื่องอีก จึงมีหนังสือไปยังพระครูวรวัฒน์วิศาล (หลวงพ่อลิ้นจี่) ห้ามไม่ให้หลวงพ่อเรื่องอาศัยอยู่ในโบสถ์ หลวงพ่อจี่ตอบว่า โบสถ์เป็นของหลวงซึ่งพระราชทานพัทธสีมา ให้ไว้ ใคร ๆ ก็เข้าไปอยู่ได้ พระภิกษุมาจากต่างประเทศก็เข้าไปอยู่ได้ ทำไมหลวงพ่อเรื่องจะอยู่ไม่ได้ แต่คณะสงฆ์ไม่ยอม หลวงพ่อเรื่องเห็นว่าจะก่อความเดือดร้อนให้แก่หลวงพ่อลิ้นจี่ ท่านจึงบอกว่า ขอบใจที่ให้ความอุปการะ ไม่เป็นไร ฉันจะไปอยู่ในที่ที่ฉันซื้อเอาไว้หลังวัดใหม่พิณสุวรรณ” แล้วท่านก็อำลาหลวงพ่อจี่มาจำพรรษาที่วัดใหม่พิณสุวรรณ เมื่อกลับมาจำพรรษาที่วัดใหม่พิณสุวรรณแล้ว เจ้าคณะสุพรรณบุรีถามเจ้าคณะแขวงและถามไปยังรักษาการเจ้าอาวาส ก็ได้รับคำชี้แจงว่าการอุปสมบทของหลวงพ่อเรื่อง มีพระอุปัชฌาย์ถูกต้องตามพระธรรมวินัย กลุ่มของคณะสงฆ์ปกครองในพื้นที่ได้เข้ามาที่วัดใหม่พิณสุวรรณเพื่อขับไล่ท่านออกจากวัดอีกโดยห้ามท่านทำสังฆกรรมกับคณะสงฆ์ในพื้นที่ หลวงพ่อเรื่องก็ไม่โต้ตอบเพียงแต่เดินมาอยู่ยังกระต๊อบหลังวัดโดยมีลูกศิษย์ใกล้ชิดดูแลอยู่เพียงไม่กี่คน แม้คณะสงฆ์ในพื้นที่จะลงทัณฑ์ไม่ร่วมสังฆกรรม ท่านก็ไม่วิตกกลับทำให้ศรัทธาจากญาติโยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การอุปสมบทครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อเรื่องนั้น นอกจากกลุ่มคณะสงฆ์ผู้ปกครองในพื้นที่จะไม่สามารถกดดันหลวงพ่อเรื่องได้เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ทางกลุ่มศิษยานุศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงพ่อเรื่องที่เป็นกลุ่มนักการเมืองและนักกฎหมายก็ได้ดำเนินการฟ้องร้องกับคณะสงฆ์ผู้ปกครองรวม 3 คดี และได้เดินทางมาเจรจาขอร้องกับคณะสงฆ์ผู้ปกครองให้ระงับการกดดันกับท่านด้วย โดยแจ้งว่าหากมีการละเมิดใด ๆ กับหลวงพ่อเรื่อง กลุ่มคณะศิษย์จะปกป้องท่านทุกทาง พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ จะไม่ยอมให้ท่านโดนรังแกฝ่ายเดียว กลุ่มคณะสงฆ์เห็นว่ากลุ่มคณะศิษย์ของหลวงพ่อเรื่องดำเนินการจริง เห็นได้จากการฟ้องร้องคดีความทางศาล ทำให้ผู้ปกครองสงฆ์บางรูปกลัวจะเป็นความทางกฎหมายจึงไม่กล้าทำอะไรที่เกินอำนาจของตนเอง ประกอบกับมีพระเกจิคณาจารย์หลายรูปที่มีชื่อเสียงได้เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจแก่หลวงพ่อเรื่อง เพราะทราบข่าวหลวงพ่อเรื่องกลับมาอุปสมบทอย่างถูกพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าหลวงพ่อเรื่องได้รับการยอมรับจากพระเกจิคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นว่าท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแม้ว่าคณะสงฆ์
ในพื้นที่จะไม่ยอมรับก็ตาม หนึ่งในนั้นที่มาเยี่ยมสักการะท่านอย่างสม่ำเสมอ คือ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ) แห่งวัดท่าซุง เมื่อกลุ่มคณะสงฆ์ผู้ปกครองในพื้นที่พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรท่านได้ด้วยข้อจำกัดตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นก็ได้รามือไปโดยปริยาย ภายหลังท่านได้รับความศรัทธาจากญาติโยมเป็นจำนวนมากเมื่อถึงคราวออกพรรษาเมื่อรับกฐินแล้วมีพระที่บวชที่อื่นแต่แจ้งความจำนงขอมาสึกกับท่านมีจำนวนมาก ภายหลังกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่รับรู้กันโดยทั่วว่าหลวงพ่อเรื่องจะทำพิธีสึกให้ปีละครั้งเท่านั้น ทุกคนที่ต้องการมาสึกกับท่านต้องเดินทางมาค้างที่วัดใหม่พิณสุวรรณก่อนวันสึก 1 คืน และต้องจัดเตรียมสิ่งของมาตามที่ท่านระบุไว้ ที่ต้องมาค้างที่วัด 1 คืนก่อนสึกเพราะท่านจะทำพิธีสึกช่วงเช้าอันถือว่าเป็นฤกษ์ดีเป็นรุ่งอรุณที่อยากให้ทุกคนรับกับสิ่งดี ๆ ซึ่งท่านจะปลุกเสกน้ำมนต์ที่ทุกคนเชื่อถือว่าศักดิ์สิทธิ์ทั้งคืน และจะให้ทุกคนสวดมนต์ นั่งกรรมฐานและแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ภายหลังมีผู้เดินทางมาสึกกับท่านจำนวน 300-400 คนจนเต็มเนื้อที่ศาลาวัด บั้นปลายชีวิตของท่านได้มุ่งเน้นการทำนุบำรุงพระศาสนาโดยให้การช่วยเหลือวัดต่าง ๆ ที่ทรุดโทรมและไม่มีปัจจัยในการซ่อมแซมเสนาสนะ ท่านได้เดินทางไปช่วยเหลือทั้งเป็นประธานการก่อสร้าง และร่วมเป็นผู้บูรณะการก่อสร้างหลายที่ ท่าที่สามารถจดจำและมีการบันทึกไว้ได้แก่ วัดโคกโพธิ์ อ.ปลาม้า, วัดดาว อ.บางปลาม้า, วัดจระเข้ใหญ่ อ.บางปลาม้า, วัดทวิชาดาราม (วัดปากคลองกุ่ม) อ.บางปลาม้า, วัดคูบัว (วัดแก้ว) อ.บางปลาม้า, วัดจระเข้สามพัน อ.อู่ทอง, วัดบ่อคู่ อ.อู่ทอง และวัดโบสถ์ อ.หันคา จ.ชัยนาท ส่วนวัดที่หลวงพ่อเรื่องได้เดินทางไปช่วยสร้างโดยเฉพาะนอกเขตจังหวัดสุพรรณบุรียังมีอีกมากมายที่ไม่ได้บันทึกไว้ ทั้งนี้เพราะท่านมีสหธรรมิกและลูกศิษย์ที่เป็นสมณเพศมากมาย ท่านจึงให้ความช่วยเหลือในการรับนิมนต์ไปช่วยเหลือหลายงานหลายวาระ ส่วนใหญ่ท่านจะรับนิมนต์และเดินทางไปด้วยตนเองจึงยากแก่ศิษยานุศิษย์ที่จะจดจำและบันทึก พ.ศ.2504-2505 หลังกลับจากการไปช่วยสร้างเสนาสนะและอาคารโรงเรียนวัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยการทำงานรับใช้พระพุทธศาสนาอย่างหนักและฉันอาหารได้น้อยจนร่างกายซูบผอมเป็นผลให้ท่านเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ สุดท้ายได้ล้มป่วยลงด้วยโรคอัมพฤกษ์และมีอาการเป็นอัมพาตครึ่งซีก หลังออกพรรษาในปี พ.ศ.2508 หลวงพ่อเรื่องหายป่วยและลุกขึ้นมาเดินได้อย่างสะดวก สร้างความแปลกใจกับญาติโยม ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดถามท่านว่าหายดีแล้วใช่ไหม ท่านตอบกลับว่า “มีเทวดามานิมนต์ท่านให้ไปช่วยสร้างโบสถ์ที่วัดจระเข้ใหญ่ให้เสร็จ และจะสร้างเป็นที่สุดท้าย” เมื่อกลับมาจากการไปช่วยสร้างพระอุโบสถที่วัดจระเข้ใหญ่ หลวงพ่อเรื่องได้ล้มป่วยลงจนไม่สามารถเดินได้อีก และป่วยกระ
เสาะกระแสะมาเรื่อย เมื่อมีญาติโยมหรือลูกศิษย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาเยี่ยมและให้ท่านทานยา ท่านจะตอบกลับไปว่าป่วยครั้งนี้ไม่มียาหรือใครรักษาท่านได้ เหมือนท่านบอกเป็นนัยให้ทุกคนรับรู้ไว้ล่วงหน้า และเมื่อถึงวันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2509 (แรม 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเมีย) หลวงพ่อมีอาการอาพาธ ท่านเรียกพระเณรและชาวบ้านมาประชุม เมื่อทุกคนมากันพร้อมเพรียงแล้ว ท่านก็ฝืนกายลุกขึ้นแสดงพระธรรมเทศนา และแสดงจนจบ ครั้นแล้วก็ถึงกาลมรณภาพต่อหน้าท่ามกลางพระเณรและประชาชนทั้งหลาย ทางวัดได้เก็บศพไว้ 2 ปี และทำการฌาปนกิจเมื่อวันที่ 5-8 เมษายน 2511 มีประชาชนไปร่วมงานฌาปนกิจอย่างเนืองแน่น” ทิ้งไว้อนุสรณ์แห่งความดี ความเสียสละ และความพยายามสร้างความดีโดยไม่ย่อท้อ ที่ทำให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง
ที่มาข้อมูล:
๑.หนังสือมารกถาเทศนา และฉันมีกรรมฯ จัดพิมพ์ในงานทำบุญอายุครบสี่รอบ และฉลองสมณศักดิ์ “พระครูทองเลื่อน กลฺยาณธมฺโม” อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่พิณสุวรรณ เมื่อวันที ๕-๖ เมษายน ๒๕๑๙
๒.หนังสือหนังสือลานโพธิ์ ฉบับที่ ๒๒๙ วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๔ ฉบับที่ ๒๓๐ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๒๔ และฉบับที่ ๒๓๑ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๔ โดย อ.มนัส โอภากุล
๓.คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๗๒/๒๔๙๒ (หน้า ๗๓๙) คดีแพ่ง -เคยถูกจับสึกแล้วมาขอบวชใหม่ คณะสงฆ์ไม่ยอมรับไม่เป็นการละเมิด โดย นายเรื่อง วงษ์วิจารณ์ (โจทก์) , พระอมรเวที จำเลยที่ ๑ และ พระเทพเวที จำเลยที่ ๒
๔.คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๔๓/๒๔๙๘ (หน้า ๔๐๙) คดีอาญาหมิ่นประมาท -ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นพระภิกษุโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย , พระภิกษุเรื่อง วงษ์วิจารณ์ (โจทก์) , สมเด็จพระวันรัต สังฆนายก จำเลยที่ ๑ และ กรมการศาสนา โดย นายบุญช่วย สมพงษ์ อธิบดี จำเลยที่ ๒
๕.คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๘/๒๔๙๙ (หน้า ๒๘๑) คดีแพ่ง – ต้องอธิกรณ์ฉายาปาราชิกแล้วไปบวชใหม่ในต่างประเทศคณะสงฆ์ไทยไม่รับ ไม่เป็นการละเมิด โดย พระภิกษุเรื่อง วงษ์วิจารณ์ (โจทก์) , สมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตติโสภโณ) สังฆนายก จำเลยที่ ๑ และ กรมการศาสนา โดย นายบุญช่วย สมพงษ์ อธิบดี จำเลยที่ ๒
๖.วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี https://th.wikipedia.org, www.dharma-gateway.com, www.web-pra.com
๗.คำบอกเล่าจากพระแจะ นาคพญา วัดศาลาแดง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา (พ.ศ.๒๔๔๘ - ๒๕๓๖)
๘.ขอขอบพระคุณเจ้าของภาพทุก ๆ ภาพมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
หมายเหตุ : - หากข้อมูลใด ๆ ไม่ถูกต้องผู้เขียนขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ท่านใดมีหลักฐานที่ถูกต้องที่ขัดแย้งกับข้อมูลที่เขียนบันทึกไว้ หากส่งหลักฐานดังกล่าวมาให้ผู้เขียนเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
เรียบเรียงโดย นายวีระศักดิ์ ขวัญมงคลพงศ์ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑
ขอเชิญอ่านประวัติฉบับเต็ม พร้อมทั้ง เรื่องต่างๆของหลวงพ่อเรื่อง แบบละเอียด ได้ที่ facebook / หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ จ.สุพรรณบุรี https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=213949212546708&id=185437318731231 |
